ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับหลอดไฟรถยนต์
หลอดไฟหน้าจะมีอยู่หลายลักษณะ เช่น H1(รถยุโรปและรถญี่ปุ่นรุ่นใหญ่), H2, H3(ใช้ติดเพิ่มในไฟสปอร์ตไลท์), H4,H7, HB3, HB4 ซึ่งจะแตกต่างกันตามลักษณะของขั้วหลอด ที่นิยมใช้กันทั่วไปในประเทศไทยจะเป็น H4 เนื่องจากมี 2 ไส้ คือไฟสูง-ต่ำ อยู่ในหลอดเดียวกัน อักษร K ที่ปรากฎบนแพคเกจ เช่น 4000K, 5000K นั้น ในที่นี้ เป็นตัวย่อมาจากคำว่า KELVEN คือ ค่าอุณหภูมิ สีของแสง (color temperature) แต่ไม่กี่ยวกับความสว่างหลอดไฟรถยนต์จะวัดความสว่างกันเป็น Lumen ถ้าหลอดธรรมดาทั่วไป กินไฟมากหรือวัตต์มากก็จะสว่างมาก
วัตต์ของหลอดไฟรถยนต์ที่ใช้อยู่โดยทั่วไป
ไฟเลี้ยวด้านข้าง ไฟส่องป้ายทะเบียน ไฟส่องสว่างในรถ ใช้อยู่ที่ประมาณ 5 - 10 วัตต์
ไฟหน้า ใช้อยู่ที่ 60/55 วัตต์
ไฟถอย ไฟเลี้ยวหน้าหลัง ใช้อยู่ที่ 21 หรือ 23 วัตต์
ไฟเบรก ไฟฟรี่ ใช้อยู่ที่ 21/5 หรือ 23/8 วัตต์
ไฟสปอร์ตไลท์ หรือไฟตัดหมอก มาตรฐานอยู่ที่ 55 วัตต์
ข้อสังเกตุและคำแนะนำในการเปลี่ยนหลอดไฟรถยนต์เมื่อหลอดขาด
หากหลอดไฟเพียงข้างใดข้างหนึ่งขาด แนะนำให้เปลี่ยนทีเดียวทั้งสองหลอด เนื่องจากการกินกระแสไฟของทั้งสองข้างที่ ไม่เท่ากัน จะทำใหแสงที่เปล่งออกมาจากโคมทั้งสองจะสว่างไม่เท่ากัน ดังนั้นสำหรับหลอดข้างที่ยังสามารถใช้งานได้อยู่ เราอาจจะเก็บไว้เป็นหลอดสำรองแทน
การบำรุงรักษาระบบส่องสว่าง
จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุส่วนมาก มักเกิดขึ้นในที่พระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน คือช่วงเวลาประมาณ 18.00 น. ดังนั้น กฎหมายกำหนดให้เปิดไฟใหญ่ได้ในกรณีที่มองไม่เห็นสิ่งต่างๆ หรือเห็นได้ในระยะ 150 เมตร เพื่อทำให้เรามองเห็นทาง และยังทำให้รถคันอื่นมองเห็นเราด้วย การเปิดไฟหรี่ที่ไฟหน้าในช่วงเวลาดังกล่าว จึงเป็นสิ่งที่ผู้ขับขี่ควรทำ และควรหมั่นสังเกต ตรวจสอบระบบไฟส่องสว่างทั้งระบบและไฟสัญญาณต่างๆ เช่น ไฟฉุกเฉิน ไฟเลี้ยว ไฟเบรก ให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งานครบทุกดวง เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ และหากโคมไฟสกปรกก็ควรทำความสะอาดเพื่อทำให้แสงสว่างของหลอดไฟออกมาได้เต็มที่ ในกรณีที่พบกับทัศนะวิสัยในการมองเห็นที่ไม่ชัดเจน ก็ควรเปิดไฟใหญ่เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน