9/7/58
วันนี้ลูกรักเนอสเซอรี่มีสาระน่ารู้เกี่ยว"เมื่อเด็กๆติดการดูโทรทัศน์อย่างงอมแงม"
-----ปัจจุบันเทคโนโลยีสื่อสารต่างๆเข้าถึงในบ้านแทบทุกครัวเรือน แต่โทรทัศน์ยังคงเป็นแหล่งให้ความบันเทิงหลักของแต่ละครอบครัว เด็กทั่วโลกต่างเกิด เติบโต และอยู่ท่ามกลางสื่อโทรทัศน์ ที่ถือว่าเป็นทั้งสิ่งแวดล้อมและสื่อการเรียนรู้ของเด็ก ทุกวันนี้เด็กๆ ส่วนใหญ่เริ่มดูทีวีกันตั้งแต่อายุน้อยลงเรื่อยๆ อิทธิพลจากการดูทีวีนี้เองได้นำไปสู่ผลกระทบต่อเด็กทั้งด้านบวกและลบ
ดร.ลินดา ปากานี แห่งมหาวิทยาลัยมอนทรีลกับคณะ ได้ศึกษาเด็ก 1,314 คน ที่เกิดในแคนนาดาปี พ.ศ. 2540-2541พบว่าเด็กวัย 2 ขวบครึ่งที่ยิ่งดูโทรทัศน์มาก ก็ยิ่งเกิดผลเสีย เรียนเลขไม่ได้ผล ชอบกินขนมขบเคี้ยวหรืออาหารไม่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมักโดนเพื่อนรังแกมากขึ้น คณะนักวิจัยกล่าวว่า เด็กในวัยนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญของการพัฒนาสมอง ดังนั้น เมื่อเด็กเอาเวลาไปดูทีวีมากขึ้น ยิ่งอยู่หน้าจอทีวีมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งทำให้เวลากับกิจกรรมที่ควรนำไปใช้เพื่อพัฒนาสมองยิ่งน้อยลง ถ่วงพัฒนาการของสมองมากขึ้นเท่านั้น
ในสหรัฐอเมริกามีงานวิจัยกว่า 600 ชิ้นในช่วงสามสิบปีที่ผ่านมา ได้ศึกษาเกี่ยวกับความรุนแรงในสื่อประเภทต่างๆ โดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ที่เข้าถึงเด็กได้มากที่สุดว่า พบว่ามีความสัมพันธ์สูงต่อการมีทัศนคติที่ก้าวร้าวต่อผู้อื่นหรือต่อต้านสังคม การเพิกเฉยหรือยอมรับการใช้ความรุนแรงแก้ปัญหา หวาดวิตกต่อการถูกทำร้าย
ในส่วนของประเทศไทย เด็กๆ ต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่มาจากทีวีไม่น้อยไปกว่าต่างประเทศ ข้อมูลจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เมื่อปี 2546 ระบุว่าเด็กดูโทรทัศน์มากถึงวันละ 3-5 ชั่วโมง
จากข้อมูลและผลงานวิจัยข้างต้น ผลกระทบของการติดโทรทัศน์ ชี้ให้เห็นถึงปัญหาและความเสี่ยงในด้านต่างๆ ดังนี้
1. การใช้ความรุนแรง ปรากฎอยู่ในสื่อทีวีทั่วไปตั้งแต่ข่าวที่ผู้ปกครองดู จนไปถึงการ์ตูนที่ขึ้นข้อความว่าเหมาะสำหรับเด็ก (แต่แท้จริงมักเจือความรุนแรงลงไปเสมอ) แม้ว่าผู้ปกครองจะสอนเด็กๆไม่ให้ทำร้ายผู้อื่น แต่ภาพในทีวีที่ตัวเอกหรือฝ่ายธรรมะเตะต่อยฝ่ายตัวร้าย จนกลายเป็นเรื่องที่ สมควรแล้วที่ตัวร้ายจะถูกกระทำ มีข้อมูลที่สนับสนุนว่า เด็กอายุ 2-7 ปี จะรู้สึกหวาดกลัวภาพตัวละครที่ดูน่าพรั่นพรึง เช่น ภูติผีปีศาจหน้าตาน่ากลัว แม้ผู้ปกครองจะบอกเด็กๆว่าไม่มีอยู่จริง ก็ไม่ได้ช่วยปลอบประโลมเด็ก เพราะเด็กวัยนี้ไม่สามารถแยกระหว่างเรื่องที่เป็นจริงกับเรื่องที่เป็นมายาได้ ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงไม่ให้เด็กๆดูรายการที่มีภาพที่อาจทำให้เด็กรู้สึกหวาดกลัวได้
2. ทัศนคติฟุ้งเฟ้อ วัตถุนิยม โฆษณา, ข้อความการตลาดรวมถึงรายการส่งเสริมการขายที่ส่งถึงเด็กๆและทุกเพศทุกวัย ล้วนแต่ดึงดูดใจ และดีเกินจริง เด็กอายุ 6 ขวบหรือต่ำกว่านั้นไม่สามารถแยกระหว่างเนื้อหารายการทีวีกับโฆษณาออกจากกันได้ ทำให้สำหรับพวกเขาแล้วไม่ว่าอะไรๆในโฆษณาก็ดูยอดเยี่ยม และกลายเป็นสิ่งที่เด็กๆรู้สึกว่าจะต้องมีให้ได้ ชีวิตจึงถูกบ่มเพาะด้วยความฟุ่มเฟือย โดยโฆษณาทีวีจะเป็นตัวกระตุ้นการใช้จ่าย ดังนั้นสิ่งที่ผู้ปกครองควรทำคือ สอนเด็กๆให้เป็นผู้บริโภคที่ฉลาด การพูดคุยเกี่ยวกับโฆษณาขณะดูด้วยกัน เช่น “ลูกคิดว่าของชิ้นนี้ดีอย่างที่เห็นมั้ย” หรือ “ลูกคิดว่าของชิ้นนี้เป็นประโยชน์กับเราอย่างไรบ้าง” การพูดคุยถึงข้อเท็จจริงจะทำให้เด็กๆเห็นแง่มุมต่างๆมากขึ้น
