เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 27 เมษายน 2024, 03:46:59
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 [33] 34 35 36 37 38 39 40 41 พิมพ์
ผู้เขียน ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้  (อ่าน 293401 ครั้ง)
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #640 เมื่อ: วันที่ 26 สิงหาคม 2012, 17:33:01 »

     มาบอกข่าวเกี่ยวกับการเข้าร่วมสัมมนาครับ  ขอบอกก่อนนะครับว่า  ผมอยู่แต่รอบเช้าเท่านั้น  จริงๆแล้วอยากอยู่ทั้งวันนะครับ  แต่เนื่องจากว่า  ผมขายของตอนกลางคืน  เมื่อผมตื่นเช้ามาก  มันก็เลยง่วงครับ  ผมเลยกลับก่อน

     ที่นั่งไม่เต็ม  แสดงว่าชาวเชียงรายไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องการลงทุนเท่าที่ควรครับ  หรืออาจเป็นไปได้ว่า  หลายท่านไม่มีเวลาว่างในวันนั้นก็เป็นได้  หลายคนที่ผมเห็นไปร่วมงาน  คล้ายๆจะเป็นสปายชอบกล  เพราะมีทั้งคนจาก  CGS  คนจากธนชาติ  และสาวๆที่เคยทำงานที่ธนาคารทหารไทยสาขาไนท์บาซ่าร์

     รูปแบบงาน  เนื่องจากเนื้อหามีหลากหลาย  แต่เวลามีน้อย  การอธิบายเรื่องราวต่างๆเพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้าใจอย่างแจ่มชัดยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรครับ  และถ้าจะให้ผมเสนอแนะ  ผมแนะนำว่า  ถ้าจะจัดคราวหน้า  หรือใครจะจัดอีก  ควรจะเจาะเป็นเรื่องๆดีกว่า  และน่าจะเปิดโอกาสให้ผู้ร่วมงานได้ซักถามข้อข้องใจด้วย  เพราะดูๆไปแล้ว  มันไม่ต่างจากการนั่งดูโทรทัศน์ที่บ้านเลย  แต่เอกสารที่แจกมาให้นั้น  จากการที่ผมเอากลับมาอ่านดู  รู้สึกว่าเนื้อหาดีมากๆครับ  และที่ผมชอบมากๆคือ  เขาแจกหนังสือให้ผู้ร่วมงานคนละหนึ่งเล่ม  เลือกเอาตามสะดวก  ตามแต่เรื่องที่เราสนใจครับ

     อาหารการกิน  ต้องขอโทษด้วยที่ผมไม่ได้ทาน  เพราะผมไม่ค่อยชอบบรรยากาศแบบที่ต้องเบียดเสียดหรือต้องเร่งรีบกินครับ  อาหารมีหลายอย่าง  แต่โดยส่วนตัวแล้วผมว่า  ที่นั่งทานมันจำกัดไปหน่อยครับ  เหมือนจะพอดีคน  แต่ในความเป็นจริงแล้ว  คนที่เขาไปร่วมงาน  เขาก็ไม่ได้รู้จักกันทุกคน  เพราะฉะนั้นแล้ว  โต๊ะแต่ละตัวมันจึงควรมีที่ว่างเผื่อไว้ด้วย  อย่างเช่นโต๊ะบางตัวสามารถนั่งได้  4  ที่  แต่พอนั่งจริงๆแล้ว  กลับมีคนนั่งแค่  2  คน  การเตรียมโต๊ะ  จากการสังเกตุของผมเอง  ผู้จัดงานน่าจะเผื่อไว้สำหรับที่ว่างของผู้ร่วมงานที่ไม่รู้จักกันและไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะหรือต้องนั่งติดกับคนที่ไม่คุ้นเคยด้วยนะครับ

     แล้วคนที่ไปร่วมงานรู้ไหมว่าผมเป็นคนไหน?  ผมเป็นคนที่ยกมือคนเดียวในห้องสัมมนาเมื่อเขาถามว่า  มีใครสามารถทำผลตอบแทนได้เกิน  20  %  ในปีนี้บ้าง  อย่างไรเสีย  ผมก็ต้องขอขอบคุณและชมเชยธนาคารกรุงไทย  ที่ใจป้ำจัดงานนี้ขึ้นมานะครับ  เพราะเมื่อจัดงานไปแล้ว  ก็ไม่รู้ว่าจะได้ลูกค้าเพิ่มสักกี่คน  ยังไงผมขอเอาใจช่วยให้ได้ลูกค้าเยอะๆนะครับ

แล้วถ้ามีโอกาส  เอาไว้เจอกันใหม่ปลายปีตอนงานมหกรรมการลงทุนนะครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Oconner
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 36


« ตอบ #641 เมื่อ: วันที่ 26 สิงหาคม 2012, 19:30:48 »

เขาบอกหลายตั๋วอยู่ครับ แต่ผมคิดว่ามันขึ้นมาแล้วหมดหนะ กลุ่ม สื่อสาร  ธนาคาร เหมือนคุณวายุบอกครับเหมือนฟังในมันนี่แชลแนลเลย แต่กะถือว่าดีครับ ที่เชียงรายมีแบบนี้ตวย ผมว่าควรจะจัดตั้งนานแล้ว ตะก่อนผมไปฟังกรุงเทพปู้น ทั้งตลาดAFET FOREX ก่อน่าจะมาได้ละครับ ถ้าจะฮื้อดีเอาพวก S2M มาเลยมีคนรุ่นใหม่สนใจ๋อีกเยอะครับส่วนผม ผมถือว่าผมเป๋นนักลงทุนรุ่นใหม่ครับ  (เทรดอยู่ที่บ้านคอม 3 เครื่อง 4 จอ แนว...อิ อิ ) ฝากถึงโบรคในเจียงฮายตวย ทำก่อนได้ก่อนครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 27 สิงหาคม 2012, 15:02:04 โดย Oconner » IP : บันทึกการเข้า

Day Trade
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #642 เมื่อ: วันที่ 27 สิงหาคม 2012, 15:54:51 »

ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว
     ถ้าเราสังเกตให้ดีจะเห็นได้ว่า  โลกของเราทุกวันนี้  หมุนเร็วขึ้น  เปลี่ยนแปลงเร็วขึ้น  ไม่ว่าจะเป็นเทรนด์อะไรก็ตาม  ต่างก็เปลี่ยนแปลงในอัตราที่เร่งตัวขึ้นกว่าในอดีตมาก  ประเภทแบบว่า  มาเร็ว...เคลมเร็ว...ไปเร็ว  อะไรทำนองนั้น  สาเหตุใหญ่น่าจะมาจาก  ผู้ประกอบการแต่ละเจ้า  ต่างก็พยายามคิดค้นเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมใหม่ๆออกมาให้ดีกว่าหรือเหนือกว่าของคู่แข่ง  เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดให้ได้มากที่สุด  เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมกันแล้ว  ผลิตผลจากความคิดเหล่านั้น  ก็ได้กลายมาเป็นสินค้าให้เราได้ใช้กันอย่างทุกวันนี้  และคำถามหนึ่งที่ผุดขึ้นมาในใจของผมก็คือ  สิ่งที่เกิดขึ้นนี้  จะมีผลอย่างไรต่อชีวิตการลงทุนของพวกเรา  และเราจะปฏิบัติตัวเช่นไรต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

     ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องการเป็นนักลงทุน  อยากมีคนทำงานหาเงินมาให้  โดยที่เรานั่งๆนอนๆอยู่เฉยๆก็ได้เงินใช้แล้ว  เราควรเลือกบริษัทที่มีความสามารถในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างเช่นทุกวันนี้ได้ดี  สมัยก่อนเคยมีคนกล่าวไว้ว่า  ปลาใหญ่กินปลาเล็ก  แต่สมัยนี้เจ้าสัวธนินท์ได้ออกมาบอกว่า  ปลาเร็วกินปลาช้า  อันนี้ก็ท่าจะจริง  เพราะสมัยก่อนต้องยอมรับว่า  เจ้าเล็กๆนี่โดนเจ้าใหญ่บี้ขี้แตกเลย  แต่สมัยนี้  ใครๆก็ใหญ่กันทั้งนั้น  เมื่อต่างคนต่างใหญ่  ต่างคนต่างก็มีตังค์  ทีนี้มันก็ต้องมาวัดกันตรงกึ๋นนี่แหละว่า  ใครจะแน่กว่ากัน  และมันก็ขึ้นอยู่กับว่า  ใครชิงลงมือก่อน  คนนั้นได้เปรียบ  และต้องเป็นการลงมือก่อนแบบมีคุณภาพด้วย  เพราะถ้าไม่มีคุณภาพหรือเปิดช่องว่างไว้  มันจะกลายเป็นว่า  ไปกรุยทางให้คนอื่นเขาเห็นเสียเปล่าๆ  เพราะฉะนั้น  บริษัทต้องอาศัยความได้เปรียบเกี่ยวกับการไปถึงก่อนให้เป็นประโยชน์กับตัวเองด้วย  หรือถ้าไม่อย่างนั้น  ไปถึงทีหลังก็ได้  แต่ต้อง  “ดีกว่า”  ของเก่า  ดูอย่างบริษัทแอปเปิ้ลก็ได้  เขาทำมือถือขาย  แต่เขาทำได้ดีกว่าโนเกีย  บริษัทเขาก็เลยโดดเด่นขึ้นมาเป็นดาวได้  และช่วงหลังๆมานี้  ซัมซุงก็ขอแจมบ้าง  เอาราคามาท้าชน  อันนี้ก็ว่ากันไปตามกลยุทธ์ของแต่ละบริษัท  แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาแล้ว  เราจะเห็นได้ว่า  ทุกบริษัทต่างก็ต้องพัฒนาตัวเองให้ทันคู่แข่ง  หรือถ้าจะให้ดี  ควรจะนำหน้าคู่แข่งให้ได้  ถ้าบริษัทไหนล้าหลัง  บริษัทนั้นจะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง  และในไม่ช้ามันก็จะกลายเป็นอดีตไป  และที่แน่ยิ่งกว่านั้นก็คือ  มันจะสร้างนักลงทุนกลุ่มหนึ่งให้ติดดอยโดยที่ตัวเขาเองไม่รู้อิโหน่อิเหน่เลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น

