เมเจอร์สยายปีกโรงหนังไอแมกซ์ รับกระแสความนิยมระบบ 3 มิติ
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายใน 3 ปีนับจากนี้ บริษัทมีแผนจะเปิดให้บริการโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์ระบบดิจิตอล 3 มิติ ให้ได้อีก 5 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด ภายใต้งบลงทุนรวมประมาณ 350 ล้านบาท หรือเฉลี่ยสาขาละ 60-70 ล้านบาท
ทั้งนี้เพื่อรองรับกระแสความนิยมในการชมภาพยนตร์ในระบบดิจิตอล 2 มิติ และ 3 มิติ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผู้สร้างภาพยนตร์ฮอลีวูดเองก็เริ่มหันมาสร้างภาพยนตร์ในระบบ ดิจิตอล 2 มิติ และ 3 มิติเพิ่มขึ้น เห็นได้จากปัจจุบันมีภาพยนตร์ 3 มิติเข้าฉายถึง 14-15 เรื่อง เพิ่มขึ้นจากหลายปีที่ผ่านมาที่มีเข้าฉายเพียง 6-8 เรื่องเท่านั้น
โดยในปี 2553 จะเปิดโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์ระบบดิจิตอล 3 มิติ 2 สาขา คือ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รัชโยธิน ในวันที่ 9 กันยายนนี้ และเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ ปิ่นเกล้า ในเดือนตุลาคมนี้ ซึ่งสาขารัชโยธิน มีแผนจะลดราคาตั๋วเหลือ 250 บาท จากปกติสาขาสยามพารากอนอยู่ที่ 350 บาท เนื่องจากต้องการปรับราคาให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
นอกจากนี้มีแผนที่จะกำหนดราคาตั๋วโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์ เหมือนกับการทำโปรโมชั่นโรงภาพยนตร์ทั่วไปในเครือ เช่น ตั๋วสำหรับเด็ก ตั๋วสำหรับนักเรียน และมีแผนจะปรับระบบการฉายให้เป็น 70 มม. จากปัจจุบันฉายระบบ 35 มม.
ส่วนการขยายโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์อีก 3 สาขานั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับศูนย์การค้าในกรุงเทพฯ 2 สาขา และเชียงใหม่ 1 สาขา โดยสิ้นปี 2553 นี้คาดว่าโรงภาพยนตร์ไอแมกซ์จะมีรายได้ตามเป้าหมายที่ 70 ล้านบาท เติบโต 10-15% จากปี 2552 และปี 2554 คาดว่าจะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 1 เท่าตัว
ในขณะที่การขยายสาขาโรงภาพยนตร์ทั่วไปในเครือนั้น ในช่วง 4 เดือนที่เหลือของปี 2553 จะขยายอีก 2 สาขา คือ สุพรีม มอลล์ สามเสน และกำแพงเพชร ส่วนในปี 2554 จะใช้งบประมาณ 800-1,000 ล้านบาท ขยายเพิ่มอีก 30 โรง
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ บริษัทได้ขออุมัติงบลงทุนจากคณะกรรมการบริหาร(บอร์ด) เพิ่มอีก 450 ล้านบาท จากเดิมขออนุมัติไปแล้ว 350 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจในอินเดียเต็มรูปแบบ เพราะจากที่เข้าไปดำเนินธุรกิจโบว์ลิ่ง ปรากฎว่ามีผลการตอบรับดีมาก และคาดว่าในอนาคตจะมีอณาจักรของเมเจอร์ในอินเดีย
นายวิชา กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจภาพยนตร์ในปี 2553 มีแนวโน้มเติบโตที่ดี แม้จะมีปัญหาการเมืองเกิดขึ้น และครึ่งปีหลังจะมีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์หลายเรื่องเข้าฉาย จึงมั่นใจว่ารายได้รวมของบริษัทสิ้นปี 2553 จะอยู่ที่ 4,500 ล้านบาท
ที่มา
http://202.172.18.8/stockfocusnews/index.php?option=com_multisitescontent&view=article&id=7275%3A-3-3-3-&catid=1%3A2010-01-28-10-46-17&Itemid=15&site_id=Corehoon