เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 มีนาคม 2024, 09:15:16
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  การเกษตร,ฟาร์มสัตว์,ปศุสัตว์ (ผู้ดูแล: bm farm)
| | |-+  {{ เรื่องของข้าว การทำนาและเกษตรผสมผสาน }}
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 [38] 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 ... 95 พิมพ์
ผู้เขียน {{ เรื่องของข้าว การทำนาและเกษตรผสมผสาน }}  (อ่าน 405803 ครั้ง)
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #740 เมื่อ: วันที่ 21 มีนาคม 2013, 21:13:28 »

เกษตรกรรุ่นใหม่

ประเด็นต่อเนื่องจากสารคดีไทไท ข้าวปลาอาหาร





* 1.jpg (47.78 KB, 800x382 - ดู 381 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #741 เมื่อ: วันที่ 21 มีนาคม 2013, 21:29:11 »

หลักการใช้ปุ๋ยเคมีให้ได้ผลดี

ปุ๋ยเคมี เมื่อใส่ลงไปในดิน จะมีโอกาสสูญเสียไปมากกว่าครึ่งหนึ่ง สำหรับธาตุไนโตรเจน และโพแทสเซียม ส่วนฟอสฟอรัสนั้น พืชดึงดูดไปใช้ประโยชน์ได้เพียงไม่เกินร้อยละ ๑๐ ของปริมาณที่ใส่ลงไปในดิน ฟอสฟอรัสที่เหลือทั้งหมด จะทำปฏิกิริยากับดิน กลายเป็นสารประกอบที่ละลายน้ำยาก พืชดึงดูดไปใช้ไม่ได้ ดังนั้นการใส่ปุ๋ยลงไปในดิน เพื่อให้พืชสามารถดึงดูดไปใช้ได้มากที่สุดและสูญ เสียน้อยที่สุด จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ปุ๋ย ชนิดเดียวกัน สูตรเดียวกันใส่ลงไปในดินโดยวิธี แตกต่างกัน พืชจะใช้ประโยชน์จากปุ๋ยได้ไม่เท่ากัน อาทิ ปุ๋ยที่ใส่แบบหว่านจะให้ผลแตกต่างจากปุ๋ยที่ ใส่โรยแบบเป็นแถวหรือเป็นจุดใกล้ต้นพืช ฉะนั้น การใช้ปุ๋ยเคมีให้มีประสิทธิภาพจึงควรมีหลักเกณฑ์ ในการใส่ปุ๋ยที่ควรจะยึดถือเป็นแนวทางดังนี้คือ

(๑) ชนิดของปุ๋ยที่ใช้ถูกต้อง
(๒) ใช้ปุ๋ยในปริมาณที่เหมาะสม
(๓) ใส่ปุ๋ยให้พืชขณะที่พืชต้องการ
(๔) ใส่ปุ๋ยให้พืชตรงจุดที่พืชสามารถดึงดูดไปใช้ประโยชน์ได้ง่ายและเร็วที่สุด

(๑) ชนิดของปุ๋ยที่ใช้ถูกต้อง

การใช้ปุ๋ยที่ถูกต้องนั้น หมายถึง สูตร เรโช และรูปของธาตุอาหารในปุ๋ย ปุ๋ยเคมีจะมีทั้งสามอย่างนี้ แตกต่างกันออกไปอย่างกว้างขวาง

สูตรปุ๋ย หรือบางทีเรียกว่า "เกรดปุ๋ย" หมายถึง ตัวเลขเขียนบอกปริมาณธาตุอาหาร ที่มีอยู่ในปุ๋ยเคมี โดยบอกเป็นค่าของเปอร์เซ็นต์ โดยน้ำหนักของปริมาณไนโตรเจนทั้งหมด (N) ปริมาณฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์ (P2 O5) และปริมาณโพแทสเซียมที่ละลายน้ำได้ (K2O) สูตรปุ๋ยจะเขียนไว้ที่ภาชนะบรรจุปุ๋ย เห็นได้อย่างชัดเจน เช่น 20-10-5 ตัวเลขแรกจะบอกปริมาณไนโตรเจนว่ามี อยู่หนัก ๒๐ กิโลกรัม เลขที่สองบอกปริมาณ ฟอสฟอรัสที่เป็นประโยชน์มีอยู่ ๑๐ กิโลกรัม เลขตัวที่สามบอกปริมาณโพแทสเซียมที่ละลายน้ำได้ มีอยู่ ๕ กิโลกรัม รวมเป็นธาตุอาหารทั้งหมด ๓๕ กิโลกรัม ในปุ๋ยหนัก ๑๐๐ กิโลกรัม และเป็นที่ ทราบกันเป็นสากลว่าเลขตัวแรก คือ ไนโตรเจน ตัวกลาง คือ ฟอสฟอรัส ตัวสุดท้าย คือ โพแทสเซียม จะไม่มีการสลับที่กัน จึงไม่จำเป็นต้องเขียนตัวหนังสือกำกับไว้

