เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 27 เมษายน 2024, 09:16:47
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 [19] 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 ... 37 พิมพ์
ผู้เขียน Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย  (อ่าน 440175 ครั้ง)
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #360 เมื่อ: วันที่ 03 กันยายน 2011, 19:56:22 »

การเมืองนิ่ง‘การบิน’เดือด‘จำปี’ฮึดสู้ศึกโลว์คอสต์ / ‘แอร์เอเชีย’โกยนิ่ม7 ล้านคน

กระบี่/สุวรรณภูมิ > ธุรกิจการบินรุ่งรับสถานการณ์การเมือง คาดช่วงไฮซีซั่นปีนี้โต 10-15% เหตุภาพรวมสายการบินปรับตัวโตต่อเนื่องการเมืองมีเสถียรภาพ ขณะที่ธุรกิจโลว์คอสต์ร้อนแรงสุดขีด เจ้าตลาดเดิม “แอร์เอเชีย” ใช้กลยุทธ์ ราคาสปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง เขย่าตลาด
หวังเจาะกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ยืนยันปีนี้กวาดผู้โดยสาร 7 ล้านคน ด้านการบินไทยดิ้นทุกทางประกาศตั้ง “ไทยสไมล์” ชิงส่วนแบ่งโลว์คอสต์จากเจ้าเก่า “ปิยสวัสดิ์” มั่นใจปีที่ 2 มีกำไร

นายสมชาย จันทร์รอด อธิบดีกรมการบินพลเรือน (บพ.) เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ถึงภาพรวมการขนส่งทางอากาศของไทยในช่วงครึ่งปีหลัง 2554 ว่า ขณะนี้ธุรกิจการบินมีความคึกคักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้สายการบินต่างๆ ทยอยแจ้งขอเปิดเส้นทางบินและเพิ่มเที่ยวบินเข้ามาอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะในช่วงในไตรมาส 4 ของปีนี้ ซึ่งจะเริ่มสู่ช่วงฤดูการท่องเที่ยว (ไฮซีซั่น) นอกจากนี้ยังมีเที่ยวบินเช่าเหมาลำที่คาดว่าจะเพิ่มมากกว่าช่วงปีที่ผ่านมาด้วย โดยในเบื้องต้นคาดว่าอัตราการเติบโตในปีนี้มาน่าจะสูงกว่าช่วงเดียวกันในปี 2553 ประมาณ 10-15% ซึ่งในเดือนกันยายนนี้จะมีการสรุปตัวเลขในภาพรวมอีกครั้ง

ทั้งนี้เนื่องมาจาก 1.ภาพรวมเศรษฐกิจที่ดีขึ้น แม้ว่าขณะนี้จะมีบางประเทศที่ยังมีปัญหาเศรษฐกิจอยู่ แต่ในภาพรวมนั้นดีขึ้น ซึ่งทำให้สายการบินที่ปรับตัวได้แล้ว มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และ2.การเมืองไทยมีเสถรียภาพทำให้นักท่องเที่ยวเริ่มมีความมั่นใจในการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งจะสังเกตได้ว่าในช่วงนี้ หน่วยงานที่ดูแลด้านความปลอดภัยของประเทศต่างๆ ในแถบยุโรป เอเชีย ได้เข้ามาดูงานในเรื่องความปลอดภัยของประเทศหลายคณะ ซึ่งนี่เป็นสัญญาณที่บอกได้ว่าช่วงไฮซีซั่นปีนี้ประชาชนของเขาจะเดินทางมาท่องเที่ยวในไทยแน่นอน

เช่นเดียวกับ นายนิรันดร์ ธีรนาทสิน รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่และรักษาการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน)หรือ AOT ที่ระบุว่า ภาพรวมการขนส่งทางอากาศเติบโตเพิ่มขึ้น โดยผลการดำเนินงานรอบ 8 เดือน (ต.ค.53-พ.ค.54) มีผู้โดยสารเพิ่มขึ้น 44.77 ล้านคน ขณะที่จำนวนเที่ยวบินอยู่ที่ 2.95 แสนเที่ยว ซึ่งเป็นอัตราการเพิ่มขึ้นทั้งสิ้นหากเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้คาดว่า ณ สิ้นปีงบประมาณ(ก.ย.54) คาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 65 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนถึง 13% ขณะที่จำนวนเที่ยวบินคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 4.18 แสนเที่ยวบิน หรือ 8% จากช่วงเดียวกันปีก่อน

สำหรับสถานการณ์ของธุรกิจการบินโลว์คอสต์นั้น มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยในปีนี้คาดการณ์กันอย่างผู้โดยสารในตลาดโลว์คอสต์จะทะลุ 10 ล้านคน นอกจากนี้ยังมีแข่งขันการอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในเรื่องของราคา โดยสายการบินโลว์คอสต์ต่างงัดกลยุทธ์ทางด้านราคามาต่อสู่กันอย่างเต็มที่ ซึ่งสายการบินที่เรียกตัวเองว่าสายการบินราคาประหยัด หรือโลว์คอสต์ มี 3 สายการบินคือ สายการบินแอร์เอเชีย นกแอร์ และโอเรียนท์ไทย

นายทัศพล เบเล็บเวล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบิน ไทยแอร์เอเชีย เจ้าตลาดโลว์คอสต์เมืองไทย เปิดเผย “สยามธุรกิจ”ว่า ตลาดโลว์คอสต์ในปีนี้เป็นไปในทิศทางที่ดี เนื่องจากการเมืองนิ่ง ทำให้ภาคธุรกิจเดินหน้าไปได้ ซึ่งคาดว่าการเติบโตจะเพิ่มจากปี 2553 ประมาณ 10% ส่วนเป้ายอดผู้โดยสารที่แอร์เอเชียได้ตั้งไว้ในปีนี้ที่ 7 ล้านคนนั้นมั่นใจว่าจะสามารถได้ตามที่ตั้งเป้าหมาย

“ตอนนี้ทุกอย่างกำลังไปได้ดี การเมืองนิ่งอย่างนี้กำลังดี นักท่องเที่ยวต้องการเดินทางมาเที่ยวเมืองไทย ส่วนในช่วงไฮซีซั่นปีนี้สายการบินยังคงเน้นกลยุทธ์ด้านราคาเป็นหลัก โดยในช่วงนี้เราได้ทยอยออกแคมเปญมาเรื่อยๆ ในทุกโซนที่เราทำการบิน ดังนั้นผู้โดยสารที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยวก็สามารถติดตามกันได้”

นายทัศพล กล่าวว่า นอกจากกลยุทธ์ราคาแล้ว สายการบินยังเน้นกลยุทธ์การสร้างแบรนด์ของไทยแอร์เอเชีย โดยใช้สปร์อต มาร์เก็ตติ้ง ควบคู่กับมิวสิค มาร์เก็ตติ้ง โดยในส่วนของสปอร์ตมาร์เก็ตติ้งได้ร่วมเป็นผู้สนับสนุนฟุตบอลไทยพรีเมียร์ลีกและดิวิชั่น 1 รวม 9 ทีม ในการเป็นสายการบินหลักที่ทีมจะใช้เดินทางไปแข่งขันทั่วประเทศ ซึ่งมั่นใจว่าจะเป็นการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายแฟนฟุตบอลของแต่ละทีมเฉลี่ย 2 - 3 แสนคน

อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์แอร์เอเชีย คือ การเป็ผู้บุกเบิกเส้นทางใหม่มากกว่าการแข่งขันกับคู่แข่ง ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทพัฒนาให้ท่าอากาศยานภูเก็ตเป็นศูนย์กลางในการเปิดเส้นทางบินเชื่อม อุดรธานี อุบลราชธานี และการสร้างความนิยมในเส้นทางกรุงเทพฯ - มาเก๊า หรือกระทั่งการสร้างฐานลูกค้าใหม่ๆ ตลอดเวลา เช่น การเข้าไปสนับสนุนทีมฟุตบอลในครั้งนี้

ทั้งนี้ ในเดือนตุลาคม 2554 นี้บริษัทได้เตรียมเปิดเส้นทางใหม่กรุงเทพฯ - โคลอมโบ (ศรีลังกา) วันละ 1 เที่ยวบิน ซึ่งเป็นไปตามแผนการขยายเส้นทางบินไปยังเอเชียใต้ ส่วนอินเดียเตรียมเพิ่มเส้นทางไปยังเมืองเชนไน และบังคาลอร์ ภายในกลางปี 2555 ส่วนการขยายเส้นทางบินไปจีนตอนใต้นั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ โดยเชียงใหม่เป็นฮับในการขยายเส้นทางบินไป ขณะที่เส้นทางในประเทศ เตรียมเพิ่มความถี่เส้นทางภูเก็ต กระบี่ อุดรธานี หาดใหญ่ อีก 1 เที่ยวต่อวัน

จากกระแสการเติบโตของธุรกิจโลว์คอสต์ ส่งผลให้การบินไทยไม่สามารถนิ่งเฉยต่อไปได้เพราะ นานวันนอกจากโลว์จะแย่งผู้โดยสารของการบินไปแล้ว ยังสามารถเก็บเกี่ยวผู้โดยสารในกลุ่มใหม่ๆ ไปด้วย ทำให้ล่าสุดบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ประกาศตั้งสายการบินใหม่ชื่อ “ไทย สไมล์” ซึ่งจะเป็นสายการบินโลว์คอสต์ ภายใต้สังกัดการบินไทย โดยแยกเป็นหน่วยธุรกิจของการบินไทย เพื่อรุกตลาดโลว์คอสต์แข่งกับแอร์เอเชีย

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ การบินไทย กล่าวว่า ไทย สไมล์ เป็นสายการบินที่มีการนำเสนอผลิตภัณฑ์ มีรูปแบบไลท์ พรีเมี่ยม เน้นราคาที่คุ้มค่าและการบริการที่เหมาะสม เช่น การบริการเครื่องดื่มและอาหาร รวมถึงสามารถสะสมไมล์ได้เช่นเดียวกับการใช้บริการสายการบินไทย ราคาค่าโดยสารของไทย สไมล์ จะมีราคาสูงกว่าโลว์คอสต์ แอร์ไลน์ แต่ถูกกว่าสายการบินไทย โดยเน้นราคาที่สมเหตุสมผล ไม่ใช่ราคาต้นทุนต่ำ เหมือนโลว์คอสต์เมื่อบวกค่าบริการอื่นๆ เช่น ค่าสัมภาระแล้วราคาไม่ได้ถูกตามที่โฆษณา

ทั้งนี้ไทย สไมล์ จะเปิดให้บริการในวันที่ 1 ก.ค.2555 เนื่องจากรอการส่งมอบเครื่องบิน แอร์บัส เอ 320 จำนวน 11 ลำ โดยทยอยรับมอบเครื่องบินแอร์บัส 320 ความจุ 174 ที่นั่ง จำนวน 11 ลำ โดยปีแรกจะรับมอบจำนวน 4 ลำ และครบตามจำนวนในปี 2558 โดยในปีแรกได้เตรียมเปิดให้บริการเส้นทางรอง 5 เส้นทางได้แก่ กรุงเทพ-อุบลราชธานี กรุงเทพ -อุดรธานี กรุงเทพ-ขอนแก่น กรุงเทพ -เชียงราย และกรุงเทพ-สุราษฎร์ธานี โดยสายการบินไทยจะยกเลิกให้บริการเส้นทางดังกล่าวทั้งหมด เพื่อให้เส้นทาง ไทย สไมล์ให้บริการ

ส่วนปีที่ 2 ไทย สไมล์จะขยายเส้นทางการบินไปยังเส้นทางระหว่างประเทศ โดยมุ่งเจาะตลาดอาเซีย ประเทศอินเดีย สาธารณรัฐประชาชนจีน เช่น มาเก๊า เสินเจิน ฯลฯ ซึ่งบริษัทเชื่อว่าในปีที่ 2 ไทย สไมล์ จะสามารถทำกำไรได้ และคาดว่าจะมีรายได้กว่า 5,000 ล้านบาท เติบโตเฉลี่ย5-6% ต่อปี


http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413355221
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #361 เมื่อ: วันที่ 12 กันยายน 2011, 18:42:04 »

เชียงราย - ททท.6 จว.ตะวันออก นำทีมบริษัทนำเที่ยวทำตลาดภาคเหนือ ดึงคนเที่ยวทะเลปิดเทอม-ไฮซีซันที่จะถึงนี้ หวังยอดเพิ่มไม่น้อยกว่า 20%
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า นายพินิจ หาญพานิช รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้เปิดโครงการส่งเสริมการขายเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาค “ภาคตะวันออกสู่ภาคเหนือ ทะเลแอ่วดอย” ตามโครงการของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงาน จ.ระยอง และ จ.จันทบุรี ร่วมกับ ททท.สำนักงาน จ.เชียงราย จัดขึ้นที่ห้องดอยตอง โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ท จ.เชียงราย เมื่อเร็วๆ นี้
       
