เปิดเออีซี รัฐบาลไหวมั๊ย??? ดวงพักตรา ไชยพงษ์
กระจกไร้เงา 23 January 2556 - 00:00
ภายหลังจากที่อาเซียนประกาศเลื่อนการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) จากวันที่ 1 ม.ค.2558 เป็นวันที่ 31 ธ.ค.2558 หรือเลื่อนไปอีก 12 เดือน แต่ยังคงปี 2558 เอาไว้นั้น น่าจะเป็นเรื่องดีที่ประเทศสมาชิกทั้ง 10 ประเทศ ไทย, พม่า, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชา และบรูไน ได้มีโอกาสเตรียมความพร้อมรองรับการเปิดเสรีทางการค้า การลงทุน และการเคลื่อนย้ายแรงงานได้อย่างรอบคอบขึ้น
ดังนั้น ประเทศสมาชิกอาเซียนจึงต้องใช้เวลาอย่างรอบคอบในการวางกรอบของตัวเองให้ดี เพราะการเปิดเออีซีไม่ใช่เพียงแค่การแสวงหาประโยชน์ภายใน 10 ประเทศเท่านั้น แต่ประเทศอื่นๆ ที่จับตามองต่างวางยุทธศาสตร์ขยับประชิดตัว เข้ามาแสวงหาประโยชน์จากการรวมตัวของอาเซียนด้วย
โดยเห็นได้ชัดจากกรณีนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา เลือกที่จะเดินทางมาเยือนผูกสัมพันธ์กับประเทศอาเซียนทันทีที่ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีอีกสมัย แน่นอนว่าเป็นการส่งสัญญาณว่าสหรัฐสนใจการค้ากับอาเซียนเป็นอย่างมาก และพร้อมจะเข้ามาแสวงผลประโยชน์ด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ ประเทศมหาอำนาจอย่างจีนแม้ไม่ได้อยู่ในสมาชิก 10 ประเทศอาเซียน ก็ขยับตัววางยุทธศาสตร์จ้องอาศัยประโยชน์จากเออีซีเป็นจุดระบายสินค้าจีนที่มีอยู่อย่างมหาศาลเข้ามาประเทศสมาชิกอาเซียน และเป็นทางผ่านไปยังประเทศสหรัฐและยุโรปด้วย
เมื่อเร็วๆ นี้ผู้เขียนได้มีโอกาสเดินทางไปกับการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เพื่อศึกษาเส้นทางอาร์ 3 เอ หรือเส้นทางถนนที่เชื่อมต่อถึงกันได้ระหว่างไทย, สปป.ลาว และจีน พร้อมทั้งได้รับฟังยุทธศาสตร์ของจีนที่จะเชื่อมโยงทางการค้าการลงทุนกับประเทศเอเชีย
ทำให้เห็นว่าจีนได้วางแผนอย่างเป็นระบบไว้พร้อมเรียบร้อยแล้วที่จะใช้ช่องทางเออีซี ขยายการค้ามายังอาเซียนและเส้นทางอื่นๆ ขยายต่อไปทั่วเอเชียด้วย โดยช่องทางในเออีซีนั้น จีนจะใช้ถนนอาร์ 3 เอ เป็นจุดขนส่งสินค้ามาขายในอาเซียนได้อย่างสะดวกภายหลังการเปิดเออีซีแล้ว สำหรับถนนอาร์ 3 เอนั้น เป็นถนนที่เชื่อมหากัน 3 ประเทศ (ไทย-สปป.ลาว-จีน) ตั้งแต่เมืองคุนหมิงของจีนเข้ามายัง สปป.ลาว ขณะเดียวกัน สปป.ลาวและไทย ก็ทำสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 ข้ามแม่น้ำโขง ที่บริเวณบ้านดอนมหาวัน ต.ศรีดอนชัย อ.เชียงของ จ.เชียงราย เพื่อเชื่อมโยงถนนเข้าหากัน โดยสะพานดังกล่าวจะสร้างเสร็จในเดือน มิ.ย.2556 นี้
ทั้งนี้ การลงทุนของจีนจะมาในรูปแบบการจัดตั้งบริษัทอยู่ในประเทศไทยและประเทศอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกอาเซียน ซึ่งสามารถผลิตสินค้าหรือนำเข้าสินค้าจากจีนเองมาขายในประเทศสมาชิกอาเซียนได้ ดังนั้นเท่ากับว่าจีนเลือกเข้ามาตั้งบริษัทเพียง 1 ประเทศในอาเซียน แต่จะสามารถกระจายขายสินค้าไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนที่เหลือได้อีก 9 ประเทศอย่างเสรี ตามกฎการเปิดเออีซี
