เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 26 เมษายน 2024, 12:42:57
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 [17] 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 ... 41 พิมพ์
ผู้เขียน ใครมีเงินเย็น อยากลงทุนหุ้น มาทางนี้  (อ่าน 293378 ครั้ง)
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #320 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 15:58:18 »

ผู้ชนะบนค่าแรง 300
     ตอนนี้นโยบายที่ชัดเจนมากขึ้นของรัฐบาลก็คือ  การเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำให้เป็น 300  บาท  คิดว่าเป็นไปได้ไหม?  อันนี้ตอบไม่ได้ครับ  แต่ที่แน่ๆผมว่ายังไงก็ต้องขึ้น  เพราะถ้าไม่ขึ้น  รัฐบาลคงโดนจวกเละแน่นอน  และถ้าค่าแรงขึ้นแล้วหลังจากนั้นเหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อ  ผมว่าสินค้าก็คงมีราคาแพงขึ้น  เนื่องจากว่า  นายจ้างต้องบวกต้นทุนค่าแรงพนักงานเพิ่มเข้าไปในสินค้าด้วย  และเมื่อสินค้าต่างๆมีราคาแพงขึ้น  นั่นจึงเป็นภาวะที่เรียกว่าเงินเฟ้อ  ความหมายของเงินเฟ้อก็คือ  เงินมันด้อยค่าลง  ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากขึ้นเพื่อไปซื้อของเท่าเดิม  แล้วเรามีวิธีไหนบ้างที่จะหาความได้เปรียบจากเหตุการณ์นี้  ผมมีคำตอบให้แล้ว

     การจะหาความได้เปรียบจากเหตุการณ์นี้  สิ่งแรกที่ต้องรู้ก็คือ  เราต้องรู้ว่าอะไรคือทรัพย์สิน  และอะไรจะเพิ่มค่าขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อ  เดี๋ยวผมจะแยกย่อยให้ได้รู้

-บ้านและที่ดิน  เป็นที่แน่นอนว่า  เมื่อของทุกอย่างมีราคาเพิ่มขึ้น  บ้านและที่ดินก็มักจะมีราคาเพิ่มขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อไปด้วย  ในกรณีนี้  ถ้าเราซื้อบ้านและที่ดินด้วยเงินสด  เมื่อเวลาผ่านไป  บ้านและที่ดินนั้นก็จะมีราคาเพิ่มไปตามกาลเวลา  ถ้าเราซื้อบ้านและที่ดินเก็บไว้  มันก็มักจะเสมอตัวไม่ขาดทุน  หมายถึง  มันก็จะยังคงสามารถรักษาคุณค่าและราคาในตัวมันเองไว้ได้  หากสินค้าแพงขึ้น  บ้านและที่ดินก็จะมีราคาขึ้นตาม  ซึ่งในกรณีนี้  คนที่เป็นเจ้าของก็จะไม่เสียเปรียบเงินเฟ้อแต่อย่างใด  แต่ถ้าเราอยากได้เปรียบ  เราก็ต้องกู้เงินธนาคารมาซื้อบ้าน  ในกรณีการกู้เพื่อมาซื้อที่ดิน  บางธนาคารหรือทุกธนาคารจะไม่ให้กู้  ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลใด  งั้นเราก็ซื้อเฉพาะของที่กู้ได้ก็แล้วกัน  เราซื้อบ้าน 1 ล้านบาท  ดาวน์ไป 1 แสนบาท  กู้ธนาคาร 9 แสนบาท  จะดีแค่ไหนที่เราซื้อของราคา 1 ล้านในวันนี้  และใช้หนี้คืนด้วยเงินที่ด้อยค่าลงในอนาคต  นั่นคือความได้เปรียบอย่างแรก  ยิ่งค่าแรงเพิ่มขึ้นเท่าไหร่  เงินก็ยิ่งเฟ้อขึ้นเท่านั้น  นั่นก็หมายถึง  เราจะได้เปรียบธนาคารมากขึ้นเป็นลำดับ  และความได้เปรียบอย่างที่สองก็คือ  ราคาบ้านที่เราซื้อมามันจะมีราคาเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อ  และอย่างที่สาม  เราสามารถหาคนมาใช้หนี้แทนเราได้  โดยเอาบ้านให้เขาเช่า  แต่สิทธิ์ในบ้านนั้นยังเป็นของเราอยู่  คำว่าสิทธิ์ในที่นี้หมายถึง  การเป็นเจ้าของทรัพย์นั้น  และทรัพย์สินนั้นก็เพิ่มมูลค่าขึ้น  แต่ถ้าเราซื้อเงินสด  เราอาจจะไม่ได้โชคหลายชั้นแบบนี้  เพราะฉะนั้น  เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว  เรารีบมาเป็นหนี้กันดีกว่า  แต่มันก็ยังไม่ใช่เหตุผลที่คุณจะรีบออกไปหาซื้อบ้านโทรมๆมาหนึ่งหลังนะครับ

-หุ้น  ตรงนี้เราต้องเลือกดีๆ  เนื่องจากว่าหุ้นนั้นเป็นของบริษัทต่างๆที่ทำธุรกิจต่างชนิดกัน  และบริษัทต่างๆก็มีข้อได้เปรียบ-เสียเปรียบให้กับเงินเฟ้อไม่เหมือนกัน  ยกตัวอย่างเช่น 7-11 ของผม  ถ้าต้องขึ้นค่าแรงพนักงาน  ขนมปังเลอแปง  สเลอปี้  กาแฟ  ฮอทดอก  แฮมเบอร์เกอร์  ซาลาเปา  ก็คงจะต้องขึ้นด้วย  นี่ก็เป็นการทดแทนกันเพื่อให้สมดุลระหว่างรายรับและรายจ่ายได้  อันนี้คงพอเข้าใจนะครับ  ถ้าคุณสนใจหุ้นอะไรอยู่  ลองนึกดูว่าเขาจะสามารถเอาตัวรอดจากเหตุการณ์นี้ได้ยังไงก็แล้วกัน

-เงินฝาก  โอ้พระเจ้าช่วยกล้วยทอด  คุณฝากเงินหรือนี่  คุณรู้ไหมว่าคุณกำลังทำร้ายตัวเองอยู่  ถ้าคุณเก็บเงินไว้ 1 ล้านบาท  และถ้าข้าวขายกันที่จานละ 1 บาท  คุณก็ซื้อได้ล้านจาน  แต่ถ้าเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นจนเป็นจานละร้อยล่ะ  คุณจะซื้อข้าวได้กี่จาน  ขอแสดงความเสียใจด้วย  ที่คุณกำลังจะกลายเป็นผู้แพ้ในเกมนี้แล้ว  ถ้าไม่อยากหน้ามืด  ก็จงเอาเงินออกไปลงทุนซื้อบ้านได้แล้ว  และถ้าจะให้ดี  ก็กู้เสียเลย  อย่าไปกลัวว่าดอกเบี้ยมันจะขึ้น  เพราะถ้ามันขึ้นมากๆ  ฝรั่งก็จะเฮโลเอาเงินเข้ามาฝากจนเงินบาทมันแข็งโป๊ก  แล้วทีนี้ก็สนุกล่ะ  เพราะผู้ส่งออกก็ต้องด่าวดิ้นไปตามระเบียบ  เนื่องจากว่า  โดนเด้งที่หนึ่งเรื่องค่าแรง  และเด้งที่สองบาทแข็ง  ไม่เจ๊งคราวนี้จะเจ๊งคราวไหน

-พันธบัตรหรือตราสารหนี้  นี่ก็พอกันกับเงินฝากเลย  ดอกขึ้นกระติ๊ดเดียว  อย่าไปแตะมันเลย  ถึงแม้ว่าจะมีพันธบัตรชุดใหม่ชดเชยเงินเฟ้อก็ตาม  มันก็ยังขึ้นไม่ทันค่าข้าวอยู่ดี

-สลากออมสิน...พอกัน

-ทองคำ  ใครที่นึกว่าเงินเฟ้อมาต้องซื้อทองคำ  ผมอยากบอกว่า  มันไม่ใช่ตอนนี้  เพราะตลาดเทรดทองคำมันอ้างอิงกับดอลล่าร์  มันไม่ได้อิงกับบาท  ถ้าพิมพ์แบงค์ดอลออกมาเยอะ  ทองมันก็ขึ้นเหมือนช่วงก่อน  แต่นี่เขาเลิกพิมพ์แบงค์กันแล้ว  ไม่สังเกตหรือว่า  ช่วงนี้ทองมันไม่วิ่งแล้ว  ดูอืดๆจนอึดอัด  ถ้าบ้านเราค่าแรงขึ้น  มันเป็นที่ประเทศเราที่เดียว  คนอื่นเขาไม่ได้ขึ้นสักหน่อย  ถ้าราคาทองตลาดโลกไม่ขึ้น  ยังทรงๆอยู่แถวนี้  เผลอๆ  คนมีทองอาจขาดทุนด้วยซ้ำ  เนื่องจากว่า  ค่าแรงคนมันเพิ่มขึ้น  เมื่อนำไปเทียบกับทอง  ค่าแรงกับทองมันก็กำลังจะเข้ามาใกล้ชิดกัน  อย่างนี้ก็เท่ากับว่า  ทองมันด้อยค่าลงน่ะสิ  ไม่แน่  เดี๋ยวผมอาจจะไปถอยมาสักบาทก็ได้  รอให้ค่าแรงมันเพิ่มก่อนเถอะ