เมื่อดินขาดธาตุอาหาร N P และ K ชนิดของธาตุอาหารในปุ๋ยที่ใส่ ก็จะต้องมีธาตุ N P และ K แต่ถ้าดินขาดธาตุอาหาร N และ P ส่วน K ในดินตามธรรมชาติมีเพียงพออยู่แล้ว ธาตุอาหาร ในปุ๋ยก็ควรจะมีแต่ N และ P เท่านั้น อาทิ ดิน นาในภาคกลาง ซึ่งขาดแต่ N และ P เป็นส่วนใหญ่ ปุ๋ยที่ใช้ในนาข้าวจึงมีแต่ N และ P เท่านั้น เช่น ปุ๋ยสูตร 18-46-0, 28-28-0, 20-20-0 และ 16-20-0 เป็นต้น

สำหรับ "เรโช" ของปุ๋ยนั้น เป็นสัดส่วนเปรียบเทียบกันระหว่างธาตุอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ในสูตรปุ๋ย เรโชปุ๋ยจะบอกเป็นตัวเลขลงตัวน้อยๆ ระหว่างไนโตรเจน ฟอสฟอรัส (P2 O5 ) และโพแทสเซียม (K2 O) ของสูตรปุ๋ยนั้นๆ เช่น

16-16-8 เท่ากับเรโช 2:2:1 ได้จากการหารตลอดด้วย 8
20-10-5 เท่ากับเรโช 4:2:1 ได้จากการหาร ตลอดด้วย 5

นั่นคือ ปุ๋ยสูตรต่างๆ ที่มีเรโชเดียวกัน จะแตกต่างกัน ที่ปริมาณธาตุอาหารรวม ที่มีอยู่ในปุ๋ย เช่น สูตร 10-10-10 มีธาตุอาหารรวม N P K หนัก ๓๐ กิโลกรัม ในปุ๋ยหนัก ๑๐๐ กิโลกรัม ส่วนปุ๋ย 20-20-20 มีธาตุอาหารรวมหนัก ๖๐ กิโลกรัม ในปุ๋ยหนัก ๑๐๐ กิโลกรัม ซึ่งมากกว่าปุ๋ยสูตรแรกเท่าตัว ปุ๋ยที่มีเรโชเดียวกัน จะบอกให้ทราบว่า เป็นปุ๋ยชนิดเดียวกัน สามารถใช้แทนกันได้ ดัง นั้นถ้าใช้ปุ๋ย 10-10-10 อยู่โดยใช้อัตรา ๕๐ กก./ ไร่ สามารถเปลี่ยนมาใช้ปุ๋ย 20-20-20 แทนได้ แต่เนื่องจากปุ๋ยนี้มีธาตุอาหารรวมมากกว่า ก็จะ ต้องลดอัตราที่ใช้ให้น้อยลง คือใช้เพียง ๒๕ กก./ ไร่ เท่านั้น ก็จะได้ธาตุอาหารที่เท่ากัน

ปุ๋ยเคมีจะมีสัดส่วนระหว่าง N:P:K แตกต่างกัน แล้วแต่จะนำไปใช้กับชนิดของพืช และกับที่ดินที่มีระดับธาตุอาหาร N P และ K แตกต่างกันอย่างไร กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ก่อนใช้ปุ๋ยได้อย่างถูกต้อง ก็จะต้องรู้จักดิน และรู้จักพืชที่ปลูกเสียก่อน ทั้งนี้เนื่องจากดินแต่ละแห่ง และแต่ละชนิด จะมีระดับธาตุอาหารปุ๋ยในดินแตกต่างกัน ส่วนพืชที่ปลูกต่างชนิดกัน หรือแม้แต่อายุพืชแตกต่างกัน ก็มีความต้องการธาตุอาหาร N P K ในปริมาณ และสัดส่วน เพื่อการเจริญเติบโต และสร้างผลิตผลแตกต่างกันเป็นอย่างมากด้วยเช่นกัน

ระดับธาตุอาหารพืชในดินที่เป็นประโยชน์ต่อพืชมีอยู่มากน้อยเท่าใดนั้น สามารถตรวจสอบได้ด้วยการส่งตัวอย่างดินที่เป็นตัวแทนของไร่นานั้นๆ มาทำการวิเคราะห์ทางเคมี

