“สูงสุดคืนสู่สามัญ”
คนที่มีความสามารถอยู่บ้างทำอะไรบางอย่างได้สำเร็จก็จะสะสมให้เกิดความเชื่อมั่นในตนเอง และขาดการน้อมใจศึกษาเรียนรู้จากผู้อื่น ยิ่งสำเร็จหลายๆอย่างก็จะสะสมความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งถ้าไม่คิดใหม่จะมีปัญหา
หลายๆท่านอาจเคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า ความรู้ที่เรามีนั้นเมื่อเทียบกับความรู้ที่ดำรงอยู่ในสังคมนั้น ก็เป็นประดุจน้ำหยดเล็กๆในมหาสมุทร อีกทั้งเมื่อเวลาแปรเปลี่ยนไปความรู้ทีเชื่อว่าถูกต้องก็อาจมีข้อพิสูจน์ว่าไม่ใช่เสียแล้ว ความรู้ที่ถูกต้องจึงเป็นเรื่องชั่วคราวเป็นสิ่งสัมพัทธ์
ความเย่อหยิ่งในความสำเร็จจิ๊บๆ ที่ได้มา จึงกลายเป็นอุปสรรคในการก้าวไปข้างหน้า ที่จะก้าวสู่ความสำเร็จขั้นต่อไปที่ใหญ่กว่า เปรียบดังคำกล่าวว่า “กบที่อยู่ใต้กะลา” คิดว่าฟ้าคือพื้นที่ใต้กะลา แต่ฟ้าก็คือฟ้า กะลาก็คือกะลา น้ำหนึ่งหยดก็เป็นน้ำมันก็มีคุณสมบัติของน้ำ แต่น้ำหยดหนึ่งกับน้ำในมหาสมุทรมันก็มีพลังที่แตกต่างกัน
คนที่ยังไม่ตระหนักในความจริงข้อนี้ แม้จบศิลปะวิทยาการมามากมาย สอบอะไร อะไร ได้หลายใบ บางคนไปจบโท จบด็อกเตอร์จากต่างประเทศ แต่มาทำงานแล้วไม่สามารถนำทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติได้ ไม่สามารถทำงานเป็นทีมได้ ก็จะเป็นแค่คนที่เกือบจะเก่ง ในมหาวิทยาลัยเป็นที่รวมของคนที่ผ่านการศึกษามาเยอะ ก็จะพบเห็นคนที่ทำงานร่วมกับคนอื่นไม่ได้มากมาย ทำให้หยุดตรงจุดที่ว่า คนเกือบจะเก่ง เสียมากมาย
คนที่ตระหนักในความจริงข้อนี้ ก้าวพ้นจากกรอบกะลาที่ครอบหัวอยู่ (ผมเองก็ยอมรับว่าครั้งหนึ่งตนเองก็เคยอยู่ใต้กะลาเช่นกัน แต่ก็ก็สามารถถอดสิ่งนั้นออกไปได้นานแล้ว จึงเรียนว่าอันนี้เป็นการนำเสนอประสบการณ์ตรงของชีวิตตนเอง) การเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ จึงจะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆได้อย่างน้อมใจ ย่อมจะสามารถทำตัวให้เป็นส่วนหนึ่งของน้ำในมหาสมุทร ซึ่งจะทำให้ดูดซับและเป็นหนึ่งเดียวกับคลื่นความรู้ในจักรวาล อันมากมายเหมือนน้ำในมหาสมุทร และสามารถเชื่อมโยงกับขุมพลังของมหาสมุทรได้อย่างมหาศาล ดังที่กล่าวไว้ว่า “สูงสุดคืนสู่สามัญ” ซึ่งจะต้องเป็นผู้ที่มีจิตใจใฝ่เรียนรู้อย่างแท้จริง
“สูงสุดคืนสู่สามัญ” เป็นคำกล่าวที่คุ้นเคยสำหรับคอกำลังภายในคุ้นเคยดี มันให้ความหมายที่ ว่าคนที่มีความฉลาดอย่างแท้จริงจะตระหนักว่าตัวเองเป็นเพียงน้ำหยดเดียวในยุทธจักร คัมภีร์บู๊ลิ้มนั้นมีหลากหลาย จึงสมควรเรียนรู้ตลอดชีวิต ยิ่งเมื่อใช้มันออกไปยิ่งเห็นว่ามันมีข้อจำกัด จอมยุทธ์ที่ด้านหนึ่งฟ้าส่งมาพร้อมสติปัญญาอันเฉียบแหลม เพื่อเป็นตัวแทนแห่งธรรมะเพื่อสืบทอดภารกิจของฝ่ายธรรมะในการประลองยุทธ์เพื่อช่วงชิงความเป็นกระบี่มือหนึ่งแห่งยุทธภพ จะแตกต่างจากคนทั่วไปคือจอมยุทธ์มักสามารถเก็บงำประกายแห่งศักยภาพของตนได้ ดูประดุจคนสามัญไร้การโอ้อวด กลาย เป็นคนที่อ่อนน้อม ถ่อมตัว พร้อมเรียนรู้จากคนทุกๆระดับ ทุกสำนัก เล็กใหญ่ จอมยุทธ์เดินไปไหนไม่มีใครรู้ว่าเป็นจอมยุทธ์ แต่พวกที่เป็นมือระดับรองๆ ไปไหนมาไหนต้องสำแดงตัว คุยโม้โอ้อวดว่าฉันร่ำเรียนวิทยายุทธ์มานะ ฉันไม่ใช่คนสามัญนะ