ไม่เพียงเท่านั้น จีนยังได้ประโยชน์จากการตั้งบริษัทในประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อใช้เป็นข้ออ้างส่งสินค้าไปขายยังสหรัฐและประเทศแถบยุโรปได้สะดวกขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาสินค้าจีนที่มีราคาถูกทะลักเข้าไปสหรัฐและยุโรปมากเกินไป ทำให้สหรัฐและยุโรปต้องป้องกันการขาดดุลการค้าด้วยการระบุว่าจีนมีการขายสินค้าแบบทุ่มตลาดและออกข้อกำหนดกีดกันสินค้าจีนมาโดยตลอด
ดังนั้น จีนจึงต้องหาช่องทางใหม่ที่จะผลักดันสินค้าของตัวเองที่มีอยู่มหาศาลไปสู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐและยุโรป ที่เป็นประเทศผู้ซื้อสินค้ารายใหญ่ของโลกให้ได้ และการที่จีนใช้ช่องทางเออีซี ด้วยการลงไปจัดตั้งบริษัทในประเทศสมาชิกอาเซียนจึงเป็นกลยุทธ์สำคัญที่จีนจะเจาะตลาดกลับเข้าไปสหรัฐและยุโรปอีกครั้ง
เนื่องจากเมื่อจีนเข้ามาตั้งบริษัทในอาเซียนและใช้วัสดุอุปกรณ์สินค้าที่มาจากอาเซียนผลิตเป็นสินค้าออกมา ก็เท่ากับว่าเป็นสินค้าจากบริษัทในประเทศอาเซียนนั่นเอง ทำให้สหรัฐและยุโรปไม่มีสิทธิ์กีดกันสินค้าดังกล่าวได้ ดังนั้นเท่ากับว่าจีนได้ประโยชน์สองทาง ทั้งจากการขายสินค้าให้ประเทศอาเซียนและการขายสินค้าไปสู่ยุโรปและสหรัฐได้ด้วย
เห็นอย่างนี้แล้วทำให้ต้องกลับมามองว่าประเทศสมาชิกอาเซียนพร้อมแล้วหรือยังกับการเปิดเสรีทางการค้าในอีก 2 ปีข้างหน้า ในขณะที่ประเทศมหาอำนาจของของโลกอย่างสหรัฐและจีนต่างพร้อมแล้วที่จะแสวงหาประโยชน์ในการเปิดเออีซีครั้งนี้
เหลียวกลับมามองประเทศไทย ก็เห็นได้ถึงความพยายามของรัฐบาลที่จะกระตุ้นบอกกล่าวคนในชาติให้รู้ว่าไทยจะต้องเปิดเออีซีในอีกไม่นานนี้แล้ว แต่ความพร้อมในที่นี้ไม่ได้หมายถึงเพียงการแจ้งบอกข่าวสาร การเตรียมแผนเข้าไปลงทุนในต่างประเทศเพียงอย่างเดียว หรือการพัฒนาประชาชนให้พูดภาษาอังกฤษได้เท่านั้น
หากแต่หมายถึงการวางแผนระยะยาวว่าไทยจะเดินไปบนถนนเออีซีอย่างไร และมีแนวป้องกันตัวเองแค่ไหน หากนานาประเทศโดยเฉพาะประเทศมหาอำนาจทุ่มการลงทุนเข้ามาแบบฉาบฉวย นอกจากนี้รัฐบาลเตรียมความพร้อมให้กับคนไทยรองรับการหลั่งไหลของกระแสวัฒนธรรมและการเปลี่ยนแปลงในสังคมแค่ไหนแล้ว....
เรื่องเหล่านี้สิ่งสำคัญหากจะเปิดประเทศสู่โลกภายนอก และก็ต้องพร้อมรับกับสิ่งต่างๆ ที่จะทะลักเข้ามาด้วย
ดังนั้น เมื่อตั้งใจจะเปิดประเทศแล้ว คงเป็นเรื่องยากที่ไทยจะต้านทานกระแสสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลง มีการเชื่อมหากันได้อย่างสะดวกรวดเร็วในยุคปัจจุบัน ต้องถามว่ารัฐบาลซึ่งเป็นแกนนำหลักของคนในชาติมีการวางแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับประเทศชาติหรือยัง เพราะจนถึงวันนี้ก็ยังไม่เห็นภาพรวมหรือแผนของไทยต่อการเปิดเออีซีอย่างชัดเจน จะมีก็เพียงภาคเอกชนรายใหญ่ที่วางแผนบุกต่างประเทศกันแล้ว ซึ่งหากรัฐบาลยังไม่ได้บูรณาการรองรับเออีซี ก็ต้องรีบดำเนินการตั้งแต่เดี๋ยวนี้ อย่ารอให้เปิดประเทศแล้วค่อยวางแผน เพราะหากเป็นเช่นนั้นจะกลายเป็นการตามเช็ดตามแก้ปัญหากันไปเสียแล้ว.
............................
http://www.thaipost.net/news/230113/68473