ปุ๋ยที่มีเรโชของ N สูงเมื่อเปรียบเทียบกับ P และ K มักจะใช้เป็นปุ๋ยเร่งต้น เร่งใบ เหมาะสำหรับพืชผักกินใบ หรือเร่งการเจริญเติบโตทางด้านต้น และเร่งให้พืชโตเร็วในระยะแรกของการเจริญเติบโต ในกรณีที่ดินขาด N อย่างรุนแรง ส่วน P และ K มีอยู่ในดินระดับปานกลาง หรือค่อนข้างสูง การใช้ปุ๋ยเคมีที่เรโชของ N สูงๆ ก็จะเป็นการช่วยปรับระดับความเป็นประโยชน์ของธาตุอาหาร N P K ในดินให้เหมาะสมแก่พืชที่ปลูกได้ดีขึ้น หรือในกรณีของดินนาทางภาคอีสาน และภาคใต้ของประเทศไทย ระดับความเป็นประโยชน์ของ K ในดินค่อนข้างต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับดินนาทางภาคกลาง ดังนั้น ปุ๋ยนาที่แนะนำให้ใช้ในทางภาคอีสาน และภาคใต้จึงควรมี K รวมอยู่ด้วย แต่เป็นสัดส่วนที่ต่ำกว่า N และ P เช่น เรโช 2:2:1 เช่นสูตร 16-16- 8 หรือ 2:2:1 เช่นสูตร 18-12-6 แทนที่จะเป็น 16- 20-0 หรือ 20-20-0 เช่น ปุ๋ยนาในภาคกลาง ดังนี้เป็นต้น

(๒) ใช้ปุ๋ยในปริมาณที่เหมาะสม

ปริมาณปุ๋ยที่พอเหมาะนี้ หมายถึง จำนวน หรืออัตราปุ๋ย ที่ใช้ต่อไร่ หรือต่อต้น ที่พืชจะได้รับความพอเหมาะนี้มีอยู่ ๒ ลักษณะคือ พอเหมาะในแง่ของปริมาณที่พืชควรจะได้รับ เพื่อให้ได้ผลิตผลสูงสุด ถ้าน้อยกว่านั้น ก็จะทำให้พืชไม่เจริญเติบโต และให้ผลิตผลสูงเท่าที่ควร หรือถ้าให้มากเกินกว่านั้นก็อาจเป็นพิษแก่พืชหรือจะไม่ทำให้พืชเติบโต และให้ผลิตผลเพิ่มขึ้น แต่ทำให้เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ประการหนึ่ง และอีกประการหนึ่งก็คือ พอเหมาะในแง่ของหลักเศรษฐกิจ กล่าวคือ ปริมาณของปุ๋ยที่ใช้จะต้องพิจารณาเกี่ยวกับราคาของปุ๋ย และราคาของผลิตผลที่จะขายได้เสียก่อน การใช้ปุ๋ยที่พอเหมาะในแง่นี้เป็นการใส่ปุ๋ยจำนวนหนึ่ง (ต่อไร่หรือต่อต้น) ซึ่งจะมีผลทำให้ผลิตผลสูงขึ้นที่ระดับหนึ่ง (ไม่จำเป็นต้องเป็นผลิตผลสูงสุด) อันจะทำให้ได้กำไรต่อเงินลงทุนในการซื้อปุ๋ยมาใช้มากที่สุด

การพิจารณาความพอเหมาะพอดีของจำนวนปุ๋ย หรืออัตราปุ๋ยที่จะใช้ จะต้องอาศัยหลักเกณฑ์ และวิธีการต่างๆ หลายประการมาประกอบการพิจารณา อาทิ ชนิดของพืช ระดับความชื้น และความอุดมสมบูรณ์เดิมของดิน วิธีการปลูก การดูแล และการบำรุงรักษาของกสิกร ตลอดจนราคาของปุ๋ย และของพืชที่ปลูกประกอบด้วย

(๓) ใส่ปุ๋ยให้พืชขณะที่พืชต้องการ

พืชที่ปลูกในดินที่ไม่อุดมสมบูรณ์ด้วยธาตุอาหาร มักจะแคระแกร็น และให้ผลิตผลต่ำ การใส่ปุ๋ย จะช่วยยกระดับธาตุอาหาร ที่ขาดแคลน ให้มีปริมาณเพียงพอกับความต้องการของพืช อย่างไรก็ตาม ปุ๋ยที่ใส่ลงไปในดินเดียวกันกับพืชชนิดเดียวกัน อาจจะให้ผลแตกต่างกันได้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจังหวะเวลา (timing) ของการให้ ปุ๋ยแก่พืชนั้น ตรงกับระยะเวลาที่พืชมีความ ต้องการธาตุอาหารนั้นๆ มากที่สุดหรือไม่ ช่วง จังหวะความต้องการธาตุอาหารมากที่สุดของพืช แต่ละชนิดจะแตกต่างกันออกไป พืชที่มีอายุสั้น เช่น พืชไร่และข้าว จะมีจังหวะการดึงดูดธาตุอาหาร ที่แตกต่างกันอย่างเด่นชัดอย่างน้อย ๓ ช่วงด้วยกัน คือ