     โดยสรุป  ถ้าเราฝากเงิน  เราจะกลายเป็นผู้แพ้  ในทันทีที่ค่าแรงขึ้น  สินค้าทุกอย่างจะกระชากราคาขึ้น  แต่เงินคุณยังมีตัวเลขเท่าเดิมอยู่  เกมนี้คุณเสียเปรียบอย่างมาก  ถ้าคุณต้องการรักษาความมั่งคั่งให้คงอยู่เท่าเดิม  คุณก็จะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อชดเชยสิ่งที่มันเสียไป  แต่คุณจะทำอย่างนั้นไปทำไม  ในเมื่อมันมีทางที่ดีกว่า  ถ้าเราอ่านเกมออก  เราก็ลงมือทำก่อนที่มันจะเกิดขึ้น  ถ้าคุณไปซื้อทอง  คุณก็จะขาดทุนได้  ถ้าราคาทองตลาดโลกมันไม่ขึ้น  แต่ค่าแรงมันกำลังพุ่งขึ้นไปหาราคาทอง  ทีนี้ก็เท่ากับว่า  เราจะทำงานไม่กี่วัน  ก็สามารถซื้อทองได้แล้ว  เมื่อเป็นดังนี้ก็เท่ากับว่า  ทองกำลังด้อยค่าลงเมื่อเทียบกับค่าแรง  ถ้าคุณซื้อหุ้น  คุณต้องมีความรู้ด้านการเงินเป็นอย่างมาก  ถ้าคุณไม่รู้อะไรเลย  อย่าไปซื้อมันจะดีกว่า  หรือถ้าอยากซื้อหุ้นจริงๆ  ก็ปรึกษาผู้รู้ได้  ถ้าคุณซื้อบ้านโดยไปกู้ธนาคาร  เกมนี้เราได้เปรียบเป็นอย่างมาก  เนื่องจากว่ามูลหนี้มันเป็นตัวเลขเท่าเก่า  แต่เราใช้หนี้คืนด้วยเงินที่ด้อยค่าลง  และเรายังได้ประโยชน์จากราคาบ้านที่มันสูงขึ้น  แต่ก่อนซื้อบ้าน  ควรจะเลือกสักนิด  ว่าทำเลและราคามันสมเหตุผลหรือไม่  ถ้าคุณไม่ซื้อตอนนี้เนื่องจากบ่นว่าแพงไป  แล้วคุณไม่เสียใจที่ไม่ได้ซื้อไว้เมื่อ 10 ปีก่อนหรอกหรือ?  หรือคุณอาจจะลองดูก็ได้  ไม่ต้องไปซื้อบ้าน  แล้วรอดูว่า  หลังจากที่ค่าแรงมันพุ่งขึ้น  อะไรจะเกิดขึ้นกับราคาบ้านและที่ดิน

     เมื่อมาวิเคราะห์สำหรับตัวผมเอง  สิ่งที่ผมเป็นอยู่ในขณะนี้ก็คือ  ผมขายข้าวมันไก่  ถ้าค่าแรงขึ้น  ไก่ราคาขึ้น  ผมก็ขึ้นราคาสินค้าของผมเพื่อให้เหลือกำไร  อันนี้ก็เป็นการควบคุมความเสี่ยงได้ในระดับหนึ่ง  บางทีอาจเป็นความโชคดีของผม  ที่ผมอยู่ในตำแหน่งที่สามารถควบคุมรายรับรายจ่ายได้เอง  สำหรับเรื่องการลงทุน  หุ้นที่ผมเลือกไว้  ก็ทำธุรกิจที่ดี  มีความสามารถควบคุมกำไรในแบบที่ผมทำอยู่  ผมจึงเชื่อมั่นถือหุ้นต่อไป  ส่วนเรื่องบ้านที่ผมเพิ่งซื้อได้ปีกว่า  อันนี้ก็ถือได้ว่า  ถ้าเงินเฟ้อมาเมื่อไหร่  ผมก็ได้เปรียบเมื่อนั้น  ทุกวันนี้ผ่อนเดือนละ 4 พันกว่า  ขายข้าวจานละ 30  ถ้าเงินเฟ้อมาแรง  ก็ยังผ่อนบ้านเดือนละ 4 พันกว่าเหมือนเดิม  แต่ที่ไม่เหมือนคือ  ถ้าผมขายข้าวได้จานละ 40  บาท  ผมจะมีเงินผ่อนบ้านได้เดือนละเท่าไหร่น๊อ...ออออ
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #321 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 16:06:37 »

ตอบท่านคิว
     อย่างนี้แสดงว่า  ถ้าผมเสนอหน้าเข้าไปที่สรรพากร  อาจหน้าหงายมิใช่น้อย  เนื่องจากว่า  อาจต้องจ่ายเพิ่ม  งั้นผมไม่อยากได้คืนแล้ว  หักๆไปเถอะเงินปันผลน่ะ  ผมยกให้


     แสดงว่ารายได้จากการค้าขายของท่านค่อนข้างดี...?  ยิ้มกว้างๆ

     
IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #322 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 18:05:11 »

ตอบคุณ HipHopJaa
     ถ้าสนใจก็ซื้อเลยสิครับ  ผมบอกอย่างนี้จะเชื่อไหม.....  ก่อนที่จะลงมือทำอะไรก็แล้วแต่  ไตร่ตรองให้ดีก่อนนะครับ  เพราะถึงหุ้นจะดี  แต่ถ้ามันไม่เหมาะกับสไตล์คุณ  คุณก็อาจจะบอกไม่เห็นดีเลย  ดูอย่างวันก่อนนี้สิ  หุ้นพุ่งกระฉูด  แต่วันนี้มันลงมาแรงเลย  ถ้าเป็นคุณ  คุณจะตกใจขายหรือเปล่า  หรือคุณจะเป็นทุกข์และนอนไม่หลับไหม  ถ้าใช่  หุ้นตัวนี้อาจไม่เหมาะกับคุณก็ได้  บางทีคุณอาจจะชอบแบบสบายใจ  ไม่ชอบเอาหุ้นกลับบ้านไปนอนผวา  คุณก็ต้องเล่นแบบซื้อขายในวัน  ซึ่งเมื่อคุณเล่นแบบนั้น  คุณอาจจะว่าหุ้นพวกนั้นดีกว่าก็ได้  หรือคุณชอบแบบไม่ต้องขึ้นต้องลงมาก  คุณก็ต้องเล่นแบบหุ้นปันผลมากๆ  พยายามหาตัวเองให้พบก่อนครับ  แล้วหลังจากนั้นค่อยมาดูว่า  สไตล์ไหนเหมาะกับเรา  หรือถ้ายังไม่รู้อะไรเลย  ผมแนะนำให้ทำอย่างคุณวัยทองและคุณสิงโต  ไปเปิดบัญชีก่อน  แล้วหลังจากนั้นก็มาทดลองดู  ใช้เงินในตอนเริ่มแรกจำนวนน้อยๆ  ความฉลาดจะเกิดขึ้นได้เร็วจากการลงมือทำครับ  ถ้าเราเป็นแล้ว  เงินมากเท่าไหร่เราก็สามารถควบคุมได้

ใช่ครับ ตอนแรกๆที่ผมไปปรึกษาท่านวายุ ก็ได้ความรู้ต่างๆมากมาย

แต่มันไม่เท่ากับการที่เราลงมือทำเองหรอกครับ

10 ปากว่า ไม่เท่าลงมือทำ

เมื่อผมไปเปิดบัญชีและทำการซื้อขายครั้งแรก

มันทำให้ผมรู้ว่า ในตลาดหุ้นมันมีอะไรอีกมากมายที่ต้องศึกษา

และทำความเข้าใจอีกเยอะ และความฉลาดก็จะเริ่มเข้ามา

ความเข้าใจในการลงทุนนี้ก็จะเริ่มเพิ่มพูลขึ้นเรื่อยๆ

ซึ่งตอนนี้ ถึงแม้ว่าผมจะยังไม่รู้อะไรมากนัก

แต่ก็อยากบอกว่าก่อนลงมือกับหลังลงมือทำ

มันต่างกันแบบหน้ามือหลังมือเลยครับ

และผมก็กำลังตามหาแนวทางของผมอยู่เช่นกัน

ตอนนี้ก็เทรดเดย์ไปก่อน หุหุ

เป็นกำลังใจให้ครับ



ตอบท่านคิว
     อย่างนี้แสดงว่า  ถ้าผมเสนอหน้าเข้าไปที่สรรพากร  อาจหน้าหงายมิใช่น้อย  เนื่องจากว่า  อาจต้องจ่ายเพิ่ม  งั้นผมไม่อยากได้คืนแล้ว  หักๆไปเถอะเงินปันผลน่ะ  ผมยกให้


     แสดงว่ารายได้จากการค้าขายของท่านค่อนข้างดี...?  ยิ้มกว้างๆ

    

ท่าทางจะดีมากครับ

เพราะผมไปหา หลัง ทุ่มครึ่งหรือสองทุ่ม

ไม่ต้องคุยกันแล้วครับ ลูกค้ามายังกะโดนมนต์สะกด 555+

เต็มร้านไปหมดเลยครับ วิ่งเป็นนิลจาเลย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 18:08:15 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

singhato
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 697



« ตอบ #323 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 18:54:54 »

ถ้าเทสโก้ในไทยเป็นอย่างนี้แล้ว 7-11 จะเป็นยังงัยบ้างครับ
http://www.youtube.com/watch?v=nJVoYsBym88&feature=player_embedded
คงจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวทีเดียว ตกใจ ตกใจ ตกใจ
IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #324 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 21:04:39 »

ถ้าเทสโก้ในไทยเป็นอย่างนี้แล้ว 7-11 จะเป็นยังงัยบ้างครับ

คงจะเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวทีเดียว ตกใจ ตกใจ ตกใจ


ถ้าเป็นแบบนี้จริง ก็น่ากลัวเช่นกันครับ

ก็คงต้องเพิ่มหุ้นตัวนี้ในกระเป๋าไว้หน่อยแล้วงั้น
IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #325 เมื่อ: วันที่ 11 กรกฎาคม 2011, 23:54:20 »