     ผมเคยบอกไว้ว่า  การลงทุนที่จะสร้างความมั่งคั่งให้กับเราได้นั้น  ควรจะเป็นการลงทุนระยะยาวและไม่ควรซื้อขายบ่อย  แต่ถึงกระนั้นก็ตาม  ถึงแม้ว่าเราจะเชื่อมั่นในตัวบริษัทแค่ไหน  เราก็ควรจะต้องติดตามความเคลื่อนไหวของบริษัทที่เราไปลงทุนด้วยว่า  เขากำลังทำอะไรที่ไหนอย่างไร  และมันจะเกิดผลดีหรือไม่  เพราะถึงแม้ว่าเราจะเลือกบริษัทที่ดีแล้ว  แต่บางทีมันอาจมีบริษัทที่ดีกว่าโผล่ขึ้นมา  เพราะเหนือฟ้าก็ต้องมีฟ้า  หรือบางทีบริษัทอาจสะดุดขาตัวเองล้มก็ได้  คำแนะนำของผมก็คือ  ติดตามบริษัทไปเรื่อยๆ  ถ้าเรื่องราวมันยังดีอยู่ก็ยาว...วว  ไป  ให้อดทนถือหุ้นไว้  และเราก็ไม่ควรตกอกตกใจเวลาที่หุ้นมันตกลงมา

     การที่เราเลือกอยู่ในด้านของนักลงทุนนั้น  มันก็มีข้อได้เปรียบบางด้านที่มากกว่าเจ้าของกิจการเองด้วยซ้ำไป  บางด้านที่ผมว่านั้นก็คือ  ถ้าสมมุติว่าเราเป็นเจ้าของกิจการเช่น  7-11  อยู่  และเมื่อถึงจุดๆหนึ่ง  ที่เราไม่สามารถขยายสาขาไปไหนได้อีกแล้ว  เมื่อนั้นธุรกิจมันก็จะไม่เกิดการเติบโต  และเมื่อมันไม่เกิดการเติบโต  นับวันมันก็มีแต่จะเหี่ยวเฉาลง  ถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการ  เราคงต้องคิดหาวิธีจนหัวแทบระเบิดว่า  จะทำอย่างไรให้มันโตขึ้นได้อีก  ถ้าคิดได้มันก็ดี  แต่ถ้าคิดไม่ได้  เราก็คงจะเหมือนกับติดอยู่ในเมืองลับแลนั้นตลอดไป  แต่ถ้าเราเป็นนักลงทุนล่ะ  เมื่อเห็นว่าเจ้าของกิจการหมดไอเดียใหม่ๆที่จะทำให้มันโตได้อีก  เราก็อาจจะเทขายหุ้นรวดเดียวหมด  แล้วสะบัดตูดออกไปจากการลงทุนในบริษัทที่ไม่น่าสนใจนั้นแล้วพร้อมกับหอบเอาเงินก้อนใหญ่ที่เราทำได้  เพื่อเอาไปลงทุนในบริษัทอื่นที่น่าสนใจต่อไป  ซึ่งการที่เราเลือกที่จะเป็นนักลงทุนนั้น  ทำให้เราไม่ต้องติดอยู่กับบริษัทที่หมดอนาคตหรืออะไรก็ตามที่มันจะไม่ทำให้เงินของเรางอกเงยได้อีก  สิ่งที่เราจะต้องทำก็คือ  หมุนเงินให้มันโตไปเรื่อยๆ  โดยการเข้าไปลงทุนในบริษัทที่เราอ่านว่ามันจะทำให้เงินของเราโตได้อีก  และเมื่อมันหยุดโต  เราก็เอาเงินก้อนที่ได้มา  นำมันไปลงทุนซ้ำกระบวนการต่อไปเรื่อยๆไม่รู้จบ  ซึ่งวิธีการที่ผมกล่าวมาแล้วมันดูเข้าท่าไหม?  ยากไหม?  คำตอบที่ได้มันคงจะออกมาเป็นว่า  "เข้าท่ามาก  ไม่ยากเลย"  แต่ก่อนที่จะทำอย่างนั้นได้มันต้องเริ่มจาก  “ความรู้”  เสียก่อน  แล้วทุกวันนี้คนที่ต้องการรวยอย่างนักลงทุน  มีสิ่งนี้กันแล้วหรือยัง  เพราะเท่าที่ผมเห็น  แค่มีเงินและกราฟราคาหุ้น  (เครื่องมือทางเทคนิค)  ก็โดดเข้าไปลุยกันแล้ว  การลงทุนมันต้องมี  “ข้อมูล”  เสียก่อน  เมื่อมีข้อมูลแล้วมันก็ต้องตามด้วย  “แผนการ”  และเมื่อมีแผนการแล้วมันก็จะต้องตามด้วย  “วิธีการ”  เงินมาจากความคิด  ถ้าไม่เห็นเงินในสมอง  ก็จะไม่เห็นเงินในมือ  ทุกวันนี้คนที่ใช้สมองมากกว่าใช้แรง  จะเป็นคนที่ทำเงินได้มากกว่าและเหนื่อยน้อยกว่า  แต่บางครั้ง  การที่เราทำอะไรไปก่อน  พอผิดพลาดแล้วค่อยมาคิดได้ทีหลังก็ดีไปอีกแบบ  เพราะมันจะทำให้เราจดจำอะไรได้ดีกว่า  แต่ถ้าคุณได้ทำบางอย่างผิดพลาดไป  และคุณไม่ได้ความรู้อะไรเพิ่มขึ้นมาเลย  นั่นมันเป็นความเสียหายที่สูญเปล่าและน่าเสียดายมาก

     การที่ทุกวันนี้ผมยังไม่ได้ขายหุ้นของผมออกมาก็เพราะผมเห็นว่ามันยังโตได้อีก  ไม่ใช่พอขึ้นก็ขาย  พอลงก็ซื้อ  ซึ่งนั่น  มันเป็นวิธีการลงทุนของคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย  หรือบางทีคนที่ลงทุนในหุ้นตัวเดียวกันกับผมอาจจะรู้  แต่เขามีความอดทนไม่เพียงพอก็เป็นได้
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Oconner
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 36


« ตอบ #643 เมื่อ: วันที่ 27 สิงหาคม 2012, 21:37:36 »

ท่านที่เป็นนักลงทุนประเภทถือยาว ช่วยบอกเคล็ดลับหรือ เครื่องมือที่ใช้ช่วยในการตัดสินใจในการขายหุ้นในพอร์ท ให้เป็นความรู้หน่อยได้ไหมครับ ไว้เพื่อศึกษาครับ
IP : บันทึกการเข้า

Day Trade
nutbogger
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 207


« ตอบ #644 เมื่อ: วันที่ 27 สิงหาคม 2012, 22:16:17 »

วันนั้นผมได้เข้าช่วงบ่ายนะครับได้ความรู้มากมายเลยครับเขาก็แนะเคร็ดลับบางอย่างให้มากมายนะครับแบบsot-long แบบนี้ก็มีบ้านเราแล้วฮ่าๆๆๆๆผมก็นึกว่ามีแต่forex ซะอีกส่วนตัวเทรดforexครับอยู่บ้านเฮาครับกะว่าจะลองเปิดบัญชีกะเคทีซีมีโ้หน่อยครับเพื่อเทรดsot-long inset50 กะเขาบ้าง ยินดีที่ได้รู้จักนักลงทุนเชียงรายครับ
IP : บันทึกการเข้า
ซาลาเปา(เฉพาะกิจ)
...เฉพาะกิจเท่านั้น...
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 415