(๑) ช่วงแรกที่พืชเริ่มงอก และการเติบโตในระยะ ๓๐-๔๕ วันแรก พืชมักจะต้องการธาตุอาหารน้อยและช้า เพราะระยะนี้ระบบรากยังน้อย และต้นยังเล็กอยู่

(๒) ช่วงที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว เป็นระยะที่พืชต้องการธาตุอาหารเป็นจำนวนมาก สำหรับข้าวจะเป็นระยะที่กำลังแตกกอ และระยะที่กำลังสร้างตาดอก ถ้าเป็นข้าวโพด จะเป็นระยะที่มีอายุ ๔๕ - ๖๐ วัน ถ้าเป็นข้าวก็ระยะประมาณ ๓๐ วัน ก่อนออกดอก และ

(๓) ช่วงที่มีการเติบโตเต็มที่แล้ว และเป็นระยะสร้างเมล็ดหรือสร้างผล ความต้องการธาตุอาหารในระยะนี้ จะลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งฝักหรือเมล็ดแก่

ระยะที่พืชต้องการธาตุอาหารจากดินมากที่สุด และดึงดูดธาตุอาหารจากดินในอัตราที่รวดเร็วมากที่สุดก็คือ ช่วงที่สอง เพราะเป็นระยะที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และต้องการสะสมธาตุอาหารไว้ในต้นและใบ ให้เพียงพอสำหรับการสร้างเมล็ดและผล ที่จะมีขึ้นในช่วงที่สาม ดังนั้นการให้ปุ๋ยแก่พืชระยะที่สำคัญก็คือ ระยะที่สองนี้ ซึ่งพืชควรจะได้รับธาตุอาหารจากปุ๋ยที่ให้เพียงพอที่สุด

ดังนั้นการให้ปุ๋ยแก่พืช จึงต้องแบ่งใส่ จังหวะการใส่ควรให้พอเหมาะกับระยะที่พืชต้องการ จะยังผลให้ประสิทธิภาพของปุ๋ยที่ใส่สูง ความเหมาะสมของจังหวะเวลาการให้ปุ๋ยกับพืช ได้มีการศึกษากันอย่างกว้างขวาง พืชแต่ละชนิดจะมีช่วงที่ควรจะแบ่งใส่ปุ๋ย เพื่อให้มีผลดีแก่พืชมากที่สุดแตกต่างกันออกไป แต่อาจจะถือเป็นหลักเกณฑ์กว้างๆ ได้คือ

๓.๑ การแบ่งใส่ปุ๋ยมักจะให้ผลดีกว่าการใส่ปุ๋ยจำนวนเดียวกันนั้นเพียงครั้งเดียวตอนปลูก ยกเว้นเมื่อใช้ปุ๋ยในอัตราต่ำมากๆ

๓.๒ การใส่ครั้งแรกคือ ใส่ตอนปลูก ควรใส่แต่น้อย โดยเฉพาะปุ๋ยไนโตรเจน ส่วนปุ๋ยฟอสเฟต และปุ๋ยโพแทสนั้น จะใส่ทั้งหมดในตอนปลูกก็ได้

๓.๓ การใส่ครั้งที่สอง ควรใส่ระยะที่พืชกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว เช่น ระหว่างระยะแตกกอสูงสุดถึงใกล้ออกดอก ส่วนใหญ่การใส่ครั้งที่สองจะเป็นปุ๋ยไนโตรเจน ถ้าอัตราปุ๋ยไนโตรเจนที่ใช้สูงมากๆ การแบ่งใส่ควรเป็นสามครั้งคือ ตอนปลูก ตอนเริ่มการเติบโตอย่างรวดเร็ว และตอนระยะใกล้ออกดอก และจะไม่ช้าไปกว่าระยะหลังจากพืชออกดอกแล้ว หรือระยะที่พืชเริ่มแก่

(๔) ใส่ปุ๋ยให้พืชตรงจุดที่พืชสามารถดึงดูดไปใช้ประโยชน์ได้ง่ายและเร็วที่สุด

นอกจากจังหวะการใส่แล้ว วิธีการใส่ เพื่อให้พืชดึงดูดไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น ก็มีความสำคัญเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เนื่องจากในทันทีทันใดที่ปุ๋ยลงไปอยู่ในดิน ปฏิกิริยาการเปลี่ยนแปลง และการเคลื่อนย้ายของปุ๋ยจะเกิดขึ้นทันที