ตอบคุณ singhato
     ก่อนอื่นเราต้องมาดูว่า  วิถีชีวิตความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตของคนไทยกับคนประเทศอื่นแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด  อย่างเกาหลีใต้เขาไฮเทคมาก  และก็ไม่ค่อยมีเวลาว่าง  ซึ่งการดำเนินธุรกิจอย่างที่เอามาให้ดู  จึงได้ผลค่อนข้างมาก  แต่พอย้อนกลับมาที่เมืองไทย  คนไทยส่วนใหญ่มักจะช่างเลือก  คุณเป็นคนแบบนี้หรือเปล่าครับ  อย่างผมนี่เป็นแน่นอน  พูดง่ายๆก็คือ  ถ้าไม่ได้เลือกเองกับมือ  ก็ไม่อยากจะซื้อ  เพราะบางทีสั่งซื้อแล้วเสียอารมณ์  ได้ของมาบางทีก็มีตำหนิ  เวลาขอเปลี่ยนขอคืนก็ยุ่งยาก  เพราะฉะนั้น  วิธีนี้มันอาจตอบโจทย์ในประเทศไทยไม่ได้  แต่ถึงตอบได้  ผมก็เชื่อมั่นว่า  7-11  คงไม่ปล่อยให้คู่แข่งล้ำหน้าไปแน่นอน  เนื่องจากกลุ่ม CP  เป็นกลุ่มที่มี  POWER มาก  ธุรกิจอาหารต้นน้ำก็กินรวบ  ถ้าสมมติว่า  เทสโก้มาแรง  ไม่ยอมแบ่งกันกินแบ่งกันใช้  CP  มีสินค้าอะไรบ้าง  ก็บีบเทสโก้ขี้แตกได้เช่น  นมเมจิ  หรือสินค้าต่างๆที่มีในเครือ  ก็อาจจะโก่งราคาขายให้กับเทสโก้ถ้าเทสโก้ต้องการนำไปขาย  แต่ถ้าเทสโก้รับมาราคาแพง  ก็ต้องขายแพงด้วย  แล้วเวลาตั้งขายแข่งกัน  คุณคิดว่าใครจะชนะ  เพราะ  CP  ทำเอง  อย่างการสื่อสารก็เหมือนกัน  กลุ่ม  CP  ก็มี  true  เป็นลูกอยู่  แล้วอย่างนี้คุณคิดว่า  ใครจะได้เปรียบ  ทุกวันนี้ 7-11 กำไรมาก  เนื่องจากว่าไม่มีคู่แข่งที่ใกล้เคียง  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  จึงขายแพงโดยไม่เกรงใจใคร  แต่ถ้ามีคู่แข่งเพิ่มเข้ามา  7-11  ก็คงสามารถลดราคาลงมาสู้ได้แน่นอน  เพียงแต่ว่า  มันยังไม่ใช่ตอนนี้  แล้ว 7-11  ก็เป็นเครือของ  CP  คุณคิดว่าใครจะได้เปรียบกว่ากัน  ระหว่างบริษัทในเครือ  กับพ่อค้าคนกลางอย่างเทสโก้  ซึ่งต้องมาคอยรับซื้อสินค้าจากชาวบ้านเพื่อนำไปขายต่อ  ข้อได้เปรียบทางธุรกิจนี้ผมรู้ดีพอสมควร  เนื่องจากว่าทุกวันนี้  ถ้าผมไม่ได้ทำสินค้าขึ้นมาเอง  แต่รับแฟรนไชส์มาจาก  CP  อย่างเช่นข้าวมันไก่ห้าดาว  ผมคงไม่สามารถมีกำไรอย่างทุกวันนี้เป็นแน่  โดยสรุป  ถ้าเป็นในประเทศไทย  7-11  ก็ยังไม่จำเป็นต้องกลัวใคร  แต่ถ้าต้องไปลุยที่อื่น  อันนี้ต้องคอยติดตามสถานการณ์อีกที
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #326 เมื่อ: วันที่ 14 กรกฎาคม 2011, 15:32:26 »

วันนี้เอาสูตรหาหุ้นมาฝาก  แต่ไม่รับประกันเด้อ

http://mangmaoclub.com/leading-stock-screening-formula/
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #327 เมื่อ: วันที่ 14 กรกฎาคม 2011, 15:58:18 »

ตอบคุณ singhato
     ก่อนอื่นเราต้องมาดูว่า  วิถีชีวิตความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตของคนไทยกับคนประเทศอื่นแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด  อย่างเกาหลีใต้เขาไฮเทคมาก  และก็ไม่ค่อยมีเวลาว่าง  ซึ่งการดำเนินธุรกิจอย่างที่เอามาให้ดู  จึงได้ผลค่อนข้างมาก  แต่พอย้อนกลับมาที่เมืองไทย  คนไทยส่วนใหญ่มักจะช่างเลือก  คุณเป็นคนแบบนี้หรือเปล่าครับ  อย่างผมนี่เป็นแน่นอน  พูดง่ายๆก็คือ  ถ้าไม่ได้เลือกเองกับมือ  ก็ไม่อยากจะซื้อ  เพราะบางทีสั่งซื้อแล้วเสียอารมณ์  ได้ของมาบางทีก็มีตำหนิ  เวลาขอเปลี่ยนขอคืนก็ยุ่งยาก  เพราะฉะนั้น  วิธีนี้มันอาจตอบโจทย์ในประเทศไทยไม่ได้  แต่ถึงตอบได้  ผมก็เชื่อมั่นว่า  7-11  คงไม่ปล่อยให้คู่แข่งล้ำหน้าไปแน่นอน  เนื่องจากกลุ่ม CP  เป็นกลุ่มที่มี  POWER มาก  ธุรกิจอาหารต้นน้ำก็กินรวบ  ถ้าสมมติว่า  เทสโก้มาแรง  ไม่ยอมแบ่งกันกินแบ่งกันใช้  CP  มีสินค้าอะไรบ้าง  ก็บีบเทสโก้ขี้แตกได้เช่น  นมเมจิ  หรือสินค้าต่างๆที่มีในเครือ  ก็อาจจะโก่งราคาขายให้กับเทสโก้ถ้าเทสโก้ต้องการนำไปขาย  แต่ถ้าเทสโก้รับมาราคาแพง  ก็ต้องขายแพงด้วย  แล้วเวลาตั้งขายแข่งกัน  คุณคิดว่าใครจะชนะ  เพราะ  CP  ทำเอง  อย่างการสื่อสารก็เหมือนกัน  กลุ่ม  CP  ก็มี  true  เป็นลูกอยู่  แล้วอย่างนี้คุณคิดว่า  ใครจะได้เปรียบ  ทุกวันนี้ 7-11 กำไรมาก  เนื่องจากว่าไม่มีคู่แข่งที่ใกล้เคียง  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  จึงขายแพงโดยไม่เกรงใจใคร  แต่ถ้ามีคู่แข่งเพิ่มเข้ามา  7-11  ก็คงสามารถลดราคาลงมาสู้ได้แน่นอน  เพียงแต่ว่า  มันยังไม่ใช่ตอนนี้  แล้ว 7-11  ก็เป็นเครือของ  CP  คุณคิดว่าใครจะได้เปรียบกว่ากัน  ระหว่างบริษัทในเครือ  กับพ่อค้าคนกลางอย่างเทสโก้  ซึ่งต้องมาคอยรับซื้อสินค้าจากชาวบ้านเพื่อนำไปขายต่อ  ข้อได้เปรียบทางธุรกิจนี้ผมรู้ดีพอสมควร  เนื่องจากว่าทุกวันนี้  ถ้าผมไม่ได้ทำสินค้าขึ้นมาเอง  แต่รับแฟรนไชส์มาจาก  CP  อย่างเช่นข้าวมันไก่ห้าดาว  ผมคงไม่สามารถมีกำไรอย่างทุกวันนี้เป็นแน่  โดยสรุป  ถ้าเป็นในประเทศไทย  7-11  ก็ยังไม่จำเป็นต้องกลัวใคร  แต่ถ้าต้องไปลุยที่อื่น  อันนี้ต้องคอยติดตามสถานการณ์อีกที

ตอบทุกท่านที่สงสัยครับ Tescolotus กับ CP เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง

7-11 หรือ CP เฟรชมาร์ท ก็น่าจะเป็นตัวกระจายสินค้า  แล้วไม่มีใครสนใจ Office Mate กับผมเหรอ... ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B9%89_%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%AA
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
singhato
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 697



« ตอบ #328 เมื่อ: วันที่ 14 กรกฎาคม 2011, 18:18:24 »

ตอบคุณ singhato
     ก่อนอื่นเราต้องมาดูว่า  วิถีชีวิตความเป็นอยู่และการใช้ชีวิตของคนไทยกับคนประเทศอื่นแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด  อย่างเกาหลีใต้เขาไฮเทคมาก  และก็ไม่ค่อยมีเวลาว่าง  ซึ่งการดำเนินธุรกิจอย่างที่เอามาให้ดู  จึงได้ผลค่อนข้างมาก  แต่พอย้อนกลับมาที่เมืองไทย  คนไทยส่วนใหญ่มักจะช่างเลือก  คุณเป็นคนแบบนี้หรือเปล่าครับ  อย่างผมนี่เป็นแน่นอน  พูดง่ายๆก็คือ  ถ้าไม่ได้เลือกเองกับมือ  ก็ไม่อยากจะซื้อ  เพราะบางทีสั่งซื้อแล้วเสียอารมณ์  ได้ของมาบางทีก็มีตำหนิ  เวลาขอเปลี่ยนขอคืนก็ยุ่งยาก  เพราะฉะนั้น  วิธีนี้มันอาจตอบโจทย์ในประเทศไทยไม่ได้  แต่ถึงตอบได้  ผมก็เชื่อมั่นว่า  7-11  คงไม่ปล่อยให้คู่แข่งล้ำหน้าไปแน่นอน  เนื่องจากกลุ่ม CP  เป็นกลุ่มที่มี  POWER มาก  ธุรกิจอาหารต้นน้ำก็กินรวบ  ถ้าสมมติว่า  เทสโก้มาแรง  ไม่ยอมแบ่งกันกินแบ่งกันใช้  CP  มีสินค้าอะไรบ้าง  ก็บีบเทสโก้ขี้แตกได้เช่น  นมเมจิ  หรือสินค้าต่างๆที่มีในเครือ  ก็อาจจะโก่งราคาขายให้กับเทสโก้ถ้าเทสโก้ต้องการนำไปขาย  แต่ถ้าเทสโก้รับมาราคาแพง  ก็ต้องขายแพงด้วย  แล้วเวลาตั้งขายแข่งกัน  คุณคิดว่าใครจะชนะ  เพราะ  CP  ทำเอง  อย่างการสื่อสารก็เหมือนกัน  กลุ่ม  CP  ก็มี  true  เป็นลูกอยู่  แล้วอย่างนี้คุณคิดว่า  ใครจะได้เปรียบ  ทุกวันนี้ 7-11 กำไรมาก  เนื่องจากว่าไม่มีคู่แข่งที่ใกล้เคียง  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  จึงขายแพงโดยไม่เกรงใจใคร  แต่ถ้ามีคู่แข่งเพิ่มเข้ามา  7-11  ก็คงสามารถลดราคาลงมาสู้ได้แน่นอน  เพียงแต่ว่า  มันยังไม่ใช่ตอนนี้  แล้ว 7-11  ก็เป็นเครือของ  CP  คุณคิดว่าใครจะได้เปรียบกว่ากัน  ระหว่างบริษัทในเครือ  กับพ่อค้าคนกลางอย่างเทสโก้  ซึ่งต้องมาคอยรับซื้อสินค้าจากชาวบ้านเพื่อนำไปขายต่อ  ข้อได้เปรียบทางธุรกิจนี้ผมรู้ดีพอสมควร  เนื่องจากว่าทุกวันนี้  ถ้าผมไม่ได้ทำสินค้าขึ้นมาเอง  แต่รับแฟรนไชส์มาจาก  CP  อย่างเช่นข้าวมันไก่ห้าดาว  ผมคงไม่สามารถมีกำไรอย่างทุกวันนี้เป็นแน่  โดยสรุป  ถ้าเป็นในประเทศไทย  7-11  ก็ยังไม่จำเป็นต้องกลัวใคร  แต่ถ้าต้องไปลุยที่อื่น  อันนี้ต้องคอยติดตามสถานการณ์อีกที