กระบวนท่าของจอมยุทธ์ที่ใช้ในการประลองชิงความเป็นเจ้าแห่งยุทธภพในอดีตนั้น ใช้วิธีแพ้คัดออก หรือแพ้บาดเจ็บ สิ้นชีพก็มี ท่าหลักที่ใช้เผด็จศึกคู่ชิงเป็นกระบวนท่าที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นมาใหม่เอี่ยม มิมีผู้ใดเคยเห็นพบเห็นมาก่อน ไม่เคยมีใครพูดถึงไว้ จึงย่อมตื่นตาตื่นใจและสยบคนทั้งแผ่นดินได้ คู่ต่อสู้อ้าปากค้างตามไม่ทัน เพียงกระบวนท่าเดียวก็สามารถเผด็จศึกได้อย่างไม่น่าเชื่อ
การเป็นจอมยุทธ์ในวงการบู๊ลิ้มนั้น ก็คล้ายๆกระบวนการของการวิจัยในปัจจุบัน ที่ต้องค้นหาสัจจะจากความจริง ความรู้ใหม่ๆ นั้นดำรงอยู่แล้ว แต่เราไปสัมผัส เก็บข้อมูลด้วยความอดทนพยายาม จากแหล่งข้อมูลหลากหลาย ด้วยจิตใจที่อ่อนน้อม และเรียนรู้อย่างแท้จริง แล้วนำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์เป็นความรู้ใหม่จากหลักวิชาที่มี เมื่อมันได้ของใหม่ถอดด้าม มีการเก็บข้อมูลอย่างถูกต้อง และนำมาวิเคราะห์อย่างมีหลักวิชาอย่างถูกต้อง ได้ความรู้เป็นเรื่องที่ผู้คนในสาขาไม่เคยมีการพูดถึงมาก่อน งานวิจัยชิ้นนั้นก็อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในวงการ นักวิจัยนั้นก็จะได้รับการยอมรับ
การเป็นนักวิจัยที่ค้นพบความรู้ที่มีคุณค่าสมควรยอมรับกับการจอมยุทธ์จักรกระบี่ไร้เทียมทาน ดูจะมีจุดร่วมกันที่สำคัญมาก คือ “สูงสุดคืนสู่สามัญ” หากต้องการความรู้หรือกระบวนท่าเพลงกระบี่ขั้นสูงสุด ท่านต้องคืนสู่สามัญ มีเป้าหมายเพื่อประโยชน์แห่งมหาชน อดทน เรียนรู้ เก็บข้อมูล สังเคระห์ ความรู้ใหม่....
“สูงสุดคืนสู่สามัญ” อาจมีหลายๆคนมองในแง่มุมอื่นๆ ในแง่ของหลักธรรม แต่อาจไม่เกิดความปลุกเร้าในช่วงการต่อสูมากนัก เช่น ไปเน้น "การเห็นแจ้ง การเห็นความจริง" เห็นเรื่อง "สูงสุดคืนสู่สามัญ เป็นสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ เช่น เรื่องการที่ตัวเรามาจาก ณ จุดเริ่มต้น เมื่อขึ้นมายังตำแหน่งที่สูงสุด สักวันหนึ่งเราก็ต้องกลับไปยังจุดเริ่มต้น คือ ออกจากงานหรือเกษียณอายุราชการ...หรือการที่เราได้รับมอบหมายให้ดำรงตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่ง เมื่อถึงเวลาหนึ่งตัวเราก็กลับไปยังตำแหน่งเดิมที่ได้จากมา ครั้งแล้วครั้งเล่า มันผ่านไปกับกาลเวลา ซึ่งเป็นเรื่องของ "สัจธรรม...ความจริง" นั่นเอง สำหรับคำว่า "สูงสุดคืนสู่สามัญ".ในกรณีนี้คือการเตือนใจให้พร้อมรับความไม่แน่นอน และความเปลี่ยนแปลงของชีวิต.
http://www.oknation.net/blog/panthaiforum/2013/11/02/entry-1