ธาตุไนโตรเจนในปุ๋ย จะเคลื่อนที่ได้รวดเร็วมาก เพราะละลายน้ำได้ง่าย ไนโตรเจนในรูปไนเทรต จะถูกน้ำพัดพาออกไปจากชั้นของดินได้อย่างรวดเร็ว ถ้ารากพืชดึงดูดเอาไว้ไม่ทัน ก็จะสูญเสียไปหมด และไม่เกิดประโยชน์ต่อพืชแต่อย่างใด ปกติแล้วปุ๋ยไนโตรเจนในดินจะสูญเสียไป โดยการชะล้างประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนที่ใส่ลงไป ไนโตรเจนในรูปของแอมโมเนียม ถึงแม้ จะดูดยึดอยู่ที่ผิวของอนุภาคดินเหนียวได้ และถูก ชะล้างได้ยากก็จริง เมื่อดินมีการถ่ายเทอากาศดี จะถูกแปรรูปโดยจุลินทรีย์ในดินจะทำปฏิกิริยา เพิ่มออกซิเจน (oxidized) ให้กลายเป็นไนเทรต (NO3- N) ได้ง่ายและเร็วมาก

ฟอสฟอรัสในปุ๋ย ถึงแม้จะละลายน้ำได้ง่าย แต่เมื่ออยู่ในดิน จะทำปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วกับแร่ธาตุต่างๆ ในดิน กลายเป็นสารประกอบที่ละลายน้ำยาก ความเป็นประโยชน์ต่อพืชลดลง และไม่เคลื่อนย้ายไปไหน ดังนั้นเมื่อใส่ปุ๋ยฟอสเฟตตรงจุดไหน ฟอสเฟตที่ละลายน้ำได้ง่าย ก็มักจะอยู่ตรงจุดนั้น ถ้าจะเคลื่อนย้ายจากจุดเดิม ก็เป็นระยะใกล้ๆ ในรัศมี ๑-๕ ซม. เท่านั้น ดังนั้นการใส่ปุ๋ยฟอสเฟตให้กับพืช จึงต้องให้อยู่ใกล้กับรากมากที่สุด เพื่อที่รากจะไม่เป็นอันตรายจากปุ๋ยนั้น การใส่บนผิวดิน จะเป็นประโยชน์ต่อพืชน้อยกว่าใส่ใต้ผิวดินในบริเวณที่รากจะแพร่กระจายไปได้ถึง ซึ่งผิดกับปุ๋ยไนโตรเจน ที่ใส่บนผิวดินก็สามารถซึมลงมายังบริเวณรากที่อยู่ใต้ผิวดินได้ง่าย ดังนั้น การใส่ปุ๋ยไนโตรเจนใต้ผิวดินจึงไม่มีข้อดีไปกว่า ใส่บนผิวดิน

ปุ๋ยโพแทสเซียมจะเคลื่อนย้ายได้ง่ายกว่าฟอสเฟต แต่จะช้ากว่าไนโตรเจน โพแทสเซียมในปุ๋ย ละลายน้ำได้ง่ายพอๆ กับไนโตรเจนก็จริง แต่เนื่องจากมีประจุบวก ซึ่งดูดยึดอยู่ที่ผิวของอนุภาคดินเหนียวได้ จึงถูกชะล้างได้ยาก แต่ก็ยังเป็นประโยชน์ได้ง่ายแก่พืชอยู่ ดังนั้นการใส่ปุ๋ยโพแทสเซียม จึงสามารถใส่บนผิวดิน หรือใต้ผิวดินก็ได้ แต่การเคลื่อนย้ายจะช้ากว่าไนโตรเจน และในเวลาเดียวกันการสูญเสียโดยการชะล้างก็ จะน้อยกว่าด้วย
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #742 เมื่อ: วันที่ 22 มีนาคม 2013, 13:27:35 »

หากใครเคยติดตามคอลัมป์ ชาวนาวันหยุด หรือการทำท่อแกล้งข้าวคงจะรู้จักชายคนนี้ครับ

IP : บันทึกการเข้า
pui22
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 268



« ตอบ #743 เมื่อ: วันที่ 23 มีนาคม 2013, 22:58:12 »

หายไปใหนหลายวันแล้วครับ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
chate
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,023


« ตอบ #744 เมื่อ: วันที่ 24 มีนาคม 2013, 17:05:30 »

หายไปใหนหลายวันแล้วครับ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
คงหยุดพักผ่อน ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
sariku
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 86


« ตอบ #745 เมื่อ: วันที่ 24 มีนาคม 2013, 19:58:50 »

ขอถามหน่อยค่ะ การใช้น้ำส้มควันไม้พ่นข้าวกันแมลงสามารถผสมกับไตรโคเดอร์ม่าได้ใช่ไหมค่ะ แล้วใช้ในอัตราส่วนเท่าไร/น้ำกี่ลิตร ฉีดพ่นทุกกี่วันค่ะ เพิ่งหัดทำนาค่ะ อยากขอคำแนะนำ
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #746 เมื่อ: วันที่ 25 มีนาคม 2013, 12:51:51 »

ขอถามหน่อยค่ะ การใช้น้ำส้มควันไม้พ่นข้าวกันแมลงสามารถผสมกับไตรโคเดอร์ม่าได้ใช่ไหมค่ะ แล้วใช้ในอัตราส่วนเท่าไร/น้ำกี่ลิตร ฉีดพ่นทุกกี่วันค่ะ เพิ่งหัดทำนาค่ะ อยากขอคำแนะนำ

