ต้นข้าวในนาเริ่มโตขึ้นครับ เสียหายจากหอยเชอรี่เพิ่มขึ้นอีกเพราะใช้แต่ กากชาซาโปนิน กับลงไปเก็บเองครับ มีแต่ชาวนาแถวบ้านว่าทำไมไม่ใช้ยาน้ำ หากใช้ก็ไม่เสียหายขนาดนี้หรอก ยาที่ชาวนานำมาใช้ส่วนใหญ่จะมีชื่อสามัญว่า เอ็นโดซัลแฟน มีหลากหลายยี่ห้อครับ ผมเคยได้อ่านบทความหนึ่งซึ่งน่าสนใจทีเดียว
สาขาพืชผัก มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ยาฆ่าหอยเชอร์รี่ยอดฮิตของเกษตรกร (27 มิ.ย. 48) ศักดา ศรีนิเวศน์
สถาบันบริหารศัตรูพืชโดยชีวภาพ
biology01@doae.go.th หากจะกล่าวถึงสารเคมีกำจัดหอยเชอรี่ที่ชาวนานิยมใช้กันมากในขณะนี้ คงไม่พ้นเอ็นโดซัลแฟน (Endosulfan) ซึ่งเป็นสารเคมีกำจัดแมลงศัตรูพืชที่ชาวนานำมาใช้อย่างผิด ๆ เพื่อกำจัดหอยเชอรี่ และต่อไปนี้คือ ข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับสารเคมีเอ็นโดซัลแฟน ที่ผู้เขียนได้รวบรวม และนำเสนอให้ท่านผู้อ่าน และนักส่งเสริมการเกษตรได้ทราบโดยลำดับ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาของท่าน และเกษตรกรว่าจะใช้สารเคมีตัวนี้ต่อไปดีหรือไม่
เอ็นโดซัลแฟน เป็นสารกำจัดแมลงและเห็บ ไร กลุ่มออร์กาโนคลอรีน (Oganochlorine) ชั้น Chlorinated hydrocarbon เป็นสารชนิดถูกตัวตาย (Contact poison) มีฤทธิ์ในการฆ่าแมลง และเห็บ ไร อย่างกว้างขวาง ใช้กับพืชพวกธัญพืชต่าง ๆ กาแฟ ฝ้าย ไม้ผล พืชน้ำมัน มันฝรั่ง ชา พืชผัก และอื่น ๆ และยังใช้ในการรักษาเนื้อไม้ ป้องกันไม่ให้มอดทำลายด้วยเอ็นโดซัลแฟนเข้มข้นเป็นผลึกไม่มีสี ประกอบด้วย isomer 2 รูปแบบ แบบที่เป็น alpla และ bata อัตราส่วนประมาณ 70:30 ความเข้มขั้น 94-96 เปอร์เซ็นต์ แต่ที่มีจำหน่ายทั่วไปมีสีครีมจนถึงสีน้ำตาลกลิ่นคล้ายน้ำมันสน จะละลายน้ำได้ต่ำ น้อยกว่า 0.5 มิลลิกรัม/น้ำ 1 ลิตร ที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส แต่จะละลายได้ดีมากขึ้น ถ้าน้ำนั้นมีฤทธิ์เป็นกรดเพิ่มขึ้น ละลายได้ดีในสารทำละลาย (solvents) 5-65 เปอร์เซ็นต์ มีความคงทนต่อแสงแดด ไม่ทนความชื้น มีฤทธิ์ไม่แน่นอนในสภาพที่ผสมกับน้ำที่เป็นด่าง มีฤทธิ์ตกค้างในน้ำได้นาน มีจำหน่ายในรูปที่เป็นน้ำ (EC.) ชนิดผลละลายน้ำ (WP.)