IN GOD I TRUST


« ตอบ #645 เมื่อ: วันที่ 28 สิงหาคม 2012, 11:25:57 »

วันนั้นผมได้เข้าช่วงบ่ายนะครับได้ความรู้มากมายเลยครับเขาก็แนะเคร็ดลับบางอย่างให้มากมายนะครับแบบsot-long แบบนี้ก็มีบ้านเราแล้วฮ่าๆๆๆๆผมก็นึกว่ามีแต่forex ซะอีกส่วนตัวเทรดforexครับอยู่บ้านเฮาครับกะว่าจะลองเปิดบัญชีกะเคทีซีมีโ้หน่อยครับเพื่อเทรดsot-long inset50 กะเขาบ้าง ยินดีที่ได้รู้จักนักลงทุนเชียงรายครับ
น่าจะเป็น short-long
IP : บันทึกการเข้า
ซาลาเปา(เฉพาะกิจ)
...เฉพาะกิจเท่านั้น...
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 415


IN GOD I TRUST


« ตอบ #646 เมื่อ: วันที่ 28 สิงหาคม 2012, 11:32:23 »

ท่านที่เป็นนักลงทุนประเภทถือยาว ช่วยบอกเคล็ดลับหรือ เครื่องมือที่ใช้ช่วยในการตัดสินใจในการขายหุ้นในพอร์ท ให้เป็นความรู้หน่อยได้ไหมครับ ไว้เพื่อศึกษาครับ
ท่านชำนาญด้านใด ก็คงต้องใช้ประยุกต์กับหุ้นตัวที่มี นอกเหนือจากข้อมูลข่าวสารและพื้นฐานของหุ้นนั้น  ยิงฟันยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 28 สิงหาคม 2012, 21:40:02 โดย ซาลาเปา(เฉพาะกิจ) » IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #647 เมื่อ: วันที่ 28 สิงหาคม 2012, 16:11:13 »

ท่านที่เป็นนักลงทุนประเภทถือยาว ช่วยบอกเคล็ดลับหรือ เครื่องมือที่ใช้ช่วยในการตัดสินใจในการขายหุ้นในพอร์ท ให้เป็นความรู้หน่อยได้ไหมครับ ไว้เพื่อศึกษาครับ

     งั้นผมจะตอบแบบคำตอบสุดท้ายเลยก็แล้วกันนะครับ  เพื่อไม่ให้เยิ่นเย้อ  เคล็ดลับของการถือยาวก็คือ "ความรู้"  ครับ เพราะถ้าคุณไม่รู้จักหุ้นตัวนั้นดีพอ  คุณกล้าถือยาวไหม?  ส่วนเครื่องมือนั้น  ถ้าคุณจะหมายถึงโปรแกรมต่างๆ  ผมไม่ได้ใช้ครับ  เพราะผมไม่เชื่อว่ามันจะใช้ได้อย่างถูกต้องทุกครั้ง  คุณลองยกตัวอย่างของคนที่ใช้แต่เครื่องมือทางเทคนิคพวกนั้นแล้วรวยระดับโลกมาให้ผมรู้หน่อยได้ไหมว่า  มีใครรวยเพราะใช้กราฟพวกนั้นบ้าง  แม้แต่คนที่เขียนโปรแกรมพวกนั้นขึ้นมา  ก็ยังไม่เห็นมีใครรวยระดับโลกเลย คุณรู้ไหมว่า  ทำไมพวกโบรกต่างๆจึงแนะนำให้ทุกคนลงทุนด้วยวิธีนี้  เพราะการใช้กราฟมันจะทำให้เราต้องซื้อขายบ่อย  และก็อย่างที่เรารู้  ไม่ว่าเราจะได้หรือเสีย  ใครเป็นคนได้ค่าคอม  จริงๆแล้วผมก็ไม่อยากท้าใครต่อใครที่เขาศรัทธาในเครื่องมือทางเทคนิคพวกนี้หรอกนะครับ  แต่ผมอยากให้ข้อคิดไว้อย่างหนึ่งว่า  เครื่องมือทางเทคนิค  ใครๆก็ใช้เป็น  เพราะมันมีสอนกันตามที่ต่างๆ  แล้วมีสักกี่คนที่รวยด้วยเทคนิค  ถ้าทุกคนรู้  ทุกคนต้องรวย...ถูกไหม?

     ส่วนเรื่องการตัดสินใจขายหุ้นนั้น  สาเหตุมันมีหลายอย่าง  เราต้องดูก่อนว่า  ก่อนที่เราจะเข้าไปลงทุน  เราตั้งธงไว้ว่าอย่างไร  ถ้าเราต้องการซื้อหุ้นที่มันเติบโต  เราก็ควรขายเมื่อมันหยุดโต  ถ้าเราเข้าซื้อเพราะราคามันถูก  เราก็ควรขายตอนที่ราคามันแพง  ถ้าเราเห็นว่าตอนนี้มันแย่  แต่อนาคตมันจะต้องกลับมาได้  เมื่อมันกลับมาได้แล้ว  มันก็หมดประเด็นที่จะเล่น  เอาแค่นี้ก่อนแล้วกันนะครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
nutbogger
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 207


« ตอบ #648 เมื่อ: วันที่ 28 สิงหาคม 2012, 20:07:47 »

ขอบคุณครับshort-long
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #649 เมื่อ: วันที่ 04 กันยายน 2012, 16:21:46 »

ต้นสาย  เป้าหมายใหม่
     วลีนี้ฟังๆไปก็คล้ายกับว่าจะชักชวนให้ไปทำธุรกิจเครือข่ายซะงั้น  แต่จริงๆแล้วผมกำลังพูดถึงเรื่องหุ้นอยู่ต่างหาก

     พอดีผมไปได้ข่าวมาว่า  มีหุ้นตัวหนึ่งกำลังจะเข้าตลาดหลักทรัพย์  และเท่าที่ผมลองใช้สินค้าของเขาดูแล้วปรากฏว่ามีความประทับใจพอประมาณ  ผมก็เลยมีความสนใจในหุ้นตัวนี้พอสมควร  จริงๆแล้วมันก็ยังต้องใช้เวลาอีกนาน  กว่าที่หุ้นตัวนี้จะเข้ามาซื้อขายได้  เพราะบริษัทกำลังเดินเรื่องอยู่  ตอนแรกผมคิดว่า  เอาไว้ใกล้ๆแล้วค่อยมาแนะนำดีกว่า  แต่พอมาคิดอีกทีหนึ่ง  ถ้ามันใกล้เกินไป  คนที่สนใจจริงๆก็อาจจะไม่ทันได้ตั้งตัวเพื่อเก็บเงินซื้อ  ผมก็เลยคิดว่า  ห่างๆอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน

     สำหรับหุ้นตัวนี้  ผมจะยังไม่แนะนำออกมาในกระทู้นะครับ  เพราะมันก็ยังไม่ได้มีข่าวว่าจะได้เทรดแน่นอน  เอาเป็นว่า  คนที่สนใจเพื่อที่จะลงทุนเป็นต้นสายของหุ้นตัวนี้จริงๆล่ะก็  PM  มาหาผมก็แล้วกัน  เพราะผมยังมีบางคำถามที่อยากรู้ว่าหุ้นตัวนี้ดีจริงสำหรับทุกคนหรือไม่  ผมก็เลยอยากสอบถามจากคนอื่นๆด้วย  ซึ่งกระบวนการในการคัดเลือกหุ้นตามแบบฉบับหรือสไตล์ของผมนั้น  เป็นการหาข้อมูลจากผู้ใช้จริง  สถานการณ์จริง  ไม่มีสตั๊นท์  ถ้าข้อมูลไม่ดีก็เจ็บจริงนะครับ  แต่ถ้าข้อมูลถูกต้อง  เราก็อาจจะรวยไม่รู้เรื่อง  ท่านที่สนใจอยากได้หุ้นตัวนี้ก็ต้องตอบคำถามของผมก่อนนะครับ  เพราะผมจะนำมันมาประเมินด้วยตัวเองจากผู้ที่ใช้สินค้านั้นจริงๆว่า  มีความรู้สึกอย่างไรต่อสินค้านั้น  เมื่อตอบคำถามผมจนเป็นที่พอใจแล้ว  ผมก็จะส่งบทวิเคราะห์ส่วนตัวของหุ้นตัวนี้ให้ทาง  PM  เหมือนกัน  เพราะผมมีข้อมูลเชิงลึกของตัวบริษัทด้วย  โดยการโทรไปสอบถามกับทางบริษัทเองเลยว่าผมเป็นนักลงทุน  และกำลังสนใจที่จะลงทุนในบริษัทของคุณ  เขาก็ให้ความร่วมมือดีมากครับ  ตอบทุกคำถามที่ผมอยากรู้  และผมก็ประเมินได้ว่า  บริษัทกำลังปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น  ถ้าเป็นไปได้  ผมอยากให้เพื่อนๆชาวเชียงรายมาลงทุนด้วยกันครับ  คุณรู้ไหมว่า  ตอน  ปตท.  เข้าตลาดใหม่ๆ  ราคา  35  บาทเท่านั้น  ตอนนี้ราคาสามร้อยกว่าบาทแล้ว  หุ้นแอดวานซ์ที่ทำเครือข่ายมือถือ  1-2-CALL  ตอนเข้าตลาดใหม่ๆน่าจะราคา  115  บาท  หลังจากแตกพาร์แล้วก็เหลือ  11.5  บาท  แต่ตอนนี้ราคาสองร้อยกว่า หุ้น  7-11  ตอนเข้าตลาดราคา  5  บาท  แต่หลังจากแตกพาร์ก็เหลือหุ้นละ  1  บาท  และตอนนี้เขาแจกหุ้นให้ฟรีอีก  นั่นเท่ากับว่า  เหลือต้นทุนแค่หุ้นละ  50  ตังค์  ตอนนี้ราคาหุ้น  สามสิบกว่าบาท  นี่ขนาดผมซื้อไว้แค่สองปี  ราคาเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเท่าตัวแล้ว  นี่ถ้าผมซื้อเร็วกว่านี้  เงินคงเพิ่มขึ้นมาอีกบานเบอะ  และยังมีหุ้นอีกหลายๆตัว  ที่ราคาหุ้นในปัจจุบัน  มีราคาเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่าจากวันที่เข้าตลาดครั้งแรก  ถ้าใครอยากมาร่วมด้วยช่วยกันค้นหากับผม  ก็  PM  มานะครับ  แล้วเรามาช่วยกันวิเคราะห์และแลกเปลี่ยนข้อมูลหุ้นด้วยกัน
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #650 เมื่อ: วันที่ 07 กันยายน 2012, 15:38:15 »