       ทั้งนี้ เพื่อส่งเสริมและกระตุ้นการท่องเที่ยวของ 2 ภูมิภาค ที่มีความแตกต่างด้านภูมิประเทศมาแนะนำแหล่งท่องเที่ยว แก่ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวและนักท่องเที่ยวใน จ.เชียงราย
       
       ภายในงานมีผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวจาก 6 จังหวัดของภาคตะวันออก มาออกร้านและเปิดจองห้องพักและแพกเกจท่องเที่ยวในราคาถูก โดยมีผู้ประกอบการท่องเที่ยวและประชาชนชาวเชียงรายและข้างเคียงเดินทางไปร่วมงานเป็นจำนวนมาก
       
       นายชูชาติ อ่อนเจริญ ผู้อำนวยการการ ททท.สำนักงาน จ.ระยอง กล่าวว่า โครงการส่งเสริมการขายจากทะเลสู่ดอยในช่วงฤดูฝนเช่นนี้ ททท.มุ่งหวังในการพาผู้ประกอบการจากระยอง จันทบุรี ตราด ปราจีนบุรี สระแก้ว และ นครนายก มาออกร้านส่งเสริมการขายห้องพัก และแพกเกจท่องเที่ยวต่างๆ ซึ่งก็ไม่ได้คาดหวังยอดขายเต็ม 100% แต่เชื่อว่า จะเห็นผลภายใน 2 เดือนข้างหน้าที่เป็นช่วงปิดภาคเรียนและฤดูท่องเที่ยว คาดว่า จะทำให้การท่องเที่ยวในภาคตะวันออกโตขึ้นประมาณ 10-20% ต่อไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000115637
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #362 เมื่อ: วันที่ 13 กันยายน 2011, 17:17:50 »

นที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7593 ข่าวสดรายวัน


เผยราคาที่ดิน'เชียงของ'เริ่มนิ่ง หลังพุ่งสูงเกินจริง-รอสร้างสะพานไทย-ลาว



เชียงราย - นายสุธิพงศ์ อินทจักร เจ้าพนักงานที่ดิน จ.เชียงราย สาขาเชียงของ เปิดเผยว่าในปัจจุบันราคาที่ดินบริเวณชายแดนไทย-สปป.ลาว ติดแม่น้ำโขงด้าน อ.เชียงของ พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกันมาหลายปีแล้ว โดยหลายจุดมีราคาซื้อขายที่เกินจริงหรือสูงกว่าราคาประเมินไม่น้อยกว่า 50% บางจุดเป็นการปั่นราคาของกลุ่มนายทุน ราคาแต่ละจุดแตกต่างกันออกไป เช่น ที่ดินริมแม่น้ำโขง ซื้อขายกันเกินไร่ละ 1,500,000 บาท ขณะที่ดินโดยทั่วไปต่างก็มีราคาพุ่งสูง สำหรับบริเวณก่อสร้างถนนเชื่อมกับตัวสะพานแม่น้ำโขงไปจนถึงบริเวณก่อสร้างสะพาน พบว่าเป็นที่ดิน ส.ป.ก.4-01 การซื้อขายกันมากคือบริเวณรอบนอก

นายสุธิพงศ์ กล่าวว่าอย่างไรก็ตามในปัจจุบันสภาพการซื้อขายโดยดูจากการทำนิติกรรม ผ่านสำนักงานที่ดิน ลดลงจนแทบไม่มีการซื้อขาย คาดว่าเป็นผลมาจากการกว้านซื้อขายกัน เข้มข้นของกลุ่มทุนตั้งแต่ก่อนปี 2552-2553 แล้ว ช่วงนั้นมีการทำธุรกิจซื้อขายหรือโอนที่ดินผ่านสำนักงานที่ดินกันอย่างคึกคัก ปีนี้การซื้อขายก็ไม่มีเกิดขึ้นเพิ่มเติมอีกและผู้ถือครองที่ดินยังคงอยู่นิ่งรวมทั้งเป็นเจ้าเดิมอยู่ อาจเป็นไปได้ว่ามีการเก็บที่ดินเอาไว้เพื่อรอประเมินราคากันใหม่เพื่อหวังจะขายต่อในราคาที่สูงกว่า นอกจากนี้อาจมีการปั่นราคากันเพื่อรออนาคตเมื่อสะพานแล้วเสร็จก็ได้ ทางสำนักงานที่ดินจะมีการใช้เกณฑ์ประเมินราคาใหม่ซึ่งจัดทำโดยกรมธนารักษ์ตั้งแต่ปี 2555-2558 ราคาประเมินใหม่คงจะสูงขึ้นตามสถานการณ์แน่นอน

สำหรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ เป็นสะพานเชื่อมไทย-สปป.ลาว แห่งที่ 4 เชื่อมกับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว รัฐบาลไทยและจีนตกลงใช้งบประมาณในการก่อสร้างฝ่ายละ 50% กำหนดตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธ.ค.2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน ด้วยงบประมาณ 1,486.5 ล้านบาท

หน้า 29
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #363 เมื่อ: วันที่ 15 กันยายน 2011, 12:39:20 »

คมนาคมดันแผนพัฒนาราชบุรี-นครปฐม เป็นศูนย์กองเก็บสินค้าขนาดใหญ่เชื่อมโยงมอเตอร์เวย์และรถไฟทางคู่ป้อนสู่ท่าเรือปากบารา หวังเชื่อมถึงแหล่งผลิตสินค้าจากเหนือ-อีสานจดใต้ป้อนท่าเรือปากบารา-สงขลา 2 ยันเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนและบริหารจัดการ "สุพจน์" เผยพร้อมพัฒนา CY รองรับสินค้าที่มาจากพื้นที่ต่างๆ ล่าสุดจี้สนข.-ร.ฟ.ท.ปรับแก้แบบโครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทางให้เร่งเสนอคลังชี้แหล่งทุนดำเนินโครงการ


นายกิตติศักดิ์ หัตถสงเคราะห์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า กระทรวงคมนาคมมีแผนเร่งผลักดันโครงการพัฒนาศูนย์กองเก็บสินค้าขนาดใหญ่ที่ราชบุรี-นครปฐม เพื่อป้อนสินค้าสู่ท่าเรือปากบารา-สงขลา 2 ในพื้นที่จังหวัดสตูล-สงขลา ซึ่งเน้นไปในเรื่องการขนส่งสินค้าป้อนสู่ทะเลให้เกิดการเชื่อมโยง 2 ฝั่งทะเลด้วยเส้นทางรถไฟ ขณะนี้ยังได้เร่งผลักดันแผนพัฒนาโครงข่ายเชื่อมโยงจากพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้เข้าถึงแหล่งผลิตสินค้าหลักๆ ให้ป้อนสู่ท่าเรือปากบาราและสงขลา 2 ได้อย่างสะดวก เนื่องจากจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น
"ปากบาราเป็นแผนการพัฒนาระดับประเทศ มีผลดีต่อสภาพเศรษฐกิจ ส่วนรวมของประเทศไทยให้สามารถแข่งขันกับประเทศต่างๆได้ โดยมีทั้งแผนการเร่งผลักดันโครงการถนนและเส้นทางรถไฟที่มีผลการศึกษาเบื้องต้นรองรับไว้แล้ว เช่น โครงการทางพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ที่ขึ้นตรงกับกรมทางหลวง เส้นทางจากนครราชสีมา-บางปะอิน เส้นทางนครสวรรค์-บางปะอิน เส้นทางบางปะอิน-บางใหญ่-ราชบุรี(บ้านโป่ง)มุ่งสู่ภาคใต้ นอกจากนั้นยังเร่งโครงข่ายรถไฟทางคู่จากเชียงแสนและเชียงของ จังหวัดเชียงรายที่เชื่อมจากจีนตอนใต้ ผ่านแนวทางคู่นครสวรรค์-ลพบุรีป้อนสู่เส้นทางนครปฐม-หนองปลาดุก-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพรเชื่อมต่อไปยังสถานีหาดใหญ่ ซึ่งขณะนี้บางช่วงใกล้สรุปผลการศึกษา และส่วนหนึ่งอยู่ในระหว่างการขออนุมัติงบประมาณเพื่อว่าจ้างศึกษา ส่วนมอเตอร์เวย์เส้นทางที่พร้อมเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนมีอยู่จำนวน 2 เส้นทาง คือ บางปะอิน-นครราชสีมาและบางใหญ่-บ้านโป่งโดย พร้อมจะนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)พิจารณาอนุมัติได้แล้ว"


นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า มีแผนพัฒนาพื้นที่ราชบุรีและนครปฐมให้เป็นศูนย์กองถ่ายสินค้าขนาดใหญ่รองรับแผนการพัฒนาของกระทรวงคมนาคมที่จะเร่งผลักดันโครงการก่อสร้างท่าเรือปากบาราที่ภาคใต้ ซึ่งอยู่ในดินแดนไทย มากกว่าจะเน้นไปที่โครงการทะวายในประเทศพม่า ที่ยังไม่มีความชัดเจนในหลายๆเรื่อง โดยเฉพาะความคุ้มทุนที่ประเทศไทยจะได้รับ แต่ปัจจุบันการพัฒนาโครงข่ายในพื้นที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งถนนในความดูแลของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบท
"พื้นที่บ้านโป่ง ราชบุรี และนครปฐม เหมาะสมที่จะพัฒนาให้เป็นคอนเทนเนอร์ยาร์ดหรือ CY เพื่อกองถ่ายสินค้าก่อนป้อนสู่ท่าเรือหลักทางรถไฟและรถยนต์ต่อไป ลงทุนไม่มากเพราะเป็นพื้นที่ของการรถไฟฯและเกิดการเชื่อมโยงได้ดีกว่า สิ่งสำคัญยังสามารถรองรับการขนส่งสินค้าจากทะวายและพื้นที่ต่าง ๆ ได้อีกทางหนึ่งด้วย โดยการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ที่จะสนับสนุนโครงการแลนด์บริดจ์และปากบาราคาดว่าจะมีปริมาณตู้คอนเทนเนอร์เข้ามาใช้ท่าเรือที่จังหวัดสตูลและจังหวัดสงขลาในปี 2558 จำนวน 468,500 ทีอียู โดยจะมีประมาณการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ผ่านท่าเพิ่มขึ้น 1,540,500 ทีอียู ในปี 2578 โดยการเปิดใช้ท่าเรือในปีแรกคาดว่าจะมีปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ผ่านจำนวน 400,000-450,000 ทีอียู จึงสามารถดึงดูดให้สายการเดินเรือสำคัญๆในภูมิภาคนำเรือเข้ามาเทียบท่าได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น"


ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2554 ได้สั่งการให้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)ที่ได้รับงบเพื่อศึกษาความเหมาะสมและออกแบบรถไฟทางคู่ 2 เส้นทาง คือ เส้นทางถนนจิระ-ขอนแก่นและเส้นทางประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร คาดจะเปิดขายซองประกวดราคาก่อสร้างได้ปลายปี 2554 นี้ และการรถไฟแห่งประเทศไทย อยู่ระหว่างการขออนุมัติงบประมาณ 355 ล้านบาทในปี 2555 เพื่อศึกษาใน 3 เส้นทางที่เหลือ คือ 1.ลพบุรี-ปากน้ำโพ 2.มาบกะเบา - ชุมทางถนนจิระ และ 3.นครปฐม-หนองปลาดุกไปปรับแก้แบบให้สอดคล้องกับแผนการพัฒนาโดยเฉพาะโครงการรถไฟความเร็วสูงที่จะผ่านในเส้นทางร่วมกันด้วยหากเส้นทางไหนมีความพร้อมให้รีบนำเสนอกระทรวงการคลังชี้แหล่งทุนและนำเสนอครม.อนุมัติสร้างต่อไป

โดยก่อนหน้านี้คณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2552 เห็นชอบแผนพัฒนารถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง ระยะเร่งด่วน (2553-2557) วงเงิน 66,100 ล้านบาท ระยะทาง 767 กิโลเมตร ประกอบด้วย 1.ลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 118 กิโลเมตร วงเงิน 7,860 ล้านบาท 2.มาบกะเบา -ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กิโลเมตร วงเงิน 11,640 ล้านบาท 3.ชุมทางถนนจิระ- ขอนแก่น ระยะทาง 185กิโลเมตร วงเงิน 13,000 ล้านบาท 4.นครปฐม-หนองปลาดุก ระยะทาง 165 กิโลเมตร วงเงิน 16,600 ล้านบาท และ 5. ประจวบศีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กิโลเมตร วงเงิน 17,000 ล้านบาท