ฝุ่น เม็ด และชนิด ULV (Ultra-Low-Volume) และชนิดควัน (Smoke tablets) สามารถที่จะผสมเข้ากันได้กับสารเคมีหลายตัว เช่น ไดเมทโธเอท (Dimethoate) มาลาไธอ้อน (Malathion) เมทโธมิล (Methomyl) โมโนโครโตฟอส (Monocrotophos) ไพริไมคาร์บ (Pirimicarb) ไทราโซฟอส (Triazophos) ฟีโนพรอพ (Fenoprop) พาราไธอ้อน (Parathion) ปิโตรเลี่ยมออยส์ (Petroleum oils) และอ๊อกซีนคอบเปอร์ (Oxine-Copper) มีสูตรโครงสร้าง C9 H6 Cl6 O3 S ประกอบด้วย (1,4,5,6,7,7-hexachloro-8,9,10 -trinoborn-5-en-2,3 ylenebisemthylenc) Sulfite หรือ 6,7,8,9,10,10 hexachloro -1,5,5a,6,9a-hexahydro-6,9- methano 2,4,3- benzodioxathiepin 3-oxide มีชื่อทางการค้า หรือชื่ออื่น ๆ เช่น Afidan, Beosit, Cyclodan, Devisulfan, Endocel, Endocide, Endosol, FMC 5462,, Hexasulfan, Hildan, Hoe 2671, Insectophene, Malix, Phaser, Thiodan Thimul, Thifor และ Thionex เป็นต้น
การเป็นพิษ (Toxicity)
1. พิษเฉียบพลัน (Acute toxicity) เอ็นโดซัลแฟนมีพิษสูงโดยการกินเข้าไป ค่า LD50 18-160 มิลลิกรัมในหนูขนาดเล็ก 7.36 มิลลิกรัม ในหนูขนาดใหญ่ และ 77 มิลลิกรัมในสุนัข มีพิษจากการซึมผ่านทางผิวหนังสูง โดยมีค่า LD50 สำหรับหนูขนาดเล็ก 78 ถึง 359 มิลลิกรัม มีพิษจากการหายใจเข้าไปต่ำ เมื่อสารเอ็นโดซัลแฟนเข้าสู่ร่างกาย จะออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้หายใจลำบาก สูญเสียการทรงตัว ขากรรไกแข็ง อาเจียนท้องร่วง กระวนกระวายมีอาการสั่นชักกระตุก และหมดสติในที่สุด มีรายงานว่าในวัว แกะ และสุกร ที่กินหญ้าที่ฉีดพ่นสารเอ็นโดซัลแฟนเข้าไป มีอาการตาบอดและกล้ามเนื้อสั่นกระตุก
2. พิษเรื้อรัง (Chronic toxicity) ในหนูทดลองที่ให้กินสารเอ็นโดซัลแฟนในอัตรา 10 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน ติดต่อกันถึง 15 วัน มีอัตราการตายสูง แต่ถ้ากินในอัตรา 5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน ในระยะเวลาที่เท่ากันจะมีสาเหตุทำให้ตับโตผิดปกติ มีอาการเจ็บป่วย การเจริญเติบโต และการรอดชีวิตลดลง ไตผิดปกติ คุณสมบัติทางเคมีของเลือดเปลี่ยนไป
3. พิษต่อการสืบพันธุ์และแพร่ขยายพันธุ์ (Reproductive effects) ในหนูทดลองที่ให้กินสารเอ็นโดซัลแฟน อัตรา 2.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน ไม่สามารถสังเกตเห็นความผิดปกติในการขยายพันธุ์ใน 3 ชั่วอายุ (generation) แต่ถ้ากินในปริมาณ 5.0 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัมต่อวัน จะส่งผลให้อัตราการรอดชีวิตของลูกหนูลดลง ในหนูเพศเมียที่กินสารเอ็นโดซัลแฟนปริมาณ 0.1 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัมต่อวัน ติดต่อกัน 78 สัปดาห์ จะมีผลต่อต่อมและอวัยวะที่เกี่ยวข้องกับการสืบพันธุ์ (reproductive organs) ในหนูเพศผู้ที่กินสารเอ็นโดซัลแฟน อัตรา 10 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัมต่อวัน ติดต่อกัน 15 วัน จะมีผลทำให้ท่ออสุจิและลูกอัณฑะมีขนาดเล็กลง ซึ่งในมนุษย์ยังไม่ทราบว่าปริมาณเท่าใด จึงจะบังเกิดผลเช่นเดียวกับหนูทดลอง และคาดว่าผลที่เกิดขึ้นกับมนุษย์คงเป็นเช่นเดียวกับหนูทดลอง
