เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 04 พฤษภาคม 2024, 22:40:39
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0
ห้ามประกาศซื้อขาย แลกเปลี่ยน สัตว์ป่าสงวน สัตว์ป่าคุ้มครองทุกชนิด บนเว็บไซต์แห่งนี้ เจอกระทู้ไหนประกาศ จะดำเนินการลบออก โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบ

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ตลาดกลางซื้อขายสินค้าออนไลน์
| |-+  สัตว์เลี้ยง (ผู้ดูแล: ตาต้อม, Active Oper, “๏.๎฿ @ ์ N ' K๎.๏™”)
| | |-+  หน่อกล้วยหิน ปลูกให้นกกรงหัวจุกกิน(เพิ่มรายละเอียด)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน หน่อกล้วยหิน ปลูกให้นกกรงหัวจุกกิน(เพิ่มรายละเอียด)  (อ่าน 2079 ครั้ง)
milk_aith_jimin
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,146



« เมื่อ: วันที่ 30 กันยายน 2014, 08:12:16 »

รับพรีออร์เดอร์ หน่อกล้วยหิน ไว้ปลูก หน่อละ190
10หน่อขึ้นไป หน่อละ170บาท  สนใจโทร....088-436-5060
LINE ID :: crbirdcage

      การนำกล้วยหินมาทำเป็นอาหารคนนั้นทำได้หลากหลาย เช่นนำส่วนที่เป็นแกนของลำต้น หลายคนเรียกว่า“หยวกกล้วย”นำมาประกอบอาหารประเภทแกงอาจจะเป็นแกงไก่ แกงเนื้อ  แกงหมู  ผสมหยวกกล้วย  หรือใช้เป็นผักจิ้มน้ำพริก แต่ควรนำมาลวกเสียก่อนถึงจะอร่อยมากขึ้น   เช่นกับหัวปลี  นอกจากใช้จิ้มน้ำพริกแทนผักได้แล้วยังนำมาทำเป็นยำหัวปลีอร่อยดีนักส่วนผลของกล้วยหินใช้รับประทานสดก็ได้ แต่ไม่ค่อยนิยมกัน คนมักจะนำมาต้มหรือปิ้งก่อนจะได้รดชาดหวานหอม กล้วยหินทอด หรือกล้วยแขกเป็นที่ชื่นชอบของผู้บริโภคยิ่งเป็นช่วงฤดูฝนจะขายดีมากเป็นความรู้สึกว่าอร่อยกว่าช่วงไหนๆทานแล้วลดควาหนาวเย็นลงได้ นอกจากนี้ผลของกล้วยหินยังนำมาฉาบนำมาเชื่อม  นำมาเชื่อมโดยเฉพาะกล้วยหินฉาบ   เป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปที่รู้จักกันโดยทั่วไป  รสชาดอร่อยกว่ากล้วยฉาบอื่น ๆ
      1. ราก นำมาต้มดื่มแก้ไข้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ท้องเสีย แก้บิด แก้ผื่นคัน สมานภายใน
      2. หยวกกล้วยเป็นอาหารที่ใช้ล้างทางเดินอาหาร หากนำมาเผาไฟรับประทานขับพยาธิ ส่วนน้ำคั้น
          จากต้น ใช้ทาป้องกันผมร่วง และทำให้ผมขึ้น
      3. ใบตองปิ้งไฟปิดแผลจากไฟไหม้ ต้มอาบแก้เม็ดผื่นคัน น้ำจากก้านใบใช้เป็นยาผาดสมาน รักษา
          โรคท้องเสีย แก้บิด
      4. ผลดิบ ใช้เป็นยาฝาดสมาน แป้งกล้วยดิบใช้โรยแผลเรื้อรัง แผลเน่าเปื้อย แผลติดเชื้อต่างๆ แก้
          อาการอาหารไม่ย่อย ท้องขึ้นมีกรดมาก ส่วนผลสุกใช้เป็นยาระบาย
       5. หัวปลี จิ้มน้ำพริกช่วยแก้โรคกระเพาะอาหาร ลดน้ำตาลในเลือด รักษาโรคเบาหวาน
ความสำคัญและประโยชน์ของกล้วยหินคิดว่ายังมีอีกมากกว่านี้








« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 10 ตุลาคม 2014, 16:51:00 โดย milk_aith_jimin » IP : บันทึกการเข้า

088-436-5060  line crbirdcage
milk_aith_jimin
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,146



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 01 ตุลาคม 2014, 08:13:52 »

ทำไมถึงชื่อ “กล้วยหิน” ?
      ชื่อนั้นสำคัญไฉน? โดยทั่วไปแล้วการที่คนตั้งชื่ออะไรสักอย่างมักจะมีที่มาหรือมีความหมายที่ซ้อนเร้นอยู่ หลายคนวิเคราะห์ว่า เหตุที่ชื่อว่า“กล้วยหิน”เพราะกล้วยหินมีเนื้อแน่น เหนียวกว่ากล้วยอื่นๆ แต่ผู้เฒ่าหลายคนบอกว่า กล้วยหินที่พบครั้งแรก มักจะขึ้นบริเวณกรวดหิน 2 ฝั่งลำแม่น้ำปัตตานีซึ่งกล้วยอื่นไม่ชอบขึ้น จึงเรียกกล้วยชนิดนี้ว่า กล้วยหิน  เจริญงอกงามดีในบริเวณอำเภอบันนังสตา  จังหวัดยะลา ทางไปเขื่อนบางลาง  ในปัจจุบัน     ซึ่งแต่เดิมบริเวณนี้เคยเป็นเหมืองร้าง   (เหมืองแร่ดีบุก)   มีลำธารสายใหญ่   หรือแม่น้ำปัตตานีไหลผ่าน     พื้นดินมี จึงมีสภาพจึงมีสภาพเป็นกรวดหิน และดินลูกรัง  มีกล้วยชนิดนี้ขึ้นอุดมสมบูรณ์ ชาวบ้านเห็นว่ากล้วยชนิดนี้สามารถขึ้นได้ดีในสภาพกรวดหินจึงเรียนว่า “กล้วยหิน” และเรียกชื่อนี้กันมาจนถึงปัจจุบัน

     รูปลักษณ์ของกล้วยหิน : -
             กล้วยหิน  มีลักษณะคล้ายกล้วยน้ำว้า ต้นใหญ่ โคนต้นวัดโดยรอบประมาณ  70 เซนติเมตร
       สูง 3.5 – 5 เมตร    กาบด้านนอกสีเขียวนวล   ก้านใบค่อนข้างสั้นร่อง ใบเปิด    ใบกว้าง   40 – 50
       เซนติเมตร ยาว  1.5 เมตร ปลีรูปร่างค่อนข้างป้อมสั้น รูปร่างคล้ายดอกบัวตูม ด้านนอกของปลีเป็น
       สีแดงอมม่วง ด้านในสีแดง  เมื่อกาบเปิด จะไม่ม้วนงอ  กล้วยหินแต่ละต้นมีผล 1 เครือ โดยจะออก
       เครือเมื่อหน่ออายุประมาณ  8  เดือน  และเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ  12  เดือน  หรือหลังจากออกเครือ
       ประมาณ 4 เดือน เครือหนึ่ง มี 7–10 หวี หวีหนึ่งมี  15 – 20 ผล    ผลเป็นรูปห้าเหลี่ยมเปลือกหนา
       ค่อนข้างสมบูรณ์ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 – 5 เซนติเมตร ยาว 8 – 12 เซนติเมตร  ผลดิบเปลือก
       สีเขียว เนื้อแข็ง  เมื่อสุกเปลือกสีเหลือง   เนื้อสีขาวอมเหลืองถึงเหลือง แน่นแข็ง  ไม่ยุ่ย    ปลายจุก
       ป้าน เมื่อผลแก่จัดตัดมาเก็บไว้ได้นาน7 – 8 วัน การเรียง ตัวของผลเป็นระเบียบ มีช่องว่างเล็กน้อย
       อยู่ระหว่างหวีแต่ละหวี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 10 ตุลาคม 2014, 16:51:29 โดย milk_aith_jimin » IP : บันทึกการเข้า