ไม่แนะนำให้ผสมกับเชื้อราไตรโครเอร์ม่าร์ครับ เพราะน้ำส้มควันไม้มีฤทธิ์ป้องกันและกำจัดเชื้อรา เชื้อราไตรโครเดอร์ม่าอาจจะตายได้ครับ

ชนิดพืช
 วัตถุประสงค์
ในการใช้
 วิธีใช้
 อัตราส่วน
ที่ใช้
 
ข้าว

เมล็ดพันธุ์งอกเร็วเพิ่มอัตราการงอกป้องกันเชื้อรา
 แช่เมล็ดพันธุ์ 2 คืนแล้วนำไปผึ่งในกระสอบ1วัน
 1:300
1ช้อนโต๊ะ
ต่อน้ำ3ลิตร
 
เพิ่มผลผลิต เร่งการเจริญเติบโต เมล็ดข้าวไม่ลีบน้ำ
 ฉีดพ่นตั้งแต่เริ่มปลูก-เก็บเกี่ยวเดือนละครั้ง
 1:1000
1ช้อนโต๊ะ
ต่อน้ำ10ลิตร
 
ขับไล่เพลี้ย แมลง ป้องกันเชื้อรา
 ฉีดพ่นครั้งแรกถึงตั้งท้อง ทุก 7 -15 วัน
 1:200
1ช้อนโต๊ะ
ต่อน้ำ2ลิตร

การใช้น้ำส้มควันไม้ในด้านอื่นๆ
      1. ผสมน้ำ 1:20 ฉีดพ่นลงดินก่อนทำการเพาะปลูก 10 วัน เพื่อปรับปรุงดิน ฆ่าจุลินทรีย์ แมลงในดิน ไส้เดือนฝอย ป้องกันโรครากเน่าจากเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา
      2. ผสมน้ำ 1:20 ใช้ราดทำลายปลวกและมด   เพื่อป้องกัน ตะขาบ แมงป่อง กิ้งกือ
      3. ผสมน้ำ 1:100 ฉีดพ่นขยะเพื่อป้องกันกลิ่น และไล่แมลงวัน   ดับกลิ่นในห้องน้ำ ห้องครัว ที่น้ำเสีย คอกและกรงสัตว์ ใช้หมักขยะสดและเศษอาหารให้เป็นปุ๋ย

เทคนิคในการใช้น้ำส้มควันไม้
      1. ก่อนนำน้ำส้มควันไม้ไปใช้ ต้องทิ้งให้ปฏิกิริยาในการตกตะกอนหยุดนิ่งเสียก่อน(3-6 เดือน)
      2. น้ำส้มควันไม้มีความเป็นกรดสูง จึงควรระวังอย่าให้เข้าตา
      3. น้ำส้มควันไม้เปรียบเสมือนฮอร์โมนและวิตามินของพืช ไม่ใช่ปุ๋ย จึงต้องใส่ปุ๋ยตามปกติ
      4. หากใช้กับพืชกินใบควรฉีดพ่นใต้ใบด้วย เพื่อการขับไล่แมลงที่อยู่ใต้ใบ
      5. การใช้เพื่อช่วยให้ติดผล ควรฉีดก่อนที่ดอกจะบาน ถ้าฉีดหลังดอกบานกลิ่นควันไม้จะเป็นตัวไล่
             แมลง ทำให้แมลงไม่เข้ามาผสมเกสร  และดอกจะหลุดร่วงได้ง่าย 
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #747 เมื่อ: วันที่ 25 มีนาคม 2013, 12:57:42 »

หายไปใหนหลายวันแล้วครับ ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
คงหยุดพักผ่อน ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

ช่วงนี้ไม่ค่อยได้อยู่หน้าคอมครับ มีน้อง ๆ นักศึกษาวิศวะมาฝึกงานด้วยที่บริษัท 10 คน เลยต้องคอยสอนงานและดูแลครับคอมผมเองก็ให้น้องใช้งานครับ
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #748 เมื่อ: วันที่ 25 มีนาคม 2013, 20:38:42 »

ที่นาผมช่วงนี้ไม่ค่อยมีอะไรมากครับหลังจากใส่ปุ๋ยรอบสุดท้ายไปแล้ว เป็นช่วงสร้างรวงอ่อน ตั้งท้องและจะออกรวงในไม่ใช้ประมาณเดือนหน้าคงได้เห็นรวงข้าวแล้ว ช่วงนี้นอกจากการตัดหญ้าริมคันนาให้สั้นเพื่อช่วยลดการเกิดโรคจากเชื้อราแล้ว อาจจะพ่นน้ำส้มควันไม้และไครโตรซานควบคู่ไปด้วยครับ บางคนอาจเลือกพ่นเชื้อราไตรโครเดอร์ม่าแทนก็ได้

ถ่ายรูปทุ่งนาปัจจุบันกล้องถ่ายรูปก็ออกอาการไม่ค่อยดีแล้วหลังจากใช้มาหลายปี คงตามอายุการใช้งานถือว่าคุ้มมากแล้วสำหรับกล้องเล็ก ๆ ราคาพันกว่าบาท คงได้ซื้อใหม่ซักตัวครับ


* IMG_1023.JPG (50.27 KB, 700x525 - ดู 427 ครั้ง.)

