เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 08 พฤษภาคม 2024, 18:49:50
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 [34] 35 36 37 38 39 40 41 พิมพ์
ผู้เขียน ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้  (อ่าน 293508 ครั้ง)
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,911



« ตอบ #660 เมื่อ: วันที่ 05 ตุลาคม 2012, 11:19:26 »

เขาเริ่มซื้อหุ้นครั้งแรกเมื่ออายุ 11 ขวบ และปัจจุบันก็ยังบอกว่ารู้สึกเสียใจที่เริ่มช้าไป!

เป็นวลีเด็ดของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ครับ
IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #661 เมื่อ: วันที่ 05 ตุลาคม 2012, 15:44:50 »

ตอบคุณ  ►•••   Natz.   •••◄
     เรื่องจำนวนหุ้นหมุนเวียน(โวลุ่ม)น้อยนั้น  ตามความเห็นของผมมองว่า  มันเป็นดาบสองคมครับ  เพราะถ้าคุณบอกว่าไม่กล้าซื้อเพราะมันไม่ค่อยมีการซื้อขาย  แต่ถ้าเรามองมุมกลับอีกด้านหนึ่งจะเห็นว่า  ถ้าเวลามันจะขึ้น  มันจะขึ้นได้ง่ายกว่า  เนื่องจากว่าไม่ค่อยมีคนเข้ามายุ่งเกี่ยวกับมันมากนัก  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่สำคัญจริงๆเราควรจะ  "โฟกัส"  ที่ผลประกอบการของบริษัทจะดีกว่าครับ  เพราะถึงแม้ว่าหุ้นจะโวลุ่มเยอะ  แต่ถ้าผลประกอบการออกมาไม่ถูกใจนักลงทุนล่ะก็  เมื่อนั้นก็ศพไม่สวยครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #662 เมื่อ: วันที่ 05 ตุลาคม 2012, 15:59:24 »

ตอบคุณ  มิสเตอร์เอฟ
     จะเรียกผมว่าอะไรก็ตามสะดวกครับ  และขอแสดงความยินดีด้วยที่คุณเริ่มสนใจการลงทุนเพื่ออนาคตทางการเงินของตัวเอง  อายุ  21  นี่ก็กำลังใช้ได้ครับ  เพราะท่านวัยทองก็พอๆกับคุณนั่นแหละ  แต่เขาเริ่มไปก่อนคุณแล้ว  เดี๋ยวขอแหย่ท่านวัยทองหน่อยนึงนะ...ว่าไงท่านวัยทอง  เอาพอร์ตมาโชว์เขาหน่อยสิท่าน  ช่วงนี้หน้าตามีราศีขึ้นตั้งเยอะ(พอดีหุ้นขึ้น)  กำไรไปหลายแล้ว

     ถ้าคุณมิสเตอร์เอฟอยากคุยกับผมจริงๆล่ะก็  ขอคนจริงหน่อยนะครับ  เพราะคราวที่แล้วผมประกาศนัดออกไป  ปรากฏว่าไม่มีใครมาซักคน  ผมก็พยายามทำความเข้าใจนะว่า  บางคนอาจไม่ว่าง  บางคนอาจอยู่ไกล  และตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมาผมก็เลยคิดว่า  ไม่อยากจะนัดใครอีกแล้ว  เพราะบางที  เวลาอันมีค่าของท่านทั้งหลายคงจะสำคัญมากกว่าการมาเอาความรู้จากผมกระมัง  ผมก็เลยวางความรู้เอาไว้ให้ในกระทู้  รอเวลาที่ท่านทั้งหลายว่างก็เข้ามาหยิบฉวยเอาไป  มันคงง่ายกว่ากันเยอะ

     ถ้าคุณไม่แน่ใจว่าจะมาได้ไหม  ผมแนะนำให้คุณไปซื้อหนังสือที่ชื่อว่า  "เหนือกว่าวอลสตรีท"  ของปีเตอร์  ลินซ์  มาอ่านก็แล้วกันนะครับ  แต่ถ้าอยากถามตอบปัญหาไขข้อข้องใจกับผมจริงๆล่ะก็  เดี๋ยวเราค่อยนัดกันอีกที  เดี๋ยวผมจะส่งเบอร์ให้ทางข้อความส่วนตัวก็แล้วกัน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 05 ตุลาคม 2012, 16:04:40 โดย วายุ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
►•••   Natz.   •••◄
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,433



« ตอบ #663 เมื่อ: วันที่ 08 ตุลาคม 2012, 19:58:55 »

ตอบคุณ  ►•••   Natz.   •••◄
     เรื่องจำนวนหุ้นหมุนเวียน(โวลุ่ม)น้อยนั้น  ตามความเห็นของผมมองว่า  มันเป็นดาบสองคมครับ  เพราะถ้าคุณบอกว่าไม่กล้าซื้อเพราะมันไม่ค่อยมีการซื้อขาย  แต่ถ้าเรามองมุมกลับอีกด้านหนึ่งจะเห็นว่า  ถ้าเวลามันจะขึ้น  มันจะขึ้นได้ง่ายกว่า  เนื่องจากว่าไม่ค่อยมีคนเข้ามายุ่งเกี่ยวกับมันมากนัก  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่สำคัญจริงๆเราควรจะ  "โฟกัส"  ที่ผลประกอบการของบริษัทจะดีกว่าครับ  เพราะถึงแม้ว่าหุ้นจะโวลุ่มเยอะ  แต่ถ้าผลประกอบการออกมาไม่ถูกใจนักลงทุนล่ะก็  เมื่อนั้นก็ศพไม่สวยครับ

ขอบคุณครับ ยังไงจะพยายามติดตามอ่านข่าวสารเรื่อยๆครับ

วันนี้ขึ้นมารับผมก็เลยขายดูไม่หวังกำไรนะครับช่วงศึกษา  ยิ้มกว้างๆ จะลองดูค่า comm.+VAT วันนี้ผมมีกำไรแล้ว แต่ก็รู้จักคำว่าขายหมู  ยิ้มกว้างๆ ปิดซะ 1.15 เลย  ฮืม กำไร 7 บาท




* 8-10-2555 19-54-07.jpg (86.58 KB, 1008x517 - ดู 560 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 08 ตุลาคม 2012, 20:04:26 โดย ►•••   Natz.   •••◄ » IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #664 เมื่อ: วันที่ 08 ตุลาคม 2012, 22:20:59 »