088-436-5060  line crbirdcage
kaim2535
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 161


« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 01 ตุลาคม 2014, 08:18:37 »

หน่อ 200 เลยหรอครับ
IP : บันทึกการเข้า
milk_aith_jimin
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,146



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 02 ตุลาคม 2014, 08:53:18 »

 ข้อดี / ลักษณะเด่นของกล้วยหิน
          1. เจริญเติบโตได้ดีในดินร่วน ดินร่วนเหนียว ดินที่เป็นลูกรัง หรือดินกรวดหิน
          2. แตกกอเร็ว ปลูกครั้งเดียวเก็บเกี่ยวได้นาน เพราะกอหนึ่งมีหลายต้น
          3. ลำต้นใหญ่ แข็งแรง ไม่ค่อยมีโรค แมลงระบาด จึงไม่ต้องใช้สารเคมีป้องกันศัตรูพืชแต่อย่างใด
          4. ผลของกล้วยหินมีเปลือกหนา จึงมีความบอบช้ำต่อการขนส่งน้อยกว่า
          5. ผลแก่เก็บได้นาน 7 – 8 วัน ก็ยังไม่เน่าเสีย
          6. ใช้ประโยชน์ได้เกือบทุกส่วน ตั้งแต่รากจนถึงปลีและผลโดยเฉพาะผลมีรสชาดอร่อย แปรรูปได้
              หลายอย่าง
          7. ปลูกแซมในสวนผลไม้ เป็นร่มเงาได้ดีมาก ทำให้สวนผลไม้มีความชื้น ต้นไม้ผลที่เริ่มปลูกใหม่
               เจริญเติบโตได้ดีมากขึ้น
           8. ทนต่อสภาพแห้งแล้งได้ดี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 10 ตุลาคม 2014, 16:51:54 โดย milk_aith_jimin » IP : บันทึกการเข้า

088-436-5060  line crbirdcage
milk_aith_jimin
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,146



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 05 ตุลาคม 2014, 10:50:21 »

สภาพการณ์ทั่วไปทัศนะของเกษตรกรต่อการปลูกกล้วยหิน
      มีพื้นที่เหมาะสม                                 
      ผลผลิตขายได้ดีกว่า
      มีโรคแมลงและศัตรูพืชอื่น ระบาดน้อยกว่า                   
      ทำรายได้มากกว่า
      แปรรูปได้มากกว่า
       การใส่ปุ๋ยน้อยกว่า                               
       การปฏิบัติดูแลรักษาอื่น ๆ น้อยกว่า
       ได้ผลผลิตมากกว่า
       ใช้ทำอาหารได้หลายอย่าง