ดาวน์เกรด
     ทุกครั้งที่มีการลดอันดับความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ลง  หุ้นมักจะตกเสมอ  ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?  จากความเห็นส่วนตัวแล้วผมคิดว่า  เรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับสองสิ่งที่สัมพันธ์กัน  สิ่งแรกก็คือลูกค้าของธนาคารเหล่านั้น  และสิ่งที่สองก็คือตัวของธนาคารเอง

     สองสิ่งที่สามารถอธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆก็คือ  เมื่อธนาคารใดถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลง  ถ้าเราเป็น  ”ลูกค้า”  ของธนาคารนั้น  เราก็มักจะตกอกตกใจมิใช่น้อยว่า  อุตส่าห์ฝากเงินไว้ตั้งหลายบาท  กลัวเงินจะสูญเสียกระมัง  อย่ากระนั้นเลย  เราเร่งไปถอนเงินออกมาก่อนจะดีกว่า  ถ้ามันไม่เจ๊ง  เดี๋ยวเราค่อยเอาไปฝากคืนใหม่ก็ได้  เมื่อต่างคนต่างก็คิดอย่างนั้น  มันก็จะเกิดการเฮโลเข้ามาถอนเงินกับธนาคาร  แล้วคุณลองคิดดูสิว่า  ถ้าเราไปแย่งกันถอนเงิน  แต่ธนาคารไม่สามารถหาเงินก้อนใหญ่ขนาดนั้นมาให้เราได้  เนื่องจากว่ายังไม่ทันได้ตั้งตัว  มันจะเกิดความโกลาหลแค่ไหน  ยิ่งธนาคารไม่มีให้  มันก็ยิ่งแตกตื่นกันไปใหญ่  ทีนี้ล่ะได้เรื่อง  คุณลูกค้าที่เคารพก็จะไม่ฟังอีร้าค่าอีรมแต่อย่างใด  เขาจะแย่งกันพูดแต่ว่า  ”เอาตังค์กูคืนมา”

     จริงๆแล้วก็น่าเห็นใจธนาคารนะ  เพราะว่าการรับฝากเงิน  เราก็ต้องให้ดอกเบี้ยเขา  แล้วทีนี้เราก็จำเป็นที่จะต้องเอาเงินของเขาไปหมุนเพื่อทำให้มันออกดอกออกผลมากกว่าดอกเบี้ยที่จะต้องจ่ายให้แก่คนเอามาฝาก  ซึ่งหนึ่งในวิธีการทำเงินของธนาคารก็คือ  “เอาเงินไปลงทุนในตลาดหุ้น”  เมื่อตัวธนาคารเองถูกลดอันดับลง  ธนาคารก็ต้องอ่านเกมแล้วว่า  ถ้ามีลูกค้ามามะรุมมะตุ้มแย่งกันถอนเงิน  ทางธนาคารควรจะมีเงินให้เขาถอน  เพื่อลดการแตกตื่นเป็นวงกว้างของลูกค้า  เพราะฉะนั้น  ทรัพย์สินที่มีสภาพคล่องสูงๆขายออกไวๆอย่างหุ้นจึงโดนขายก่อนเป็นอันดับแรก  ถ้าบังเอิญเราก็อ่านเกมขาดเหมือนกัน  เมื่อหุ้นตกด้วยเหตุผลนี้  เราจะช้าอยู่ใยล่ะ  เพราะการที่หุ้นตกด้วยเหตุการณ์แบบนี้  มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวบริษัทที่เขาขายออกมาเลยสักนิด  เขาขายเพราะว่ามันขายได้เร็ว  เนื่องจากเป็นหุ้นที่ดี  มีคนรอรับซื้ออยู่เป็นจำนวนมากก็เท่านั้น  ถ้าเราวิเคราะห์แล้วเห็นว่า  บริษัทที่โดนขายไม่ได้มีปัญหาอะไร  เราก็ควรที่จะเข้าไปรับซื้อด้วยความนอบน้อม  ที่เขากรุณายอมขายหุ้นดีๆในราคาถูกๆให้  เอ...หรือว่าจะต้องซื้อด้วยความผยองดีนะ  เพราะถ้าเราไม่ยอมรับซื้อไว้  ธนาคารจะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายให้ลูกค้าล่ะถ้าไม่ใช่เงินของเรา  อิอิ  เพราะฉะนั้นแล้วผมจึงคอยย้ำเตือนมิตรรักทั้งหลายอยู่ตลอดเวลาว่า  ซื้อหุ้นต้องดูพื้นฐานก่อน  ไม่ใช่ดูที่ราคาหรือกราฟทางเทคนิคก่อน  เพราะเราเป็นนักลงทุน  มิใช่นักเล่นหุ้นที่คอยจับจังหวะตลาดอยู่ตลอดเวลา  การที่เราลงเงินไปกับความผันผวนของตลาดโดยที่ไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับตัวบริษัทเลยสักนิดนั้น  เสี่ยงมาก...ขอบอก  และคุณลองนึกถึงพวกงี่เง่าที่เอาแต่เดาว่าราคาหุ้นจะตกลงไปถึงเท่าไหร่ดูสิ  ไม่มีใครเดาถูกหรอก  ขนาดคนที่เขากำลังขายเอง  เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าราคาต่ำสุดมันจะอยู่ที่เท่าไหร่  เขาจะหยุดขายก็ต่อเมื่อได้เงินไปตุนไว้ตามที่ต้องการแล้วต่างหาก  ถ้าเป็นพวกที่นิยมคัทลอส(ขายเพื่อตัดขาดทุน)  เมื่อเห็นว่าตรงนี้หลุดแนวรับแล้ว(ราคาสุดท้ายที่มาร์กเอาไว้เพื่อกำหนดจุดในการรับซื้อหุ้น  แต่ถ้ามันยังลงต่อไปอีก  เขาก็คิดว่ามันจะต้องตกลงไปลึกมากกว่านั้น)  เขาก็จะผสมโรงขายหุ้นออกมาด้วย  มันก็จะขาดทุนตามเขาไปด้วย  บ้าไปกันใหญ่  ตัวอย่างที่ดีสำหรับเหตุการณ์นี้ก็คือช่วงวิกฤตซับไพร์ม  ตอนนั้นพวกสถาบันการลงทุนของอเมริกาใหญ่ๆอย่างพวกแบร์สเติร์น  เจ.พี.มอร์แกน  เมอร์รินลินช์  AIG  ฯลฯ  กำลังแย่  พวกสถาบันเหล่านี้ก็จำเป็นที่จะต้องดึงเงินกลับไปพยุงบริษัทก่อน  ซึ่งนั่นเป็นเหตุที่ทำให้หุ้นตกกันทั้งโลก  และเมื่อมีพวกนิยมคัทลอสเข้ามาผสมโรงด้วย  มันก็ยิ่งซ้ำเติมเหตุการณ์ให้เลวร้ายลงไปอีก  เมื่อเวลาผ่านไปและสถาบันพวกนี้บางแห่งไม่ได้ล้ม  เงินที่ไหลออกไปก็ไหลกลับเข้ามาในตลาดอีกครั้ง  เรื่องที่ดีเพียงอย่างเดียวของเหตุการณ์แย่งกันขายแบบนี้ก็คือ  นักลงทุนที่ศึกษาตัวบริษัทมาเป็นอย่างดีจะได้ของดีในราคาถูก