ตอบทุกท่านที่สงสัยครับ Tescolotus กับ CP เป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันครับ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง

7-11 หรือ CP เฟรชมาร์ท ก็น่าจะเป็นตัวกระจายสินค้า  แล้วไม่มีใครสนใจ Office Mate กับผมเหรอ... ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม

http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B9%89_%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%AA
แล้วจะมีคู่แข่งไหมเนี้ยแข่งกันเอง
แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเปิดใกล้กันจังครับน่าจะกระจายกันให้กว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #329 เมื่อ: วันที่ 14 กรกฎาคม 2011, 19:05:25 »

อ้างถึง
แล้วจะมีคู่แข่งไหมเนี้ยแข่งกันเอง
แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมเปิดใกล้กันจังครับน่าจะกระจายกันให้กว้างๆ

ก็คงอยากให้ผู้บริโภคได้เลือกสิ่งที่ดีที่สุดละมั้งครับ

แต่ใครจะไปรู้ว่า ยังไงตังก็ไหลไปที่เดียวกัน

แต่เท่าที่เข้าหลังสุด เทสโกมินิ ก็พัฒนาขึ้นเหมือนกันนะครับ
IP : บันทึกการเข้า

น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #330 เมื่อ: วันที่ 15 กรกฎาคม 2011, 23:44:46 »

ถ้าท่านวายุว่า' ช่วยลงอธิบายเกี่ยวกับ การซื้อ-ขาย

ของฝรั่งหน่อยนะครับ ว่ามีผลต่อตลาดหุ้นบ้านเรายังไงครับ

จะได้กลับมาอ่านได้ เพราะผมชอบลืม อิอิ

ขอบคุณครับ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 16 กรกฎาคม 2011, 12:50:21 โดย วัยทองคะนองรัก » IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #331 เมื่อ: วันที่ 17 กรกฎาคม 2011, 19:21:26 »

ตอบท่านวัยทอง
     การดูยอดฝรั่งซื้อ-ขายดูได้ที่

http://www.set.or.th/set/nvdrbystock.do;jsessionid=F197FFDD3A9E9D56BBA0F9555AF781F5

     การดูรายการนี้คล้ายกับการทำศึก  หมายถึงรู้เขารู้เรา  แต่ถ้าฝรั่งกลับลำ  เราก็ช้ากว่าเขา 1 วันอยู่ดี  แต่อย่างไรก็ช่าง  มันก็ดีกว่าไม่มีที่ให้ดู  ผมใช้เครื่องมือรายการนี้พอสมควร  เพราะบางที  ราคาหุ้นไม่ไป  แต่ฝรั่งเข้าซื้อทุกวัน  มันก็เป็นนิมิตหมายอันดีว่า  หุ้นนั้นยังน่าสนใจลงทุนอยู่  แต่ถ้าฝรั่งขายทุกวัน  แต่หุ้นยังไม่ลง  ถ้าเราไม่แน่ใจ  ก็ขายตามออกมาก่อนได้  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น  ดูที่พื้นฐานกิจการจะดีที่สุดครับ  สังเกตดีๆครับ  ดูย้อนหลังไปหลายๆวัน  ฝรั่งซื้อ CPALL ตั้งแต่หลังเลือกตั้งมาตลอด  ตอนนี้ยอดซื้อสะสมของ  CPALL  มี 20 กว่าล้านหุ้นเข้าไปแล้ว
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #332 เมื่อ: วันที่ 17 กรกฎาคม 2011, 19:23:55 »

วันนี้ผมเข้าไปหา อ้าว ปิดร้านซะงั้น

ว่าจะเอาหนังสือไปคืนครับ

เลยไม่ได้คืนสักกำ อ่านจบแล้วครับ

เดี๋ยววันพรุ่งนี้เข้าไปให้ครับ

ถ้าจะให้ดีขอยืมต่อแหมเล่นเน้อ อิอิ
IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #333 เมื่อ: วันที่ 17 กรกฎาคม 2011, 19:38:02 »

ค้นหาตัวเอง
     คำถามมีอยู่ว่า  ทำไมเราต้องทำอย่างนั้นด้วย ?  จริงๆแล้วเรื่องนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่า “ความโชคดี”  เพราะถ้าเรามีชีวิตอยู่โดยที่ไม่รู้ว่า  เราอยากทำอะไร  เราอยากเป็นอะไร  ถือว่าชีวิตนี้น่าเสียดายมาก  เพราะการที่เราเกิดมาในชาตินี้กับเขาหนึ่งครั้ง  แต่เรากลับมีชีวิตอยู่อย่างจืดชืดไร้รสชาติ  และไม่ได้ทำสิ่งที่เราอยากจะทำหรืออยากจะเป็น  อย่างนี้ถือว่า  เกิดมาไม่คุ้ม  หรือบางคนอาจจะเกินไปบ้าง  ทำมันทุกอย่างที่มีให้ทำ  บางทีไม่สมควรก็ยังจะทำเช่น  ลองยาเสพติด  อย่างนี้มันก็เกินไป  แต่จริงๆแล้วการลองนั่นลองนี่  มันก็ไม่ถือว่าผิดเสมอไป  เพราะถ้าเราไม่ลอง  เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราชอบหรือไม่ชอบ  เพราะฉะนั้นแล้ว  การลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ  และเมื่อพบสิ่งที่ใช่แล้วและยึดติดกับมัน  ก็ถือได้ว่าเป็นชีวิตที่คุ้มค่าแล้ว  เพราะถือได้ว่า  เราได้ทำในสิ่งที่เป็นตัวเรา  ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่หาตัวเองพบ  และกำลังยึดอยู่กับมัน  คุณจงรู้ไว้เถอะว่า  คุณคือคนที่โชคดีที่สุดในโลกคนหนึ่งเลยทีเดียว

เริ่มค้นหาตัวเอง
     ตั้งแต่เด็กมา  ผมมีความชอบหลายอย่าง  ทั้งชอบเก็บเงิน  ชอบฟังเพลง  ชอบกินของอร่อย  ชอบขี่รถเที่ยว  แต่ในตอนนั้น  มันก็ยังเป็นเพียงแค่ความชอบเฉยๆ  ยังไม่ได้คิดจริงจังอะไรมาก  แต่พอจบ ม.3  แล้วต้องไปทำงาน  ผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่า  สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่มันไม่ใช่  แต่จะทำไงได้ในเมื่อเรามีความรู้เพียงแค่นี้  ตอนนั้นผมตัดสินใจว่า  เราคงต้องเรียนต่อ  เพื่อไปจากจุดนี้ให้ได้  เมื่อคิดได้ดังนั้น  ผมจึงไปสมัครเรียนสารพัดช่างพระนครเหนือภาคค่ำสาขาช่างซ่อมมอเตอร์ไซค์  ในใจตอนนั้นคิดว่า  ผมชอบขี่รถ  ก็น่าจะชอบซ่อมรถด้วย  แต่พอได้ไปเรียนแล้วกลับพบว่า  มันไม่ใช่อย่างที่คิด  ผมเรียนแบบไม่มีใจให้การเรียนเลย  เนื่องจากผมรู้แล้วว่ามันไม่ใช่ตัวผม  แต่ผมก็ทนเรียนจนจบนะ  วันที่เขามอบใบประกาศ  ผมไม่ไปรับ  เพราะผมรู้แล้วว่า  ถึงได้ไปผมก็คงจะไม่ไปเป็นช่างซ่อมรถแน่นอน  อย่างดีก็แค่  เอาไปประดับฝาบ้านเท่านั้น  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว  ใบประกาศนั้น  มันจึงไม่มีความหมายต่อผม  แต่มันอาจจะเป็นชีวิตของคนอื่นๆก็ได้