สภาพดินฟ้าอากาศที่เหมาะสม
      กล้วยหินเจริญเติบโตได้ดีและตกเครือตลอดทั้งปี ในสภาพอากาศแบบร้อนชื้น อุณหภูมิ 23–32องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 30 – 85  เปอร์เซ็นต์ ปริมาณน้ำฝนประมาณ 2,280  มิลลิเมตรต่อปี
การกระจายตัวของฝนค่อนข้างดีมีจำนวนวันฝนตกประมาณ 135  วันต่อปี   ตั้งแต่กลางเดือนเมษายน –
ปลายธันวาคม สภาพพื้นที่ที่มีลมพัดแรง จะทำให้ใบกล้วยฉีกขาดเป็นริ้วมีผลกระทบต่อการสังเคราะห์
แสง รวมไปถึงคุณภาพของผลผลิต กระแสลมแรงอาจทำ      ให้ต้นกล้วยหินหักโค่นล้มลงได้โดยเฉพาะ
ในช่วงที่กล้วยหินตกเครือ ส่วนลักษณะของดินที่กล้วยหินเจริญเติบโตได้ดีมีอยู่  2 ชุด  คือ
  (1) กลุ่มชุดดินที่ 26  :  มีเนื้อดินบนเป็นดินร่วน ดินร่วนปนดินเหนียว  หรือดินร่วนปนดินทราย
       ส่วนดินล่างเป็นพวกดินเหนียว  สีของเนื้อดินเป็นสีน้ำตาล  สีเหลือง  หรือสีแดง   ที่เกิดจากการ     
       สลายตัวของหินต้นกำเนิดชนิดต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งหินอัคนี หินตะกอน และหินแปร สภาพพื้นที่เป็น   
       ลักษณะลูกคลื่นจนถึงพื้นที่เนินเขา เป็นดินลึก มีความลาดชัน 5–20 %การระบายน้ำดีมีความอุดม
       สมบูรณ์ ตามธรรมชาติตามธรรมชาติปานกลางถึงค่อนข้างต่ำ ปฏิกิริยาดินเป็นกรดมีค่าความเป็นด่าง
       (pH) ประมาณ 4.5–5.5
  (2) กลุ่มชุดดินที่ 53  :  มีเนื้อดินบนเป็นดินร่วน หรือดินร่วนปนดินเหนียว ส่วนดินล่าง ในระดับ
       ความลึกระหว่าง 50 – 100 ซม. เป็นดินลูกรัง หรือดินปนเศษหินผุ  ซึ่งเป็นพวกหินดินดาน   สภาพ
       พื้นที่ เป็นลูกคลื่น  หรือเนินเขา  มีความลาดชัน 5 – 20 % ดินมีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติ
       ค่อนข้างต่ำ ปฏิกิริยาดินเป็นกรดมีค่าความเป็นกรด  เป็นด่าง (pH) ประมาณ 5.0 – 5.5
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 10 ตุลาคม 2014, 16:52:26 โดย milk_aith_jimin » IP : บันทึกการเข้า

088-436-5060  line crbirdcage
milk_aith_jimin
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,146



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 08 ตุลาคม 2014, 12:22:28 »

ฤดูปลูก
พื้นที่ที่มีน้ำเพียงพอจะปลูกกล้วยหินเมื่อไหร่ก็ได้แต่โดยทั่วไปเกษตรกรปลูกกล้วยหินโดยอาศัย
น้ำฝน ฉะนั้นส่วนใหญ่จึงปลูกในช่วงต้นฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม – กันยายน และพบว่าเมื่อเกษตรกร
ปลูกในเดือนสิงหาคม – กันยายน มีเปอร์เซ็นต์รอดตายสูงมากเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ การปลูกในช่วงต้น
ฤดูฝนกล้วยหินจะตั้งตัวได้เร็วและแตกยอดอ่อนได้ภายในไม่เกิน 1 เดือน

     
     การคัดเลือกพันธุ์
การคัดเลือกพันธุ์กล้วยหินพันธุ์ดีปลูกจะทำให้ได้ผลผลิตดีมีคุณภาพมีผลตอบแทนคุ้มค่ากับการ
ลงทุน พันธ์กล้วยหินที่เกษตรกรใช้ปลูก มี 2 ชนิด คือ
        (1) ชนิดผลสีเขียวเข้ม มีเนื้อสีเหลือง เมื่อนำไปต้ม  ปิ้ง  เชื่อม หรือแปรรูป เป็นกล้วยหิน จะมีสี
       สวยชวนให้น่ารับประทาน อีกทั้งยังมีรสชาดหวานหอมเฉพาะตัว
        (2) ชนิดผลสีเขียวอ่อน มีเนื้อออกสีขาวนวล นำไปทำเป็นอาหารได้เช่นเดียวกับชนิดแรก มีรสชาด
       หวานหอม  เช่นเดียวกันสำหรับส่วนต่างๆ ของกล้วยหินที่ใช้ขยายพันธุ์มีตั้งแต่หน่อใบกว้าง หน่อใบ
       แคบ หน่ออ่อน เหง้าและตาเหง้า   แต่เกษตรกรนิยมปลูกด้วยหน่อที่มีอายุประมาณ  3 - 4  เดือน     
       ซึ่งเป็นหน่อใบแคบ  หรือ “หน่อดาบ” โดยคัดเลือกจากต้นกล้วยหินที่ให้ผลผลิตดี ผลใหญ่หวีดก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 10 ตุลาคม 2014, 16:52:48 โดย milk_aith_jimin » IP : บันทึกการเข้า