3. ปัญหาด้านสุขภาพ การดูโทรทัศน์มากเกินไป เป็นสาเหตุของโรคอ้วน เพราะเด็กที่ติดโทรทัศน์มักไม่ค่อยเคลื่อนไหว และมีแนวโน้มติดขนมขบเคี้ยวด้วย พวกเขาจะรู้สึกมีความสุขกับการดูไปกินไป และไม่สนใจกิจกรรมอย่างอื่น ไม่ออกกำลังกาย ไม่ชอบวิ่งเล่นกลางแจ้งกับเพื่อน ประกอบกับโฆษณาอาหารขยะมากมายที่สีสันหน้าตาชวนรับประทาน พฤติกรรมเหล่านี้นอกจากจะทำให้เป็นโรคอ้วนในเด็กแล้ว ยังเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคเบาหวาน และกล้ามเนื้ออ่อนแรงอีกด้วย
4. ขาดการปฏิสัมพันธ์ เนื่องจากโทรทัศน์เป็นรูปแบบการสื่อสารทางเดียว(One-way communication) เด็กๆจะเป็นแต่ฝ่ายรับสาร เรียนรู้โดยขาดการโต้ตอบ หรือมีปฏิสัมพันธ์ ส่งผลร้ายโดยเฉพาะกับเด็กเล็ก พวกเขาจะเอาแต่ดูภาพและฟังเสียง แต่ไม่พยายามสื่อสารกับผู้อื่น จนกลายเป็นเด็กที่มีโลกส่วนตัวสูง บางรายอาจมีอาการคล้ายเด็กออทิสติก จนทำให้พัฒนาการด้านอื่น ๆ ล่าช้าตามไปด้วย เด็กเหล่านี้จะขาดทักษะทางสังคม
5. พฤติกรรมสุ่มเสี่ยง เมื่อใช้เวลาอยู่หน้าจอทีวีมากขึ้น จะเกิดการซึมซับเนื้อหาที่เต็มไปด้วยพฤติกรรมเสี่ยงจากรายการทีวีและโฆษณาต่างๆ เช่น การดื่มสุรา สูบบุหรี่ ยาเสพติด และเรื่องทางเพศ แต่มักไม่กล่าวถึงผลที่ตามมาจากพฤติกรรมเสี่ยงเหล่านั้น รวมถึงละครทีวีน้ำเน่าแนวชิงรักหักสวาทที่มีอยู่ดาษดื่น เด็กจึงถูกหลอมความคิด ความเชื่อและค่านิยมในการใช้ชีวิตจากเนื้อหารายการโทรทัศน์ที่ดูอยู่ทีละน้อย
หลักการง่ายๆ สร้างพฤติกรรมที่ดีในการดูโทรทัศน์สำหรับเด็ก
1. ร่วมกันกำหนดวันและเวลาในการดูโทรทัศน์ในแต่ละสัปดาห์ให้แน่นอน โดยกำหนดตามช่วงอายุ ดังนี้
> ทารกที่อายุไม่ถึง 1 ขวบ ไม่ควรให้ดูโทรทัศน์หรือวีดีโอเลย
> เด็กอายุต่ำกว่า 5 ขวบ ไม่ควรดูโทรทัศน์ เกิน 7 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (วันละไม่เกิน 1 ชม.)
> เด็กอายุ 6 ขวบขึ้นไปควรปฏิบัติ ดังนี้
- ให้เวลา 1 ชม. ต่อวันในการ ดูโทรทัศน์ในวันไปโรงเรียน
- ให้เวลา 2 ชม. ต่อวันในการ ดูโทรทัศน์ในวันหยุด
- ถ้าเด็กดูรายการพิเศษติดกัน 2 ชม. ในวันไปโรงเรียนต้องงดดูคืนถัดไป
2. ไม่ควรอนุญาตให้มีโทรทัศน์ในห้องนอนส่วนตัว
3. ดูทีวีร่วมกับลูก พร้อมพูดคุยและสอนให้ลูกแยกแยะความแตกต่างระหว่างคนจริงกับตัวละคร และความแตกต่างของเรื่องจริงกับเรื่องสมมติ
4. ช่วยกันวางโปรแกรม, จัดตารางรายการที่เด็กชอบ โดยให้เด็กเขียนรายการที่ต้องการดูในแต่ละวัน และผู้ปกครองเป็นผู้ดูแลและพิจารณาความเหมาะสม
5. เป็นตัวอย่างที่ดีในการดูโทรทัศน์ให้กับลูก
cre.เรียบเรียงโดย: ฝ่ายการแพทย์เอไอเอ
ที่มา: จุฬากรณ์ มาเสถียรวงศ์ พัฒนศึกษา คณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บทความเรื่อง "โทษภัยของการดูทีวีมากจนเกินไป"
: How TV Affects Your Child โดย Mary L. Gavin จาก website
www.kidshealth.org:
http://www.planforkids.com/homepage.php…
:
http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php:
http://community.momypedia.com/commu…/…/my_blog_detail.aspx…
:
http://www.suanprung.go.th/sp_story/index1.htmlKidsHealth - the Web's most visited site about children's health
KidsHealth is the #1 most-trusted source for physician-reviewed information and advice on children's health and parenting issues. For parents, kids, teens, and educators, in English and in Spanish.
KIDSHEALTH.ORG