สำหรับโครงการท่าเรือปากบาราข้อมูลจากผลการศึกษาเบื้องต้นของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)พบว่า ผลการศึกษาชี้ชัดเรื่องการวิเคราะห์ทางเศรษฐศาสตร์ของผู้ที่มีความเชี่ยวชาญพบว่าอยู่ในสัดส่วนที่ลงทุนได้ นั่นคือ มีอัตราผลตอบแทน EIRR ประมาณร้อยละ 17.36 ในขณะที่มูลค่าปัจจุบัน คิด ณ อัตราร้อยละ 8 เท่ากับ 28,261 ล้านบาท และร้อยละ 12 เท่ากับ 9,278 ล้านบาท โดยกรอบแนวคิดมี 4 ด้าน คือ การวิเคราะห์ต้นทุน ที่จำแนกเป็นค่าลงทุนและค่าบำรุงรักษา การวิเคราะห์ผลประโยชน์ของโครงการ การวิเคราะห์ความเหมาะสมของโครงการ และการวิเคราะห์ความอ่อนไหวของโครงการซึ่งพบว่าค่าลงทุนด้านการเงิน มีมูลค่ารวม 37,479 ล้านบาท ในทางเศรษฐศาสตร์เท่ากับ 31,260 ล้านบาท อายุการดำเนินโครงการ 30 ปี
ส่วนรายได้ประมาณการจัดเก็บค่าธรรมเนียมตลอด 30 ปี ประมาณ 43,107 ล้านบาท จะช่วยการประหยัดค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าในภาคใต้ได้ประมาณ 134 ล้านบาทในปีที่ 1 และเพิ่มเป็น 3,269 ล้านบาท ในปีที่ 30 ของการดำเนินโครงการ โดยโครงการปากบาราเป็นคนละโครงการสำหรับการเป็นประตูเศรษฐกิจของไทยกับทะวายที่รัฐบาลยุคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต้องการมีส่วนขับเคลื่อนในพื้นที่ภาคตะวันตกแถบกาญจนบุรี และราชบุรีที่ไม่ต้องไปพึ่งพาคนอื่นในการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศไทย สิ่งที่น่าจับตามองคือ เรื่องการเพิ่มมูลค่าของที่ดินซึ่งจากการวิเคราะห์(ปี 2549) พบว่าราคาที่ดินจะเพิ่มขึ้นจากราคาประเมิน 380,000 บาทต่อไร่อย่างแน่นอนโดยจะมีมูลค่าที่ดินเพิ่มขึ้นภายหลังมีท่าเรือแล้วประมาณ 104 ล้านบาท ในปีที่ 1 และ 3,165 ล้านบาทในปีที่ 30 ซึ่งเป็นการส่งผลดีต่อหลาย ๆ ส่วนในพื้นที่อย่างเห็นได้ชัด ไม่นับเรื่องการจ้างแรงงานในภาคใต้ที่ปัจจุบันว่างงานอยู่กว่า 800,000 คนจะได้มีงานทำในโครงการนี้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,670 15-17 กันยายน พ.ศ. 2554
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #364 เมื่อ: วันที่ 19 กันยายน 2011, 16:54:17 »

   ผู้ว่าฯ เชียงรายจี้ทุกหน่วยเร่งเตรียม “คน-พื้นที่” รับจีนเชื่อมจีเอ็มเอส

 เชียงราย - พ่อเมืองเชียงราย นำทีมตั้งวงระดมความเห็น “มหัศจรรย์เมืองเชียงรายสู่การท่องเที่ยว 750 ปี” ผู้ว่าฯ ย้ำต้องเร่งเตรียมพร้อม “คน-พื้นที่-แรงงาน” รองรับการเชื่อมโยงจีน-จีเอ็มเอส
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้เป็นประธานการประชุมสัมมนาระดมความคิดเห็นภายใต้หัวข้อมหัศจรรย์เมืองเชียงรายสู่การท่องเที่ยวฉลอง 750 ปี ณ โรงแรมห้วยริน รีสอร์ท อ.แม่สาย จ.เชียงราย เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยมีตัวแทนจากส่วนราชการ ภาคเอกชน ประชาชนและนักศึกษาสถาบันต่างๆ เข้าร่วมประมาณ 100 คน เพื่อเก็บรวบรวมเป็นข้อมูลนำไปดำเนินการ ประกอบการเฉลิมฉลองเมืองเชียงรายมีอายุครบ 750 ปีในปี 2555 ต่อไป
       
       นายสมชัยกล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มประเทศอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงตอนบน หรือจีเอ็มเอส รวมถึงประเทศจีน กำลังถูกจับตามองจากนักลงทุน เนื่องจากกำลังมีการเจริญเติบโตทั้งด้านการค้าและการท่องเที่ยว ขณะที่ประตูหลักของไทยในการเชื่อมสู่จีเอ็มเอส คือ จ.เชียงราย แต่ตอนนี้ยอมรับว่าเชียงรายเองก็ยังไม่ได้มีการกำหนดยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนเพื่อรองรับ ดังนั้นจึงมีการระดมสมองกันในครั้งนี้
       
       นายสมชัยกล่าวว่า ตอนนี้จีนรุกคืบทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีการก่อตั้งเมืองใหม่เฉินกุง ขึ้นในมณฑลหยุนหนัน ห่างจากเมืองคุนหมิงประมาณ 20 กิโลเมตร โดยเป็นการรวมรวมภาคธุรกิจ ภาคการค้าและย่านธุรกิจไว้ด้วยกัน ทำให้อนาคตอาจเป็นศูนย์กลางของโลก นอกจากนี้ยังจัดโซนภูเขา รวบรวมมหาวิทยาลัย 11 แห่งไว้ด้วยกัน พร้อมกับสร้างเส้นทางรถไฟจากมณฑลหยุนหนัน ผ่าน สปป.ลาว เชื่อมต่อไปยังเวียดนาม เพื่อระบายสินค้าและคน
       
       ส่วนภาคเอกชนก็สร้างตลาดการค้าโหลซือหวัน เพื่อกระจายสินค้าทุกประเภท ขณะที่ไทยมีการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ เชื่อมกับเมืองห้วยทราย สปป.ลาว แล้วเสร็จปี 2556 สามารถเชื่อมโยงกับตลาดดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
       
       “วันนี้เราต้องรู้เขารู้เรา ด้วยการเตรียมพร้อมรับมือคือเตรียมคนว่าใครจะมีส่วนเกี่ยวข้อง มีความพร้อมแค่ไหน เตรียมพื้นที่จุดใดไว้รองรับ และแรงงานมีคุณภาพเพียงพอหรือไม่ ควรมีการฝึกอาชีพที่เกี่ยวให้ โดยอาศัยสถาบันการศึกษาหลักที่มีอยู่ 2 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ในการผลิตนักศึกษาที่มีคุณภาพออกสู่ตลาด ตลอดจนส่งคนไปศึกษาในประเทศคู่ค้าและส่งเสริมภาษาจีน เพราะขณะนี้ทั้งการค้าและการท่องเที่ยวจะต้องขายในตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะจีน” นายสมชัยกล่าว
       
       นายสมชัยยังย้ำอีกว่า นอกจากนี้ยังต้องเตรียมความพร้อมในการศึกษาเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยให้แต่ละอำเภอหาจุดเด่นของแต่ละพื้นที่ เช่น พื้นที่แรงงาน พื้นที่โรงงานอุตสาหกรรม พื้นที่การค้าและพื้นที่การท่องเที่ยว ฯลฯ

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000119003
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #365 เมื่อ: วันที่ 22 กันยายน 2011, 21:11:37 »

ญี่ปุ่น-เอเชียแห่ลงทุนนิคมฯทะลุ 3 พันไร่

 
นางมณฑา ประณุทนรพาล ผู้ว่าการ การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กล่าวว่า ยอดขายพื้นที่ใน 47 นิคมอุตสาหกรรม ในรอบ 11 เดือนที่ผ่านมา มีสัดส่วนคิดเป็น 88.13% ยอดขายรวม 2,644 ไร่ จากเป้าหมายปีงบ 54 ตั้งเป้าไว้ ว่าจะมียอดขายรวม 3,000 ไร่ ยอดขายดังกล่าวส่วนใหญ่เป็นยอดขายในนิคมอุตสาหกรรมร่วมดำเนินงานกับเอกชน ส่วน พื้นที่นิคมของ กนอ.ขายได้ 59 ไร่

ทั้งนี้ กนอ.มั่นใจว่าการย้ายฐานการ ลงทุนของนักลงทุนที่มีมาอย่างต่อเนื่องจะส่งผลดีต่อภาพรวมการลงทุนในปี 2555 และคาดว่าจะทำให้ยอดขายพื้นที่นิคมฯ มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนที่ซื้อพื้นที่ในนิคมฯส่วนใหญ่เป็นนักลงทุนจากญี่ปุ่น และประเทศใน เอเชีย ส่วนนักลงทุนยุโรปมีน้อยมาก โดยจะลงทุนเพื่อประกอบอุตสาหกรรมยานยนต์ และอุปกรณ์ไฟฟ้า สาเหตุที่ยอดขาย พื้นที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากปัจจัยบวกทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ในประเทศไทย รวมทั้งการที่อาเซียนจะก้าวสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ประกอบกับมีปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ ของต่างประเทศ ทั้งภัยสึนามิที่ญี่ปุ่น และปัญหาเศรษฐกิจจากยุโรป โดยมั่นใจว่าภาย ในปีนี้ กนอ.จะมียอดขายพื้นที่นิคมฯได้ตามเป้าหมายที่ 3,000 ไร่

ส่วนรายได้ของกนอ.ปีนี้อยู่ที่ประมาณ 4,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 3,000 ล้านบาท ขณะที่มีค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการ บริหารอยู่ที่ประมาณ 900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีค่าใช้จ่ายในส่วนนี้อยู่ที่ประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากต้องพัฒนานิคมให้มีศูนย์ เฝ้าระวัง และการติดตั้งซีซีทีวีเพื่อดูแลความ ปลอดภัยต่างๆ ส่วนการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในปีงบประมาณ 2554 นั้น มีความคืบ หน้ามาก ปัจจุบันมีนิคมอุตสาหกรรมเข้าร่วม แผนงานทั้งหมด 3 นิคมอุตสาหกรรม ได้แก่ นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง นิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร นิคมอุตสาหกรรมหนองแค

ผู้ว่าการนิคมยังได้กล่าวว่า เพื่อเตรียม ความพร้อมเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียนในปี 2558 กนอ.มีแผนการเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดเสรีการค้า โดยการศึกษาพื้นที่ในแถบชายแดนเพื่อการเชื่อม โยงทางการลงทุนและมีความสะดวกในด้านคมนาคม จำนวน 4 แผนงาน ได้แก่ โครงการพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ โครงการนิคมอุตสาห กรรม อ.เชียงของ จ.เชียงราย โครงการนิคม อุตสาหกรรมในจังหวัดชายแดน พื้นที่ชาย แดนพุน้ำร้อน อ.เมือง จ.กาญจนบุรี โครงการสนับสนุนการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด และโครงการศึกษาการพัฒนานิคม อุตสาหกรรม และท่าเรืออุตสาหกรรมมาบ ตาพุดเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงระบบขนส่ง ทั้งนี้ระยะเวลาต่อโครงการคาดว่าน่าจะใช้เวลาดำเนินงานไม่ต่ำกว่า 3 ปี ส่วนความคืบหน้าการพัฒนานิคมศูนย์บริการเบ็ดเสร็จครบวงจร นิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล จังหวัดปัตตานี ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างเตรียมการก่อสร้าง โดยคาดว่าน่าจะแล้วเสร็จในปี 2556-2557 ซึ่งเหตุที่ล่าช้าเนื่องจากสถานการณ์ความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำให้ขาดแคลนแรงงานที่มีความสามารถ ตลอดจนปัญหาข้อขัดแย้งของคนในพื้นที่ อย่างไรก็ตาม กนอ.จะเร่งดำเนินงานให้แล้วเสร็จตามกำหนดโครงการ

สำหรับการพัฒนาเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในปีงบประมาณ 2554 ขณะ นี้มีความคืบหน้าโดย กนอ.เร่งผลักดันให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นและกำหนดให้มีคณะกรรมการทั้งในระดับชาติและในระดับพื้นที่มุ่งเน้นให้มีการปล่อยของเสียน้อยที่สุดด้วยการบริหารจัดการทรัพยากร และพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ตามหลักการ 3’R โดยการมีส่วนร่วมของชุม ชน ซึ่งอาจจะต้องมีการประสานความร่วม มือกับกระทรวงมหาดไทยในการพัฒนารองรับสนับสนุนซึ่งกันและกัน
 
http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413355594
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #366 เมื่อ: วันที่ 27 กันยายน 2011, 17:57:03 »

วันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7607 ข่าวสดรายวัน


กำแพงเมืองลาว

รุ้งตัดแวง
สปาย-กลาส


ในการเดินทางสำรวจเส้นทางการค้าสายกรุงเทพฯ-คุนหมิงซึ่งเชื่อมไทยผ่านลาวไปยังจีน กับคณะยุทธศาสตร์ภาคเหนือตอนบนของผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย สมชัย หทยะตันติ เมื่อกลางเดือน

มีโอกาสพบกับ จู เสี่ยวหยาง ผู้อำนวยการสำนักนำเข้า-ส่งออกสินค้าและรองอธิบดีกรมพาณิชย์มณฑลยูนนานของจีนซึ่งเล่าให้ฟังว่า เส้นทางนี้มีระยะทางอยู่ในยูนนาน 1,807 กิโลเมตร ในลาว 240 กิโลเมตรและในไทย 900 กิโลเมตร จากการประเมินสภาพโดยรวม ท่านชมว่าถนนในไทยดีที่สุด