* IMG_1024.JPG (49.24 KB, 700x525 - ดู 424 ครั้ง.)

* IMG_1026.JPG (47.17 KB, 700x525 - ดู 430 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #749 เมื่อ: วันที่ 25 มีนาคม 2013, 20:43:44 »

แปลงนาข้างเคียงของชาวนาบางท่าน พบว่ามีหญ้าดอกเหลืองขึ้นพอสมควรแปลงนี้เป็นนาโยน เจ้าของไม่ควบคุมระดับน้ำให้ดีสุดท้ายพบว่าหญ้าขึ้น และมักจะเป็นปัญหากับพื้นที่ ที่ขาดน้ำบ่อยหรือนากักเก็บน้ำไม่อยู่ครับ 


* IMG_1028.JPG (78.13 KB, 700x525 - ดู 416 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #750 เมื่อ: วันที่ 25 มีนาคม 2013, 20:47:51 »

บางแปลงเป็นนาหว่านใช้ยาคุมเลนก่อนหว่าน ซึ่งคุมวัชพืชชนิดอื่นได้ดีแต่ก็ยังพบหญ้าข้าวนกหรือหญ้าวังอยู่ค่อนข้างพอสมควรครับ


* IMG_1029.JPG (48.68 KB, 700x525 - ดู 428 ครั้ง.)

* IMG_1030.JPG (65.08 KB, 700x525 - ดู 415 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
jukgree
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 492


« ตอบ #751 เมื่อ: วันที่ 25 มีนาคม 2013, 20:59:10 »

สุดยอดครับ อาจารย์อู๋  ขอบคุณมากครับสำหรับความรู้ดีๆครับ 
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #752 เมื่อ: วันที่ 25 มีนาคม 2013, 21:00:39 »

เป็ดน้อยที่เลี้ยงไว้ในแต่ละสัปดาห์โตขึ้นไวมาก กินง่าย กินเก่ง เศษผัก เศษข้าว กินเรียบครับ


* IMG_1038.JPG (85.57 KB, 700x525 - ดู 417 ครั้ง.)

* IMG_1041.JPG (89.61 KB, 700x525 - ดู 432 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #753 เมื่อ: วันที่ 25 มีนาคม 2013, 21:10:19 »

สุดยอดครับ อาจารย์อู๋  ขอบคุณมากครับสำหรับความรู้ดีๆครับ 

 ยิ้มกว้างๆ  ยิ้มกว้างๆ ยังไม่ถึงขึ้นเป็นอาจารย์เลยครับยังต้องศึกษาต่อไปเรื่อย ๆครับ ได้อะไรดี ๆ ก็จะมาแบ่งปันให้นะครับ ข้าวที่พานคงโตมากแล้วใช่ไหมครับ ยังไงก็สู้ ๆ กับการทำนาครั้งแรกครับ
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #754 เมื่อ: วันที่ 25 มีนาคม 2013, 21:13:54 »

วันอาทิตย์ที่ผ่านมาแม่สายเลยได้แวะถ่ายรูปนาสวย ๆครับ แปลงนี้มีการจัดระเบียบค่อนข้างดีครับ นาดำ มีปลูกต้นขี้เหล็กริมคันนาช่วยเป็นรายได้เสริม ร่องน้ำมีการเทคอนกรีตเพื่อควบคุมน้ำได้ดีครับ


* DSCN1986.JPG (92.72 KB, 700x525 - ดู 426 ครั้ง.)

* DSCN1987.JPG (103.18 KB, 700x525 - ดู 402 ครั้ง.)

* DSCN1988.JPG (112.06 KB, 700x525 - ดู 416 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #755 เมื่อ: วันที่ 25 มีนาคม 2013, 21:23:15 »