เกษตรกร
     ยอมรับเลยว่าวันนี้ผมเอาพอร์ตมาโชว์ครับ  เพราะว่าในชีวิตนี้ผมยังไม่เคยทำเงินได้มากขนาดนี้ด้วยการนั่งอยู่เฉยๆมาก่อนเลย  ผมว่า...ทั้งตัวผมเองและอีกหลายๆคนที่เข้ามาอ่าน  ก็คงฝันถึงวันที่เรามีตังค์เยอะๆใช่ไหม?  ถ้าดูจากกำไรในพอร์ตของผมแล้วก็จะเห็นว่า  ถ้าผมขายหุ้นที่ราคาตลาดในขณะนี้  ผมจะสามารถทำกำไรได้ถึงสองแสนบาทจากเงินลงทุนเริ่มแรกที่สามแสนบาท  เงินสองแสนบาทนี่มันมากขนาดไหนหรือสำหรับคนอย่างผมและคนทั่วๆไป  เอาง่ายๆนะครับ  ถ้าเราเป็นคนที่มีรายได้พอสมควร  และสามารถเก็บเงินได้เดือนละ  1  หมื่นบาท  เพราะฉะนั้นเราต้องใช้เวลา

ถ้าเก็บเดือนละ  1  หมื่น  ต้องเก็บ  20  เดือน  หรือเท่ากับ  1  ปีกับอีก  8  เดือน

ถ้าเก็บเดือนละ  5  พัน  ต้องเก็บ  40  เดือน  หรือเท่ากับ  3  ปีกับอีก  6  เดือน

ถ้าเก็บเดือนละ  2  พัน  ต้องเก็บ  100  เดือน  หรือเท่ากับ  8  ปีกับอีก  4  เดือน

     นี่จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่งสำหรับตัวผมเอง  ที่ผมสามารถมีเงินก้อนนี้เพิ่มขึ้นมาได้โดยที่ไม่ต้องใช้เวลานานขนาดนั้นและโดยที่ไม่ต้องเหนื่อยด้วย  เพราะในแต่ละเดือนผมจะเก็บเงินได้เพียงเดือนละ  3  พันบาทเท่านั้น  นั่นเป็นเพราะว่าผมมีรายจ่ายทางด้านอื่นอีกมากมาย  แต่สาระสำคัญที่เราจะมาพูดกันในวันนี้ไม่ใช่ว่า  “ผมทำเงินได้เท่าไหร่”  แต่ประเด็นหลักก็คือ  “ผมทำเงินได้อย่างไร”  ต่างหาก  เพราะฉะนั้นมันจึงเป็นที่มาของหัวข้อเปรียบเทียบการลงทุนในวันนี้

     จากการสังเกตพฤติกรรมหรือวิธีการลงทุนของนักลงทุนในตลาดหุ้น  ผมสามารถแบ่งแยกวิธีการลงทุนออกมาได้เป็น  4  ข้อใหญ่ๆดังนี้  และผมจะเอามันมาเปรียบเทียบกับเกษตรกรก็แล้วกันนะครับ  เพื่อให้ทุกคนเห็นภาพได้ง่ายขึ้น

ปลูกไม้ผลต้นใหญ่ด้วยเมล็ด  วิธีการที่ว่านี้โดยส่วนมากแล้วมักจะเป็นเจ้าของบริษัทหรือผู้ที่ร่วมกันก่อตั้งบริษัทใช้  การลงทุนประเภทนี้ลงทุนน้อยแต่ให้ผลตอบแทนมหาศาลถ้าทำสำเร็จ  แต่ยังไงเสีย  มันก็มีความเสี่ยงที่จะสูญเงินไปทั้งหมดเหมือนกันถ้าทำไม่สำเร็จ  ในช่วงเริ่มแรก  โครงการยังเป็นเพียงแค่จินตนาการเท่านั้น  เหมือนกับการที่เราได้เมล็ดพันธ์มาและหวังว่ามันจะโตเป็นต้นไม้ใหญ่นั่นแหละ  การที่จะหาคนมาร่วมทุนได้ก็ต้องมีการเชื่อใจหรือเชื่อฝีมือกัน  ถ้าเป็นคนที่มีเงินหนาหน่อยก็คงไม่เดือดร้อนที่จะเสียเงินบางส่วนไป  เพราะถ้ามันไม่สำเร็จ  เงินส่วนที่เสียไปก็ไม่ต้องคิดมาก  แต่ถ้าบริษัทที่ได้ลงทุนไป  เติบใหญ่ขึ้นจนเป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ได้  ต้นไม้ใหญ่ที่เกิดจากเมล็ดพันธ์เล็กๆ  ก็จะกลายเป็นไม้ผลที่ให้ผลตอบแทน(ปันผล)ทุกปี  ปีแล้วปีเล่าจากการเติบโตขึ้นของต้นไม้นั้น  และเมื่อเขาต้องการจะขายต้นไม้นั้น  กำไรที่ได้ก็จะมหาศาล

ปลูกถั่วงอกหรือปลูกต้นกล้าขาย  วิธีนี้จะใช้กันมากในหมู่นักเก็งกำไร  กล่าวคือ  พวกเขาจะซื้อเมล็ด(บริษัท)มาปลูก  เมื่อบริษัทสามารถทำกำไรได้เพียงเล็กน้อยแล้ว  เขาก็จะขายมันทำกำไรทันทีโดยไม่ได้สนใจว่าหลังจากนี้มันจะเป็นอย่างไรต่อไป  ถ้ามันเป็นถั่วงอกมันก็สมควรทำ  เพราะวงจรชีวิตของถั่วงอกมันสั้น  มันไม่มีทางที่จะเติบโตขึ้นเป็นไม้ใหญ่ให้เก็บผลกินไปได้หลายๆปีเหมือนกับต้นไม้ใหญ่  แต่ถ้าเป็นคนที่ปลูกกล้าของต้นไม้ใหญ่ขาย  วิธีการที่เขาใช้ก็เหมือนกับคนปลูกถั่วงอกคือ  เมื่อเริ่มมีกำไรก็ขายทันที  ซึ่งมันจะเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากหากกล้าไม้ที่เขาขายออกไปนั้นมันสามารถโตขึ้นไปเป็นไม้ใหญ่ได้อีก  แต่ตัวเขาเองอาจจะไม่รู้ว่าต้นไม้ที่เขาปลูกคือต้นอะไร  หรือบางทีเขาอาจจะรู้ว่าต้นไม้ที่เขาปลูกอยู่นั้นมันเป็นต้นอะไร  แต่เขาไม่มีความอดทนอย่างเพียงพอเพื่อรอให้ต้นไม้นั้นเติบใหญ่จนสร้างผลตอบแทนให้เขาสูงๆอย่างทบต้นทวีคูณได้  เมื่อเขาชิงขายมันออกไปก่อน  กำไรที่ทำได้ก็เลยเหมือนกับคนที่ปลูกถั่วงอกขาย