088-436-5060  line crbirdcage
milk_aith_jimin
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,146



« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 09 ตุลาคม 2014, 12:59:11 »

 การปลูก
โดยการขุดหลุมปลูกขนาดประมาณ 50 เซนติเมตร ทั้งกว้าง ยาว และลึก ตากดินทิ้งไว้ 10 – 15วัน  จากนั้นจะใช้ปุ๋ยร๊อกฟอสเฟต หรือปุ๋ยหินแดง ครึ่งกิโลกรัมหรือใช้ปุ๋ยคอกเก่า จะเป็นมูลวัว มูลไก่หรือ
หรือปุ๋ยหมักอื่นๆ  สัก 1 บุ้งกี๋    คลุกเคล้ากับดินที่ขุดไว้ปากหลุมกลบกลับคืนไปในหลุมพร้อมกับเอาหน่อ
กล้วยหินที่เตรียมไว้ลงปลูก โดยวางหน่อพันธุ์ลงหลุมให้ลึกประมาณ 25 เซนติเมตร  แล้วกลบดินที่เหลือ
อยู่ลงไปในหลุมให้เต็มปากหลุม     กดให้แน่นพอสมควรและพูนดินบริเวณโคนต้นให้สูงขึ้นมากเล็กน้อย
เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำขัง ส่วนระยะปลูกตั้งแต่  5 – 8  เมตร   คือถ้าปลูกเป็นพืชเดียว  ควรใช้ระยะระหว่าง
แถวและระหว่างต้น 5 – 6 เมตร แต่ถ้าปลูกแซมหรือร่วมกับไม้ผลก็ควรปลูกระหว่างแถว และระหว่างต้น
7 – 8 เมตร ปลูกหลุมละ 1 ต้น ก็จะใช้หน่อกล้วยหิน 25 – 64 หน่อต่อไร่โดยปลูกช่วงต้นฤดูฝน กล้วยหิน
ก็จะเจริญเติบโตได้เร็วโดยไม่ต้องรดน้ำ ในกรณีที่มีพื้นที่ปลูกกล้วยหินเป็นที่ราบในฤดูฝนถ้าหากไม่จัด
การให้น้ำระบายได้ดี   พื้นที่อาจจะมีน้ำท่วมขัง     ทำให้กล้วยหินรากเน่าตายได้ จึงควรปลูกแบบยกร่อง
ก็จะป้องกันปัญหาดังกล่าวได้

การใส่ปุ๋ย                 
            โดยทั่วไปแล้วเกษตรกรปลูกกล้วยหินโดยไม่ใส่ปุ๋ยอาศัยธาตุอาหารจาก
ดินในการออกดอกออกผล  อีกส่วนหนึ่งก็คงจะได้ธาตุอาหารจากการใส่ปุ๋ยให้กับ
ไม้ผลที่เป็นพืชหลักทำให้มีผลผลิตเฉลี่ยประมาณ 950 หวีต่อไร่ต่อปี แต่ในราย
ที่่ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15 – 15 – 15 ให้กับกล้วยหินโดยตรง  อัตรา 1 กิโลกรัมต่อกอ
หรือใส่ปุ๋ยคอกปุ๋ยหมัก 3 บุ้งกี๋ต่อกอ  จะได้ผลผลิต ประมาณ 1,200 หวีต่อไร่ต่อ
ปี โดยใส่ก่อนหรือหลังฤดูฝน โดยวิธีขุดหลุมหรือหว่านบริเวณในทรงพุ่ม สำหรับ
กล้วยหินที่ปลูกใหม่ควรใส่ปุ๋ยสูตร  15 – 15 – 15   เมื่อกล้วยอายุได้ประมาณ
5 – 6 เดือน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 10 ตุลาคม 2014, 16:53:09 โดย milk_aith_jimin » IP : บันทึกการเข้า