ถนนดี มีด่านเก็บค่าผ่านทางที่กรุงเทพฯ เท่านั้น ที่เหลือก็ไม่มีด่านอีก ส่วนในเขต ยูนนานเอง ยอมรับว่า ยังไม่ดีพอในด้านการบริการผู้ขับขี่ แต่ถนนช่วงที่อยู่ในลาว พูดแล้วเหนื่อย

นอกจากจะไม่ได้คุณภาพและไม่มีการดูแลที่ดีแล้ว ยังเก็บค่าผ่านด่านจุกจิก ทำให้ต้นทุนในการขนส่งพุ่งทะยาน

พร้อมยกตัวอย่างว่า เมื่อเดือนเม.ย. รัฐบาลไทยกับจีนทำข้อตกลงทางการค้า หรือ เอ็มโอยู ด้านผักและผลไม้กัน

วางแผนว่าจะส่งสินค้าให้ไทยวันละ 50 โกดังและจากไทยมาจีน 30 โกดัง แต่มาเจอด่านลาว ทำให้ต้องลดจำนวนการขนส่งลงเรื่อยๆ จึงขอให้ไทยช่วยเจรจากับลาวให้หน่อย

ความจริงเรื่องนี้ไม่ได้กระทบเฉพาะจีน บริษัทต่างชาติที่ทำการค้ากับลาวต่างรู้ดี ปัญหาด่านเก็บค่าต๋งของเจ้าหน้าที่ลาวมีอยู่ยุ่บยั่บ

ไม่เท่านั้น รัฐบาลลาวยังแข็งเรื่องภาษี โดยกรมศุลกากรเพิ่งประกาศจะเก็บภาษีสินค้านำเข้าตายตัวไปจนถึงปี 2556 อ้างว่าเป็นเงื่อนไขที่ต้องทำ เพื่อให้ได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก WTO

และภาษีตายตัวที่ว่า ลาวไม่ได้อิงจากราคาสินค้าจริงในตลาดโลก อย่างกรณีรถยนต์นำเข้า บริษัทคนไทยรายหนึ่งบ่นว่าลำบากใจเพราะลาวกำหนดของไทยไว้แพงกว่ารถจากจีนและเกาหลี ทำให้ไทยแข่งกับคนอื่นลำบาก

หน้า 7
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #367 เมื่อ: วันที่ 02 ตุลาคม 2011, 20:04:44 »

อธิบดีกรมเจ้าท่ายันอุทกภัยไม่กระทบท่าเรือเชียงแสน#2

นายถวัลย์รัฐ อ่อนศิระ อธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยถึงความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการท่าเทียบเรือเชียงแสน 2 จ.เชียงราย ว่า ขณะนี้โครงการก่อสร้างมีความคืบหน้ากว่าร้อยละ 96 ทั้งนี้ จากสถานการณ์อุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัด รวมถึงภาคเหนือ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการก่อสร้างโครงการดังกล่าวแต่อย่างใด จึงมั่นใจว่าการก่อสร้างจะแล้วเสร็จตามแผนที่กำหนด โดยจะสิ้นสุดในวันที่ 28 ธันวาคมนี้
สำหรับโครงการก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน 2 มีวงเงินลงทุนก่อสร้างกว่า 1,546 ล้านบาท ได้เริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2552 และตามแผนงานจะสิ้นสุดในวันที่ 28 ธันวาคม 2554 รวมระยะเวลาก่อสร้าง 960 วัน ซึ่งหลังจากก่อสร้างเสร็จ จะมีขีดความสามารถในการรองรับจำนวนเรือขนาด 350 ตันกรอส ได้พร้อมกัน 10 ลำ โดยจะมีการก่อสร้างท่าเรือลาดต่ำ 2 ท่า รองรับเรือขนส่งสินค้าทั่วไปได้ 6 ลำ และท่าเรือแนวดิ่ง 1 ท่า รองรับเรือขนส่งสินค้าแบบคอนเทนเนอร์ได้ 4 ลำ ซึ่งคาดว่าปีแรกจะมีสินค้าผ่านท่ากว่า 710,000 ตัน และรองรับนักท่องเที่ยวสูงสุดปีละ 55,356 คน
ทั้งนี้ การขนส่งสินค้าท่าท่าเทียบเรือดังกล่าว คาดว่าจะมีประเทศที่ได้รับประโยชน์ด้านการขนส่งสินค้า ประกอบด้วย ประเทศไทย ลาว จีน โดยจะได้รับผลประโยชน์ทั้งการขนส่งสินค้า และการท่องเที่ยว โดยเฉพาะการขนส่งสินค้าประเภทปาล์มน้ำมัน รถยนต์ และยาง

http://www.manager.co.th/Home/ViewNe...=9540000125179
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #368 เมื่อ: วันที่ 05 ตุลาคม 2011, 19:16:34 »

จีนเปลี่ยนเส้นรถไฟฟ้าเร็วสูง เป็นสายกรุงเทพฯ-เชียงของ

                แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังการหารืออย่างไม่เป็นทางการกับเจ้าหน้าที่ของประเทศจีนที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง ว่า เบื้องต้นประเทศจีนมีแนวคิดที่จะเปลี่ยนเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงในเส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย ไปเป็นเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงของ จังหวัดเชียงรายแทน ทั้งนี้ สาเหตุที่มีการปรับเปลี่ยนแผนเนื่องจากที่ผ่านมาเกิดปัญหาขึ้นระหว่างประเทศจีนกับประเทศลาว ซึ่งขณะนี้ประเทศจีนยังไม่สามารถหาข้อสรุปเกี่ยวกับการดำเนินโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงจากจีนมายังเวียงจันทน์ได้เป็นที่เรียบร้อย

                "ตอนนี้การหารือระหว่างจีนกับลาวเกี่ยวกับการก่อสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงยังไม่มีความคืบหน้า เพราะทางการลาวยังไม่ยอมรับเงื่อนไขที่จีนต้องการ และไม่ยอมให้จีนสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูงผ่านลาว ดังนั้นทางจีนจึงอาจจะตัดปัญหาดังกล่าวด้วยการเข้ามาดำเนินโครงการกับทางไทยก่อน โดยเปลี่ยนเส้นทางใหม่เพื่อย่นระยะทางจากไทยไปยังจีนให้สั้นลงด้วย สำหรับความคืบหน้าในโครงการดังกล่าวทางตัวแทนจากประเทศจีนยังไม่ได้เข้ามาหารือกับทางกระทรวงคมนาคมอย่างเป็นทางการ"

                รายงานข่าวแจ้งว่า โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงในเส้นทางกรุงเทพฯหนองคาย ระยะทาง 615 กิโลเมตร มูลค่าประมาณ 1.5 แสนล้านบาท มีปัญหาเนื่องจากรัฐบาลลาวเกรงว่าทางรัฐบาลจีนจะเข้ามาครอบครองประเทศลาวจากโครงการดังกล่าว เนื่องจากทางการจีนได้ปรับเพิ่มเงื่อนไขต่างๆ ขึ้นมาภายหลังได้ลงนามความเข้าใจร่วมกัน (เอ็มโอยู) กับรัฐบาลลาวแล้ว ทางรัฐบาลลาวจึงไม่ยอมรับเงื่อนไขดังกล่าว และส่งผลให้โครงการไม่สามารถวางศิลาฤกษ์ตามที่กำหนดไว้ในเดือนพฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมาให้เรียบร้อยได้

http://corehoononline.com/index.php/2010-01-28-21-20-42/2010-04-20-06-39-17/30098-2011-10-04-15-23-43
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #369 เมื่อ: วันที่ 22 ตุลาคม 2011, 09:21:35 »

เชียงรายนำร่องแผนรับมือ"เออีซี" บูมฮับหกเหลี่ยมเศรษฐกิจส่งสินค้าจีนไปสิงคโปร์




ผู้ว่าฯเชียงรายนำร่องจังหวัดแรกเปิดเวทีดึงภาครัฐ-เอกชนเตรียมความพร้อมรับมือ AEC ปี"58 ยกระดับ "คน-งาน-พื้นที่" ดันเป็นเมือง "ศูนย์ กลางแวะพักสินค้า" หกเหลี่ยมเศรษฐกิจ ขนส่งสินค้าจากจีนทะลุเข้าสิงคโปร์ และวอนทุกกระทรวงตื่นตัวหนุนทุกจังหวัดเร่งปรับตัว

นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า วางแผนระดมทั้งภาครัฐและเอกชนระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัด (cluster) ร่วมสัมมนาในเดือนกันยายนนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ปี 2558 โดยจะยกระดับเชียงรายเป็นศูนย์กลางจุดแวะพักสินค้าอาเซียน เนื่องจากเชียงรายเป็นจังหวัดติดแนวตะเข็บชายแดนที่สามารถเชื่อมการขนส่งสินค้าในพื้นที่หกเหลี่ยมเศรษฐกิจ จากจีนตอนใต้ ผ่านเข้า สปป.ลาว เวียดนาม ผ่านไปยังมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซียได้ โดยใช้ศักยภาพโลจิสติกส์ทางน้ำ คือท่าเรือเชียงแสนและท่าเรือเชียงของแห่งใหม่ขนาดใหญ่มาก และใช้การคมนคมทางบกถนนสาย R3A ซึ่งทะลุได้ถึงคุนหมิง มณฑลทางตอนใต้ของจีน ซึ่งมีตลาดนำเข้าและส่งออกสินค้ามูลค่ามหาศาล จึงเป็นโอกาสของเชียงรายและไทยในการสร้างรายได้ทางการค้า โดยให้ประเทศเหล่านี้มาใช้เป็นจุดแวะพักสินค้าและท่องเที่ยว

ส่วนการเตรียมความพร้อมที่จะเริ่มในเชียงรายมีอยู่ 3 ส่วน คือคน งาน และพื้นที่ โดยยึดหลักต้องคงความ เป็นธรรมชาติและวัฒนธรรมความเป็นเมืองล้านนาไว้ให้ได้เหมือนหลวง พระบางของ สปป.ลาว ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจหลังเปิดเออีซี ทุกประเทศจะค้าขายกันอย่างเสรีด้วยภาษี 0%

นายสมชัยกล่าวว่า เรื่องแรก การ เตรียมคนในพื้นที่ มุ่งเน้นยกระดับการศึกษา ขณะนี้หารือกับมหาวิทยาลัย แม่ฟ้าหลวงและสถาบันราชภัฏเพิ่มหลักสูตรภาษาลาวให้คนท้องถิ่นเรียนจนพูดอ่านเขียนได้ เพราะอนาคตเมื่อเปิดการค้าเป็นตลาดหนึ่งเดียวกันแล้ว อาจจำเป็นจะต้องร่างสัญญาเป็นภาษาลาว หรือภาษาอื่นด้วย เรื่องที่ 2 การเตรียมงานหรืออาชีพก็สำคัญมาก เนื่องจากเชียงรายมีชื่อเสียงเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิ ตอนนี้เริ่มมีนายทุนจากที่อื่นเข้ามาซื้อไปทำสวนยางแล้วกว่า 7-8 แสนไร่ สามารถส่งออกติดอันดับ 10

อีกทั้งยังทำไร่ชา กาแฟ ผลไม้ และไม้ตัดดอก ซึ่งพร้อมส่งออกไปยังตลาดขนาดใหญ่จีน เรื่องที่ 3 การเตรียมพื้นที่ ต้องประกาศโซนนิ่งพื้นที่อย่างน้อย 4 โซน คือ 1.โซนการขนส่งโลจิสติกส์ทางบกและทางน้ำ 2.โซนธรรมชาติเพื่อการพักผ่อนและสันทนาการ 3.โซนการค้าและอุตสาหกรรม 4.โซนเกษตรกรรม

"เชียงรายจะเป็นจังหวัดนำร่องที่ ลุกขึ้นมาเปิดเวทีสัมมนา เพื่อปลุกกระแสหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกกระทรวง ไม่ว่าจะเป็นคมนาคมที่รับผิดชอบการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์กระทรวงอุตสาหกรรมดูแลด้านการลงทุนอุตสาหกรรมและธุรกิจต่าง ๆ กระทรวงมหาดไทยต้องเตรียมความพร้อมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบล จังหวัดตื่นตัวที่จะพัฒนาร่วมกันกับตัวแทนธุรกิจภาคเอกชน ทั้งหอการค้า สภาอุตสาหกรรมแต่ละจังหวัด ถ้าวันนี้ประเทศยังไม่ได้เริ่มต้นอะไร แต่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 4 ปี จะเตรียมรับมือทันได้อย่างไร"

แหล่งข่าว: ประชาชาติธุรกิจ
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #370 เมื่อ: วันที่ 25 ตุลาคม 2011, 23:44:46 »

สปป.ลาวขุมทรัพย์ ใหม่แห่งเอเชีย

 

