เชียงรายติดอันดับ 2 ของโลก เมืองที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวดิจิทัลโนแมดหญิง รองจากกรุงไทเป ประเทศไต้หวัน
เชียงรายติดอันดับ 2 ของโลก เมืองที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวดิจิทัลโนแมดหญิง ผลจากความพยายามของรัฐบาลในการยกระดับมาตรการความปลอดภัย

นางสาวนัทรียา ทวีวงศ์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า จากการจัดอันดับของแพลตฟอร์มท่องเที่ยว Holidu ซึ่งวิเคราะห์ข้อมูลจาก 200 เมืองยอดนิยมของนักท่องเที่ยวดิจิทัลโนแมด (Nomads.com) พบว่า “จังหวัดเชียงราย” ได้รับการจัดอันดับให้เป็น เมืองที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยวดิจิทัลโนแมดหญิง อันดับ 2 ของโลก รองจากกรุงไทเป ประเทศไต้หวัน
การจัดอันดับดังกล่าวพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น ความปลอดภัยเมื่อเดินคนเดียวในเวลากลางคืน ความเป็นมิตรต่อผู้หญิงและชาวต่างชาติ อัตราส่วนระหว่างผู้ชายและผู้หญิงในกลุ่มนักท่องเที่ยวดิจิทัลโนแมด และการมีกฎหมายคุ้มครองในสถานที่ทำงานจากการล่วงละเมิดทางเพศ โดยมีหลายเมืองจากทั่วโลกติดอันดับ Top 10 รวมถึงเมืองจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ปีนัง ประเทศมาเลเซีย และอูบุด ประเทศอินโดนีเซีย

นางสาวนัทรียา กล่าวเพิ่มเติมว่า ความสำเร็จในครั้งนี้เป็นผลมาจากความพยายามอย่างต่อเนื่องของรัฐบาลไทยในการยกระดับมาตรการดูแลความปลอดภัยในแหล่งท่องเที่ยว การบูรณาการการทำงานของหน่วยงานด้านความปลอดภัยทุกระดับ รวมถึงการพัฒนาศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว (Tourist Assistance Center) และการทำงานของตำรวจท่องเที่ยวอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวทุกคน
“ผลการจัดอันดับครั้งนี้เป็นเครื่องยืนยันว่า เมืองท่องเที่ยวของไทยมีศักยภาพด้านความปลอดภัยในระดับสากล และพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวดิจิทัลโนแมดที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง” ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าว
ทำความรู้จัก ‘Digital Nomad’ ในประเทศไทย
นิยามของ “Digital Nomad”
“Digital Nomad” ใช้เรียกกลุ่มคนยุคใหม่ที่แสวงหาอิสรภาพจากการทำงานที่ต้องเข้าสำนักงานเป็นประจำ สู่การทำงานผ่านการใช้เทคโนโลยีและมีอิสระในการเดินทางท่องเที่ยวไปพร้อม ๆ กัน คำว่า Digital Nomad ถูกพบครั้งแรกในหนังสือชื่อ “Digital Nomad” ของ Tsugio Makimoto และ David Manners เมื่อปี 1997 โดยผู้เขียนได้คาดการณ์ถึงรูปแบบการทำงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งในยุคสมัยนั้นถือว่าแปลกไปจากการทำงานแบบปกติที่ผู้คนคุ้นเคยกัน ต่อมาในปี 2015 มีการกล่าวถึงวัฒนธรรมย่อยที่เรียกว่า “Lifehacking” ที่ผู้คนหันมาใช้ชีวิตโดยมีเป้าหมายเพื่อให้ตนเองมีอิสรภาพ มีสติทันต่อความคิด ควบคุมการกระทำของตนเองได้ ตัดสินใจเลือกตอบสนองสิ่งที่ดีที่สุดต่อตนเอง และพร้อมที่จะรับผิดชอบผลจากการตัดสินใจนั้น โดยใช้ศักยภาพของเทคโนโลยี ซึ่งเป็นความหมายคล้ายคลึงกับ Digital Nomad
United Nations Development Programme (2020) ให้ความหมายของ Digital Nomad ว่าเป็นบุคคลที่ทำงานจากประเทศที่ไม่ใช่ประเทศของตนเอง ทำงานทางไกลโดยใช้เทคโนโลยีเป็นสื่อกลางโดยไม่มีถิ่นพำนักถาวร ทางการศึกษาด้านการท่องเที่ยว Digital Nomad หมายถึงบุคคลที่เดินทางไปยังเมืองต่าง ๆ ทั่วโลกเพื่อพักผ่อนร่วมไปกับการทำงาน โดยไม่จำเป็นต้องประจำอยู่ในออฟฟิศแบบเดิม และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่ออิสรภาพจากข้อจำกัด
ข้อมูลจาก กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ tatreview