     ถ้าคนที่ชอบซื้อๆขายๆเป็นประจำหรือพวกที่ชอบใช้เทคนิคบอกว่า  ถ้าไม่ขายมันก็เจ็บน่ะสิ  มันก็ถูก...แล้วเราจะรู้ได้ไงว่าเราจะต้องขายตรงไหนและซื้อตรงไหน  เพราะเวลาหุ้นตก  คนที่มีหุ้นก็มักจะลุ้นให้มันกลับขึ้นมา  ก็เลยไม่ยอมขาย  เพราะกลัวขาดทุน  ส่วนพวกที่ไม่มีหุ้นก็จ้องตาเป็นมัน  เพราะราคาหุ้นตอนที่เกิดวิกฤตนั้นมันถูกมาก  แต่ปัญหาก็คือ  แล้วเราจะซื้อตรงไหนล่ะ?  ช่วงนั้นผมก็โดนไปกับเขาเหมือนกัน  ผมเคยเห็นหุ้น  ปตท.สผ  ราคาร้อยแก่ๆถึงสองร้อยต้นๆ  พอผมเห็นว่ามันตกลงมาเหลือร้อยต้นๆผมก็เลยโดดเข้าไปรับ  ผลสุดท้าย  2  นาทีเงินหายไปหมื่นนึง  เมื่อผมย้อนกลับไปมองตัวเองก็เห็นว่า  ถ้าผมซื้อไว้ตอนนั้นและถือไว้ไม่ยอมขาย  จนถึงวันนี้ผมก็ไม่ต้องขาดทุนมากขนาดนั้น  แถมยังได้กำไรอีกต่างหาก  นี่ยังไม่ได้นับปันผลที่เขาแจกให้ระหว่างถือหุ้นอีกนะ  เมื่อมาสรุปเป็นความเข้าใจส่วนตัวก็เลยเห็นว่า  ถ้าเรามั่นใจว่าบริษัทนั้นดีจริง  เพราะเราได้ศึกษามาแล้ว  และราคาที่เราเข้าไปรับซื้อก็เป็นราคาที่เราพอใจ  เราควรจะอดทนอยู่กับมัน  เพราะในที่สุด  มันก็จะกลับมา
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Ni KruNi
086-114-7787
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 544



« ตอบ #651 เมื่อ: วันที่ 07 กันยายน 2012, 16:05:09 »

 ยิ้มเท่ห์ ยิ้มเท่ห์ ยิ้มเท่ห์
เห็นด้วยอย่างยิ่งเจ้าค่ะ
IP : บันทึกการเข้า

ยามเฮาตุ๊ก ตึงบ่มีไผตวย ยามเฮารวย คนตวยเป็นปุ๊ก
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #652 เมื่อ: วันที่ 17 กันยายน 2012, 15:48:20 »

งานหนักไม่เคยฆ่าคน
     ผมเป็นคนชอบสังเกตครับ  เวลาผมขี่รถไปตามถนน  ผมชอบหันไปมองโน่นมองนี่เพื่อดูว่ามีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง  หรือว่ามีอะไรที่ผมควรจะรู้ไว้บ้าง  เพื่อจะได้ไม่ต้องเป็นคนตกยุค  หรือเป็นคนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรสักอย่าง  เวลาใครถามว่าอะไรอยู่ตรงไหน  เราจะได้รู้ไงครับ  ก็พอดีด้วยความที่สายตาชอบสอดส่ายนี่แหละ  ทำให้ผมได้อ่านข้อความหนึ่งที่มักจะแปะไว้ด้านท้ายรถของหลายๆคันว่า  “งานหนักไม่เคยฆ่าคน”  เมื่อผมอ่านดูแล้ว  ผมรู้สึกค้านกับคำกล่าวนั้นมาก  เพราะการที่เราต้องทำอะไรหนักๆ  นั่นคือการหักโหมใช่ไหม?  แล้วการหักโหม  มันดีหรือไม่?  ไม่ว่าจะเป็นหักโหมกิน  หักโหมเที่ยว  หักโหมเล่น  มันก็ไม่ดีทั้งนั้น  รู้สึกว่าข้อยกเว้นอย่างเดียวสำหรับคำพูดนี้ก็คือการหักโหมรวย  และเท่าที่ผมสังเกตดู  รถที่แปะข้อความนี้ส่วนมาก  มักจะเป็นคนที่...ยังไงดีล่ะ  ไม่อยากใช้ถ้อยคำรุนแรงเลย  เอาเป็นว่า  เขาคงไม่เคยรับรู้ว่า  มีวิธีทำเงินได้อีกมากมายหลายวิธีโดยที่ตัวเขาเองไม่ต้องไปหักโหมขนาดนั้น  ซึ่งตัวเขาเองอาจจะไม่รู้ก็เป็นได้  และในทางกลับกัน  ท้ายรถของคนที่ทำธุรกิจเครือข่ายจะออกแนวประมาณว่าทำแล้วรวย  จริงๆแล้วเขาก็ไม่ได้โกหกหรอกนะ  เพราะถ้าเราเริ่มทำตั้งแต่เป็นคนแรกๆเราก็อาจจะรวย  เพราะทุกเครือข่ายจะมี  ”ระบบ”  ทำงานให้เรา  ถ้าเราสามารถต้อนคนให้เข้ามาในระบบได้มากพอ  เราก็จะมีรายได้ที่มากมายในช่วงระยะเวลาหนึ่ง   แต่การที่เขามาบอกว่าในระบบธุรกิจเครือข่ายนั้น  หากเราทำสำเร็จแล้ว(ชวนคนได้เยอะ)  เราก็ไม่ต้องทำงานอีกเลยตลอดชีวิต  อยากหยุดเมื่อไหร่ก็หยุดได้  ซึ่งตามความเห็นของผมแล้ว  ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  เพราะทุกสิ่งที่เกิดขึ้นมาบนโลกนี้ล้วน  เกิดมา  ตั้งอยู่  และดับไป  นั่นคืออนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  ไม่มีสิ่งใดหรอกที่จะคงอยู่ไปได้ตลอดกาล  แม้แต่หุ้นของบริษัทดีๆ  เมื่อถึงวันหนึ่งที่หุ้นมันหยุดโต  ราคาหุ้นมันก็จะไม่ไปไหนอีกแล้ว  และเมื่อวันนั้นมาถึง  มันก็เป็นวันที่งานเลี้ยงต้องเลิกรา  มีเพียงตัวเราเท่านั้นที่จะสามารถเลือกได้ว่า  จะทำอย่างไรต่อไป  เอาล่ะ...มาพูดเรื่องงานหนักกันต่อดีกว่า  สำหรับคนที่เชื่อมั่นในคำนี้  ผมมีคำถามที่อยากรู้คือ  ถ้าคุณทำงานขับรถแล้วคุณไม่ยอมพักผ่อนเลย  คุณคิดว่างานนี้มันฆ่าคุณได้ไหม  ถ้าคุณเป็นกรรมกรต้องปีนขึ้นไปอยู่บนนั่งร้านสูงๆ  ถ้าคุณตกลงมา  คุณจะเป็นอะไรไหม  และถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้ทำงานที่เสี่ยงขนาดนั้น  แต่ถ้าคุณไม่ได้พักผ่อนเลย  สุขภาพในระยะยาวของคุณจะเป็นอย่างไร
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #653 เมื่อ: วันที่ 24 กันยายน 2012, 01:00:19 »

บ้าน  บ้าน  บ้าน
     เมื่อพูดถึงการทำเงินจากอสังหาริมทรัพย์  ทรัพย์สินส่วนใหญ่ที่เรานึกถึงก็คือบ้าน  และถ้าเราพูดถึงแต่เรื่องการทำกำไรล้วนๆเพียงอย่างเดียวโดยไม่ได้คิดถึงเรื่องค่าเช่าเลย  วิธีการทำกำไรจากบ้านนั้น  ผมสามารถแยกออกมาเป็นข้อหลักๆได้  3  ข้อดังที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้คือ

1.ซื้อบ้านตอนราคามันตก  ความหมายก็คือการซื้อบ้านในที่ๆมีทำเลดีอยู่แล้ว  เช่น  ในเมือง  ใกล้ห้าง  ใกล้โรงพยาบาล  ฯลฯ  หรือสรุปง่ายๆก็คือ  ซื้อตรงทำเลที่มันมีราคาดีอยู่แล้วนั่นเอง  เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ซื้อตามราคาที่เขาขายกัน  เราจะรอซื้อตอนที่มันเกิดวิกฤตเศรษฐกิจหรือเจ้าของร้อนเงินก็เลยเอามาปล่อยถูกๆอะไรเทือกนั้น  ยิ่งราคาห่างจากที่มันเคยเป็นอยู่เท่าไหร่  เราก็ยิ่งกำไรมากเท่านั้น