 
ขณะที่โลกกำลังสะบักสะบอมจากพิษไข้เศรษฐกิจ อันเนื่องจาก ภาวะวิกฤติการเงินที่ลุกลามใหญ่โตจนยากจะแก้ไข แต่ประเทศหนึ่ง ซึ่งอยู่ปลายจมูกของเรานี่เอง กำลังร่ำรวยขึ้นอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครได้ทันสังเกต และใส่ใจ ประเทศที่พูดถึงนี้ ก็คือประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือที่เรียกย่อๆ ว่า “สปป.ลาว” ซึ่งมีประชากรเพียง 6 ล้านคน แต่มีทรัพยากร ธรรมชาติอย่างมหาศาล ทั้งบนดิน และใต้ดิน จนนักลงทุนจากทั่วโลกอดที่จะชายตามองไม่ได้

แม้สปป.ลาวจะมีผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจของโลกเช่นเดียวกับหลายประเทศ แต่ยังคงมีศักยภาพสูง เนื่องจากที่ผ่านมาระบบเศรษฐกิจของลาวค่อนข้างจะมีความมั่นคงมาโดยตลอด นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1992 เป็นต้นมา ที่มีระบบเศรษฐกิจที่เรียกว่า “จินตนา การใหม่” ซึ่งรัฐบาลเปิดโอกาสให้เอกชนเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ดินได้ มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจระยะต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ถือว่าสามารถดึงดูดนักลงทุนได้ดี ขณะเดียวกันค่าเงินกีบก็ค่อนข้างมีความมั่นคงเมื่อเทียบกับดอลลาร์และเงินบาทในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาก็ไม่ได้แปรผันมาก อยู่ในเกณฑ์ประมาณ 240-250 กีบต่อ 1 บาท

ประเทศลาวกำลังมีนโยบายพัฒนาที่จะให้เป็นประเทศอุตสาหกรรม มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านถนนหนทาง รถไฟ สนามบิน เพื่ออำนวย ความสะดวกให้นักลงทุน และนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ บรรยากาศโดยรวม การค้า การลงทุน การท่องเที่ยวมี ความคึกคัก และขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

>> แผนส่งเสริมการลงทุน

ตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ของ สปป.ลาว มีหลักการว่า ประการแรก จะต้องสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรอง รับการพัฒนาประเทศในด้านอุตสาหกรรม ประการที่สอง คือให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 7% และประการที่ 3 ต้องให้ประเทศหลุดพ้นจากสถานะประเทศด้อยพัฒนา หลุดพ้นจากความเป็นประเทศยากจน ในปี ค.ศ. 2020 หรือ พ.ศ.2563 ให้ได้

สปป.ลาว ได้จัดแบ่งโซนส่งเสริมการลงทุนออกเป็น 3 เขต คือ เขตเมืองใหญ่ ต่างแขวง และพื้นที่ห่างไกลที่ยังทุรกันดาร ซึ่งนักลงทุนจะได้รับสิทธิประโยชน์ ทางภาษีและอื่นๆ แตกต่างกันไป โดยมีเป้าหมายกระจายการลงทุนที่กระจุกอยู่ในเขตที่เจริญแล้วออกไปสู่เขตที่ยังล้าหลังมากกว่า

ทางด้านการค้า สปป.ลาวมีนโยบาย ส่งเสริมการค้าเสรีอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะการลงทุนการผลิตเพื่อการส่งออก เนื่อง จากตลาดลาวไม่ได้เป็นตลาดใหญ่ มีประชากรแค่ 6 ล้านคน ดังนั้น การผลิตจึงเป็นการผลิตเพื่อส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง มีการส่งเสริมการบริการการค้าต่างแดนมากขึ้น มีการพัฒนา บุคลากรที่จะมีบทบาททางด้านการค้า การสร้างกฎระเบียบต่างๆ ให้เอื้ออำนวยต่อภาคธุรกิจต่างๆ ทั้งทางด้านกฎหมาย ทางด้านการจัดการแสดงสินค้าภายในประเทศ และต่างประเทศ ก็เริ่มมีมากขึ้น

สินค้าส่งออกที่สำคัญของ สปป.ลาวที่เป็นหลักในขณะนี้ ได้แก่ พลังงานไฟฟ้า เหมืองแร่ ไม้ เฟอร์นิเจอร์ไม้ เสื้อผ้าสำเร็จ รูป และสิ่งทอ สำหรับไฟฟ้า สปป.ลาว ขายให้แก่ประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ ประเทศไทย เวียดนาม กัมพูชา และจีนตอนใต้

>> แบตเตอรี่แห่งเอเชีย

สปป.ลาว กำหนดนโยบายเป็นแนวทางว่าจะให้ประเทศของตนเองเป็น “Battery of Asia” คือเป็นแหล่งพลังงาน ของเอเชีย โดยการผลิตไฟฟ้าพลังน้ำให้มากที่สุด ไฟฟ้าที่ได้ใช้เองในประเทศจำนวนไม่มากนัก ส่วนใหญ่ส่งออกไปยังประเทศเพื่อนบ้าน ดังนั้น การลงทุนในด้านไฟฟ้าพลังน้ำก็ยังมีศักยภาพสูงอยู่มาก และรัฐบาลก็มีส่วนเกื้อหนุนเต็มที่ที่จะให้ต่างชาติเข้าไปลงทุน มีการก่อสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังงานน้ำ 10 โครงการตามแผนทำให้ลาวเป็น “แบตเตอรี่แห่งเอเชีย” และยังมีโครงการเขื่อนขนาดใหญ่ ขนาดกลาง ขนาดเล็ก ที่อยู่ในระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้อีกประมาณ 144 โครงการ

>> เหมืองแร่ ขุมทรัพย์ใต้ดิน

ใต้ผืนดินของสปป.ลาว เป็นแหล่งแร่คุณภาพสูง มีปริมาณมหาศาลที่รอการขุดขึ้นมาใช้ ซึ่งจะเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญและมีบทบาทต่อเศรษฐกิจของสปป.ลาว ในอนาคตอันใกล้นี้ จากการสำรวจโดยกระทรวงพลังงานและเหมืองแร่ในปี 2549 ด้วยความร่วมมือช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญจีนได้พบแร่ที่มีมูลค่าสูงใน สปป.ลาว กว่า 570 แห่ง ทั้งทองแดง ทองคำ แร่เงิน เหล็ก ตะกั่ว สังกะสี ยิปซัมและถ่านหิน

ตามตัวเลขของทางการสปป.ลาว บริษัทเอกชนกว่า 90 แห่งกำลังสำรวจโครง การเหมืองแร่ในลาว 34 บริษัทเป็นของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งมีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด เหมืองแร่ที่ใหญ่ที่สุดคือเหมือง ทองแดง และทองคำในแขวงสะหวันนะเขต เป็นของบริษัทของจีน ซึ่งเข้ามาซื้อกิจการจากบริษัทของออสเตรเลีย ชื่อบริษัทอ๊อกเซียนา ซึ่งประสบปัญหาทางด้านการเงิน ประกอบกับจีนก็แสวงหา ทรัพยากรธรรมชาติในประเทศใกล้เคียงอยู่แล้ว การผลิตส่วนใหญ่เป็นการผลิตเพื่อป้อนตลาดจีน ซึ่งมีความต้องการทองแดงค่อนข้างมาก

การสำรวจเบื้องต้นได้ข้อมูลว่ามีแหล่งแร่บ๊อกไซต์ ที่มีปริมาณอยู่ในเกณฑ์ดีมากอยู่ในแขวงจำปาสัก ซึ่งบริษัทของไทยกับจีนร่วมทุนกันที่จะทำการขุดเจาะและตั้งโรงงานถลุง เพื่อส่งออกไปยังตลาด โลก บ๊อกไซ้ต์ถลุงแล้วก็จะออกมาเป็นอะลูมิเนียม ซึ่งความต้องการในตลาดโลกยังสูงอยู่มาก ถือเป็นแหล่งรายได้ให้รัฐบาลลาวในระยะ 20-30 ปี ขณะเดียวกันผู้ที่เข้าไปลงทุนก็สามารถที่จะทำการตลาด ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยได้รับรู้กันมาก่อนว่าในลาวจะมีทรัพยากรธรรมชาติมากมาย

>> นักลงทุนต่างชาติแข่งลงทุน

ถ้าย้อนหลังไปประมาณ 10 ปีประเทศ ไทยได้ชื่อว่าเป็นแชมป์การลงทุนในสปป. ลาวในแง่ของมูลค่าการลงทุน แต่ในระยะหลังเวียดนามมาเป็นอันดับหนึ่ง จีนเป็นอีกประเทศหนึ่งที่เข้าไปลงทุนเป็นอันดับสอง โดยเข้าไปลงทุนสร้างเมืองใหม่ที่แขวง บ่อแก้ว ซึ่งตรงข้ามกับจังหวัดเชียงราย เป็นเอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ ขนาดใหญ่ ครบวงจร เงินลงทุนหลายพันล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้แขวงบ่อแก้ว เป็นอีกแขวงหนึ่งที่น่าจะดึงดูดนักลงทุนได้

สำหรับธุรกิจของไทย คงจะถึงจุดอิ่ม ตัวเพราะเข้าไปค่อนข้างนานกว่าสิบปีแล้ว ส่วนใหญ่ผู้ประกอบการก็เป็นรายใหญ่ๆ มีชื่อเสียง เป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อย่างบางโครงการลงทุนไปมากแล้วและสิ้น สุดโครงการ ในแง่ของมูลค่าจึงลดลงไปบ้าง แต่รัฐบาลลาว ก็เคยกล่าวว่าอยาก จะเชิญชวนให้ไทยเข้าไปลงทุนในลาวให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้รักษาอันดับหนึ่งไว้ให้ได้ ซึ่งเป็นการส่งสัญญาณที่ดีของภาครัฐบาลของลาวที่จะตอบรับนักธุรกิจเอกชนไทยมากยิ่งขึ้น

>> ลาวจะพัฒนาให้ทัดเทียมกับเพื่อนบ้าน

รัฐบาลสปป.ลาว ตั้งเป้าหมายไว้ว่าในปีค.ศ.2020 หรือพ.ศ.2563 จะต้องหลุดพ้นจากการเป็นประเทศด้อยพัฒนา พ้นจากการเป็นประเทศยากจน ซึ่งภายในปีนั้นจะต้องไม่มีคนจน ทุกวันนี้ประเทศลาวเปรียบเสมือนแลนด์บริดจ์ของอนุภูมิภาค จะเป็นตัวเชื่อมระหว่างไทย-เวียดนาม-กัมพูชา-จีนตอนใต้ มีเส้นทาง East-West Corridor หรือระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก และเส้นทาง North-South Economic Corridor หรือระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ผ่าน ลาวจึงเหมือนเป็นศูนย์กลางการเชื่อม โยงเครือข่ายในภูมิภาค เพราะฉะนั้นในแง่ของการฉกฉวยประโยชน์การค้าการลงทุน ขนส่ง ท่องเที่ยวเป็นไปสูงมาก และนี่คือประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว หรือสปป.ลาว “ขุมทรัพย์ใหม่แห่งเอเชีย” ที่รอคุณเข้าไปขุดค้น


http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413356289
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #371 เมื่อ: วันที่ 26 ตุลาคม 2011, 18:33:04 »

ทุนจีนทุ่ม 5 พันล้านตั้งโรงงานแปรรูปยางพารา ชร.-ส่งกลับลาวขายจีน

เชียงราย - กลุ่มทุนใหญ่ สป.จีน ชิงปักธงก่อน AEC เกิด นำแผนตั้งบริษัทเครือข่ายในไทย ยกทีมพบผู้ว่าฯ-พาณิชย์จังหวัดฯ เล็งทุ่มทุน 5 พันล้านตั้งโรงงานแปรรูปยางพารา เชื่อมเครือข่ายใน สปป.ลาว - จีนตอนใต้ ผลิตสินค้าส่งกลับขายจีน และทั่วโลก

       
       ที่ศาลากลาง จ.เชียงราย สมาคมส่งเสริมเศรษฐกิจและความร่วมมือทางการค้าอาเซียน-จีน นำโดยนายลี โหยง เซ็ง ประธานบริษัทในเครือหยุนซิน กรุ๊ป ได้นำคณะนักธุรกิจจีนเข้าพบนายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย และนายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์ จ.เชียงราย เพื่อแจ้งให้ทราบถึงการเข้าไปลงทุนด้านกิจการแปรรูปยางพาราในพื้นที่ จ.เชียงราย และขอความช่วยเหลือด้านต่างๆ หลังจากที่เครือหยุนซิน กรุ๊ป ได้มีการจดทะเบียนประกอบการชื่อบริษัทซินซิง รับเบอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด เพื่อให้บริษัทไปตั้งกิจการแปรรูปผลผลิตยางพาราเชื่อมโยงกับบริษัทในเครือที่ดำเนินการอยู่ใน สปป.ลาว เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา และที่เมืองคุนหมิง มณฑลหยุนหนัน จีนตอนใต้
       
