ในบางถิ่น(โดยเฉพาะภาคเหนือ) ห้ามสตรีเข้าไปในบางเขตโดยเฉพาะบางส่วนของพระเจดีย์ธาตุ คติความเชื่อ(จนกลายเป็นจารีต)นี้ มีมายาวนาน นักวิชาการชาวพม่าที่สอนอยู่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งในเมืองไทย เขาบอกว่า การห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้พระเจดีย์เป็นอิทธิพลของพม่าที่มีต่อภาคเหนือ ของไทย เพราะพม่าจะเคารพพระเจดีย์มาก บางแห่ง แม้แต่ผู้ชายก็ไม่ให้เข้า นอกจากพระเท่านั้น เขายังย้อนถามว่าคิดดูให้ดีทำไมภาคอีสาน ภาคใต้ หรือแม้แต่ภาคกลางถึงไม่มีธรรมเนียมนี้ ก็เพราะว่าไม่เคยอยู่ใต้อิทธิพลพม่าเป็นเวลานานหลายร้อยปีเหมือนภาคเหนือ อย่างวิหารพระมหามัยมุนีที่เมืองมัณฑเลย์ ประเทศพม่า เขาก็มีธรรมเนียมโบราณที่ไม่อนุญาตให้สตรีเข้าไปในวิหารเลย ตอนสมเด็จพระเทพรัตนฯเสด็จ พระองค์ก็ทรงปฏิบัติตามประเพณีโดยการถวายสักการะอยู่ข้างนอกวิหาร
เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นธรรมเนียมเฉพาะถิ่น พระ ธาตุทางภาคอีสานไม่มีการห้าม ส่วนพระธาตุทางภาคเหนือ มีการติดป้ายห้ามเอาไว้ ทั้งที่เป็นพระธาตุเหมือนกัน พระธาตุทางอีสานเป็นพระธาตุตามความเชื่อทาง....ล้านช้าง ส่วนพระธาตุ ทางภาคเหนือเป็นความเชื่อทาง....ล้านนา จึงไม่แปลกที่ จะมีบางสิ่งที่ไม่เหมือนกัน ทั้งล้านนา และล้านช้าง ถึงจะมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน แต่ก็ไม่จำเป็นว่า จะต้องมีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกัน อย่างเช่น เรื่องความเชื่อในพระธาตุ เป็นต้น
การที่ภาคอีสานหรือล้านช้าง ไม่ได้ห้ามให้สตรีเข้าพระธาตุนั้น ก็เป็นเพราะ กษัตริย์ในสมัยนั้น ต้องการใช้หลักศาสนาในการปกครองประชาชน และให้ประชาชนสามัคคีกัน ถึงจะมีความเชื่อเรื่องตำนานที่บ่งบอกถึงความเชื่อเรื่องพระธาตุแต่ก็ไม่ได้ มีข้อห้ามอะไร
ส่วนทางล้านนา ซึ่งมีการสร้างอาณาจักรมาก่อนล้านช้าง (และล้านช้างยังรับอิทธิพลมาด้วย) เหตุผลที่ห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้า ก็เพราะมีความเชื่อเรื่องตำนาน จามเทวีวงศ์ ที่บอกถึง อำนาจผู้หญิง สามารถ ทำลายพลังอำนาจและมนต์คาถาต่างๆ ได้ แต่มันก็จะเป็นภัยสำหรับผู้หญิงที่เข้าไปทำลายอำนาจและมนต์คาถานั้นๆ ด้วย ดังนั้นการที่จำเป็นต้องห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้พระธาตุทางภาคเหนือ...ก็ เพื่อป้องกันการเสื่อมพลังอำนาจและความขลังขององค์พระธาตุ และก็เพื่อป้องกันให้ผู้หญิง ผู้นั้นต้องตกอยู่ในสิ่งที่ไม่ดี หรือไม่เป็นมงคล ถึงเวลาจะผ่านมาแล้วก็ตาม แต่ตำนานก็ยังคงอยู่ ดังนั้น การที่ต้องมีป้ายห้ามติดเอาไว้เพื่อบอกให้ผู้หญิงรู้ และเพื่อป้องกันอันตรายจะอาจจะเกิดกับผู้หญิง ผู้นั้น เหมือนว่าจะดูเป็นห่วง ทั้งเกี่ยวกับ องค์พระธาตุ และ ผู้หญิง ด้วย
ขอขยายความจาก ตำนานจามเทวีวงศ์ในประเด็นนี้เพิ่มเติมหลายปีก่อน ตอนเรียนวัฒนธรรมล้านนา กับศาสตราจารย์เกียรติคุณ มณี พยอมยงค์ ผู้เชี่ยวชาญภาษาและวัฒนธรรมล้านนา (อยู่เชียงใหม่) ท่านอาจารย์เล่าว่า...