2.ซื้ออนาคต  ความหมายก็คือการซื้อบ้านตอนที่ราคามันยังไม่ได้ไปไหน  หรืออาจจะไปแล้วแต่ก็ยังไม่แพงเกินไปสำหรับอนาคตเช่น  ซื้อตรงที่ถนนตัดผ่าน  ซื้อตรงที่เขากำลังจะก่อสร้างอะไรสักอย่างซึ่งในอนาคตมันจะเป็นทำเลที่ดี  ฯลฯ  การซื้อในลักษณะนี้  เราต้องคาดการณ์ได้ว่าอนาคตมันจะดี  และมันก็จะมีผลทำให้ที่ๆเราซื้อไว้มีราคาเพิ่มขึ้น

3.ซื้อดะ  ความหมายก็คือเราไม่ได้สนใจหรอกว่าที่ตรงนั้นมันจะเป็นอย่างไรในอนาคต  มันจะอยู่ในเมืองหรือนอกเมือง  หรือมันจะอยู่ใกล้กับอะไร  เหตุผลก็เพราะเราต้องการทำกำไรระยะสั้นเท่านั้น  เราระลึกอยู่เสมอว่าจะต้องซื้อถูกขายแพง  เราอาจจะไม่ต้องการกำไรก้อนใหญ่  กำไรเท่าไหร่เราก็เอา  เพราะมันก็ดีกว่าอยู่เฉยๆ  เราไม่ค่อยจะอดทนที่ต้องครอบครองบ้านไว้นานๆ  เพราะเราต้องการหมุนเงินเราไปเรื่อยๆเพื่อไม่ให้มันจมอยู่กับที่  ถ้าวิธีการแบบนี้ทำสำเร็จ  มันก็สามารถทำเงินได้มากเหมือนกัน  แต่เป็นการได้เงินก้อนเล็กๆหลายๆครั้งเพื่อรวบรวมให้มันเป็นก้อนใหญ่  แต่ทีนี้ประเด็นก็คือ  เราจะสามารถทำอย่างนั้นได้ทุกครั้งหรือไม่  เพราะผมเคยได้ยินบางคนบอกว่า  ซื้อแล้วติดมือปล่อยไม่ออกก็มีเยอะแยะไป  ถ้าอยากจะให้มันออกเร็วๆก็ต้องขายถูกๆ  แต่เรื่องของเรื่องก็คือ  เขาซื้อมาตอนที่มันยังไม่ได้ลดราคาสักเท่าไหร่  ถ้าอยากได้เงินเอาไปหมุนต่อ  ก็คงต้องยอมขายขาดทุนบ้าง  ไม่งั้นเงินจม  ฟังๆดูแล้วเหมือนคนติดดอยในหุ้นอย่างไรไม่รู้

     เมื่ออ่านแล้วก็อดไม่ได้ที่จะนำมันมาเปรียบกับนักลงทุนในหุ้น  คนที่ซื้อหุ้นตามวิธีการในข้อ  1  นั้น  สมัยนี้เขาเรียกกันว่า  VI  คนที่จะเรียกตัวเองว่า  VI  ได้นั้นจะต้องมีความอดทนเป็นเยี่ยมทั้งการรอคอยให้ราคามันตก  และเมื่อซื้อแล้วก็มีความอดทนรอคอยให้ราคามันขึ้น  การตัดสินใจซื้อก็มีเหตุผลที่ดีในการซื้อ  เพราะถ้าเอามาเปรียบเทียบกับลักษณะการลงทุนซื้อบ้านในทำเลที่ดีอยู่แล้วนั้น  “แทบไม่เสี่ยงอะไรเลย”  ยกตัวอย่างเช่น  ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าบ้านที่อยู่ในตัวเมืองนั้น  “ทำเลดี”  จะไปไหนมาไหนก็สะดวก  จะหาอะไรกินก็ง่าย  แล้วถ้าราคามันตกลงมาทำไมจะไม่กล้าซื้อล่ะ  ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับบ้าน  เป็นที่แน่นอนว่าคนจะแย่งกันซื้อ  แต่เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดกับหุ้นของบริษัทที่ดี  กลายเป็นว่าแย่งกันขายหัวแทบแตกเพราะกลัวขาดทุน  ถ้าใครทำอย่างนั้นผมก็อยากถามว่า  นี่คุณบ้าไปแล้วรึ?  แย่งกันขายหุ้นดีๆออกมาทำไมกัน  พิลึกคนจริงๆ  ถ้าคุณขายตอนมันถูกๆ  ผมอยากจะถามว่า  ตอนที่มันแพงกว่านี้ทำไมคุณถึงกล้าซื้อ  งี่เง่าไม่เข้าท่า  และด้วยเหตุที่ว่าโลกนี้มีคนประเภทนี้อยู่เยอะ  VI  จึงยังคงทำเงินได้มาก  ไม่ว่าจะในสมัยไหนก็ตาม  ทั้งในอดีต  ปัจจุบัน  รวมถึงในอนาคตด้วย

     สำหรับคนที่ซื้อหุ้นตามวิธีการในข้อ  2  นั้น  เขาจะเป็นคนประเภทที่ลงทุนในหุ้นเติบโต  วิธีการลงทุนก็คล้ายๆกับการซื้อบ้านนั่นแหละ  เพราะเขาจะวิเคราะห์ดูว่า  หุ้นตัวที่เขากำลังจะซื้อเข้ามานั้นมันยังโตไปได้อีกจากวันที่ซื้อเข้ามา  บางครั้งราคาหุ้นที่ซื้อเข้ามามันอาจจะไม่ได้ถูกเหมือนกับหุ้นที่พวก  VI  ชอบซื้อ  แต่ถ้าเขาวิเคราะห์แล้วว่าวันนี้มันแพง  แต่ถ้ามันยังโตไปได้อีก  ราคานี้ก็ถือว่าถูกสำหรับการเติบโตที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  การลงทุนในลักษณะนี้  ต้องมีความรู้ความเข้าใจทั้งในตัวธุรกิจ  ตัวบริษัท  และคู่แข่ง  เมื่อวิเคราะห์ว่าดีแล้วก็ไม่ต้องรอให้มันถูกมากเหมือนหุ้น  VI  แต่ถ้ามีคนบ้าขายออกมาจนราคามันตกต่ำลงมา  นั่นก็นับว่าเป็นโชคดีของผู้ลงทุน

     สำหรับคนที่ซื้อหุ้นตามวิธีการในข้อ  3  นั้น  ผมกล้าพูดได้เต็มปากเลยว่า  นี่เป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดในตลาดหุ้น  แต่เป็นกลุ่มคนที่ทำเงินได้น้อยที่สุดในตลาด  ที่ผมบอกว่าทำเงินได้น้อยนั้นหมายถึงจำนวนคน  ไม่ใช่จำนวนเงิน  คนที่เล่นสั้นๆแล้วได้เงินเยอะมันก็มี  แต่คนที่ได้น้อยหรือเสียเงินจะมีมากกว่า  และจำนวนเกินครึ่งใช้วิธีการที่เรียกว่า  “เทคนิคคอล”  ผมคงไม่ต้องบรรยายมากว่ามันดีหรือไม่ดีอย่างไร  เพราะผมเคยให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้มาหลายครั้งแล้ว  และคนที่ซื้อๆขายๆบ่อยส่วนหนึ่งก็ไม่ได้ใช้เทคนิคเสมอไป  บางคนก็ซื้อขายด้วยความรู้สึกหรือที่เรียกว่าเซ้นส์  ซึ่งมันได้ผ่านการพิสูจน์แล้วว่า  “ผิด”  ถ้าคุณเป็นหนึ่งในกลุ่มคนลักษณะนี้และเถียงคอเป็นเอ็น  ผมถามคุณแค่คำถามเดียวว่า  “คุณรวยหรือยัง”  กับวิธีที่ใช้อยู่  ถ้าคุณยังไม่รวยก็แสดงว่า  วิธีที่คุณใช้อยู่นั้นมันไม่เวิร์ค  และไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายบ้านหรือการซื้อขายหุ้นบ่อยๆ  การทำธุรกรรมทุกครั้งจะมีค่าใช้จ่ายเสมอ  ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุแห่งความสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุของนักลงทุนเองด้วย  อันนี้ท่านผู้อ่านก็คิดกันเอาเองแล้วกันนะครับว่าคุณอยากเป็นนักลงทุนประเภทไหน