       นายลี โหยง เซ็ง กล่าวว่า หลังจากจดทะเบียนแล้วบริษัทได้วางแผนจะจัดหาที่ดินใน จ.เชียงราย เนื้อที่ประมาณ 500 ไร่ เพื่อลงทุนด้วยเม็ดเงินลงทุนประมาณ 1,000 ล้านหยวนหรือกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อแปรรูปผลิตภัณฑ์ยางพาราครบวงจร ทั้งการรับซื้อน้ำยางจากเกษตรกรไทย การแปรรูป การกระจายสินค้า ฯลฯ โดยระยะหรือเฟสแรกจะลงทุนก่อนประมาณ 350 ล้านบาท จากนั้นจึงค่อยๆ ขยายกิจการ เมื่อเสร็จสมบูรณ์ก็จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนปีละประมาณ 12,000 ล้านบาท
       
       เขาบอกว่า เหตุที่เข้ามาลงทุนที่เชียงราย เพราะเล็งเห็นถึงศักยภาพด้านพื้นที่ปลูกยางพารา และยังมีเส้นทางคมนาคมที่อยู่ใกล้กับมณฑลหยุนหนัน อันเป็นแหล่งแปรรูปและตั้งกิจการกระจายสินค้าของบริษัท ที่มีอยู่หลายแห่งทั้งที่มณฑลหยุนหนันและจีนตอนใต้ ซึ่งจะทำให้การขนส่งเพื่อเชื่อมโยงธุรกิจระหว่างบริษัทในเครือมีความสะดวก
       
       นายหลี โหยง เซ็ง กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ปัจจุบันถนน R3A เชื่อม อ.เชียงของ-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ก็แล้วเสร็จจนสามารถใช้งานได้แล้ว และการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเพื่อเชื่อมถนน R3A ก็กำลังจะแล้วเสร็จในปี 2556 รวมทั้งกลุ่มประเทศอาเซียนกำลังจะเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC (ASEAN Economic Community) ซึ่งจะทำให้ได้รับประโยชน์ด้านการลงทุนในกลุ่มประเทศ AEC ด้วย ดังนั้นบริษัทจึงถือโอกาสชิงเข้ามาลงทุนเอาไว้ก่อนตั้งแต่ช่วงต้น เพื่อความได้เปรียบทางธุรกิจ
       
       ส่วนสินค้าที่ผลิตมีหลากหลายโดยจะเน้นการเชื่อมโยงไปยังโรงงานต่างๆ ทั้งใน สปป.ลาว และมณฑลหยุนหนัน ทั้งยางรถยนต์และอื่นๆ เพื่อนำผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าที่สมบูรณ์และกระจายไปยังตลาดจีนและทั่วโลกผ่านศูนย์กลางเครือข่ายที่มณฑลหยุนหนันต่อไป
       
       ด้านนายสมชัย กล่าวว่า บริษัทในเครือหยุนซิน มีเครือข่ายธุรกิจแปรรูปยางพารารายใหญ่ที่จีนตอนใต้โดยเฉพาะการแปรรูปยางรถยนต์ ซึ่งส่งกระจายไปใช้ในประเทศจีน การให้ความสนใจเข้ามาเปิดกิจการในเชียงรายของกลุ่มนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก เพราะจะทำให้เกิดจุดกระจายสินค้าสำหรับยางพาราที่มีการปลูกกันมากในภาคเหนือ และยังช่วยสร้างงานให้คนไทยด้วย จึงได้มอบหมายให้สำนักงานพาณิชย์ จ.เชียงราย ช่วยจัดหาเรื่องที่ดินและให้คำปรึกษาด้านกฎหมายการลงทุนต่างๆ แก่บริษัท
       
       อย่างไรก็ตาม ได้เน้นย้ำให้การลงทุนช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรม ซึ่งก็ได้รับการตอบรับจากบริษัทเป็นอย่างดี
       “คาดว่าหากไม่มีสิ่งใดผิดพลาดก็คาดหวังให้มีการวางศิลาฤกษ์ก่อสร้างโรงงานได้ในปี 2555 เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเมืองเชียงราย 750 ปีไปพร้อมๆ กันด้วย”
       
       ขณะที่นายเฉลิมพล กล่าวว่า พื้นที่ที่บริษัทต้องการมีอยู่หลายจุด โดยที่เหมาะสมมีทั้งในพื้นที่ อ.เชียงของ อ.พญาเม็งราย ฯลฯ ซึ่งได้มีการกำหนดโซนพื้นที่เอาไว้คร่าวๆ เพื่อให้บริษัทได้เลือกดูตามความเหมาะสมแล้ว อย่างไรก็ตามการคัดจุดลงทุนของเอกชนจีนมักจะเกี่ยวข้องกับหลายเรื่องทั้งความเหมาะสมด้านการลงทุน และฮวงจุ้ยด้วย จึงจะมีการลงพื้นที่สำรวจร่วมกับเอกชนจีนรายนี้ต่อไป
       
       ปัจจุบันมีเกษตรกรปลูกยางพาราในพื้นที่ จ.เชียงราย รวมกันทั้งหมดประมาณ 350,000 ไร่ มีสวนยางที่ให้ผลผลิตน้ำยางตั้งแต่ปี 2553 แล้วประมาณ 20,000 ไร่แต่ที่ผ่านมามักจะจำหน่ายทั้งยางแผ่น และน้ำยางได้ในราคาที่ต่ำกว่าราคากลางที่ จ.สงขลา ประมาณ 7-10 บาท ด้วยปัญหาเรื่องต้นทุนค่าขนส่งและการไม่มีโรงงานรมควันในพื้นที่ดังกล่าว แต่ก็ยังถือว่าทำกำไรได้ดีกว่าพืชอื่นๆ และทำให้เกษตรกรทำการปลูกยางพาราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น จึงมีผู้สนใจจะเข้าใจเข้าไปลงทุนในพื้นที่มานานหลายปีแล้ว

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000136035
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #372 เมื่อ: วันที่ 26 ตุลาคม 2011, 18:39:57 »

นำเข้าผักจีนชะงักเหตุน้ำท่วมตลาดไท-สี่มุมเมือง แต่ด่านเชียงของยังคึก

เชียงราย - ตลาดไท-ตลาดสี่มุมเมือง แหล่งกระจายสินค้าใหญ่จมน้ำ แถมทางการจีนประกาศให้เรือจีนหยุดวิ่งขึ้นลงเชียงรุ่ง-เชียงแสน ทำการนำเข้าพืช ผักผลไม้จากจีนผ่านชายแดนเชียงรายชะงัก แต่การขนส่งสินค้าผ่านเส้นทาง R3a จากจีนตอนใต้-สปป.ลาว-เชียงของกลับคึกคัก

รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า หลังรัฐบาลจีนประกาศให้เรือสินค้าแม่น้ำโขงหยุดแล่นให้บริการตั้งแต่จีนตอนใต้ถึงท่าเรือ อ.เชียงแสน ระยะทางประมาณ 300 กิโลเมตร เพราะเกิดเหตุการณ์กลุ่มติดอาวุธปล้นและยิงคนบนเรือจีน จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 13 ศพ เมื่อ 5 ต.ค.54 ที่ผ่านมานั้น ได้ส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนในเขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจไทย สปป.ลาว พม่า และจีนตอนใต้ อย่างมาก

ทั้งนี้ เนื่องจากเรือสินค้าส่วนใหญ่ในแม่น้ำโขงเป็นสัญชาติจีน ซึ่งมีความชำนาญด้านการเดินเรือแม่น้ำโขง โดยที่ผ่านมามีเรือขนสินค้าตั้งแต่ 100-300 ตันของจีนในแม่น้ำโขงประมาณ 100 ลำ ที่เหลือส่วนใหญ่เป็นเรือ สปป.ลาว ซึ่งเป็นเรือบรรทุกโคกระบือ เรือท่องเที่ยวและขนสินค้าได้ครั้งละประมาณ 100 ตันเท่านั้น ทำให้ปัจจุบันมีเพียงเรือเหล่านี้แล่นไปมาในระยะใกล้ๆ ตั้งแต่ท่าเรือเชียงกก เมืองมอม ต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว มายังท่าเรือ อ.เชียงแสน และไปทาง อ.เชียงของ บ้างเล็กน้อยส่งผลให้บรรยากาศซบเซาลงอย่างเห็นได้ชัด

นายสุวัฒน์ ด้วงปั้น นายด่านศุลกากร อ.เชียงของ อ.เชียงของ ระบุว่า แต่หลังเกิดเหตุดังกล่าว การค้าชายแดนด้าน อ.เชียงของ กลับเพิ่มมูลค่ามากขึ้น จากเดิมในปีงบประมาณ 2553 ที่ผ่านมามีมูลค่าการค้ารวม 4,938,117,665.78 บาท ปรากฏว่าในปีงบประมาณ 2554 เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 8,199,454,154.55 บาท แยกเป็นการนำเข้ามูลค่า 2,268,311,388.94 บาท และส่งออก 5,931,142,765.61 บาท โดยสินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นพืชผัก ถ่านหินลิกไนต์ ผลไม้ ดอกไม้ ฯลฯ และสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค น้ำมันเชื้อเพลิง ฯลฯ

นอกจากนี้ หลังจากที่เรือสินค้าแม่น้ำโขงหยุดแล่นก็ได้ทำให้สินค้าส่วนใหญ่หันไปใช้ถนน R3a ระยะทางประมาณ 245 กิโลเมตร ผ่าน อ.เชียงของ ข้ามไปยังเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เพื่อไปยังจีนตอนใต้แทนการขนส่งทางเรือ

นายสุวัฒน์ กล่าวอีกว่า ช่วงที่เรือหยุดแล่นใหม่ๆ ตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.54ที่ผ่านมา ก็ได้มีสินค้าส่วนหนึ่ง ซึ่งได้มีการตกลงซื้อขายกันแล้ว จำเป็นต้องขนส่งมาให้กับลูกค้า ได้หันไปใช้ถนน R3a ผ่านด่านศุลกากรเชียงของแทน จึงทำให้มูลค่าการค้าช่วงนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่ก็ยังไม่ใช่ตัวเลขที่บ่งบอกความชัดเจนได้ เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีความจำเป็นในการขนส่งในช่วงนั้นเท่านั้น แต่ความชัดเจนจริงๆ คงจะปรากฏให้เห็นตั้งแต่เดือน พ.ย. 54 นี้เป็นต้นไป

"ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องเรือสินค้าจีนหยุดแล่นก็ได้มีการคาดการณ์ว่าตัวเลขการค้าชายแดนด้าน อ.เชียงของ จะเพิ่มมากขึ้นเป็นกว่า 1 หมื่นล้านบาทเศษขึ้นไป แต่เมื่อเรือจีนแล่นไม่ได้ ก็ยิ่งทำให้ตัวเลขเพิ่มทะลุมากกว่า 1 หมื่นล้านบาทแน่นอน แต่จะถึงระดับใดนั้นคงต้องรอการวิเคราะห์ตัวเลขช่วงต่อไปอีกครั้ง เพราะยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง เช่น ความจำเป็นในการขนส่ง ราคาค่าขนส่งทางบกซึ่งทราบว่าแพงกว่าทางเรือน้ำโขงมาก เป็นต้น" นายสุวัฒน์ กล่าว

ด้านนายสงวน ซ้อนกลิ่นสกุล รองเลขาธิการหอการค้า จ.เชียงราย และผู้ประกอบการค้าชายแดน อ.เชียงของ กล่าวว่า ปัจจุบันการค้าชายแดนด้าน อ.เชียงของ ผ่านทางถนน R3A คึกคักอย่างมากเพราะไม่มีเรือขนส่งสินค้าในแม่น้ำโขง ทำให้ที่ด่านเชียงของพบสินค้าตัวใหม่ๆ ที่เคยขนส่งทางเรือมากขึ้น เช่น แอปเปิล สาลี่ มันฝรั่ง ฯลฯ ซึ่งปกติจะขนส่งทางเรือก็หันมาบรรทุกกับรถบรรทุกบนถนน R3a มากขึ้น แต่ลักษณะการขนส่งจะแตกต่างออกไปเพราะไม่ต้องใช้รถคอนเทนเนอร์ตู้เย็นแบบพืชผัก แต่ใช้รถบรรทุกปกติทั่วไปเท่านั้น

การขนส่ง ก็ยังคงใช้รถบรรทุกแพขนานยนต์ ข้ามน้ำโขง ไปรับสินค้าที่ด่านจีน-สปป.ลาว ที่เมืองบ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา สปป.ลาว จากนั้นเดินทางกลับมาข้ามแพขนานยนต์ที่ อ.เชียงของ เพื่อนำไปกระจายยังตลาดในประเทศไทยต่อไป

สภาพเช่นนี้ทำให้ด่านพรมแดนเชียงของคึกคักด้วยรถยนต์บรรทุกจำนวนมากจากเดิมมีเพียงรถบรรทุกคอนเทนเนอร์ตู้เย็นก็กลายเป็นบรรทุกพ่วง แพขนานยนต์ในฝั่ง สปป.ลาว ที่มี 1 ลำ และฝั่งไทยอีก 4 ลำ รวมทั้งเจ้าหน้าที่ชายแดนทั้งสองฝั่งต้องทำงานกันอย่างหนักไม่ได้หยุดหย่อน