ผู้ซื้อกล้าไม้ใหญ่มาปลูกจนโต  วิธีการของเขาก็คือ  เขาพอจะมองออกว่าต้นไม้ต้นไหนที่มันแข็งแรงและสามารถที่จะโตต่อไปได้อีกหลายๆปี  เมื่อเขาซื้อมาปลูกแล้วเขาก็จะมีความอดทนรอคอยให้มันเติบโตจนเป็นไม้ใหญ่ที่โตเต็มที่  ช่วงที่มันกำลังเล็กและเริ่มเติบโต  มันก็ให้ผลแก่เขามากินทุกปีตามความเติบโตที่มันทำได้  และเมื่อมันโตเต็มที่แล้ว  เขาอาจจะเก็บมันไว้กินผลไปเรื่อยๆหรือบางทีอาจจะขายต่อไปให้กับคนอื่นที่สนใจ  และตัวเขาเองก็จะดำเนินกระบวนการนั้นซ้ำต่อไป  อย่างไรเสีย  กำไรที่เขาทำได้จากการขายต้นไม้ที่โตแล้วไปให้กับคนอื่น  มันก็คุ้มค่าต่อความอดทนของเขาจริงๆ

ผู้ซื้อไม้ใหญ่  คนที่ซื้อต้นไม้ใหญ่ที่มั่นคงแข็งแรงอยู่แล้วนั้น  อัตราความเสี่ยงมีน้อย  เพราะว่าต้นไม้นั้นได้ผ่านการพิสูจน์จากกาลเวลามาแล้วว่าสามารถทนได้มาจนเติบใหญ่  แต่ปัญหาก็คือมันไม่สามารถโตจากที่มันเป็นอยู่ได้อีกแล้ว  หรือถ้าโตได้ก็โตขึ้นไปอีกนิดเดียว  สิ่งที่หวังได้จากการซื้อต้นไม้ที่ใหญ่อยู่แล้วนั้นก็คือ  การหวังว่ามันจะออกผลให้เขากินต่อไปนานๆ  หรือบางทีถ้ามันโตขึ้นไปได้อีกนิดหน่อยจากที่ได้ซื้อมา  เขาก็นำมันไปขายต่อเพื่อกินกำไร  วิธีนี้ก็ไม่ต่างจากคนที่ปลูกถั่วงอกหรือคนที่ปลูกกล้าขาย  เพียงแต่ว่า  เขาซื้อและขายต้นไม้ใหญ่เพียงเท่านั้นเอง  และยังมีปลีกย่อยอีกนิดหน่อย  ในกรณีที่เขาซื้อไม้ต้นเล็กมาขาย  วิธีการมันก็ไม่ต่างจากซื้อไม้ใหญ่มาขาย  มันต่างกันเพียงแค่ขนาดของไม้เท่านั้น  การได้มาซึ่งกำไรมันก็มีวิธีการที่เหมือนกัน

     เมื่อสรุปออกมาแล้ว  ผมจัดว่าผมน่าจะเป็นคนที่อยู่ในกลุ่ม  “ผู้ซื้อกล้าไม้ใหญ่มาปลูกจนโต”  สาเหตุที่ผมทำอย่างนี้ก็เพราะว่า  ผมไม่มีความสามารถในการสร้างบริษัทตั้งแต่มันยังเป็นเมล็ดพันธ์อยู่  และถึงแม้ว่าจะมีคนมาชวนผมไปลงทุนตั้งแต่บริษัทกำลังเริ่มทำธุรกิจ  ผมก็ยังไม่อยากอยู่ดี  เพราะว่าผมไม่อยากสูญเสียเงินลงทุนไป  แม้ว่ามันจะสามารถทำกำไรให้มหาศาลถ้าทำสำเร็จ  ผมขอแบบช้าแต่ชัวร์ดีกว่า  อยากให้บริษัทนั้นทำสำเร็จก่อน  ถึงจะมาซื้อทีหลังก็ยังไม่สาย  วิธีนี้จะเป็นการจำกัดความเสี่ยงได้พอสมควร  เพราะว่าเราเห็นในสิ่งที่เรากำลังจะเอามาปลูกและเราได้เลือกแล้ว  ขอเพียงแค่มีความอดทนให้มากก็พอ  และในระหว่างที่รอให้มันเติบใหญ่  เราก็ยังมีผลให้เก็บกินได้อีก  ส่วนพวกที่ปลูกถั่วงอกขายก็ได้กำไรนิดหน่อย  พอขายแล้วก็ไปหามาปลูกใหม่  เหนื่อยเหมือนกันนะนี่  ผมไม่อยากมีชีวิตแบบนี้เลย  สุดท้ายคือพวกที่ซื้อต้นไม้ใหญ่มาปลูก  ถ้าถามผมว่ามันเป็นการลงทุนที่มั่นคงไหม  ผมตอบได้เลยว่ามั่นคง  เพราะมันไม่ค่อยจะมีความเสี่ยงอะไรมากนัก  เนื่องจากว่าต้นไม้พวกนั้นได้ผ่านการพิสูจน์ตัวเองมาแล้ว  แต่ถ้าถามผมอีกว่ามันเป็นการลงทุนที่ดีไหม  ในความเห็นส่วนตัวแล้วผมมองว่า  มันไม่ใช่การลงทุนที่ดีนัก  เนื่องจากว่ามันเป็นการลงทุนที่หยุดโตแล้ว  สิ่งที่เราจะได้จากมันก็แค่ผลที่จะออกมาให้เราทุกๆปีเพียงอย่างเดียว  มันจึงไม่สามารถสร้างผลตอบแทนในด้านการเติบโตที่จะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคตได้ดีเทียบเท่ากับต้นไม้ที่กำลังเจริญงอกงามแบบโตวันโตคืนได้เมื่อมาเทียบกับต้นทุนที่เราได้จ่ายเป็นค่าต้นไม้ไป  และเมื่อคนที่ซื้อต้นไม้ใหญ่มาปลูกกำลังต้องการเงิน  การขายต้นไม้ใหญ่ออกมามันก็จะไม่สร้างผลกำไรให้กับเขามากมาย

     สรุปสุดท้ายก็คือ

คนที่ปลูกไม้ผลต้นใหญ่ด้วยเมล็ด  มีความเสี่ยงมากที่สุด  แต่ถ้าทำสำเร็จ  จะได้รับผลตอบแทนสูงสุด