ตั้งแต่บรรพกาลมา แล้วในตำนานจามเทวีวงศ์ กล่าวถึงเรื่องสงครามระหว่างขุนหลวงวิลังคะ ซึ่งเป็นเจ้าเมือง กับพระนางจามเทวี เนื่องมาจากว่าขุนหลวงวิลังคะพึงใจในพระนางจามเทวี อยากจะอภิเษกสมรส แต่พระนางจามเทวีคงจะไม่ทรงปรารถนา จึงได้บอกว่าถ้าเจ้าพี่สามารถออกแรงพุ่งสะเน่า ซึ่งเป็นหอกซัด จากเมืองพิงค์ มาตกบริเวณหน้าลานพระราชวัง จะอภิเษกสมรสด้วย …
… แต่ชาวบ้านก็กลัวว่าจะพุ่งสะเน่าตกในเวียง ก็เลยใช้วิธีการแยบยล โดยเอาผ้าถุง ซึ่งเป็นเลือดประจำเดือน ของพระนางจามเทวี เอาไปทำเป็นพระมาลา (หมวก) พร้อมกับทำหมากพลู เอาป้ายน้ำที่เป็นประจำเดือนที่ใบพลูด้วย เอาส่งไปให้บรรณาการแก่ขุนหลวงวิลังคะ พอขุนหลวงฯ สวมหมวกนั้น แล้วก็เคี้ยวหมาก ปรากฏว่าอำนาจฤทธิ์ที่เคยเบ่งกำลังพุ่งสะเน่าไปไกลเป็น 20-30 กม. ลดน้อยถอยลงมาก ไม่สามารถพุ่งต่อไปได้ พุ่งออกมาแค่นอกเวียงพิงค์ไม่ถึงกิโล ก็เป็นเหตุให้เกิดความเชื่อกันมา …
เรื่องเกี่ยวกับประจำเดือนของผู้หญิงมีอำนาจในการทำให้เสื่อมเกียรติยามนต์ ทั้งหลาย เพราะฉะนั้นบริเวณพระธาตุ ซึ่งได้ฝังอยู่ข้างล่างพระเจดีย์ดอยสุเทพก็ดี พระเจดีย์หริภุญชัยก็ดี พระเจดีย์ดอยตุงก็ดี มันฝังอยู่ข้างล่าง
และ ยังสะท้อนกันว่าผู้หญิงคนนั้นจะตกขึด (ภาษาเหนือ ขึดหมายถึงกาลกิณี เสนียด จัญไร) โดยผู้หญิงจะไม่สบาย จะมีความวิบัติต่างๆ ป้ายที่ห้ามผู้หญิงเข้า เพื่อไม่ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เสื่อม และเพื่อไม่ให้ผู้หญิงคนนั้นเป็นกาลกิณี
จากที่กล่าวยกมาข้างต้นพอจะสรุปมูลเหตุของ ความเชื่อได้ว่าการที่ เขาไม่ให้เพศหญิงเข้าไปถึงตัวพระธาตุ เพราะว่า หญิงบางคนมีประจำเดือน ซึ่งคุณจะสังเกตเห็นว่า คนส่วนใหญ่ที๋โดนของ หรือ อะไรก็แล้วแต่ที่ เกี่ยวกัยไสยศาสตร์ เขาจะให้เอาผ้าถุงของแม่ที่เป็นประจำเดือน มาแก้เคล็ดเพราะเชื่อว่า ทำให้ความขลังความศักดิ์สิทธิ์ของ อำนาจ นั้นเสื่อมลง ก็เหมือนกับ ถ้ามีเพศหญิงเข้าไป ในตัวพระธาตุ ถ้าหญิงที่ไม่มีประจำเดือนก็เข้าได้ แต่เขาตัดปัญหา ไปทีเดียวคือ ไม่ให้เพศหญิงเข้า ใครจะไปนั่งถามว่า คุณมีประจำเดือนหรือเปล่า ใช่หรือเปล่า? ซึ่งก็เหมือนว่า หากผู้หญิงเข้าไป ในตัวพระธาตุ เค้าเชื่อว่า จะทำให้ ตัวพระธาตุหมดความขลังและศักดิ์สิทธิ์ ลง
จารีตก็คือการปฏิบัติกันมา แม่เข้าไม่ได้ ก็บอกลูกสาวว่าอย่าเข้า เพราะเข้าไปจะเป็นเสนียดจัญไร จะขึดนะ ขึดคือสิ่งชั่วร้าย ทีนี้เมื่อเป็นอย่างนี้ลูกหลานก็ปฏิบัติตามไม่เข้า ยึดเป็นจารีตเป็นสิ่งที่ปฏิบัติกันมา
หลายคนอาจอ้างถึงการจำกัดสิทธิ ของสตรีจริงอยู่ สิทธิเสมอภาคกันระหว่างชายหญิง เป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนแต่ประเพณีที่มีมายาวนานและยังเป็นที่เคารพในกลุ่มชน ใดๆก็ตาม ควรจะได้รับความเคารพด้วย อย่าให้สิทธิต้องไปล่วงล้ำเอาประเพณีท้องถิ่นเลย
จะว่าไป... การเคารพบูชากราบไหว้.. ต่อให้มุดลงไปกราบจนถึงในห้องเก็บองค์พระธาตุ....อานิสงส์ก็คงไม่ต่างไปจาก การไหว้ที่ตีนดอยหรอก..
..ถ้าหากผู้ไหว้.. มีความตั้งใจจริงที่เหมือนกัน.. จริงไหม
จาก
http://www.tamdee.net/db/printer_friendly_posts.asp?TID=1311