นางจุรารัตน์ ชัยสวัสดิ์ ผู้ประกอบการชิปปิ้ง อ.เชียงของ กล่าวว่า แม้การค้าจะมีความคึกคักมากขึ้น แต่เนื่องจากเกิดปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทย โดยเฉพาะตลาดไทและตลาดสี่มุมเมือง จ.ปทุมธานี ซึ่งเป็นศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่ที่สำคัญของพืชผักจากประเทศจีนก็ถูกน้ำท่วมไปด้วย ดังนั้นการนำเข้าสินค้าประเภทพืชผักจากจีนในช่วงนี้จึงชะลอลงมาก โดยมีการชะลอการนำเข้าไปหลายรายการและปริมาณก็ลดน้อยลง จากเดิมที่เคยมีการนำเข้าวันละ 10-15 ตู้คอนเทนเนอร์ๆ ละ 40 ฟุต ก็ลดจำนวนลงเหลือวันละเพียง 2-3 ตู้โดยพืชผักที่พอนำเข้ามาได้ถูกส่งไปยังตลาดแห่งอื่นๆ เช่น เชียงใหม่ ชลบุรี ราชบุรี ฯลฯ ซึ่งก็มีตลาดขนาดใหญ่รองรับเช่นกัน แต่คาดว่าเมื่อสถานการณ์เข้าสู่ภาวะปกติการนำเข้าพืชผักก็คงจะคึกคักเหมือนเดิมต่อไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9540000136459
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #373 เมื่อ: วันที่ 27 ตุลาคม 2011, 10:15:41 »

ฟื้นฟูท่องเที่ยวไทย พ้นวิกฤติอุทกภัย

ดร.สุวัตร สิทธิหล่อผลกระทบจากปัญหาอุทกภัยส่งผลอย่างไรต่อการท่องเที่ยวไทยในขณะนี้ แผนการฟื้นฟูการท่องเที่ยวหลังน้ำลดจะทำอย่างไร และการส่งเสริมการท่องเที่ยวภายใต้เป้าหมายการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น 2 เท่า ในเวลา 5 ปีนี้

จะมีกลยุทธ์อย่างไร อ่านได้จากสัมภาษณ์ดร.สุวัตร สิทธิหล่อ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคนใหม่
++แจงผลกระทบ/แผนฟื้นฟู
         ผลกระทบของอุทกภัยต่อภาคการท่องเที่ยว จะแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วน ส่วนแรก  คือ ความเสียหายของแหล่งท่องเที่ยวในพื้นที่ประสบอุทกภัย ในจ.นครปฐม จ.สุพรรณบุรี จ.ชัยนาท จ.อ่างทอง จ.นนทบุรี จ.อยุธยา  ซึ่งเบื้องต้นคาดว่ามีไม่ต่ำกว่า 100 อาทิ ตลาดเก่าบางหลวง ร.ศ.122 จ.นครปฐม ตลาดน้ำและโฮมสเตย์ต่างๆ ยังไม่รวมกับความเสียหายของโบราณสถานต่างๆ ที่กระทรวงการท่องเที่ยวฯต้องหารือร่วมกับกรมศิลปากร เพื่อเสนอแผนฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวหลังน้ำลด 
          ขณะที่ผลกระทบส่วนที่สอง จะเป็นผลกระทบต่อผู้ประกอบการ  จากยอดขายลดลงทั้งภาคโรงแรม บริการนำเที่ยว ร้านอาหารมีต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น บริษัทจำหน่ายอุปกรณ์สำหรับกิจกรรมเอาต์ดอร์แคมปิ้ง และการท่องเที่ยวเชิงผจญภัยยอดขายอุปกรณ์ตก แต่เสื้อชูชีพขายดี ผลิตไม่ทัน และส่วนที่สาม เป็นผลกระทบต่อนักท่องเที่ยว ที่ในขณะนี้กระทรวงยังอยู่ระหว่างการประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะที่กระทบมาก คือ กลุ่มการเดินทางเที่ยวในประเทศของคนไทย รวมถึงกลุ่มโดเมสติกไมซ์ ที่ยกเลิกหรือเลื่อนการเดินทางและการจัดงานออกไป
           สำหรับผลกระทบของนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะเป็นเรื่องของนักท่องเที่ยวขาดความเชื่อมั่นในการเดินทางมาเที่ยวไทย ภาพข่าวที่ออกไปดูรุนแรงและตอกย้ำเฉพาะพื้นที่น้ำท่วม ทำให้กว่า 21 ประเทศมีการออกคำเตือนการเดินทางมายังไทย โดย 19 ประเทศ ได้ประกาศให้หลีกเลี่ยงการเดินทางมาไทยรวมถึงการใช้ความระมัดระวังในประเทศไทย ขณะที่ 3 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น สเปน ประกาศเตือนขั้นสูงสุดให้นักท่องเที่ยวระงับการเดินทางมาประเทศไทย จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทั้งที่ภาคอื่นๆยังสามารถรองรับนักท่องเที่ยว ทำให้ทางกระทรวงจะเร่งประชาสัมพันธ์สร้างความเชื่อมั่นกับต่างประเทศ โดยโปรโมตให้เดินทางมาเที่ยวในพื้นที่ที่ไม่มีน้ำท่วม เช่น จ.เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ เป็นต้น
          แต่อย่างไรก็ตามจากผลกระทบที่เกิดขึ้นส่งผลให้คาดว่าภายในปีนี้จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางมาเที่ยวไทยลดลง0.5 ล้านคนจากประมาณการเดิม ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวน่าจะลดลงราว17,000 ล้านบาท ดังนั้นคาดว่าในปี2554 จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวไทย19 ล้านคน เพิ่มขึ้น19.2% (ตารางประกอบ)
      ส่วนแผนการฟื้นฟูและมาตรการพัฒนาการท่องเที่ยวหลังน้ำลด จะดำเนินการทั้งการช่วยเหลือเฉพาะหน้า โดยจัดคาราวานเพื่อนำเครื่องอุปโภคบริโภคไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยในจังหวัดต่างๆ และมองถึงการดำเนินการหลังน้ำลด ที่มีทั้งการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว การสำรวจพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวที่จำเป็นต้องบูรณะ การตั้งงบประมาณ 1 พันล้านบาท ช่วยผู้ประกอบการท่องเที่ยวให้กู้ดอกเบี้ยต่ำ และกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยว โดยจะเสนอกระทรวงการคลังพิจารณามาตรการให้ประชาชนนำค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยวหลังภาวะน้ำลดในพื้นที่ประสบอุทกภัยมาหักภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาไม่เกิน 15,000 บาท         
++กางแผนดันรายได้ 2 เท่า
           ขณะที่นโยบายในการส่งเสริมการท่องเที่ยว ภายใต้การบริหารงานของผมนั้น จะเน้นนโยบายสร้างรายได้ ในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพทั้งการท่องเที่ยวภายในและต่างประเทศ อาทิ กลุ่มการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ การท่องเที่ยวเชิงกีฬา และเป้าหมายการเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว 2 เท่าในเวลา 5 ปี โดยคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติประมาณ 30 ล้านคนสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว1.4 ล้านล้านบาท
       โดยจะมีแผนดำเนินการใน 3 ระยะ โดยแผนระยะสั้น ได้แก่ 1.จะดำเนินการฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม 2.การผลักดันมิราเคิล ไทยแลนด์ เยียร์ ภายใต้โครงการต่างๆ ได้แก่โครงการสร้างกระแสการรับรู้ปีมหัศจรรย์ไทยแลนด์ เช่น แข่งฟอร์มูล่า วัน "amazing Thailand : Always Amazes you" โครงการกระตุ้นกระแสการเดินทางทั่วไทย โครงการสร้างเอกลักษณ์ไทยเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว โครงการแสงสีสว่างไสวส่องไฟแหล่งท่องเที่ยว โครงการสีสันสดใสเมืองไทยน่าเที่ยว ท่องเที่ยวปลอดภัยประทับใจไทยแลนด์ 3.ปีแห่งการท่องเที่ยวและกีฬาตามรอยพระบาทวิถีเศรษฐกิจพอเพียง  ที่จะมีโครงการเฉลิมพระเกียรติพระชนมพรรษา 84 พรรษา  โครงการนันทนาการเพื่อการท่องเที่ยว ในกลุ่มนักเรียน เยาวชน ผู้สูงอายุ กลุ่มคนพิการ
            ขณะที่แผนระยะปานกลาง จะเน้นพัฒนาและส่งเสริมการท่องเที่ยวใน 8 คลัสเตอร์ การสร้างความตระหนักถึงผลกระทบและแนวทางการรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือAEC แก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยว การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพจัดกิจกรรมนานาชาติขนาดใหญ่ การปรับปรุงกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว และเคร่งครัดกับการบังคับใช้กฎหมาย การส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน สนับสนุนการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างชาติในประเทศไทย เป็นต้น
         สำหรับแผนระยะยาว จะทำให้ประเทศไทยเป็นแหล่งท่องที่ยวระดับโลก ส่งเสริมผู้ประกอบการสร้างและพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว(Man maid)ขนาดใหญ่เพื่อสร้างความหลากหลายทางการท่องเที่ยว เป็นต้น
++ รองรับการเปิดเออีซี
             ขณะที่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี ในส่วนของประเด็นการเคลื่อนย้ายแรงงานฝีมือเสรี ถ้าเข้าสู่AEC จะมีผลให้แรงงานจากทั้ง 10 ประเทศมีโอกาสในการแข่งขันและเคลื่อนย้ายระหว่างประเทศสูง ประเทศไทยจำเป็นต้องพัฒนาแรงงานให้มีสมรรถนะที่สูงสุดตามที่อาเซียนกำหนดไว้ร่วมกัน ซึ่งมี 32 ตำแหน่งงานในสาขาที่พักและการเดินทาง อาทิ บริษัทนำเที่ยว ,Front office, House Keeping, Food&Beverage Service  ที่จะเปิดการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี
         ดังนั้นกระทรวงการท่องเที่ยวฯจะประสานงานกับกระทรวงแรงงานเพื่อพัฒนาบุคลากรใน 32 ตำแหน่งงาน ภายใต้ข้อตกลงอาเซียน ซึ่งในปี2554 ได้ทำแผนฝึกอบรมสื่อประสมประกอบการฝึกอบรมไปแล้ว สาขาHouse Keeping ตำแหน่งFloor Supervisor และ Room Attendant ขณะที่ในปี2555 จะจัดทำแผนการฝึกอบรมและสื่อประสมประกอบการฝึกอบรมหลักสูตรHouse Keeping ให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์อาเซียนด้านการท่องเที่ยว ปี2554-2558 รวมถึงหลักสูตรที่กลุ่มสาขาการโรงแรมที่เร่งด่วนจำนวน 21 หลักสูตร และทำระบบประเมินตามหลักสูตรมาตรฐานAsian-MRA ของบุคลากรท่องเที่ยว 23 ตำแหน่ง เพื่อให้ทราบถึงระดับความรู้และความสามารถของบุคลากรด้านการท่องเที่ยวของไทย
        ทั้งหมดล้วนเป็นภารกิจของปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาคนใหม่ที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,682   27 - 29  ตุลาคม พ.ศ. 2554
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #374 เมื่อ: วันที่ 28 ตุลาคม 2011, 18:44:49 »

ท่าอากาศยานไทย เสริมพนังดินสูงกว่า 3.50 เมตร รับมือน้ำท่วม ขณะประชาชนเดินทางไปใช้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50

ในวันนี้(28 ต.ค. 54) ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขาออกทั้งในและต่างประเทศ เต็มไปด้วยประชาชนที่เดินทางมารอขึ้นเครื่องเพื่อโดยสารไปยังจังหวัดต่างๆ ส่งผลให้บริเวณเคาท์เตอร์เช็คอินน์ มีประชาชนต่อแถวยาวออกมานอกบริเวณ ทั้งนี้จากการสอบถามเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ของท่าอากาศยานพบว่าในช่วงที่เกิดปัญหาอุทกภัย จนมีการประกาศเตือนให้ประชาชนโดยเฉพาะในกรุงเทพมหานคร เดินทางไปพักอาศัยกับญาติในต่างจังหวัดนั้น มีประชาชนไปใช้บริการที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเพิ่มขึ้นจากปกติกว่าร้อยละ 50 ส่งผลให้ทุกเที่ยวบินในประเทศเต็มหมด และบางวันส่งผลให้มีผู้โดยสารเช็คอินน์ไม่ทันจนไม่สามารถเดินทางได้ ซึ่งส่วนใหญ่เดินทางไปจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และภูเก็ต
ขณะที่โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) ได้สร้างพนังดิน ความสูง 3.50 เมตร รอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ มีความยาวกว่า 23.5 กิโลเมตร เพื่อป้องกันปัญหาน้ำท่วมที่อาจจะไหลเข้าสู่ภายใน อีกทั้งภายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิยังมีคลองเชื่อมต่อกันจำนวน 6 สาย ซึ่งระดับน้ำยังไม่น่าเป็นห่วง นอกจากนี้ภายในลานจอดรถระยะยาวของท่าอากาศยานยังเต็มไปด้วยรถที่ประชาชนนำมาจอดจนเต็มพื้นที่
อย่างไรก็ตามจากการนั่งรถสำรวจตามถนนพบว่าประชาชนส่วนใหญ่ได้มีการเตรียมพร้อมรับมือกับปัญหาน้ำท่วมทั้งการนำกระสอบทรายมาเสริมทั้งหน้าบ้านและบริษัทห้างร้านต่างๆ ส่วนทางด่วนพิเศษ โดยรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ พบว่ามีประชาชนนำรถยนต์ขึ้นไปจอดบนทางด่วนจำนวนมาก