สะสมความรู้
     ในช่วงชีวิตของผม  พูดได้ว่าผมเป็นคนหนึ่งที่ชอบกินข้าวมันไก่มาก  ตอนอยู่กรุงเทพ  เวลาที่เห็นใครบอกว่าร้านข้าวมันไก่ที่นั่นที่นี่อร่อย  ผมต้องดั้นด้นไปชิมให้ได้  เมื่อได้กินแล้วผมก็จะซึมซับเอารสชาติที่ได้กินให้มันติดลิ้น  และคิดในใจว่า  ที่เขาบอกว่าอร่อยมันคือรสชาติแบบนี้  เมื่อผมตระเวนชิมมากๆ  รสชาติที่คนเขาบอกว่าอร่อยกันก็มักจะเป็นแนวๆนี้  และผมคิดในใจมาตลอดตั้งแต่ตอนนั้นว่า  ผมอยากขายข้าวมันไก่  เพราะผมคิดว่า  นี่แหละที่ผมคิดว่าใช่  เมื่อผมมาเรียนต่อที่เชียงรายจนจบและผ่านเรื่องราวหลายอย่างดังที่ได้ลงไว้ก่อนหน้านี้จนได้ไปทำงานที่โรงแรม  ตอนแรกผมเข้าไปเป็นบาร์น้ำ  ตอนนั้นผมก็รู้ได้เลยว่า  นี่ไม่ใช่ผมอีกแล้ว  แต่ตอนนั้นกำลังลำบาก  งานอะไรก็ทำไปก่อน  พอดีที่โรงแรมมีดีเจออกไปหนึ่งคน  เหลืออยู่แค่คนเดียว  พอเหลือคนเดียว  คนนี้ก็เลยต้องทำงานทุกวันไม่ได้หยุด  จะป่วยจะตายยังไงก็ต้องมาเพราะไม่มีอะไหล่  ตอนนั้นรับสมัครดีเจอย่างไรก็ไม่มีใครมา  เนื่องจากว่า  ให้เงินเดือนเขาน้อย  พอดีผมเป็นคนชอบเพลงอยู่แล้ว  ผมจึงขอเขาขึ้นเป็นดีเจ  เขาก็เลยตกลงและหาคนมาแทนตำแหน่งบาร์น้ำของผมทันที  ตอนเป็นดีเจผมมีความสุขมาก  เพราะได้ทำในสิ่งที่เรารู้ว่าใช่  เมื่อทำงานเก็บเงินได้มากพอควร  ผมจึงคุยกับแฟนว่า  เราขายข้าวมันไก่กันไหม  ผมไม่รู้ว่าจะทำมันสำเร็จหรือไม่  ตอนนั้นมีความหวังแค่ว่า  ประสบการณ์ที่เราสะสมมา  คงจะช่วยผมได้ในจุดนี้  ซึ่งก่อนที่ผมจะเริ่มขาย  ผมก็สำรวจดูว่า  แถวๆที่ผมจะขายนั้น  มีใครทำบ้างไหม  แต่ตอนนั้นไม่มีใครขายกลางคืนเลย  ผมจึงตัดข้อที่มีคู่แข่งออกไปได้  ตอนนี้ที่เหลือก็อยู่ที่ตัวเราแล้ว

เริ่มลุย
     ผมไปถอนเงินที่สะสมอยู่ออกมาลงทุน  โดยให้แฟนมาขายคนเดียวไปก่อน  ส่วนผมก็ยังเป็นดีเจต่อไป  เพราะผมก็ยังชอบเสียงเพลงอยู่และยังมีรายได้มาจุนเจือในกรณีที่ขายของยังไม่มีกำไร  ในตอนกลางวันผมกับแฟนก็ช่วยกันทำของขาย  พอตอนเย็นผมก็มาตั้งร้านให้แฟน  เมื่อตั้งร้านเสร็จ  ผมก็กลับไปอาบน้ำแต่งตัวมาทำงาน  พอทำงานเสร็จ  ผมก็มาช่วยแฟนเก็บร้านแล้วกลับบ้าน  ตอนแรกที่เริ่มขาย  ก็ยังทำไม่ค่อยอร่อยหรอก  จะพยายามถามลูกค้าตลอดว่าเป็นอย่างไรบ้าง  บางคนก็ติ  ซึ่งผมก็อยากขอบคุณเป็นอย่างสูง  เนื่องจากว่าถ้าไม่มีคนติ  ผมก็จะไม่มีการปรับปรุงจนมันอร่อยขึ้นมาได้  เมื่อผมเริ่มทำสำเร็จ  คู่แข่งก็ก้าวเข้ามา  แต่กว่าที่คู่แข่งจะเข้ามา  มันก็ช้าไปแล้ว  เนื่องจากว่า  ถ้าเขามาตั้งแต่ตอนที่ผมกำลังเริ่มกิจการ  ตอนนั้นยอมรับว่าผมไม่ใช่มืออาชีพ  เพิ่งจะเริ่มนับหนึ่งกันเลยทีเดียว  ถ้าเขาเข้ามาในตอนนั้นและทำได้ดีกว่า  ผมก็คงเจ๊งไปแล้ว  แต่ตอนนี้พูดได้เต็มปากเลยว่า  ถ้าผมไม่เลิกขายเอง  คงไม่มีใครสามารถมาทำให้ผมเจ๊งได้  เพราะผมขายมาหลายปีแล้ว  และตลอดเวลาหลายปีนั้น  ผมเห็นคู่แข่งปรากฏตัวมาตลอด  แต่ก็อยู่ได้ไม่นาน  ผมไม่อยากเอ่ยชื่อหรอกครับ  เพราะจะเป็นการซ้ำเติมเขา  แต่ก็พูดได้ว่า  มีเกินสิบเจ้าทีเดียว  ถ้าใครสนใจเรื่องการสร้างธุรกิจ  ก็ปรึกษาผมได้นะ  ยินดีให้คำแนะนำ  ด้วยประสบการณ์จริงของผมเอง  พอดีช่วงนั้นร้านอาหารที่ผมทำงานอยู่เจ๊ง  ผมก็เลยออกมาขายของอย่างเดียวจนถึงทุกวันนี้

ความรู้ที่ต้องแสวงหา
     เมื่อผมออกมาขายของ  มันก็มีเวลาเหลือมากกว่าการเป็นลูกจ้างเป็นไหนๆ  ซึ่งช่วงนั้น  ผมก็กำลังพยายามลงทุนในกองทุนรวมอยู่  แต่ผมก็ยังไม่รู้เรื่องอะไรอยู่ดี  นั่นมันเป็นเพราะว่า  ถ้าเราลงทุนในกองทุนรวม  สิ่งที่เราได้เรียนรู้ก็คือ  การส่งเงินไปให้มืออาชีพบริหาร  ไม่ใช่การบริหารเงินเอง  เมื่อคิดได้ดังนี้  ผมก็เลยไปปิดบัญชีกองทุนและเริ่มลงมือซื้อหุ้นเองทันที  และนี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบ  นั่นคือการทำเงินให้มากขึ้น

ความรู้ราคาถูก
     ผมเริ่มมองหาหนังสือเกี่ยวกับหุ้น  แต่แหล่งที่ผมได้หนังสือที่ดี  กลับกลายเป็นร้านหนังสือมือสองที่เขาขนมาขายที่งานพ่อขุน  ผมก็ไม่เข้าใจว่า  คนที่เป็นเจ้าของหนังสือพวกนั้นเป็นมือแรก  ยอมทิ้งหนังสือดีๆเหล่านั้นได้อย่างไร  แต่ก็ช่างเถอะ  ถือว่าเป็นบุญของผมก็แล้วกัน  เพราะถ้าเขาไม่ทิ้งหนังสือดีๆเหล่านั้นออกมา  ผมก็คงไม่มีความรู้เรื่องหุ้นอย่างทุกวันนี้เป็นแน่

ลงทุนเวลา
     เมื่อผมได้หนังสือมา  ผมพยายามศึกษามันให้ลึกซึ้งที่สุด  ถ้าผมอ่านแล้วไม่เข้าใจ  ผมจะกลับมาอ่านซ้ำหลายๆรอบจนเข้าใจ  หนังสือที่ผมมีแต่ละเล่ม  ผมอ่านซ้ำไม่ต่ำกว่าเล่มละ 5 รอบ  ทุกวันนี้ผมก็ยังเอามาอ่านก่อนนอนทุกวัน  วนไปวนมาในหนังสือที่เกี่ยวกับการลงทุนที่ผมชอบ  เหมือนเป็นการทบทวนบทเรียนให้ขึ้นใจ  และทุกครั้งที่ผมย้อนกลับมาอ่านหนังสือเล่มเดิม  ผมพบว่ามักจะเจอเนื้อหาบางอย่างเพิ่มขึ้นมาตลอด  ทั้งๆที่ผมก็เคยอ่านมันผ่านตามาแล้วหลายรอบ  แต่ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น  ผมยอมรับว่าผมไม่ใช่คนฉลาด  ผมก็เลยพยายามเรียนรู้ให้มากๆ  ซึ่งการที่เราอ่านหนังสือมากๆและทำความเข้าใจกับการลงทุนให้ลึกซึ้งดีแล้วค่อยลงมือ  ผมว่ามันก็เป็นการลดความเสี่ยงได้ดีในระดับหนึ่งทีเดียว

ลุย
     เมื่อผมศึกษากลยุทธ์ต่างๆมากพอแล้ว  ผมก็เริ่มลงมือซื้อขายหุ้นทันที  ผมก็คงเหมือนกับนักลงทุนคนอื่นๆทั่วไปที่เริ่มเข้าตลาด  ผมเริ่มการลงทุนด้วยหุ้นปั่นทันที  โดยมีความหวังว่าจะรวยเร็ว  แต่ก็ต้องเจ็บซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบหมดกำลังใจ  ในตอนนั้นผมก็คิดว่า  ผมทำอะไรผิดพลาดหรือไม่  ผมจึงได้เสียเงินอยู่ตลอดเวลา  เพราะกลยุทธ์ที่ผมใช้  ไม่ว่าจะเป็นแบ่งเงินเป็นหลายส่วน  ทยอยรับ  ทยอยขาย  หรือกลยุทธ์ซื้อแล้วถือยาว  หรือการกระจายความเสี่ยง  ซื้อไว้หลายๆตัว  มันก็ใช้ไม่ได้ทั้งนั้น  ตอนนั้นคิดว่า  เราคงไม่เหมาะกับการลงทุนในหุ้นเสียกระมัง  ผมจึงมานั่งวิเคราะห์ว่า  สาเหตุที่เราไม่ประสบผลสำเร็จในการลงทุนเป็นเพราะอะไร  จากการวิเคราะห์ผมสรุปได้ว่า