ตอนนี้แม่สายมีการปลูกข้าวลูกผสมกันเยอะแล้วครับ ส่งเสริมการปลูกโดยซีพี  ต้นข้าวเป็นนาดำดูลักษณะลำต้นแล้วสวยงาม มีบางต้นที่เป็นโรคบ้างแต่น้อยมากครับมีความต้านทานโรคค่อนข้างดี ซีพีเป็นบริษัทใหญ่ซึ่งค่อนข้างครบวงจร ทั้งเมล็ดพันธุ์ ปุ๋ย ยา ตอนนี้มีการลงทุนซื้อเครื่องจักรเพื่อส่งเสริมให้ชาวนาปลูกข้าวลูกผสมซีพี มีทั้งรถดำนา รถเกี่ยวข้าว ดูเหมือนว่าตอนนี้ทางซีพีก็รับซื้อประกันราคาเอง ซึ่งก็เป็นนโยบายส่งเสริมการตลาด ก็แล้วแต่ชาวนาจะตัดสินใจครับ  ผมเองก็เห็นชาวนาที่กำลังใส่ปุ๋ยอยู่เดินไปคุยด้วยแต่คุยไม่รู้เรื่องครับ เป็นคนพม่า  ฮืม  ตอนนี้เค้าจ้างคนพม่ามาทำนาให้ครับคงเพราะค่าแรงที่ถูกกว่าเหมาะสำหรับการทำนาแบบระบบผู้จัดการครับ


* DSCN2016.JPG (69.39 KB, 700x525 - ดู 415 ครั้ง.)

* DSCN2017.JPG (76.34 KB, 700x525 - ดู 428 ครั้ง.)

* DSCN2018.JPG (67.14 KB, 700x525 - ดู 406 ครั้ง.)

* DSCN2019.JPG (91.03 KB, 700x525 - ดู 415 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #756 เมื่อ: วันที่ 26 มีนาคม 2013, 21:20:02 »

อีกชีวิตหนึ่งของชาวนาครับ

สารคดี ข้าว ชาวนา ชีวิตลุงเอียด

IP : บันทึกการเข้า
sariku
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 86


« ตอบ #757 เมื่อ: วันที่ 28 มีนาคม 2013, 19:01:55 »

ขอบคุณสำหรับสาระดีดีค่ะ
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #758 เมื่อ: วันที่ 28 มีนาคม 2013, 21:05:07 »

ขอบคุณสำหรับสาระดีดีค่ะ

ยินดีครับที่กระทู้นี้มีประโยชน์กับเพื่อนชาวนาครับ
IP : บันทึกการเข้า
ubuntuthaith
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,044



« ตอบ #759 เมื่อ: วันที่ 28 มีนาคม 2013, 21:08:54 »

ข้อคิดดี ๆ ของชายผู้นี้ครับ....

ค้นหาความสุขของชีวิต จาก วิม สรณะชาวนา


          "วิม สรณะชาวนา" ผู้ชายคนนี้เมื่อ 20 ปีก่อน เคยเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวยเงินทอง และมีชีวิตอยู่ท่ามกลางการแข่งขัน แต่แล้ววันหนึ่ง ชายคนนี้กลับตระหนักได้ว่า ความร่ำรวย มิใช่ความสุขที่แท้จริงที่เขาพึงประสบ เขาจึงหันหลังให้กับชีวิตในสังคมเมือง และกลับไปค้นหาแผ่นดินแห่งความผาสุกด้วยตัวเอง

การค้นหาความสุขด้วยมือตัวเองของ วิม เริ่มจากการน้อมนำแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาประยุกต์ใช้ โดย วิม เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยปรับปรุงที่ดินรกร้างจำนวน 30 ไร่ ในอำเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก เพื่อสร้างองค์ประกอบพื้นฐานปัจจัยสี่ของการมีชีวิตอยู่รอดบนผืนดินแห่งนี้ เขาทำงานหนักวันละกว่า 18 ชั่วโมง จนเวลาผ่านไป 20 ปี ทุกอย่างก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง
 
          ที่พักอาศัย อาหาร ยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม... สิ่งเหล่านี้ วิม สามารถสร้างขึ้นมาบนผืนดินของเขา บ้านของ วิม มีสระน้ำ ที่สามารถใช้น้ำมาบริโภค อุปโภค ได้ มีเรือกสวนไร่นาที่ผลผลิตพร้อมจะผลิดอกออกผลให้เก็บเกี่ยวกินยามหิว รวมทั้งพืชผักสมุนไพรต่าง ๆ ที่งอกเงยมาจากผืนดินรอบบ้าน ก็สามารถเป็นยารักษาโรค พร้อมจะหยิบมาใช้เป็นยาสามัญประจำบ้านได้ทุกเมื่อ

ณ วันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ วิม สรณะชาวนา มีอยู่ อาจไม่ใช่ความมั่งคั่งมากมาย แต่ก็ "เพียงพอ" และ "พอเพียง" ที่จะทำให้เขาและครอบครัวดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างมั่นคง นอกจากนั้นแล้ว วิม ก็ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสันโดษ แต่เขาพร้อมจะเสียสละ ช่วยเหลือ แบ่งปันองค์ความรู้ ต้นทุน แรงงาน ของตัวเองเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดในสังคม  
 



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 28 มีนาคม 2013, 21:10:55 โดย ubuntuthaith » IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 [38] 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 ... 95 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!