4. พิษที่เกิดขึ้นกับการพัฒนาการของทารกในครรภ์ (Teratogenic cffects) ในหนูทดลองที่ให้กับสารเอ็นโดซัลแฟนในปริมาณ 2.5 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน ไม่มีผลต่อลูกที่เกิดขึ้นในช่วง 3 ชั่วอายุ แต่ถ้ากินในปริมาณ 5 และ 10 มิลลิกรัม ต่อกิโลกรัมต่อวัน จะส่งผลให้ลูกที่เกิดมามีความพิการ การพัฒนาการเจริญเติบโตทางกระดูกผิดปกติ ซึ่งผลเช่นนี้น่าจะเกิดกับมนุษย์เช่นกัน แต่ไม่ทราบว่าปริมาณที่ได้รับสารควรเป็นเท่าใด
5. พิษที่ก่อให้เกิดการผ่าเหล่า (Mutagenic effects) เอ็นโดซัลแฟนก่อให้เกิดการผ่าเหล่าในเซลล์ของแบคทีเรีย และยีสต์ ในขบวนการทำปฏิกิริยาของสารเอ็นโดซัลแฟนก่อให้เกิดความผิดปกติในผนังเซล นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดการผ่าเหล่าของสัตว์ เลี้ยงลูกด้วยนมสองชนิดที่แตกต่างกันด้วย ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้จะเกิดกับมนุษย์ได้ หากได้รับสารเอ็นโดซัลแฟนในปริมาณที่มาก
6.พิษที่ก่อให้เกิดเซลล์มะเร็ง (Carcinogenic effects) จากการศึกษาเป็นระยะเวลานานในหนูขนาดใหญ่และเล็ก เพศเมียพบว่าแม้จะให้สารเอ็นโดซัลแฟนสูงถึง 23 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัมต่อวัน เป็นระยะเวลานานถึง 78 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้นไม่พบว่ามีผลต่อการเกิดเนื้องอกหรือเซลล์มะเร็งแต่ประการใด แต่มีผลต่อคุณสมบัติทางเคมีของเลือด เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งในเม็ดเลือด (Leukemia)
7. พิษที่เกิดกับต่อมหรืออวัยวะต่าง ๆ (Organ toxicity) จากการศึกษาพบว่า
เอ็นโดซัลแฟนมีพิษต่อต่อมหรืออวัยวะต่าง ๆ ของสัตว์ทดลองแน่นอน เช่น ไต ตับ เลือด และต่อมพาราไทรอยด์ (Parathyoid)ผลกระทบที่เกิดขึ้นกับมนุษย์และสัตว์ เอ็นโดซัลแฟนสามารถถูกขจัดหรือลดปริมาณลงอย่างรวดเร็ว ในมนุษย์และสัตว์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าเป็นองค์กอบของสารว่าเป็นชนิด Bata หรือ Alpha โดย Beta จะลดปริมาณลงได้อย่างรวดเร็วกว่า Alpha
ผลกระทบที่มีต่อระบบนิเวศ1. ผลที่เกิดขึ้นกับนกต่าง ๆ เอ็นโดซัลแฟนเป็นพิษต่อนกต่าง ๆ ในระดับกลาง จากรายงานการศึกษา ค่า LD50 ของเป็ดป่าอยู่ที่ 31-243 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม
2. ผลที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในน้ำ เอ็นโดซัลแฟนเป็นสารที่มีพิษต่อปลา และสัตว์น้ำต่าง ๆ ที่ไม่มีกระดูก (Invertebrates) รุนแรงมาก
3. ผลที่เกิดขึ้นกับสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เอ็นโดซัลแฟนเป็นพิษต่อผึ้งปานกลาง และไม่เป็นพิษต่อแมลงที่เป็นประโยชน์ (benefical insects) เช่น แตนเบียน แมลงเต่าทอง (Iady bird beatles) และไรบางชนิดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับสิ่งแวดล้อม
1. ผลทีเกิดขึ้นกับดินและน้ำใต้ดิน เอ็นโดซัลแฟนจะตกค้างในดินปานกลาง ประมาณ 50 วัน (half-life) ขึ้นอยู่กับสภาพความเป็นกรดด่างของดิน โดยจะตกค้างอยู่ในดินที่มีคุณสมบัติเป็นกรดได้นานกว่า เอ็นโดซัลแฟน อาจจะถูกย่อยสลายได้โดย รา และแบคทีเรียในดิน เอ็นโดซัลแฟนละลายและสลายตัวได้ยากในน้ำ มีความสามารถยึดเกาะติดกับดินได้ปานกลาง อนุภาคของสารที่ยึดเกาะอยู่กับดินจะถูกน้ำพัดพาไปได้ดี ซึ่งมีผลต่อการถูกพัดพาไปสู่น้ำใต้ดิน
2. ผลที่เกิดขึ้นกับน้ำที่อุปโภคและบริโภค ในสภาพธรรมชาติของน้ำดิบที่ใช้บริโภคและอุปโภคสภาพที่ได้รับแสงแดดและอุณหภูมิปกติ สารเอ็นโดซัลแฟนทั้ง 2 isomer (Alpha และ Beta) จะเสื่อมสลายหมดไปภายใน 4 สัปดาห์ โดยในสัปดาห์แรกพบในปริมาณมาก แต่จะเสื่อมสลายอย่างรวดเร็วในสัปดาห์ต่อมา ในสภาพที่น้ำเป็นกรดมากกว่าสภาพเป็นกลาง สามารถคงสภาพอยู่ได้ถึง 5 เดือน แต่ในสภาพที่น้ำเป็นด่างจะเสื่อมสลายได้เร็วที่สุด โดยทั่วไปจะพบว่าสารเอ็นโดซัลแฟนปนเปื้อนในน้ำที่อยู่ใกล้บริเวณที่ใช้สารเคมีในปริมาณความเข้มข้นที่สูง หรือพบว่ามีปริมาณน้อยแพร่กระจายอยู่ในแหล่งน้ำทุกแหล่งทั่วประเทศ แสดงให้เห็นว่าน้ำเป็นปัจจัยที่สำคัญในการแพร่กระจายสารเอ็นโดซัลแฟน ได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง
3. ผลที่ตกค้างในผลผลิต เอ็นโดซัลแฟนจะลดปริมาณการตกค้างในผลผลิตได้อย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่สารตกค้างจะลดลงถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ในเวลา 3-7 วัน ในสหรัฐอเมริกาพบว่ามีสารเอ็นโดซัลแฟนตกค้างในยาสูบ 0.0005-0.013 ppm ในอาหารทะเลสด 0.2 ppt-1.7 ppb) และในน้ำนมวัวปี ค.ศ. 1999-2000