ส่วนการจราจรบริเวณถนนพระราม 9 ขาออก มุ่งหน้าไปสู่สนามบินสุวรรณภูมิ มีรถค่อนข้างมาก ทำให้การจราจรเคลื่อนตัวช้า เนื่องจากประชาชนส่วนใหญ่มุ่งหน้าออกต่างจังหวัด และบางส่วนมุ่งหน้าสู่สนามบิน

http://thainews.prd.go.th/th/
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #375 เมื่อ: วันที่ 04 พฤศจิกายน 2011, 19:44:47 »

นักท่องเที่ยวแห่ขึ้นเหนือสัมผัสอากาศหนาว

ภูมิภาค 4 พ.ย. - สภาพอากาศที่หนาวเย็น ทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปสัมผัสอากาศหนาวเย็นในพื้นที่ภาคเหนือเป็นจำนวนมาก

ประชาชนและนักท่องเที่ยวจำนวนมากเข้าเที่ยวชมโคมไฟนานาชาติ บริเวณอนุสาวรีย์ 3 กษัตริย์ ภายในตัวเมืองเชียงใหม่ โดยมี 7 ประเทศส่งโคมไฟเข้าร่วมแสดง สร้างสีสันในยามค่ำคืน โคมไฟมังกรทองยักษ์ สูงเกือบเท่าตึก 2 ชั้น ยาวกว่า 40 เมตร ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ได้รับความสนใจจากประชาชนและนักท่องเที่ยวเป็นพิเศษ 

ส่วนที่ จ.เชียงราย อากาศเริ่มหนาวเย็นอย่างต่อเนื่อง อุณหภูมิลดลงต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส ทำให้บรรยากาศตามร้านขายเสื้อกันหนาวเป็นไปอย่างคึกคัก บางคนซื้อเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเกรงว่า หากอากาศหนาวเย็นขึ้นอีก จะทำให้เสื้อกันหนาวขาดตลาดและราคาแพงขึ้น

เช่นเดียวกับที่ จ.พิษณุโลก แหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติที่สำคัญ เช่น อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า เริ่มมีนักท่องเที่ยวทยอยไปสัมผัสอากาศหนาวยามค่ำคืน และมีการก่อไฟผิงคลายความหนาวเย็น โดยอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า มีบ้านพักและเต็นท์ไว้บริการนักท่องเที่ยวกว่า 200 หลัง คาดว่าช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์นี้จะมีนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก. - สำนักข่าวไทย
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #376 เมื่อ: วันที่ 05 พฤศจิกายน 2011, 08:14:13 »

เทศบาลเชียงราย'จัดงานเทศกาล ลอยกระทงล้านนา



นายสมพงษ์ กูลวงศ์ นายกเทศมนตรีนครเชียงราย แถลงว่า เทศบาลนครเชียงรายจะจัดงานส่งเสริมเทศกาลลอยกระทง ประจำปี 2554 เพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมประเพณีและศิลปวัฒนธรรมของชาวล้านนา และเฉลิมฉลองสมโภชเมืองเชียงราย 750 ปี ณ บริเวณสวนสาธารณะฉลองสิริราชสมบัติ 50 ปี เชิงสะพานแม่ฟ้าหลวง ระหว่างวันที่ 10-11 พ.ย. โดยเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน ส่วนราชการ หน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน ชุมชน ในการแสดงออกถึงการอนุรักษ์ขนบธรรมเนียมและประเพณีล้านนา ด้วยกิจกรรมการแต่งขบวนแห่กระทงประดิษฐ์ที่งดงามอย่างอลังการ การประกวดขบวนแห่กระทงบนแคร่หาม ขบวนประกวดกระทงประเภทสวยงาม และการประกวดหนูน้อยและเทพีนพมาศ

สำหรับพิธีเปิดงานกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 10 พ.ย. มีการประกวดกระทงประดิษฐ์ใบตองประเภทสวยงาม ประกวดหนูน้อยนพมาศ การแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนา การแสดงของเหล่าดารานักร้องนักแสดง โดยได้รับเกียรติจากนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย มาเป็นประธานในพิธีเปิด ณ เวทีกลางสวนสาธารณะฉลองสิริราชฯ 50 ปี พร้อมกิจกรรมการลอยโคมไฟล้านนา และลอยกระทงสาย ณ ริมฝั่งแม่น้ำกก ในวันศุกร์ที่ 11 พ.ย. จัดให้มีการประกวดเทพีนพมาศ ขบวนแห่กระทงประดิษฐ์ของชุมชน และกระทงประเภทสวยงาม ตั้งแต่เวลา 16.00 น. ส่วนการประกวดโคมแขวนทำด้วยผ้าจะจัดให้มีขึ้นในคืนวันที่ 9 พ.ย.

หน้า 31

http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNekExTVRFMU5BPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1TMHhNUzB3TlE9PQ==
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
Yim sri
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,753



« ตอบ #377 เมื่อ: วันที่ 05 พฤศจิกายน 2011, 13:16:51 »

เรื่องการท่องเที่ยว น่าจะอยู่ในห้องท่องเที่ยวนะคะ
IP : บันทึกการเข้า

ธ สถิตย์ในใจตราบนิรันดร์กาล
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #378 เมื่อ: วันที่ 07 พฤศจิกายน 2011, 08:33:37 »

"เฉลิม" เปิดงานครบรอบ3ปีถนนคนเดิน ชู "เชียงราย" เป็นโมเดลท่องเที่ยว

วันที่ 06 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 เวลา 18:57:00 น.

 
วันที่6พ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี เดินทางเป็นประธานเปิดงาน "ครบรอบ 3 ปี ถนนคนเดิน กาดเจียงฮายรำลึก" และเทศกาลท่องเที่ยวปี 254-2555 ที่จัดขึ้นตั้งแต่ช่วงเย็นของวันที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา บริเวณสวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนธนาลัย เขตเทศบาลนครเชียงราย โดยมีนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.เชียงราย พร้อมด้วย นายสมพงษ์ กูลวงค์ นายกเทศมนตรีนครเชียงราย และหน่วยงานจากภาครัฐ ภาตประชาชนนับหมื่นคนเข้าร่วมงาน
 

ในการนี้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ประเทศที่มีการส่งเสริมการท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น ประเทศเดนมาร์ค, ฮังการี, ฝรั่งเศส  ต่างก็มีถนนคนเดิน หรือ วอล์กกิ้งสตรีท ทำให้มีนักท่องเที่ยวมาก ซึ่งการที่มีถนนคนเดินกาดเจียงฮายรำลึกก็มีลักษณะคล้ายกัน หากมีต่างชาติมาเที่ยวไทย 1 คน จะทำให้คนไทยมีงานทำ 5 คน และมีรายได้มากมาย จึงอยากให้ประเทศไทยมีการทำกิจกรรมแบบนี้ และจัดให้เป็น "เชียงรายโมเดล" ด้านถนนคนเดิน และวัฒนธรรมล้านนา เพื่อสร้างงานและเศรษฐกิจ
 
 
ภายในงานได้จัดให้มีการปิดถนนธนาลัยระยะทางยาวกว่า 1 กิโลเมตร เพื่อให้กลุ่มพ่อค้าแม่ค้านำสินค้าท้องถิ่นทั้งของกินและของใช้มาวางจำหน่าย ตลอดจนนำสินค้าของกลุ่มชาวไทยภูเขามาขายด้วย ทั้งนี้ เพื่อร่วมเฉลิมฉลองสมโภช 750 ปีเมืองเชียงราย และเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ในหัวฯ ในวโรกาสพระชนมายุ 84 พรรษา

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1320580522
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #379 เมื่อ: วันที่ 14 พฤศจิกายน 2011, 18:19:49 »


เชียงราย - คนหนีน้ำท่วมแห่ขึ้นเชียงราย ทำบรรยากาศคึกคัก ขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มหลักหาย ทำกำลังซื้อลดลง คาดเดือนหน้าหลังน้ำลดนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะหวนคืนแน่
       
       ช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ที่กรุงเทพฯ และภาคกลาง พบว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และจากกรุงเทพฯ ได้หายไปจากตลาด โดยบางส่วนได้พากันยกเลิกทัวร์กับเอกชนและยกเลิกห้องพักกับโรงแรมต่างๆ แทนที่บรรยากาศจะดูซบเซาโดยเฉพาะช่วงต้นฤดูหนาว ซึ่งสภาพอากาศเริ่มหนาวเย็น กลับปรากฏว่ามีการเดินทางไปท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ อย่างคึกคักเช่นเดิม จนบางช่วงการจราจรตัดขัด โดยเฉพาะบนถนนพหลโยธินสายเชียงราย-แม่สาย ซึ่งเป็นถนนสายการท่องเที่ยวสายหลัก
       
       นายอภิชา ตระสินธุ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่า แม้จะมีผลกระทบจากการท่องเที่ยวแต่ในภาพรวมเชียงรายยังอยู่ในสถานการณ์ที่ดีอยู่ โดยเฉพาะช่วงวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ ซึ่งพบว่าสถานที่ท่องเที่ยวบางแห่งคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เช่น ตลาดชายแดนแม่สาย ฯลฯ โดยปริมาณนักท่องเที่ยวเริ่มคึกคักขึ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมานี้เอง
       
       ขณะที่กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติก็พบว่ายังมีคงมีหลายกลุ่มที่ไม่ได้ยกเลิกทัวร์แต่หันมาเปลี่ยนเส้นทาง จากเดิมจะไปทางภาคกลางหรือกรุงเทพฯ ก็หันขึ้นสู่ภาคเหนือแทน
       
       “ปัจจุบันการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมกับสมาคมได้จัดโครงการลดราคาห้องพักสำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเยือน จ.เชียงราย ในช่วงเหตุการณ์น้ำท่วม โดยมีการกำหนดสถานที่เข้าพักราว 7-8 แห่ง ให้ลดราคาประมาณ 20-30% เพื่อแบ่งเบาภาระของนักท่องเที่ยวลงด้วย” นายอภิชากล่าว
       
       ด้านนายสมเกียรติ ชื่นธีระวงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จ.เชียงราย กล่าวว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเยือน จ.เชียงราย เป็นจำนวนมากในช่วงนี้คือ คนต่างจังหวัดหรือคนที่มีภูมิลำเนาในพื้นที่เอง ซึ่งไปทำงานอยู่ที่กรุงเทพฯ-ภาคกลาง และได้เดินทางกลับบ้านเพื่อหนีปัญหาน้ำท่วม ถือโอกาสออกเดินทางไปตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ โดยเฉพาะตลาดชายแดนแม่สาย ดอยตุง วัดร่องขุ่น ภูชี้ฟ้า ผาตั้ง ฯลฯ ซึ่งถือว่าชดเชยจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติหรือกรุงเทพฯ ที่หายไป
       
       อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ ก็มีความแตกต่างกัน เพราะมีกำลังซื้อที่น้อยกว่ากลุ่มหลักคือชาวต่างชาติ และกรุงเทพฯ ลงราวๆ 50%
       
       นายสมเกียรติกล่าวอีกว่า ธุรกิจที่ได้รับผลกระโยชน์ในช่วงนี้มากที่สุด คือ ร้านอาหาร ร้านค้าโดยเฉพาะชายแดน สถานที่ท่องเที่ยว ฯลฯ เพราะรองรับกำลังซื้อกลุ่มนี้ได้ แต่ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบคือ โรงแรมห้องพักต่างๆ รวมทั้งรถเช่า เนื่องจากนักท่องเที่ยวท้องถิ่นเหล่านี้ส่วนใหญ่จะนำรถไปเอง เพราะหนีน้ำท่วมออกมาจากกรุงเทพฯ หรือภาคกลาง รวมทั้งมีบ้านพักอยู่ในพื้นที่หรือไปพักตามบ้านญาติทำให้ลดการใช้โรงแรมห้องพักลง
       
       ทั้งนี้ คาดว่าผลกระทบนี้จะลดลงหลังเหตุการณ์น้ำท่วมหมดไป หรือตั้งแต่เดือน ธ.ค.นี้เป็นต้นไป โดยจะมีกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางไปเป็นจำนวนมากเช่นเดิมต่อไป


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000145162
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
หน้า: 1 ... 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 [19] 20 21 22 23 24 25 26 27 28 29 ... 37 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!