-ผมซื้อหุ้นโดยดูที่การขึ้นลงของหุ้นมากกว่าพื้นฐานของหุ้น
-หุ้นแต่ละตัวมีพื้นฐานที่ไม่เหมือนกัน
-หุ้นแต่ละตัวทำธุรกิจที่ไม่เหมือนกัน
-ผมดูที่ตลาดมากกว่าทำความเข้าใจกับธุรกิจ
-กลยุทธ์ที่ใช้ได้กับหุ้นของบริษัทหนึ่ง  อาจใช้ไม่ได้กับอีกบริษัทหนึ่ง
-ผมซื้อหุ้นโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบริษัทนั้นทำธุรกิจอะไร
-ถือยาวโดยไม่รู้ว่า  นั่นไม่ใช่ธุรกิจที่ต้องถือยาว
-การกระจายความเสี่ยง  จริงๆแล้วทำให้เราเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น

     เมื่อมานั่งวิเคราะห์ถึงสาเหตแห่งการเสียเงิน  ผมพบสิ่งผิดพลาดมากมายดังที่กล่าวมา  เดี๋ยวผมจะแยกย่อยให้รู้ว่า  ในมุมมองของผมแล้ว  สิ่งที่ผมกล่าวมา  มันมีความหมายอย่างไรบ้าง

-ผมซื้อหุ้นโดยดูที่การขึ้นลงของหุ้นมากกว่าพื้นฐานของหุ้น  อันนี้เรียกได้ว่า  เราเป็นนักพนัน  เพราะเราลงทุนเหมือนกับการแทงหัวก้อย  หรือแทงต่ำสูง  เพราะหุ้นมันก็มีแค่ขึ้นกับลง  ฉะนั้นแล้วในข้อนี้  ผมไม่ควรจะดูสิ่งที่มันลวงตาอย่างเช่นราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นวิ่งลงมากนัก  เวลาที่เรามานั่งมองจอคอมแล้วเห็นหุ้นมันวิ่งปรู๊ดปร๊าด  เราคิดในใจว่า  ถ้าเราซื้อราคานี้  แล้วพอมันขึ้นถึงราคานี้เราจะขาย  กำไรเท่าไหร่บวกลบในใจเสร็จสรรพ  แต่ในความเป็นจริง  บางทีมันก็ขึ้นไม่ถึงราคาในใจเรา  มันขึ้นไปถึงจุดหนึ่งแล้วมันก็ลง  หรือพอซื้อปุ๊บมันก็ลงเลย  หรือถ้ามันขึ้นไปจนถึงราคาที่เราคิดไว้แล้ว  เราก็เกิดความโลภว่า  มันจะต้องไปต่อ  เราจึงยังไม่ขายออกมา  แต่พอภาวะบูมนั้นสิ้นสุดลง  ราคาหุ้นดิ่งลงอย่างรวดเร็ว  เราก็หวังใจว่า  มันจะกลับมาสู่จุดนั้นอีก  แล้วเราก็จะขายจริงๆเสียที  แต่จนแล้วจนรอด  มันก็ไม่กลับมาอีกเลย  บางทีร้ายกว่านั้น  มันดิ่งทะลุทุนเราลงไป  ทำให้จะขายก็ไม่อยากขาย  เพราะเมื่อกี๊กำไรอยู่แท้ๆยังไม่เอาเลย  ตอนนี้จะให้มาขายขาดทุนทำไม่ได้หรอก  มันก็เลยทำให้เราติดดอยอยู่อย่างนั้นจนเบื่อ  ก็เลยกลายเป็นว่า  ถือหุ้นเน่าจนเศร้าใจแล้วค่อยขายออกมา

-หุ้นแต่ละตัวมีพื้นฐานที่ไม่เหมือนกัน  ตรงนี้ต้องหาข้อมูลให้มาก  เพราะถึงแม้ว่า 2 บริษัทจะทำธุรกิจชนิดเดียวกันเช่นขายถ่านหิน  แต่พอเอาเข้าจริง  เวลาราคาถ่านหินขึ้น  คนที่มีเหมืองเยอะกว่า  ก็จะมีมูลค่าเพิ่มเยอะกว่า  อย่างเช่นบ้านปู  ลานนา  เอเชียกรีน  ยูนิคไมนิ่ง  เอิร์ท  ฯลฯ  เวลาราคาถ่านหินพุ่ง  คุณคิดว่าใครได้ประโยชน์สูงสุด  ถ้าคุณตอบไม่ได้  แสดงว่าคุณยังไม่ได้หาข้อมูล  และถ้าคุณไม่มีข้อมูล  คุณก็จะเลือกหุ้นไม่ถูกตัว  และผลสุดท้าย  คุณก็จะไม่ชนะในเกมนี้

-หุ้นแต่ละตัวทำธุรกิจที่ไม่เหมือนกัน  ประโยชน์ที่จะได้รับจากเหตุการณ์ต่างๆนั้น  เราต้องวิเคราะห์ให้ออกว่า  จะกระทบกับบริษัทในแบบไหนเช่น  ถ้าราคาน้ำมันพุ่งขึ้น  บริษัทขายน้ำมันจะกำไรโต  แต่สายการบินและขนส่งจะรายได้หด

-ผมดูที่ตลาดมากกว่าทำความเข้าใจกับธุรกิจ  เมื่อเวลาเงินไหลเข้าตลาด  มันเป็นความตื่นตาตื่นใจที่อลังกาลอันมาก  เพราะทั้งกระดานจะเป็นสีเขียว  ทำให้เลือกไม่ถูกว่าจะซื้อตัวไหนตามเงินที่ไหลเข้าดี  และเมื่อเวลาเงินไหลออก  ผมก็พาลตกใจขายไปกับเขาด้วย  ทั้งๆที่บางที  ธุรกิจของบางบริษัทนั้น  กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือยังไม่หยุดโต  แต่ราคาหุ้นที่กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว  ประกอบกับข่าวร้ายของบริษัทที่ไม่เกี่ยวข้องกับบริษัทที่ดี  กำลังถาโถมเข้ามาในตลาด  เหมือนประหนึ่งว่า  พรุ่งนี้จะเป็นวันสิ้นโลกอย่างไรอย่างนั้น  มันก็ทำให้เราสิ้นคิดไปได้เหมือนกัน  แต่บางคนก็บอกว่า  ทำไมไม่เป็นชาวสวนล่ะ  เวลาขึ้นเราก็ขาย  เวลาลงเราก็ซื้อ  อันนี้ก็ใช้ได้ในระดับหนึ่งแต่ไม่ทั้งหมด  เดี๋ยวจะอธิบายในหัวข้อต่อไป

-กลยุทธ์ที่ใช้ได้กับหุ้นของบริษัทหนึ่ง  อาจใช้ไม่ได้กับอีกบริษัทหนึ่ง  เกี่ยวเนื่องจากหัวข้อที่แล้ว  บางบริษัทอาจทำธุรกิจที่มีความผันผวนมากเช่นค้าน้ำมัน  เราต่างก็รู้ว่าราคาน้ำมันเปลี่ยนแปลงทุกวันตามแรงซื้อขายในตลาดน้ำมัน  เพราะฉะนั้นกลยุทธ์ที่ใช้ได้ดีกับบริษัทประเภทนี้ก็คือลงซื้อขึ้นขาย  แต่เมื่อเป็นธุรกิจอีกแบบหนึ่งเช่น 7-11 หรือมือถืออย่าง AIS  ความผันผวนทางธุรกิจมันไม่ได้มากมายเป็นรายวันขนาดนั้น  คงจะมีแต่ราคาหุ้นเท่านั้นที่มันผันผวนตามตลาด  ถ้าเรามองออกว่าธุรกิจมันกำลังเป็นขาขึ้น  ราคาหุ้นมันก็ควรจะขึ้นไปเรื่อยๆเหมือนลักษณะธุรกิจ  เราก็ไม่ควรขายหุ้นออกมา  ซึ่งจุดนี้ผมก็เคยพลาดมากับ 7-11  ตอนแรกเรามั่นใจว่าราคาหุ้นมันต้องขึ้นไปเรื่อยๆเหมือนสาขาที่เปิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  แต่ในตลาด  ราคาหุ้นมันขึ้นมาถึงจุดหนึ่งแล้วมันก็ตกลงไป  ซึ่งในทางเทคนิคแล้วเขาเรียกจุดนี้ว่าแนวต้าน  ซึ่งหมายถึงราคานี้เป็นราคาที่ต้องขาย  เพราะมันไม่สามารถผ่านไปได้  เมื่อราคาหุ้นมันพุ่งขึ้นมาอีกรอบ  ผมก็ขายที่ราคานั้นจนหมด  เพราะคิดว่าคนอื่นๆก็ต้องมาขายที่ราคานั้นจนทำให้หุ้นมันต้องตกลงไปให้ผมซื้อคืนแน่นอน  แต่ผิดถนัด  หุ้นพุ่งทะลุราคานั้นขึ้นมาอย่างไม่เหลียวหลัง  และไม่กลับไปให้ผมซื้อในราคาที่ต่ำกว่าที่ผมได้ขายมันออกมาอีกเลย  ผมจึงต้องมาซื้อหุ้นตัวเดิมคืนกลับไปในราคาที่สูงขึ้น  ทำให้ซื้อหุ้นได้จำนวนน้อยลงกว่าเดิม  ซึ่งนี่เป็นบทเรียนที่ว่า  กลยุทธ์ที่ใช้ได้กับหุ้นของบริษัทหนึ่ง  อาจใช้ไม่ได้กับอีกบริษัทหนึ่งนั่นเอง  ซึ่งถ้าเราลงทุนในหุ้นที่เติบโตไปเรื่อยๆยังไม่ยอมหยุด  เราก็ควรจะถือไปเรื่อยๆจนกว่ามันจะหยุดโต  แต่บางคนอาจจะตั้งเป้าในใจไว้ว่า  ถ้าไม่ได้ซื้อคืนมาในราคานี้  ก็จะไม่ยอมซื้อเด็ดขาด  โดยที่ไม่ได้ดูว่า  พื้นฐานธุรกิจมันดีขึ้นเรื่อยๆ  ก็ได้แต่หวังใจว่า  สักวันหนึ่งมันคงจะตกลงมาให้ซื้อ  ซึ่งถ้าเกิดวันนั้นมาถึงจริง  มันอาจเป็นไปได้ว่า  ธุรกิจนั้นมันไม่ดีอีกต่อไปแล้ว  และเมื่อคุณไปรับซื้อมาโดยที่ไม่ได้ดูความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น  คุณนั่นแหละจะอึดอัด  จนกินอีโนเข้าไปกี่ซองก็ไม่หาย