088-436-5060  line crbirdcage
milk_aith_jimin
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,146



« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 10 ตุลาคม 2014, 16:09:00 »

การตัดแต่งหน่อ
           เนื่องจากกล้วยหินแตกหน่อจำนวนมากโดยจะเริ่มแทงหน่อใหม่เมื่อ
ปลูกกล้วยหินได้ประมาณ   5 – 6  เดือน   แต่ละกอไม่ควรไว้หน่อเกิน 4 ต้น
เพราะถ้ามีหน่อมากจะทำให้้กล้วยหินเครือเล็กลง     จึงควรตัดแต่งหน่อปีละ
1 – 2  ครั้ง   พร้อมกับตัดแต่งใบที่แห้งหักลงมาออกเสียด้วย    โดยตัดแต่ง
พร้อมกับการใส่ปุ๋ยในช่วงก่อนหรือหลังฤดูฝน

การเก็บเกี่ยวผลผลิต
      หลังจากปลูกกล้วยหินประมาณ  8 เดือน  ก็เริ่มออกปลี   ดอกติดผลทีละหวีทยอยติดทุกวัน
      กาบปลีที่เปิดออกไม่ม้วนงอ ทำให้เห็นกล้วยหวีเล็ก ๆ  ที่เจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและทยอยสุกจาก
      โคนเครือสู่ปลายเครือ ใช้ระยะเวลาประมาณ4 เดือน ฉะนั้นการเก็บเกี่ยวกล้วยหิน ควรเก็บเกี่ยวหลัง
      จากกล้วยหินออกปลี  – 4 เดือน เก็บเกี่ยวเครือที่แก่จัดสังเกตจากสีของผลเป็นสีเขียวเข้ม อาจจะมี
      จุดสีดำปนเหลือง จะได้ผลผลิตที่มีคุณภาพดี  การปลูกกล้วยหินให้ได้ผลผลิตสูง กล้วยหินมีคุณภาพดี
       ผลโต เนื้อแน่นไม่ยุ่ย ไม่ติดเปลือก รสชาดอร่อยไม่มีสารเคมีตกค้าง  ปลอดภัยต่อการบริโภคจำเป็น
       ต้องพิถีพิถัน    ตั้งแต่การเลือกพื้นที่ปลูก   สภาพดินฟ้าอากาศที่เหมาะสมการคัดเลือกหน่อพันธุ์การ
       การปลูก และการปฏิบัติดูแลรักษารวมไปถึงการเก็บเกี่ยวผลผลิต ในช่วงระยะที่เหมาะสมก็จะได้ผล
       ผลิตดีทั้งปริมาณ   และคุณภาพตามที่ต้องการ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 10 ตุลาคม 2014, 17:02:09 โดย milk_aith_jimin » IP : บันทึกการเข้า

088-436-5060  line crbirdcage
milk_aith_jimin
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,146



« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 12 ตุลาคม 2014, 09:47:14 »

Line ID   crbirdcage
IP : บันทึกการเข้า

088-436-5060  line crbirdcage
milk_aith_jimin
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,146



« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 14 ตุลาคม 2014, 17:05:10 »

ดัน
IP : บันทึกการเข้า

088-436-5060  line crbirdcage
milk_aith_jimin
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,146



« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 16 ตุลาคม 2014, 09:50:41 »

ดัน
IP : บันทึกการเข้า

088-436-5060  line crbirdcage
milk_aith_jimin
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,146



« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 22 ตุลาคม 2014, 10:15:00 »

ดัน
IP : บันทึกการเข้า

088-436-5060  line crbirdcage
milk_aith_jimin
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,146



« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 25 ตุลาคม 2014, 09:44:48 »

ดัน
IP : บันทึกการเข้า

088-436-5060  line crbirdcage
milk_aith_jimin
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,146



« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 27 ตุลาคม 2014, 09:18:40 »

ดัน
IP : บันทึกการเข้า

088-436-5060  line crbirdcage
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!