คนที่ปลูกถั่วงอกหรือปลูกต้นกล้าขาย  มีความเสี่ยงที่จะได้และเสียพอๆกัน  และเมื่อจะได้  เขาก็จะได้นิดเดียว  เพราะเขาไม่อดทนพอ

คนที่ซื้อกล้าไม้ใหญ่มาปลูกจนโต  มีความเสี่ยงปานกลาง  แต่ความเสี่ยงพวกนั้นถูกคัดกรองมาก่อนหนึ่งชั้นแล้วจากความสามารถในการคัดกรองต้นไม้ของเขาเอง  แต่ถ้าต้นไม้ที่เขาเลือกมาปลูกนั้นโตวันโตคืน  ผลตอบแทนที่เขาจะได้รับก็จะมากพอสมควรเหมือนพอร์ตของผมที่ตัวผมเองคิดว่ามันยังไม่น่าจะหยุดโต

คนที่ซื้อไม้ใหญ่  ความเสี่ยงมีน้อยมาก  แต่ผลตอบแทนก็น้อยตามไปด้วย  เนื่องจากว่าผลตอบแทนที่หวังได้จะมีแค่ผลที่จะออกมาให้ทุกๆปีเท่านั้น

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็คงจะแล้วแต่สไตล์ของแต่ละคนด้วยว่า  ให้น้ำหนักกับอะไรมากกว่ากัน  หรือว่าเราเป็นคนประเภทไหน


* port.JPG (98.11 KB, 1024x768 - ดู 590 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,911



« ตอบ #665 เมื่อ: วันที่ 12 ตุลาคม 2012, 23:06:37 »

ผมมีแค่นี้เองท่านวายุขายหุ้นให้ผมราคาทุนสัก100หุ้นได้มะ  กำไรทางบัญชี 10% ละ



* cpall.JPG (11.83 KB, 502x78 - ดู 411 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 25 ตุลาคม 2012, 19:14:49 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

Luke@1805
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 45


« ตอบ #666 เมื่อ: วันที่ 15 ตุลาคม 2012, 12:29:27 »

@ คุณวายุ
ได้อ่านบทความของคุณแล้วรู้สึกดีมากที่ได้ทราบว่ามีผู้รู้ด้านลงทุนอย่างถ่องแท้อยู่ในจังหวัดบ้านเกิดของผมด้วย  หวังว่าเราคงได้คุยแลกเปลี่ยนทัศนคติเรื่องการลงทุน อย่างสนิทสนมมากขึ้น เพื่อเป้นประโยชน์แก่ผู้สนใจทั้งหลาย...ด้วยจิตบริสุทธิ์และหวังให้คนทั่วไปได้หลุดพ้นห่วงความทุกข์แห่งความขัดสน แร้งแค้น หรือกับดักทางการเงิน(สนามแข่งหนู)

อันที่จริงบ้านเรามีคนที่มีอิสระภาพทางการเงินและนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากมาย แต่เท่าที่ผมเคยคุยด้วย...ส่วนใหญ่ไม่ค่อยอยากแชร์วิธีการ..พวกที่อยากแชร์ส่วนใหญ่ก็มักจะทำธุรกิจ MLM

ผมอยากแชร์และนำเสนอคุณวายุในบางประเด็นโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องรูปแบบการลงทุน ซึ่งแม้ผมตั้งใจและมุ่งเน้นจะลงทุนโดยใช้แนวของ โยชิซากิ กล่าวคือ เน้น กระแสเงินสด มากกว่า capital gain
แต่ผมก็ปฎิเสธไม่ได้ว่า แนวการการลงทุนในตลาดหุ้นก็เป้นสิ่งที่สร้างกระแสเงินสด(เงินปันผล) ได้เช่นกัน  ผมจึงสนใจลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เช่นกัน เพียงแต่รอจังหวะที่ดีเท่านั้น...เนื่องจากตอนนี้ราคาหุ้นดีๆ ที่สามารถทำ VI ได้ขึ้นสูงจนเรียกว่า ถ้าจะหวังแค่กระแสเงินสด ก็คงไม่คุ้มแน่  หรือถ้าจะหวังทำกำไรจากการขายหุ้น(capital gain) ผมก็รู้สึกว่าเป้นการขัดแย้งกับหลักการของกระแสเงินสด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมได้เคยเล่นเกมส์กระแสเงินสดมาแล้ว และผมก็ไม่สามารถหลุดพ้นสนามแข่งหนูได้ ก็เพราะหวังกำไรจาก capital gain  นั่นแหละครับ สรุปคือ"แม้ผมจะมีเงินสะสมจำนวนมากแต่ผมก้ต้องเสียเวลาในการหาสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดกระแสเงินสดใหม่อยู่ดี"

แม้นั่นจะเป้นแค่เกมส์ แต่ก็สามารถสะท้อนความเป็นจริงได้เช่นกัน กล่าวคือหากผมทำกำไรโดยการขายต่อ แม้ผมจะมีรายได้หรือกำไร และเงินสด แต่ผมก็ขาดกระแสเงินสดที่จะใช้รายเดือน ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงที่ไม่มีสินทรัพย์ที่ไว้ทำกำไรจากการขายต่อนั้น กระแสเงินสดก็ไม่มีและต้องควักทุนเดิมอยู่ร่ำไป

หวังว่าคุณวายุจะมีมุมมองดีๆแนะนำให้ผมครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 15 ตุลาคม 2012, 12:48:33 โดย Luke@1805 » IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #667 เมื่อ: วันที่ 15 ตุลาคม 2012, 17:00:35 »