     แล้วถ้าพูดถึงกรณีที่สุดยอดในการซื้อบ้านและหุ้นขึ้นไปอีก  เมื่อเราจะลงทุน  มันต้องได้สองเด้ง  ถ้าเป็นบ้าน  เราควรจะได้ค่าเช่าและราคาบ้านที่เพิ่มขึ้นด้วย  และในกรณีของหุ้น  เราควรจะได้รับเงินปันผลและมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้น  และถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่า  การลงทุนแบบสุดยอดนี้  ไม่ต้องขยับตัวไปทำอะไรกับการลงทุนให้มากเลย  เราใช้สมองให้มาก  ลงทุนอย่างมีคุณภาพแบบไม่ต้องบ่อยครั้ง  นั่งเฉยๆรอรับผลตอบแทน  แล้วเราจะจ่ายน้อยกว่าที่เคยและเหนื่อยน้อยกว่าครับ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Ni KruNi
086-114-7787
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 544



« ตอบ #654 เมื่อ: วันที่ 24 กันยายน 2012, 08:23:48 »

มาซะดึกเชียว แต่ก็มีข้อคิดแถมมาเสมอๆเลย  ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

ยามเฮาตุ๊ก ตึงบ่มีไผตวย ยามเฮารวย คนตวยเป็นปุ๊ก
thexfile
ไม่ต้องบินให้สูงอย่างใครเขา... จงบินเอาเท่าที่เราจะบินไหว
สมาชิกลงทะเบียน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 349


ท่าที่บินไม่จำเป็นต้องเหมือนใคร แค่บินไปให้ถึงฝัน เท่านั้นพอ


« ตอบ #655 เมื่อ: วันที่ 24 กันยายน 2012, 22:12:27 »

เยี่ยมครับ ติดตามอ่าน บทความของคุณวายุเสมอ ชอบวิธีคิดครับ  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
มิสเตอร์เอฟ
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 261



« ตอบ #656 เมื่อ: วันที่ 30 กันยายน 2012, 02:26:10 »

ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ
IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #657 เมื่อ: วันที่ 01 ตุลาคม 2012, 15:52:54 »

นางงามลูกโป่ง
     สมัยที่ผมยังเด็ก  ผมได้เห็นการประกวดนางงามประจำหมู่บ้านที่ตายายของผมอาศัยอยู่  ตอนนั้นน้าสาวของผมก็เข้าประกวดด้วย  กติกาการตัดสินก็มีอยู่ว่า  ผู้จัดงานจะขายลูกโป่งให้กับผู้ชม  และให้ผู้ชมที่ซื้อลูกโป่ง  นำไปมอบให้กับคนที่คิดว่าสวยที่สุด  ถ้าผู้เข้าประกวดคนไหนได้ลูกโป่งมากที่สุด  คนนั้นก็จะได้เป็นนางงามในปีนั้น  และเมื่อการลงคะแนนโดยผู้ชมผ่านพ้นไป  ปรากฏว่าคนที่ได้ตำแหน่งก็คือลูกสาวของพ่อหลวง  ซึ่งถ้าว่ากันตามสายตาจริงๆแล้ว  น้าสาวของผมนั้นสวยที่สุด  อันนี้พูดจากสายตาตัวเอง  และผู้ร่วมงานที่อยู่ใกล้ๆกันนั้นออกปากวิจารณ์  แต่สาเหตุที่ลูกของพ่อหลวงได้ตำแหน่งก็คือ  “พ่อหลวงนั้นรวย”  จึงมีเงินไปซื้อลูกโป่งได้มาก  และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ  พ่อหลวงมีพวกมาก  เมื่อมีการลงคะแนนด้วยคนหมู่มาก  ลูกสาวของพ่อหลวงจึงได้ตำแหน่งไป

     หลังจากงานประกวดผ่านไปได้ไม่นาน  ก็มีพ่อเลี้ยงสวนมะขามที่  อ.แม่ใจ  มาสู่ขอน้าสาว  ซึ่งน้าของผมก็ตอบตกลง  แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  ทำไมพ่อเลี้ยงจึงไม่ไปขอคนที่ได้ตำแหน่งล่ะ?  จะมาขอนางงามตกรอบอย่างน้าผมทำไมกัน  ด้วยความเห็นส่วนตัวแล้วผมมองว่า  การที่คนเราจะต้องตัดสินใจทำอะไรเพื่อตัวเองสักอย่างแล้ว  สิ่งนั้นจะต้องดีที่สุดหรือตัวเราเองจะต้องพอใจที่สุด...ถูกต้องไหม  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้ามีคนหลายคนมาบอกว่า  อาหารร้านนี้อร่อยที่สุด  หรือเห็นลูกค้าเข้าร้านนี้ไม่ขาดสายเลย  แต่เมื่อเราลองไปซื้อมาชิมดูแล้วปรากฏว่า  “ไม่ถูกปาก”  เราก็เลยคิดว่าจะไม่เข้าร้านนี้อีก  ไม่ว่าเขาจะขายดีหรือจะมีคนมาเชียร์แค่ไหนก็ตาม  และถ้าเป็นในกรณีการขอสาว  ไม่ว่าใครจะมาเชียร์เราว่าสาวคนนี้สวยอย่างไร  แต่ถ้าสาวคนนั้น  “ไม่เข้าตา”  เราก็คงจะไม่ไปขอ  เหมือนอย่างที่พ่อเลี้ยงไม่ไปขอคนที่ได้ตำแหน่งนั่นแหละ  ซึ่งตรงนี้พอจะบอกได้ว่า  “คนทุกคนนั้นมีเหตุผลเพียงพอในการที่จะตัดสินใจกระทำสิ่งต่างๆเพื่อตัวเอง”  หรือพูดง่ายๆก็คือ...ต้องได้เลือก

     เมื่อเรามามองเรื่องการลงทุนในหุ้นกันบ้าง  บางครั้งหุ้นที่มีการซื้อขายคึกคัก  หรือเป็นหุ้นที่คนจำนวนมากกำลังให้ความสนใจเข้ามาลงทุนอยู่  ตัวเราเองก็เลยให้ความสำคัญเข้าไปลงทุนด้วย  แต่เราไม่ได้ดูว่า  หุ้นนั้นเหมาะกับเราหรือไม่  หรือสวยที่สุด...ดีที่สุดในสายตาของเราหรือยัง  บางทีการที่หุ้นบางตัวนั้นมีการซื้อขายคึกคัก  อาจเป็นไปได้ว่าพ่อหลวงกำลังเล่นอยู่(เพราะเขามีเงินเยอะ  และอยากให้ลูกสาวได้ตำแหน่ง)  ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง  เราจะยอมมอบลูกโป่งในมือของเราให้กับคนที่เขากำลังให้กัน  หรือเราอยากให้ลูกโป่งแก่คนที่สวยที่สุดในสายตาของเราล่ะ  ถ้าคุณให้ลูกโป่งแก่ลูกสาวของพ่อหลวง  นั่นก็แสดงว่าคุณกำลังแพ้กระแสสังคม  คุณได้สูญเสียการตัดสินใจของตัวคุณเองให้กับคนหมู่มาก  ถ้าคุณได้ตัดสินใจให้ลูกโป่งแก่คนที่คุณไม่ได้ตั้งใจเลือกเองว่าสวยที่สุดแล้ว  คุณจะเสียใจในภายหลังหรือไม่?

     บางครั้งเราอาจจะพบกับหุ้นที่เราคิดว่าดีสำหรับเรา  แต่เราสังเกตเห็นว่า  ทำไมหุ้นมันจึงไม่ค่อยมีการซื้อขายเลย  หรือว่าเราจะคาดการณ์ผิด  หรือว่าคนอื่นอาจจะไม่เห็นเหมือนอย่างที่เราเห็น  สารพัดจะคิดมาก  แต่อย่างไรเสีย  สุดท้ายเราก็ยังไม่ได้ซื้อหุ้นนั้นอยู่ดี  เพียงเพราะว่าคนอื่นไม่ได้ให้ความสนใจมัน  แต่เมื่อใดก็ตามที่หุ้นตัวนั้นเกิดวิ่งขึ้นมา  เราก็จะมานึกเสียดายว่า  เราเห็นก่อนคนอื่นแท้ๆแต่ดันไม่ซื้อ  จะให้ซื้อตอนนี้ก็ซื้อไม่ลงแล้วเพราะราคามันแพงมาก  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  คุณก็เลยไม่ได้เมียสวยๆซะที  เพราะตอนที่คุณเห็นก่อน  คุณก็ดันไม่ไปขอ  แต่พอมีคนอื่นมาขอตัดหน้าไป  คุณก็เลยต้องกินแห้วต่อไป  ว่าแต่ตอนนี้เถอะ  คุณมีคน(หุ้น)ที่อยากจะมอบลูกโป่งให้แล้วหรือยัง?
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 04 ตุลาคม 2012, 16:04:26 โดย วายุ » IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
►•••   Natz.   •••◄
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,434



« ตอบ #658 เมื่อ: วันที่ 01 ตุลาคม 2012, 17:10:55 »