-ผมซื้อหุ้นโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบริษัทนั้นทำธุรกิจอะไร  อันนี้เป็นความเสี่ยงอย่างแรง  เพราะถ้าเราไม่รู้ว่าบริษัทนั้นทำธุรกิจอะไร  เราก็จะไม่สามารถกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมกับบริษัทที่เรากำลังลงทุนอยู่ได้

-ถือยาวโดยไม่รู้ว่า  นั่นไม่ใช่ธุรกิจที่ต้องถือยาว  การถือยาวจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อ  บริษัทนั้นมีการเติบโตในอนาคตที่ดีอยู่  ถ้าเราซื้อหุ้นโรงไฟฟ้าแล้วถือยาว  อีก 10  ปีเราก็คงไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงเท่าใดนัก  เนื่องจากว่ามันเป็นธุรกิจที่ไม่โตแล้ว  แต่ถ้ามีเหตุการณ์บางอย่างเข้ามากระทบกับหุ้น  ซึ่งอาจจะทำให้กำไรเติบโตขึ้น  เมื่อนั้นหุ้นโรงไฟฟ้าก็จะน่าสนใจขึ้น  เหมือนกรณีของ  AIS  ที่กำลังจะได้ทำ  3 G

-การกระจายความเสี่ยง  จริงๆแล้วทำให้เราเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น  สำหรับข้อนี้คงจะค้านกับความเชื่อของคนส่วนใหญ่  เนื่องจากหลายคนเชื่อว่า  อย่าเอาไข่ทั้งหมดไปใส่ไว้ในตะกร้าใบเดียว แต่จากการสังเกตของผมเอง  เวลาที่หุ้นขึ้นหรือลงแล้ว มันก็มักจะเป็นไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งเวลามันตกหนัก มันก็มักจะตกพร้อมๆกัน เพราะฉะนั้นแล้ว มันจึงเป็นภาระให้กับเรามากกว่า เนื่องจากว่า เราจะขายหุ้นหลายตัวในเวลาพร้อมๆกันไม่ค่อยทัน และเวลาเราติดตามข่าวของบริษัทที่เราไปลงทุน  ถ้าเราซื้อหุ้น 10 บริษัท  เราคงต้องตามข่าวของทั้ง 10 บริษัท  ไม่มีเวลาไปทำอะไรกันพอดี  เพราะเมื่อมีข่าวออกมา  เราก็ต้องมานั่งวิเคราะห์ว่า  มันจะมีผลกระทบอย่างไรบ้างกับบริษัท  กลยุทธ์ที่คนอื่นว่าเสี่ยง แต่ผมกลับคิดว่าไม่เสี่ยงนั่นก็คือ การลงทุนแบบ  "โฟกัส"   ถ้าถามว่าการลงทุนแบบนี้เสี่ยงเป็นพิเศษไหม เพราะถ้ามันมีอะไรเกิดขึ้นกับบริษัทที่เราถือหุ้นอยู่เพียงบริษัทเดียว ก็อาจทำให้เราเจ็บหนักมากกว่าลงทุนในหลายๆบริษัท คำตอบอาจจะใช่ก็ได้  แต่การลงทุนในตลาดหุ้น  มันเป็นความรับผิดชอบส่วนตัวของเราอยู่แล้วว่า  เราต้องรู้จักสิ่งที่เราลงทุนให้ถ่องแท้เสียก่อน  เหมือนถ้าคุณจะซื้อรถยนต์ แต่คุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับรถที่คุณจะซื้อเลย  อย่างนี้ต้องบอกว่า  เป็นการลงทุนที่ไม่ค่อยฉลาดเลย  เวลาเราบอกว่าจะกระจายความเสี่ยงในการลงทุนชนิดเดียวกันเช่นหุ้น มันดูคล้ายกับว่า เราไปที่ร้านขายรถมือสองแล้วถามเซลล์ว่า ถ้าผมซื้อรถไปแล้วใช้ไม่ได้ล่ะ เซลล์ก็จะแนะนำว่า คุณควรกระจายความเสี่ยง  ด้วยการซื้อรถหลายๆคัน  เพราะถ้าหากว่าคันหนึ่งเสีย  ก็ยังเหลือรถคันอื่นที่ยังใช้งานได้อยู่

     ฉะนั้นกระบวนการในการเลือกลงทุนหุ้น  จากประสบการณ์ที่ผมอยู่ในตลาดมาตั้งแต่ต้นจนถึงทุกวันนี้  เรียงตามลำดับก็คือ

-ดูบริษัทที่มีสินค้าเป็นที่นิยมในตลาดหรือเป็นที่รู้จักดี

-มีผู้ใช้สินค้าและบริการของบริษัทมากเป็นอันดับต้นๆ  ยิ่งเป็นอันดับหนึ่งได้ยิ่งดี  การเป็นอันดับหนึ่งหมายถึง  มีส่วนแบ่งการตลาดมากเป็นที่หนึ่ง

-มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจมาระยะเวลาหนึ่ง  เป็นที่น่าเชื่อถือ  ตรงนี้ผมขอออกความเห็นว่า  การที่เราซื้อหุ้นของบริษัทที่พิสูจน์ตัวเองได้แล้ว  ชัวร์กว่าการที่เราจะไปซื้อหุ้นของบริษัทที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ  ถึงแม้ว่าราคาหุ้นของบริษัทที่เพิ่งเริ่มทำธุรกิจ  จะมีราคาถูกมาก  แต่มันก็มีความเสี่ยงมากเช่นกัน  เนื่องจากเรายังไม่เห็นฝีมือของเขา  หากเราใจเย็นรออีกสักนิด  ขอดูผลงานก่อน  ถ้าเป็นบริษัทที่ดี  ถึงแม้ว่าราคาจะแพงขึ้นมาอีกสักหน่อย  แต่ความเสี่ยงมันก็ถูกจำกัดให้เหลือน้อยลงด้วยความสามารถทางธุรกิจที่ได้พิสูจน์แล้ว

-มีการเติบโตได้อีก  การเติบโตในที่นี้อาจจะมีหลายอย่าง  ไม่ว่าจะเป็น  การเติบโตของกำไร  การเติบโตของยอดขาย  การเติบโตของสาขา  การมีสินค้าเพิ่มขึ้นอีกหลายชนิด  ฯลฯ

-มีงบการเงินที่ดีน่าประทับใจ  ในที่นี้หมายถึง  มีหนี้น้อยหรือไม่มีเลย  มีเงินสดเหลือเยอะ  ปันผลในอัตราสูงและสม่ำเสมอ  ถ้าจะให้ดี  มีการปันผลเพิ่มขึ้นทุกปีจะเป็นแรงขับราคาหุ้นได้ดีมาก

-เมื่อเราหมายตาได้แล้วก็รอจังหวะในการเข้าซื้อหุ้น  อาจจะค่อยๆเข้า  แบ่งเงินเป็นหลายๆก้อน  ทยอยรับเวลาหุ้นตกลงไปเรื่อยๆ  ซึ่งตรงนี้จะทำให้เราได้ต้นทุนถัวเฉลี่ยที่ถูกลง  หรือถ้าทยอยซื้อแล้วมันกระเด้งกลับขึ้นไป  เราก็ไม่เสียดายที่ได้ซื้อของถูกไปแล้วบางส่วน  เพราะจุดต่ำสุดหรือสูงสุดไม่มีใครรู้จนกว่ามันจะผ่านไปแล้ว

     จากหัวข้อตั้งแต่แรกคือ  “ค้นหาตัวเอง”  เมื่อนำมาใช้กับการลงทุนหุ้นแล้ว  มันมีความสัมพันธ์ระหว่างตัวเราและการเลือกหุ้นของเราด้วยกล่าวคือ

-ถ้าคุณเป็นคนไม่ชอบความเสี่ยงมาก  คุณควรซื้อหุ้นที่ปันผลเยอะ  เพราะการที่มีปันผลเยอะ  จะช่วยอุ้มราคาหุ้นไม่ให้ตกลงไปมาก  แต่ในทางกลับกัน  หุ้นที่ปันผลเยอะ  ก็มักจะเป็นหุ้นที่ไม่โตแล้ว  เนื่องจากว่า  หมดมุขที่จะขยายงาน  เมื่อได้เงินเข้ามา  จึงเอามาปันผล  แทนที่จะเอาไปขยายงาน  ราคาหุ้นมันจึงไม่ไปไหน

-ถ้าคุณเป็นคนกระตือรือร้นแอคทีฟตลอดเวลา  หุ้นที่เหมาะกับคุณ  อาจเป็นหุ้นเดย์เทรดก็ได้  เพราะมันเหมาะกับบุคลิกคุณ  และถ้าคุณมีเวลานั่งเฝ้าจอคอมตลอดเวลา  ก็ถือว่าคุณได้เปรียบคนอื่นมากมาย  แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจซื้อขายของคุณเองด้วย

-ถ้าคุณเป็นคนใจเย็นและไม่ขี้ตกใจ  หุ้นที่เหมาะกับคุณและผมก็คือ  หุ้นที่เราเห็นว่าสามารถเติบโตได้อีก  เราจะซื้อไว้และรอวันที่มันจะโตสุดขีดแล้วค่อยขายโดยระหว่างทางเราจะไม่ตื่นตระหนกรายวันไปกับฝูงชนอิเล็กทรอนิกส์มากเกินไป  และตราบใดที่มันยังโตอยู่  เราก็จะกอดมันไว้อย่าให้หลุดมือเป็นอันขาด

-ถ้าคุณเป็นคนไม่ชอบความเสี่ยงเลย  ผมขอแนะนำว่า  ให้คุณเอาเงินไปฝากธนาคาร  แล้วอย่าไปบอกใครว่าคุณมีเงิน !!!
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
marcus147
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #334 เมื่อ: วันที่ 18 กรกฎาคม 2011, 21:19:31 »

ขอบคุณ K.วายุ มากครับ
สำหรับการแชร์ประสบการณ์ดีๆ
และข้อคิดมากมาย
IP : บันทึกการเข้า
วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #335 เมื่อ: วันที่ 18 กรกฎาคม 2011, 21:38:05 »