ตอบคุณ  Luke@1805
     จริงๆแล้วผมก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ของโรเบิร์ตเหมือนกันครับ  แต่ทีนี้จากการอ่านและวิเคราะห์แนวทางของโรเบิร์ต  ผมประเมินได้ว่า  เขาเป็นนักลงทุนมืออาชีพในอสังหาฯครับ  ถ้าคุณจับเนื้อหาและประเด็นที่เขาเขียนได้  คุณจะพบว่าเขามีความรู้ขั้นสูงมากในธุรกิจอสังหา  แต่เขาเป็นคนที่รู้น้อยมากในเรื่องหุ้น  ถ้าไม่เชื่อ...คุณลองอ่านและวิเคราะห์ข้อเขียนของเขาดูนะครับว่า  ในหนังสือแต่ละเล่มของเขามีเนื่อหาเกี่ยวกับหุ้นอยู่กี่เปอร์เซ็นต์  และเนื้อหาพวกนั้นบอกเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้นลึกแค่ไหน  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผมก็ไม่ได้ดูถูกเขานะครับ  เพราะหนังสือของเขาเป็นผู้จุดประกายในการให้ความสำคัญเกี่ยวกับการลงทุนของผมและอีกหลายๆคนในโลก  แต่ทีนี้ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  กติกาของอสังหาและหุ้นนั้นไม่เหมือนกัน  เมื่อคุณลงทุนในอสังหา  สิ่งที่สำคัญและเป็นหัวใจหลักก็คือ  "กระแสเงินสด"  ส่วนราคาที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นแค่ปัจจัยรองเท่านั้น  หรือที่ตัวเขาเองเรียกว่าน้ำจิ้ม  เนื่องจากว่าถ้าเป็นอสังหา  สภาพคล่องมันจะต่ำกว่าหุ้น  แต่ถ้าเป็นหุ้น  กติกามันกลับกลายเป็นว่า  คุณต้องหาหุ้นที่ราคามันควรจะเพิ่มสูงขึ้น  และเงินปันผลควรจะเป็นแค่น้ำจิ้มเท่านั้น

     ลองคิดตามผมนะครับ  ถ้าคุณซื้อบ้านหนึ่งหลังเพื่อให้เช่า  และถ้าสมมุติว่าบ้านหลังนั้นตั้งอยู่ใกล้กับห้าง  คุณคิดว่าอีกกี่ปีห้างแห่งนั้นถึงจะเจ๊งหรือย้ายที่ครับ?  มันคงนานมากใช่ไหม  กว่าที่อะไรๆมันจะเปลี่ยนแปลง  และถึงแม้ว่าจะมีห้างมาเปิดใหม่อีกที่หนึ่ง  ราคาบ้านของเราก็จะไม่ถูกกระทบครับ  ในทางกลับกัน  ราคาบ้านมันควรจะเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำเนื่องจากว่า  มีความเจริญเพิ่มมากขึ้น  เพราะฉะนั้นแล้ว  ค่าเช่าและราคาบ้านจึงเป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างมั่นคงแข็งแกร่ง  แต่ถ้าเป็นหุ้น  คุณกำลังลงทุนในธุรกิจอยู่นะครับ  ถ้าบริษัทนั้นกำลังเติบโตได้อย่างโดดเด่นอย่างที่ไม่สามารถหาใครเทียบได้  หุ้นนั้นก็จะพุ่งขึ้นเป็นจรวด  แต่เมื่อใดก็ตามที่คู่แข่งปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับแผนธุรกิจที่จะมาฆ่าเรา  เมื่อถึงเวลานั้น  ความเปลี่ยนแปลงหรือความไม่แน่นอนก็จะเกิดขึ้นทันที  ดังนั้น...ถ้าเราหวังว่าอยากจะได้เงินปันผลไปเรื่อยๆตลอดชีวิตโดยที่เงินปันผลนั้นเพิ่มขึ้นตลอดเวลานั้นมันหวังยากครับ  ความเห็นส่วนตัวของผมในการลงทุนในหุ้นก็คือ  ราคาหุ้นเป็นเรื่องหลัก  และเงินปันผลเป็นน้ำจิ้มครับ  เพราะวงจรชีวิตของธุรกิจมันไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้า  วันหนึ่งมันก็จะโตได้ช้าลง  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ไม่ได้หมายความว่าเราต้องซื้อขายหุ้นอยู่ตลอดเวลานะครับ  เพียงแต่ว่า  ถ้ามันมีเหตุการณ์อะไรเปลี่ยนแปลงในโลกแห่งการแข่งขันทางธุรกิจ  เราก็ต้องประเมินอีกทีว่า  บริษัทเราจะชนะได้หรือไม่  ถ้าบริษัทที่เราเลือก  ไม่มีจุดแข็งอะไรที่ดีพอ  คู่แข่งก็จะฆ่าเราได้ครับ  เพราะฉะนั้น  ความรู้ในการมองธุรกิจ  จึงแตกต่างจากความรู้ในการมองทำเลในธุรกิจอสังหาครับ

     ถ้าจะให้ผมยกตัวอย่างการลงทุนของผม  สาเหตุที่ผมเลือกลงทุนใน  7-11  ก็เพราะ  ทุกวันนี้เขาเป็นเบอร์หนึ่งในไทย  และยังไม่มีใครตามเขาทัน  และถ้ามองให้ลึกก็จะเห็นว่า  สินค้าที่ทำกำไรอย่างเป็นกอบเป็นกำให้กับเขาก็คืออาหารพร้อมทานเช่น  ขนมปัง  ซาลาเปา  เบอร์เกอร์  ข้าวกล่อง  ฯลฯ  ครับ  ซึ่งสินค้าของเขาผมลองชิมดูแล้วปรากฏว่ารสชาติดีทีเดียว  แต่เรื่องรสชาติแค่อย่างเดียวมันยังไม่พอครับ  เพราะถ้าใครมีเงินมันก็สามารถซื้อได้  ถ้าสมมุติว่ามีการซื้อตัวเชฟที่ทำงานอยู่ที่  7-11  ไปโดยให้เงินเดือนที่สูงกว่า  และเมื่อนั้นรสชาติของคู่แข่งมันก็จะเหมือนกับ  7-11  ถูกต้องไหม?  แต่ผมมองลึกไปอีกชั้นหนึ่งคือ  7-11  มีบริษัทแม่คือ  CPF  ครับ  ดังนั้นเรื่องต้นทุนวัตถุดิบของ  7-11  จะได้ราคาถูกกว่าคู่แข่ง  เพราะเขาเลี้ยงสัตว์เอง  ปลูกข้าวเองครับ  ซึ่งตรงนี้ไม่ว่าคู่แข่งที่เป็นมินิมาร์ทเจ้าไหนก็ยังทำไม่ได้ครับ  เมื่อผมมองอย่างนี้แล้ว  ผมจึงกล้าถือหุ้นเขาไว้ได้นานๆโดยไม่ต้องกังวลมากนัก  เพราะจุดแข็งตรงนี้ทำให้เขาได้เปรียบในการแข่งขันครับ  แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาไม่รู้ว่าจะเอา  7-11  ไปตั้งไว้ตรงจุดไหนของประเทศแล้ว  เมื่อนั้นงานเลี้ยงก็ต้องเลิกราครับ  เราควรจะขายหุ้นและหอบเงินก้อนโตออกไปจากตลาด  เพื่อรอจังหวะในการเข้าลงทุนหุ้นตัวที่น่าสนใจต่อไป  ซึ่งถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่เลือกรับแต่เงินปันผลแล้ว  คุณต้องใช้เวลากี่ปีเพื่อให้ได้เงินเท่ากับกำไรที่ทำได้จากราคาหุ้น  หรือถ้าเรายังหาหุ้นตัวที่เหมาะแก่การลงทุนไม่ได้  เราก็ถือรับปันผลไปเรื่อยๆก็ไม่เสียหายแต่อย่างใด