นางงามลูกโป่ง
     สมัยที่ผมยังเด็ก  ผมได้เห็นการประกวดนางงามประจำหมู่บ้านที่ตายายของผมอาศัยอยู่  ตอนนั้นน้าสาวของผมก็เข้าประกวดด้วย  กติกาการตัดสินก็มีอยู่ว่า  ผู้จัดงานจะขายลูกโป่งให้กับผู้ชม  และให้ผู้ชมที่ซื้อลูกโป่ง  นำไปมอบให้กับคนที่คิดว่าสวยที่สุด  ถ้าผู้เข้าประกวดคนไหนได้ลูกโป่งมากที่สุด  คนนั้นก็จะได้เป็นนางงามในปีนั้น  และเมื่อการลงคะแนนโดยผู้ชมผ่านพ้นไป  ปรากฏว่าคนที่ได้ตำแหน่งก็คือลูกสาวของพ่อหลวง  ซึ่งถ้าว่ากันตามสายตาจริงๆแล้ว  น้าสาวของผมนั้นสวยที่สุด  อันนี้พูดจากสายตาตัวเอง  และผู้ร่วมงานที่อยู่ใกล้ๆกันนั้นออกปากวิจารณ์  แต่สาเหตุที่ลูกของพ่อหลวงได้ตำแหน่งก็คือ  “พ่อหลวงนั้นรวย”  จึงมีเงินไปซื้อลูกโป่งได้มาก  และอีกสาเหตุหนึ่งก็คือ  พ่อหลวงมีพวกมาก  เมื่อมีการลงคะแนนด้วยคนหมู่มาก  ลูกสาวของพ่อหลวงจึงได้ตำแหน่งไป

     หลังจากงานประกวดผ่านไปได้ไม่นาน  ก็มีพ่อเลี้ยงสวนมะขามที่  อ.แม่ใจ  มาสู่ขอน้าสาว  ซึ่งน้าของผมก็ตอบตกลง  แต่ประเด็นมันอยู่ที่ว่า  ทำไมพ่อเลี้ยงจึงไม่ไปขอคนที่ได้ตำแหน่งล่ะ?  จะมาขอนางงามตกรอบอย่างน้าผมทำไมกัน  ด้วยความเห็นส่วนตัวแล้วผมมองว่า  การที่คนเราจะต้องตัดสินใจทำอะไรเพื่อตัวเองสักอย่างแล้ว  สิ่งนั้นจะต้องดีที่สุดหรือตัวเราเองจะต้องพอใจที่สุด...ถูกต้องไหม  ยกตัวอย่างเช่น  ถ้ามีคนหลายคนมาบอกว่า  อาหารร้านนี้อร่อยที่สุด  หรือเห็นลูกค้าเข้าร้านนี้ไม่ขาดสายเลย  แต่เมื่อเราลองไปซื้อมาชิมดูแล้วปรากฏว่า  “ไม่ถูกปาก”  เราก็เลยคิดว่าจะไม่เข้าร้านนี้อีก  ไม่ว่าเขาจะขายดีหรือจะมีคนมาเชียร์แค่ไหนก็ตาม  และถ้าเป็นในกรณีการขอสาว  ไม่ว่าใครจะมาเชียร์เราว่าสาวคนนี้สวยอย่างไร  แต่ถ้าสาวคนนั้น  “ไม่เข้าตา”  เราก็คงจะไม่ไปขอ  เหมือนอย่างที่พ่อเลี้ยงไม่ไปขอคนที่ได้ตำแหน่งนั่นแหละ  ซึ่งตรงนี้พอจะบอกได้ว่า  “คนทุกคนนั้นมีเหตุผลเพียงพอในการที่จะตัดสินใจกระทำสิ่งต่างๆเพื่อตัวเอง”  หรือพูดง่ายๆก็คือ...ต้องได้เลือก

     เมื่อเรามามองเรื่องการลงทุนในหุ้นกันบ้าง  บางครั้งหุ้นที่มีการซื้อขายคึกคัก  หรือเป็นหุ้นที่คนจำนวนมากกำลังให้ความสนใจเข้ามาลงทุนอยู่  ตัวเราเองก็เลยให้ความสำคัญเข้าไปลงทุนด้วย  แต่เราไม่ได้ดูว่า  หุ้นนั้นเหมาะกับเราหรือไม่  หรือสวยที่สุด...ดีที่สุดในสายตาของเราหรือยัง  บางทีการที่หุ้นบางตัวนั้นมีการซื้อขายคึกคัก  อาจเป็นไปได้ว่าพ่อหลวงกำลังเล่นอยู่(เพราะเขามีเงินเยอะ  และอยากให้ลูกสาวได้ตำแหน่ง)  ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง  เราจะยอมมอบลูกโป่งในมือของเราให้กับคนที่เขากำลังให้กัน  หรือเราอยากให้ลูกโป่งแก่คนที่สวยที่สุดในสายตาของเราล่ะ  ถ้าคุณให้ลูกโป่งแก่ลูกสาวของพ่อหลวง  นั่นก็แสดงว่าคุณกำลังแพ้กระแสสังคม  คุณได้สูญเสียการตัดสินใจของตัวคุณเองให้กับคนหมู่มาก  ถ้าคุณได้ตัดสินใจให้ลูกโป่งแก่คนที่คุณไม่ได้ตั้งใจเลือกเองว่าสวยที่สุดแล้ว  คุณจะเสียใจในภายหลังหรือไม่?

     บางครั้งเราอาจจะพบกับหุ้นที่เราคิดว่าดีสำหรับเรา  แต่เราสังเกตเห็นว่า  ทำไมหุ้นมันจึงไม่ค่อยมีการซื้อขายเลย  หรือว่าเราจะคาดการณ์ผิด  หรือว่าคนอื่นอาจจะไม่เห็นเหมือนอย่างที่เราเห็น  สารพัดจะคิดมาก  แต่อย่างไรเสีย  สุดท้ายเราก็ยังไม่ได้ซื้อนั้นอยู่ดี  เพียงเพราะว่าคนอื่นไม่ได้ให้ความสนใจมัน  แต่เมื่อใดก็ตามที่หุ้นตัวนั้นเกิดวิ่งขึ้นมา  เราก็จะมานึกเสียดายว่า  เราเห็นก่อนคนอื่นแท้ๆแต่ดันไม่ซื้อ  จะให้ซื้อตอนนี้ก็ซื้อไม่ลงแล้วเพราะราคามันแพงมาก  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  คุณก็เลยไม่ได้เมียสวยๆซะที  เพราะตอนที่คุณเห็นก่อน  คุณก็ดันไม่ไปขอ  แต่พอมีคนอื่นมาขอตัดหน้าไป  คุณก็เลยต้องกินแห้วต่อไป  ว่าแต่ตอนนี้เถอะ  คุณมีคน(หุ้น)ที่อยากจะมอบลูกโป่งให้แล้วหรือยัง?

วรรคสุดท้ายอ่านแล้วขนลุกเลยครับ โดนเข้าเต็มๆเลย  บางทีเห้น vol. แล้วน้อยมากกลัวขายไม่ออกเลยไม่กล้าซื้อ บางตัว vol. เวอร์มากแต่ไม่เข้าราคาไม่งาม ยังไงแนะนำบทความแบบนี้เยอะๆนะครับจะเข้ามาอ่านเรื่อย ๆ  เป็นแนวทางเอาเก็บไปคิด  ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า
มิสเตอร์เอฟ
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 261



« ตอบ #659 เมื่อ: วันที่ 01 ตุลาคม 2012, 20:43:09 »

สวัสดีครับ ขออนุญาติเรียกว่าพี่วายุนะครับ ผมสมัครสมาชิกเชียงรายโฟกัส เพราะผมไปเซิร์ทความรู้ต่างๆเกี่ยวกับการลงทุน บังเอินมาเจอของพี่วายุ เป็นอะไรที่อ่านง่ายๆ เข้าใจสไตล์บ้านๆผมเป็นคนภาคกลางอายุ21 เองครับมาได้ภรรยาเป็นคนเชียงราย ค้าขายผัดไทแถวๆบ้านดู่ครับ แต่ผมสนใจเรื่องการลงทุนมาก อย่างที่ใครท่านหนึ่งว่า "ผมเล่นหุ้นตอนอายุ11 ผมว่ายังช้าเกินไป" จำคนพูดไม่ได้แล้วครับ สนใจแต่บทความ ห้าๆๆ   ขอบคุณครับสหรับความรู้ดีๆที่พี่อุตสาหะเขียนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม อ่านผ่านหลายครั้งเห็นพี่จะนัดคุยเรื่องหุ้น จะมีวันไหนอีกหรอกครับ ผมอยากไปคุยปรึกษาหาความรู้ด้วยคนนะครับ ด้วยความเคารพครับ เอฟ
IP : บันทึกการเข้า

หน้า: 1 ... 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 [33] 34 35 36 37 38 39 40 41 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!