วันนี้เอาคู่แข่งที่น่ากลัวมาให้ดู  เซเว่นจีน  กับกาแฟเลียนแบบ  แม๋...มันก๊อปทุกอย่าง  นับถือจริงๆ


* chinaseven.jpg (119.68 KB, 1024x768 - ดู 556 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
น้าวัยทองฯ
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 10,912



« ตอบ #336 เมื่อ: วันที่ 18 กรกฎาคม 2011, 21:55:26 »

จีนนี้เจ้าพ่อก๊อปปี้ตลอดกาล อิอิ
IP : บันทึกการเข้า

วายุ
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 650



« ตอบ #337 เมื่อ: วันที่ 21 กรกฎาคม 2011, 15:55:37 »

หุ้นดีทำไมไม่วิ่ง
     นี่คือคำถามที่คลาสสิคมากคำถามหนึ่ง  มีหลายคนสงสัยว่า  ทำไมหุ้นที่ดูดีหมดทุกอย่างในมุมมองของเขาจึงไม่วิ่งขึ้นไปอีก  ในขณะที่หุ้นตัวอื่นๆพุ่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย  คำถามนี้มีหลายคำตอบและหลายองค์ประกอบ  เราจึงต้องมาแยกย่อยออกเป็นส่วนๆดังนี้

1.ราคามันวิ่งมาจากไหน  ถ้าราคาหุ้นมันวิ่งหน้าตั้งมาก่อนชาวบ้านเขาแล้ว  คุณคิดว่าเมื่อถึงเวลาที่ชาวบ้านเขาวิ่งกันบ้าง  คุณก็จะให้มันวิ่งต่อไปอีกอย่างนั้นหรือ  อันนี้โลภไปไหม  เพราะการที่หุ้นพื้นฐานดีตัวหนึ่งจะวิ่งไปได้  มันต้องใช้เหตุผลเป็นแรงขับ  ถ้ามันวิ่งโดยไม่มีเหตุผลมาสนับสนุน  อันนี้เรียกว่าเวอร์  และถ้ามันจะต้องวิ่งไปได้อีกจริงๆ  มันต้องมีเหตุผลที่ดีพอเช่น  มีปันผลพิเศษ  ปันผลประจำปีเพิ่มขึ้น  มีกำไรเพิ่มขึ้น  ได้งานเพิ่ม  ขยายสาขาเพิ่ม  ยอดขายเพิ่ม  คู่แข่งเจ๊ง  ฯลฯ

2.ราคามันเต็มมูลค่าแล้ว  ถึงแม้จะเป็นหุ้นดีขนาดไหน  มันก็ทำได้แค่เพียงเหมาะสมกับตัวมันเอง  สมมติว่ามันมี  100  สาขา  คุณจะให้มันมีราคาหุ้นเท่ากับมันมี  500  สาขาไม่ได้หรอก  หรือว่ามันเคยปันผลอยู่เท่านี้  ถ้าราคาหุ้นมันแพงกว่านี้  ผลตอบแทนที่ได้จากเงินปันผล  เมื่อเปรียบเทียบกับราคาหุ้นแล้วมันคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำมาก  แล้วอย่างนี้คนอื่นๆที่กำลังจะซื้อหุ้น  เขาคงจะเข้ามาไล่ราคาหรอกนะ

3.ไม่มีคนสนใจ  อันนี้เป็นเหตุผลที่น่าสงสารสำหรับผู้ที่ถือหุ้นนั้นอยู่  อย่างไรเสียก็คงมีคนเห็นบ้างแหละไม่ช้าก็เร็ว  เพราะฉะนั้นอดทนไว้นะ  จะเป็นกำลังใจให้  สู้ต่อไปนะจีบัน

4.ตอนนี้มันดี...แต่อนาคตไม่ดี  การซื้อหุ้นจริงๆแล้วเป็นการซื้ออนาคต  เพราะฉะนั้น  ถ้าตอนนี้มันดีมากเช่น 7-11  แต่ถ้าเราไปท่องเที่ยวทั่วไทย  ทุกตรอกซอกซอยและทุกรูแล้ว  มันมี 7-11 ให้เห็นทุกที่จนไม่มีที่จะยัดสาขาเพิ่มลงไปได้อีก  แต่สาขาของคู่แข่งกลับตั้งเพิ่มไล่จี้ตูดขึ้นมาเรื่อยๆ  ในขณะที่อัตราการเกิดของคนไทยไม่ได้เกิดขึ้นมาเร็วเหมือนสาขาที่ตั้งขึ้นมาเพิ่มเลย  เมื่อนั้นเราก็เห็นว่า  สาขาคงไม่เพิ่มอีกเป็นแน่แท้  ถ้าจะขยายสาขาคงต้องไปตั้งบนดาวอังคาร  เมื่อนั้นก็ถึงเวลาโบกมือบ๊ายบายเสียที  มันก็เอวังด้วยประการฉะนี้

5.รายใหญ่เก็บของอยู่  ถ้าหุ้นดีจริง  ราคามันไม่ไป  แต่มันก็ไม่ลง  และเมื่อดูไปที่หน้าจอ  คนรอขาย (ออฟเฟอร์) หนาเชียว  ในขณะที่คนรอซื้อ (บิด) บางจนแทบปอดแหก  ขอแนะนำว่า  ถ้าหุ้นดีจริง  ไม่ต้องตกใจเทขายออกมา  บางที(แค่บางทีนะ)รายใหญ่อาจจะกำลังเก็บหุ้นอยู่ก็ได้  เนื่องจากว่าอยากได้หุ้นมากจนตัวสั่น  แต่ไม่มีใครยอมขายให้  ก็เลยจำใจใช้วิชามาร  เอาหุ้นที่ตัวเองมีมาตั้งขายแบบร็อคถล่มเช่น  ตั้งรอขายล้านหุ้น  แต่มีคนรับซื้อแค่แสนหุ้น

             BID                                  OFFER
100000    2.20                         2.22    1000000
100000    2.18                         2.24    1000000

เมื่อเราเห็นที่หน้าจอดังนี้ก็หายใจไม่ทั่วท้อง  คิดแต่ว่างานนี้ซี้แหงแก๋ตายแน่  ชิงขายก่อนที่มันจะตกดีกว่า  ถ้ามันร่วงค่อยไปรับคืน  เมื่อเป็นดังนี้  ก็เลยเทขายหมดหน้าตัก  แต่จนแล้วจนรอด  หุ้นก็ไม่ลงสักที  ทั้งๆที่บิดบางๆอย่างนั้นแหละ  แต่ถ้าสังเกตให้ดี  เจ้ามือเติมตลอด  แต่เติมแบบบางๆ  เดี๋ยวคนขายตกใจไม่ยอมขายให้  อันนี้ผมเห็นมากับตา  ตอนนั้นนั่งจ้อง  PTTAR  อยู่  แต่ออฟเฟอร์หนาถึง 10  ล้านหุ้น  ในขณะที่ทางบิด  มีแค่ช่องละล้าน  เมื่อซับจนหุ้นแห้งดีแล้ว  หุ้นทางออฟเฟอร์หายไปไหนหมดไม่รู้  เหลือแค่ล้านกว่า  สงสัยรายใหญ่ถอดหุ้นที่วางขู่ไว้ออก  ทีนี้ล่ะก็สนุก  กระชากราคาขึ้นจนไม่เหลียวหลัง  รายย่อยก็เลยได้แต่นั่งเซ็งเป็ด  พร้อมโอดเล็กๆว่า  I  HERE...ไม่น่าทำกะกรูอย่างนี้เลย...มันหลอกกรู
IP : บันทึกการเข้า

ถึงจะจน       พี่ก็จน      อย่างมีเกียรติ
ถึงจะเครียด  พี่ก็เครียด   อย่างมีหวัง
ถึงจะบ้า       พี่ก็บ้า       อย่างมีพลัง
ถึงจะพัง       พี่ก็พัง       อย่างมีฟอร์ม
แมงมุม
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,890


« ตอบ #338 เมื่อ: วันที่ 21 กรกฎาคม 2011, 16:59:17 »

.

บทเรียนของผมจากการอยู่ในตลาดทุนมานาน 5 ปี ...

ผมเห็นหุ้นตัวหนึ่ง พื้นฐานดี อนาคตดี เทคนิคได้จังหวะ ผมจึงเข้าซื้อ "ทันที"
ผมทำตามทฤษฎีที่ได้ร่ำเรียนมา อย่างถูกต้อง
แล้วผมก็เริ่มไม่แน่ใจการตัดสินใจของตัวเอง
เพราะผ่านไป 7 วันทำการแล้ว มันไม่ขึ้น ผมก็เลยขาย....แล้วพอวันที่8 หุ้นตัวนั้น +15%

 
ข้อคิด 2 ข้อ ที่ผมได้เรียนรู้

1.) ถ้าแน่ใจว่าถือหุ้นบริษัทที่ดี ก็จงแน่ใจ และมั่นใจในหุ้นของคุณ
2.) ผู้ที่อดทนรอจนถึงที่สุดเท่านั้น คือผู้ที่จะประสบความสำเร็จ

IP : บันทึกการเข้า

...เงินดีงานเดิน...เงินเกินงานวิ่ง...Line=i6629
tomtom
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 190


ใจพร้อม กายพร้อม ปั่นทุกที่ ที่มีทาง


« ตอบ #339 เมื่อ: วันที่ 22 กรกฎาคม 2011, 00:30:05 »

ท่านวายุวันที่23ถ้าว่างขอเวลานิหน่อย ว่าจะไปอุดหนุนร้านเห็นรูปแล้วน่าอร่อยมาก อิอิ และจะขอคำแนะนำนิดหน่อย เลยอยากขอพิกัดร้านท่านสักหน่อย จะได้ไปถูก อิอิ ขอบคุณคร๊าบ
IP : บันทึกการเข้า

     ของตกแต่งโดนๆคลิกเลย
อย่ามองคนแค่.การแต่งกาย
หน้า: 1 ... 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 [17] 18 19 20 21 22 23 24 25 26 27 ... 41 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!