     กติกาในหุ้นไม่มีอะไรยากครับ  เราแค่ต้องรู้ว่าบริษัทไหนที่จะทำกำไรเพิ่มได้อีก  เพราะราคาหุ้นกับกำไรที่บริษัททำได้มักจะไปด้วยกัน  แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  ถ้าเป็นกีฬาฟุตบอล  กติกาบอกไว้ว่า  ใครทำประตูได้มากที่สุดจะเป็นผู้ชนะ  ซึ่งตรงนี้เข้าใจง่ายครับ  แต่วิธีการที่จะทำประตูจากคู่ต่อสู้นั้นไม่ง่ายเลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 15 ตุลาคม 2012, 20:50:29 โดย วายุ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,911



« ตอบ #668 เมื่อ: วันที่ 18 ตุลาคม 2012, 22:23:58 »

ผมไปเจอมาในเว็บพันทิพ ผมอ่านดูแล้วมันก็ใช่จริงๆ แพงวันนี้ แต่ถูกในหลายปีข้างหน้า

ไม่ได้เข้ามาชักชวนให้ซื้อนะครับ แค่อยากให้เห็นแนวทางความคิดเฉยๆ ผมว่าน่าจะมีประโยชน์


อ้างถึง
นอกจาก CPALL  แล้ว .. ยังมีหุ้นตัวไหนอีกบ้าง ที่คุณคิดว่า "แพงเกินไป" ในความรู้สึกของคุณ .. แต่ราคามันก็ "พุ่งขึ้น" ไปเรื่อย ๆ ..

คือ มันไม่เคย "ถูก" ในความรู้สึกของคุณ .. ไม่ว่าจะวิเคราะห์งบการเงิน ลักษณะของธุรกิจ หรือ ค่า Ratio ต่าง  ๆ ..

คือ ไม่ว่าเราจะวิเคราะห์ หรือ มองมุมไหน เราก็รู้สึกว่าหุ้นตัวนี้ "แพง"  อยู่ตลอดเวลา ..

ถ้าราคาที่เราคิดว่ามัน "แพง "  แล้วบริษัทมัน "ห่วย"  อย่างนี้ก็ยังรับได้ ..

แต่นี่ เราว่าราคามัน แพง แล้ว .. แต่ราคามันดัน "พุ่งขึ้น" เรื่อย ๆ  เพราะบริษัทมัน "ดีมาก ๆ" .. (ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า จะดีแบบนี้ไปได้อีกนานแค่ไหน)

คือ ราคามัน "พุ่ง" ขึ้นมากจนคุณรู้สึกว่า .. ถ้าคุณซื้อตั้งแต่ตอนที่คุณรู้สึกว่าหุ้นตัวนี้ แพง "ตั้งแต่ครั้งแรก" ..

แล้วถือมาจนตอนนี้ .. ป่านนี้ คุณก็กลายเป็นเศรษฐีใหม่ไปแล้ว ..

แต่ถึงแม้ว่า หุ้น ตัวไหน จะดีมาก ๆ แค่ไหน และ ราคาเพิ่มขึ้น อย่างมากแค่ไหน .. คุณก็ไม่เคยคิดจะซื้อ ..

เพราะคุณรู้สึกว่า .. หุ้นตัวนี้ "แพง"  อยู่ตลอดเวลา ..

ทางเดียวที่คุณจะซื้อหุ้นตัวนี้ได้ .. ต้องรอ "วิกฤติ"  เท่านั้น ..

ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่า  "วิกฤติ"  จะมาถึงเมื่อไหร่ .. แล้วเมื่อถึงตอนนั้น .. ราคามันจะ "ถูก"  กว่ามูลค่าที่ควรจะเป็นจริง ๆ หรอ ..

นอกจาก CPALL  แล้ว .. ในความคิดของคุณ ยังมีหุ้นตัวไหนอีกบ้างครับ ฮืม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 18 ตุลาคม 2012, 22:33:38 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #669 เมื่อ: วันที่ 22 ตุลาคม 2012, 02:23:39 »

ตราสารอนุพันธ์  การพนันที่ถูกกฎหมาย
     บทความนี้จริงๆแล้วล่อแหลมมาก  ผมคิดอยู่ตั้งนานว่าจะเอามันลงดีหรือไม่  เพราะมุมมองและความคิดเห็นของผมออกจะไม่เหมือนชาวบ้านอยู่สักหน่อย  แต่ในเมื่อเราได้พูดกันถึงเรื่องหุ้นมาเยอะแล้ว  สิ่งที่เป็นการลงทุนอีกชนิดหนึ่งคือก็ตราสารอนุพันธ์นี่เอง

     จากมุมมองของผมเองแล้วผมเห็นว่า  ทุกการลงทุนล้วนมีความเสี่ยงด้วยกันทั้งสิ้น  มากบ้างน้อยบ้างก็ว่ากันไป  ถ้าเป็นแบบความเสี่ยงต่ำๆก็เห็นจะมีเงินฝากและสลากออมสิน  ความเสี่ยงที่ว่านี้ก็คือการที่ผลตอบแทนอาจไม่ชนะเงินเฟ้อแต่เงินต้นยังอยู่ครบ  การลงทุนที่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นมาเป็นระดับกลางๆก็ได้แก่  ตราสารหนี้  เพราะการลงทุนชนิดนี้มีความเสี่ยงว่าเงินต้นอาจจะถูกกินไปบ้างถ้ามีเหตุการณ์ต่างๆมากระทบ  ส่วนการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงก็เช่นหุ้นทุน  เพราะถ้าเราเลือกบริษัทไม่ดีแล้ว  มีโอกาสสูงที่เราจะสูญเสียเงินลงทุนทั้งหมดไป  บางทีเราอาจจะไม่ได้เสียทั้งหมด  แต่มันก็จะทำให้เราเข็ดจนไม่กล้านึกถึงหุ้นอีกเลย  และสำหรับการลงทุนประเภทสุดท้ายก็คือ  การลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงมาก  นั่นก็คือตราสารอนุพันธ์ชนิดต่างๆ  (TFEX)