มีรายงานจากประเทศสาธารณรัฐเบนิน อาฟริกา ตะวันตกว่ามีผู้เสียชีวิตในพื้นที่ ทางตอนเหนือของจังหวัด Borgou จากการใช้สารเคมีเอ็นโดซัลแฟนฉีดพ่นในไร่ฝ้ายเป็นจำนวน 37 คน และอีก 36 คน ป่วยหนักต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล สาเหตุเนื่องมาจากการใช้สารเคมี ไม่ถูกต้องหรือใช้ในปริมาณที่มากเกินความจำเป็นเกษตรกรรายหนึ่งเล่าให้ฟังว่า "ไส้เดือนที่เคยพบในดินได้ถูกสารเอ็นโดซัลแฟนตาย นกกินไส้เดือนที่ตายเข้าไป และนกก็ตายตามไส้เดือนไป" เกษตรกรอีกรายหนึ่งกล่าว่า "ภายหลังฉีดพ่นสารเอ็นโดซัลแฟน 2-3 วัน ท้องทุ่งแห่งนั้นคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหม็นเน่าน่าสะอิดสะเอียนของซากสัตว์ต่าง ๆ ที่ถูกสารเอ็นโดซัลแฟนตาย"
ในวันที่ 24 สิงหาคม 2542 ที่หมู่บ้าน Meregourou เด็กชาย 3 คน อายุ 12,13, 14 ปี
ตามลำดับ ได้ออกไปช่วยพ่อของเขาดายหญ้าในแปลงฝ้าย ซึ่งปลูกข้าวโพด เมื่อเสร็จงานแล้วเกิดความหิว จึงได้เก็บข้าวโพดกิน โดยที่ไม่ทราบว่าพ่อของเขาได้ฉีดพ่นสารเอ็นโดซัลแฟนก่อนหน้านั้น 1 วัน หลังจากนั้น 15 นาทีจึงเริ่มอาเจียน พวกเขาทั้งหมดถูกนำส่งโรงพยาบาล เด็กชายอายุ 12 ปีได้เสียชีวิต ส่วนอีก 2 คน ปลอดภัย
เกษตรกรคนหนึ่ง ใน Banikoara ได้กล่าวถึงการทำลายห่วงโซ่อาหารในธรรมชาติของเอ็นโดซัลแฟน จากที่เขาได้พบเห็นว่า " ปลวกในไร่ฝ้ายที่ถูกสารเอ็นโดซัลแฟนตาย กบกินปลวกที่ตาย ทำให้มีอาการมึนงงหยุดนิ่งไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ หลังจากนั้นไม่นาน นกเค้าแมวได้จับกบตัวนั้นไปฉีกกิน อย่างเอร็ดอร่อยบนคาคบไม้ สิบนาทีต่อมานกเค้าแมวก็ล่วงหล่นจากคบไม้นั้น และตาย " อีกคนหนึ่งกล่าวว่า " สารเอ็นโดซัลแฟนมีประสิทธิภาพมาก สามารถฆ่าทำลายล้างสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ไม่เว้นแม้กระทั่งงู ไส้เดือนที่เคยมีเป็นจำนวนมาก ก็ตายหมดภายหลังการฉีดพ่นสารในเวลาไม่นาน รวมถึงปลาในหนองน้ำ และลำธารก็ตาย เนื่องมาจากน้ำที่ไหลจากบริเวณไร่ฝ้ายที่ฉีดพ่นสารเอ็นโดซัลแฟนไหลลงไป "
ผลที่เกิดขึ้นดังกล่าวมาแล้ว ทำให้กลุ่มประเทศในอาฟริกาตะวันตก มีความพยายามที่จะยกเลิก (Ban) การใช้เอ็นโดรซัลแฟนในไร่ฝ้ายเหมือน เช่น สารเคมีในกลุ่ม ออร์กาโนคลอรีน ชนิดอื่น ๆ ที่ได้ถูกสั่งห้ามใช้ไปแล้ว
สำหรับประเทศไทย คงไม่ต้องกล่าวบรรยายถึงประสิทธิภาพของสารเอ็นโดซัลแฟน ในการทำลายล้างเผ่าพันธุ์สิ่งมีชีวิตทั้งหลายในธรรมชาติ เกษตรกรผู้ใช้กำจัดหอยเชอรี่ คงทราบได้ดีว่า ภายหลังจากใช้สารนี้แล้วเกิดอะไรขึ้นในแปลงนาของเขา ความเงียบสงบปราศจากการเคลื่อนไหวของสิ่งมีชีวิตใดๆ
เกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว คงมีแต่เสียงเคลื่อนไหวของชาวนา ที่ชีวิตจมปลักอยู่กับการใช้สารเคมี โดยที่ตนเองไม่เคยคิดคำนึงถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับตนเอง และสิ่งแวดล้อม ไม่เคยสนใจแม้กระทั่งที่จะคิดไปว่า แต่ก่อนทำนาไม่เคยใช้สารเคมีใด ๆ หมดหน้านาก็มีปลา ปู กุ้ง หอยกิน ไม่ต้องซื้อหา ไม่ต้องกู้หนี้ยืมสิน มาซื้อสารเคมีหรือซื้ออาหารบริโภค ปัจจุบันต้องกู้ยืมเขามาเพื่อซื้อสารเคมีฉีดพ่นในนาข้าว ทั้ง ๆ ที่โดยธรรมชาติแล้ว ข้าว คือพืชตระกูลหญ้าชนิดหนึ่ง ปลูกแล้วไม่ต้องใช้สารเคมีใด ๆ ฉีดพ่นก็ได้กิน ได้ขาย ไม่ต้องเป็นหนี้เขา การใช้สารเคมีโดยไม่จำเป็น เป็นการเพิ่มต้นทุนในการทำนาไร่ละไม่น้อยกว่า 100-250 บาท นอกจากนั้นการใช้สารเคมียังเป็นการทำลายสุขภาพของเกษตรกรผู้ใช้เองโดยตรง ลูกหลานและสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวด้วย ที่จริงแล้วหากชาวนาคิดว่าหอยเชอรี่มีประโยชน์ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้สารเคมีฆ่า ได้มีการศึกษาต้นทุนค่าสารเคมีกำจัดหอยเชอรี่แล้ว พบว่าชาวนา ใช้เงินซื้อสารเคมีฆ่าหอยเชอรี่เฉลี่ยไร่ละ 75 บาท หากเขาจับหอยเชอรี่มาทำเป็นปุ๋ยน้ำหมัก หรือทำเป็นอาหารสัตว์ต่าง ๆ เช่น ปลา กบ ตะพาบน้ำ ก็ไม่ต้องเสียเงินไร่ละ 75 บท กับยังช่วยลดต้นทุนการผลิต และอาจมีรายได้เสริมเพิ่มขึ้นจากการจำหน่ายปุ๋ยน้ำหมัก หรืออาหารสัตว์ที่ทำจากหอยเชอรี่ด้วย และบางทีอาจจะรวยกว่าการทำนาปลูกข้าวด้วยซ้ำ ถ้าหากหันมาเลี้ยงหอยเชอรี่อย่างจริงจัง เพื่อทำเป็นการค้า เหล่านี้คือข้อมูลที่ผู้เขียนนำมาเสนอเพื่อให้พี่น้องเกษตรกรและนักส่งเสริมการเกษตรทั้งหลายประกอบการตัดสินใจเอง ว่าจะใช้สารเอ็นโดซัลแฟน หรือสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชอื่น ๆ โดยไม่จำเป็นต่อไป หรือว่าจะลด ละ หรือเลิกใช้ไปเลย เพื่อเปลี่ยนทิศทางการทำการเกษตร เป็นเกษตรปลอดภัยจากสารพิษ หรือเกษตรอินทรีย์ในที่สุด เป็นเกษตรกรที่ทันยุคสมัยกับสถานการณ์ของโลก เพราะในอนาคตข้างหน้าจะไม่มีผู้ใดหรือประเทศใดซื้อสินค้าเกษตรที่ใช้สารเคมีบริโภคแน่นอน
ปัจจุบันมีหลายประเทศได้สั่งห้ามใช้สารเคมีเอ็นโดซัลแฟน โดยเด็ดขาดแล้ว ส่วนประเทศไทยเรา จัดสารเคมีเอ็นโดซัลแฟน อยู่ในกลุ่มเฝ้าระวัง 12 ชนิด มีกำหนด 3 ปี (2542-2544) บัดนี้ก็ล่วงเลยมาพอสมควร หรือว่าเราเฝ้าระวังจนเหม่อลอยแล้วก็ไม่รู้เอกสารอ้างอิง 1. Extension Toxiclogy Network pesticide Information Profiles : Endosulfan fofrom
http://www.hclrss.demon.co.uk/endosulfan.html 2. Endosulfan :
http://www.helrss.demon.co.uk/endosulfan.
3. Endosulfan deaths and poisonings in Benin :
http://www.getipam.com/articles /benindeaths.htm