     ทำไมผมถึงได้บอกว่าตราสารอนุพันธ์มีความเสี่ยงสูงมาก  เหตุผลก็เพราะ  ด้วยเหตุที่ว่าถ้าเราลองมองลงไปให้ลึกถึงรายละเอียดของการลงทุนในแต่ละประเภทจะเห็นได้ว่า

ถ้าเป็นเงินฝาก  เราจะฝากเงินเท่าไหร่หรือนานแค่ไหน  ธนาคารก็ไม่อาจปฏิเสธความต้องการของเราได้  ความเสี่ยงที่เราต้องเผชิญก็แค่การได้ดอกเบี้ยในอัตราที่เราไม่สามารถกำหนดเองได้ก็เท่านั้น  ซึ่งถ้าเราไม่พอใจในอัตราผลตอบแทน  เราก็สามารถยกเลิกการฝากเงินของเราได้ตลอดเวลา

ถ้าเป็นสลากออมสิน  ไม่มีการกำหนดว่าจะต้องฝากเท่าไหร่  และอัตราดอกเบี้ยที่เราจะได้รับก็ค่อนข้างแน่นอน  เนื่องจากจะมีการทำสัญญากันไว้ก่อนเลยว่า  เมื่อสลากหมดอายุแล้วเราจะได้ดอกเบี้ยเท่าไหร่ต่อหน่วย  แต่ธนาคารจะกำหนดระยะเวลาในการไถ่ถอน  ซึ่งถ้าเราพอใจที่จะลงทุนต่อ  เราก็แค่ขายการลงทุนที่หมดอายุแล้ว  และซื้อการลงทุนใหม่ต่อไป

ถ้าเป็นตราสารหนี้  การลงทุนประเภทนี้ต้องใช้ความรู้บ้างเล็กน้อย  โดยที่ตัวผู้ลงทุนเองต้องศึกษาว่า  ปัจจัยอะไรบ้างที่มีผลกระทบต่อการขึ้น-ลงของราคาตราสาร  และตัวผู้ออกตราสารเหล่านั้นมีความมั่นคงแค่ไหน  ซึ่งถ้าเรามีความรู้ดีพอ  เราจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ถึงสองเด้ง  เด้งแรกคือราคาตราสารที่เพิ่มขึ้น  และเด้งที่สองคือผลตอบแทนในรูปของดอกเบี้ยจากผู้ออกตราสารเหล่านั้น

ถ้าเป็นหุ้นทุน  การลงทุนประเภทนี้ต้องใช้ความรู้ในขั้นสูง  ไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางการเงิน(อ่านงบการเงินได้)  และความรู้เชิงธุรกิจในอุตสาหกรรมต่างๆ  ถ้าเราเลือกหุ้นได้ถูกตัวแล้ว  ผลตอบแทนที่ได้ก็จะงดงามมาก  แต่ถ้าเราวิเคราะห์ไม่ขาดและผลออกมาเป็นด้านลบอย่างรุนแรง  เราก็อาจจะสูญเสียเงินลงทุนไปเป็นจำนวนมาก  แต่อย่างไรเสีย  ความสูญเสียที่เกิดขึ้น  มันก็เท่ากับจำนวนเงินที่เราได้ลงทุนไปแล้วเท่านั้นเอง

ถ้าเป็นตราสารอนุพันธ์  ผมไม่อยากใช้คำว่าลงทุนกับการลงทุนประเภทนี้เลย  เพราะไม่มีศาสตร์ไหนที่เข้าใจได้สามารถนำมาใช้กับการลงทุนประเภทนี้ได้นอกจากเทคนิคเคิลและจิตวิทยา  การลงทุนประเภทนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณหมดเงินก้อนที่ลงไปในตอนแรกเท่านั้น  แต่ถ้าคุณคาดการณ์เกี่ยวกับการแกว่งตัวของดัชนี(หุ้น  ทองคำ  น้ำมัน  ค่าเงิน  สินค้าการเกษตร)ในทิศทางที่ผิด  คุณยังจะโดนเรียกเก็บเงินเพิ่มเพื่อไปวางเป็นประกันอีก  นี่มันเท่ากับว่า  คุณ  “ติดลบ”  ด้วยซ้ำ  เพราะถ้าเป็นหุ้น  การสูญเสียของคุณมันก็จะจำกัดแค่เงินที่คุณได้ลงทุนไปแล้วเท่านั้น  แต่ตราสารอนุพันธ์มันสามารถทำให้คุณต้องวิ่งหาเงินก้อนใหม่มาเติม  มิเช่นนั้นแล้ว  คุณก็จะถูกบังคับให้ปิดสถานะโดยที่ตัวคุณเองอาจจะยังไม่อยากทำ  เพียงเพราะว่าคุณไม่สามารถหาเงินไปเติมได้  และในทางกลับกัน  ถ้าคุณคาดการณ์ได้ถูกต้อง  และคุณก็ต้องการผลตอบแทนมากๆ  วิธีหนึ่งที่น่าจะใช้ได้ดีก็คือถือยาว  ถ้าเป็นหุ้น  ไม่มีใครหน้าไหนที่จะมาบังคับให้คุณขายการลงทุนที่ดีได้ถ้าคุณไม่อยากทำ  แต่ในตราสารอนุพันธ์นั้น  ตราสารพวกนี้จะหมดอายุทุกๆ  3  เดือน  ซึ่งนั่นก็หมายความว่า  ถึงแม้ว่าคุณยังไม่อยากหยุดกำไรไว้มากแค่ไหนก็ตาม  แต่เมื่อตราสารเหล่านั้นหมดอายุลง  คุณก็ต้องปิดสถานะ  และนั่น...ก็เป็นการจำกัดกำไรที่คุณควรจะทำได้ลงไป  แต่ถ้าคุณยังคาดว่ามันจะต้องไปต่อในทิศทางที่คุณคิดไว้  คุณก็ต้องเปิดสถานะตราสารขึ้นมาใหม่  และนั่นก็หมายถึง  ค่าใช้จ่ายจากการทำธุรกรรมพวกนั้น  และถ้าเราลองสังเกตให้ดีจะพบว่า  เงินที่เราลงทุนไปกับตราสารอนุพันธ์เหล่านั้น  มันไปอยู่ในมือใคร  ถ้าจะให้พูดตรงๆก็คือเจ้ามือนั่นเอง  เจ้ามือก็คือหน่วยงานที่ตั้งขึ้นมาเพื่อดูแลเกี่ยวกับการซื้อ-ขายตราสารอนุพันธ์พวกนี้  สิ่งที่เจ้ามือทำก็คือ  หมุนเงินในระบบการซื้อขายให้กับคนที่เข้ามาเล่น  โดยการเอาเงินไปให้กับคนทายถูก  และหักเงินจากคนทายผิด  ซึ่งวิธีการที่ว่านี้  ตามความเห็นของผมเองแล้วรู้สึกว่า  ถ้าแม้นคนที่ลงทุนซื้อหุ้นจะมีความเสี่ยง  แต่ความเสี่ยงที่ว่านั้นก็ยังมีประโยชน์  ทำให้บริษัทขนาดเล็กหรือบริษัทที่ขาดเงินทุนได้เติบโตขึ้นไปได้จากเงินที่ระดมได้จากประชาชน  ซึ่งนั่นก็หมายถึงโอกาสในการพัฒนาประเทศถ้าบริษัทเหล่านี้ได้เติบโตขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นการจ้างงานหรือการส่งออกสินค้าเพื่อนำเงินตราจากต่างประเทศเข้ามา  ผมก็เลยคิดว่า  ตราสารอนุพันธ์พวกนี้มีประโยชน์อะไรบ้างกับระบบเศรษฐกิจของประเทศ  นอกจากจะเป็นการพนันเท่านั้น
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #670 เมื่อ: วันที่ 26 ตุลาคม 2012, 02:22:06 »

การ์ตูน  3  G


http://hilight.kapook.com/view/77405
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #671 เมื่อ: วันที่ 27 ตุลาคม 2012, 20:04:20 »

มาอ่านข่าวพ่อรวยกันหน่อย

http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=meowlady&month=12-10-2012&group=30&gblog=5

http://byowen.wordpress.com/2012/10/16/%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95-%E0%B8%84%E0%B8%B4/

http://www.cway-investment.com/2012/10/blog-post_14.html

โปรดใช้วิจารณญานในการย่อยข้อมูล
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Homuncruz
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 198


« ตอบ #672 เมื่อ: วันที่ 25 พฤศจิกายน 2012, 01:49:13 »

อยากรู้รายละเอียดเหมือนกันคับ พอจะมีข้อมูลลให้ศึกษาไหม ?
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #673 เมื่อ: วันที่ 27 พฤศจิกายน 2012, 02:50:59 »

ขออภัยที่หายไปนาน

     ช่วงนี้แม่ผมมาเที่ยวหาครับ  ก็เลยไม่ได้เอาข้อมูลมาลง  เพราะกว่าที่บทความใดๆของผมจะออกมาวางในกระทู้นี้ได้  ต้องผ่านการคิดอย่างรอบคอบจากผมแล้วว่ามันถูกต้องหรือเป็นความเห็นที่ดี(ในมุมมองของผมเอง)  เพราะฉะนั้นแล้ว  สมาธิสำคัญที่สุดครับ  เวลาที่ผมจะพิมพ์บทความสักบทหนึ่ง  มันจะต้องใช้อารมณ์  ใช้ความเงียบ  และต้องใช้สมองเพื่อกลั่นกรองเนื้อหาเป็นอย่างมาก  แต่พอแม่ผมมาหา  ผมก็เลยต้องใช้ความพยายามในการดูแลแม่ผม  เนื่องจากแม่ผมป่วยอยู่  สมาธิและเวลามันก็เลยมีไม่เพียงพอที่จะพิมพ์บทความใดๆได้  ถ้าแม่ผมกลับไปรักษาตัวที่บ้านแม่ผมเมื่อไหร่  ผมคงจะพิมพ์บทความที่ผมเห็นว่าเข้าท่าเอามาลงอีกนะครับ

     สำหรับคำถามของคุณ  Homuncruz  ผมไม่แน่ใจว่าที่ถามมาหมายถึงอะไร  แต่ถ้าต้องการรู้เกี่ยวกับหลักการลงทุนในหุ้นแล้ว  ผมว่าคุณควรจะเริ่มที่หนังสือระดับโลกที่เข้าใจง่ายเล่มนี้ก่อนนะครับ  และถ้าคุณอ่านไม่เข้าใจ  คุณก็ควรที่จะอ่านมันซ้ำหลายๆเที่ยวจนคุณเข้าใจนะครับ  เพราะผมก็อ่านเล่มนี้มาเกือบจะสิบรอบแล้ว  และทุกครั้งที่อ่าน  ผมก็มักจะพบเนื้อหาหรือมุมมองใหม่ๆเสมอ  ทั้งๆที่หนังสือก็เล่มเดิม


* รูปหนังสือ.jpg (8.7 KB, 162x245 - ดู 310 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
atzcret
โทรสั่งได้ทันที
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 261


08.2759.6554 / 08.6355.9519


« ตอบ #674 เมื่อ: วันที่ 09 ธันวาคม 2012, 13:49:23 »

เห็นภาพเลยคะ
ขอบคุณคะ
IP : บันทึกการเข้า

เพิ่มความสูง สูงขึ้นจริง100% สินค้านำเข้าจากเกาหลี
เสื้อกล้ามทอม คุณภาพดีอันดับ 1
kraiws
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 56


« ตอบ #675 เมื่อ: วันที่ 23 ธันวาคม 2012, 22:42:24 »

ใครมี GUNKUL WORK บ้างครับ
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #676 เมื่อ: วันที่ 24 ธันวาคม 2012, 20:56:36 »

ใครมี GUNKUL WORK บ้างครับ


ถามทำไมหรือครับ?  ถ้ามีอะไรดีในหุ้นทั้งสองตัวนี้  ท่านก็บอกมาได้เลย...อย่าช้า
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
kraiws
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 56


« ตอบ #677 เมื่อ: วันที่ 24 ธันวาคม 2012, 22:50:37 »

ทั้งFUNDA และ กราฟ ดีทั้งคู่ครับ
IP : บันทึกการเข้า
kraiws
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 56


« ตอบ #678 เมื่อ: วันที่ 24 ธันวาคม 2012, 22:53:02 »

แต่ราคามันวิ่งไปแล้วนะครับ ถามเฉยๆ
IP : บันทึกการเข้า
kraiws
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 56


« ตอบ #679 เมื่อ: วันที่ 24 ธันวาคม 2012, 22:58:02 »

GUNGUL กลางๆ ปีหน้า คงเห็น 40 -45 บาท
WORK 65 บาท
อย่างต่ำๆ นะ ถึงแหละ
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 24 25 26 27 28 29 30 31 32 33 [34] 35 36 37 38 39 40 41 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!