เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 27 เมษายน 2024, 02:03:42
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  จุนทสูกริก
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน จุนทสูกริก  (อ่าน 2361 ครั้ง)
saykwan
บุคคลทั่วไป
« เมื่อ: วันที่ 08 กันยายน 2011, 09:46:25 »


เรื่องนายจุนทสูกริก

ครั้งหนึ่งในหมู่บ้านแห่งหนึ่งไม่ไกลจากวัดพระเวฬุวัน มีชายชำแหละเนื้อสุกรผู้หนึ่งมีจิตใจโหดร้ายทารุณมาก ชื่อว่านายจุนทะ นายจุนทะคนนี้เป็นผู้ชำแหละสุกรมาเป็นเวลานานถึง 55 ปี วิธีการหาสุกรของเขาใช้วิธีบรรทุกข้าวเลือกออกไปตามชนบทเพื่อใช้แลกกับลูกสุกร พอได้ลูกสุกรมาแล้วก็นำไปขังไว้ในคอกที่ข้างหลังบ้าน พอขุนลูกสุกรด้วยอาหารประเภทผัก รำข้าว รวมทั้งอุจจาระจนตัวโตได้ที่แล้ว เมื่อจะฆ่าสุกรตัวใดก็จะนำสุกรตัวนั้นมามัดตัวให้แน่นเข้ากับที่ฆ่า จากนั้นก็ใช้ค้อนใหญ่ลักษณะสี่เหลี่ยมทุบ เพื่อให้เนื้อสุกรนั้นพองหนาขึ้น เมื่อรู้ว่าเนื้อหนาดีแล้ว ก็ง้างปากสอดไม้เข้าไประหว่างฟัน ใช้กระบวยเหล็กกรอกน้ำร้อนที่เดือดพล่านเข้าไปในปาก น้ำร้อนนั้นก็เข้าไปเดือนพล่านในท้อง ขับอุจจาระของสุกรออกมาทางทหารหนักจนหมด จนน้ำที่ไหลออกมาจากท้องสุกรใสสะอาด จากนั้นเขาก็เอาน้ำเดือดพล่านราดหลังของสุกร เพื่อลอกหนังกำพร้าของสุกรออก ต่อไปก็ลนขนสุกรด้วยคบหญ้า ตัดศีรษะมันด้วยดาบที่คมกริบ รองโลหิตที่ไหลออกมาด้วยภาชนะ เคล้าเนื้อด้วยโลหิต แล้วปิ้งรับประทานกับบุตรและภรรยา ส่วนที่เหลือก็ขาย เขาไม่เคยทำบุญให้ทานแม้แต่ครั้งเดียว ต่อมา นายจุนทะเกิดการเจ็บป่วย ก่อนจะตายมีความเจ็บปวดทุรนทุราย ลงคลานส่งเสียงร้องเหมือนเสียงสุกรอยู่เป็นเวลานานถึงเจ็ดวัน เป็นความทุกข์ก่อนตายที่มีลักษณะคล้ายกับตกนรก พอถึงวันที่ 7 นายจุนทะก็สิ้นชีวิตและได้ไปเกิดในนรกขุมอเวจี มหานรก ความเร่าร้อนในอเวจีมหานรกนั้น มีความร้อนกว่าไฟปกติมาก พระนาคเสนจึงกล่าวอุปมาถวายพระยามิลินท์ว่า “มหาบพิตร แม้หินเท่าเรือนยอด อันบุคคลทุ่มลงไปในไฟนรก ย่อมถึงความย่อยยับได้ในขณะเดียวฉันใด ส่วนสัตว์ที่เกิดในนรกนั้นเป็นประหนึ่งอยู่ในครรภ์มารดา จะย่อยยับไป เพราะกำลังแห่งกรรม เหมือนฉันนั้น หามิได้”

พวกภิกษุเดินทางผ่านประตูบ้านของนายจุนทะ ได้ยินเสียงนั้นแล้ว เข้าใจผิดคิดว่าเป็นเสียงร้องของสุกร ที่ถูกฆ่าและก็คงเป็นการฆ่าสุกรหลายตัว เพื่อทำอาหารเลี้ยงแขกในงานมงคลอะไรสักอย่างเป็นแน่ เขาช่างมีความโหดร้ายทารุณผิดกับผู้ฆ่าสุกรรายอื่นๆ เขาจะมีความเมตตากรุณาสงสารสัตว์แม้สักนิดก็ไม่มี จึงได้นำเรื่องนี้ขึ้นกราบทูลพระศาสดา ทำให้ได้ทราบว่า มันไม่ใช่เสียงร้องของสุกรที่ถูกนายจุนทะฆ่า แต่ทว่าเป็นเสียงร้องเหมือนสุกรของนายจุนทะขณะคลานอยู่ในบ้านตลอดเวลา 7 วันนั้นต่างหาก

เมื่อพวกภิกษุกราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เขาเศร้าโศกอย่างนี้ในโลกนี้แล้ว ยังจะไปเกิดในฐานะเป็นผู้เศร้าโศกเช่นกันอีกหรือไม่” พระศาสดาตรัสว่า “ เป็นอย่างนั้น ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าผู้ประมาทแล้ว จะเป็นคฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม ย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสองเป็นแท้”

จากนั้น พระศาสดาได้ตรัสพระธรรมบท พระคาถาที่ 15 ว่า

คนทำชั่วย่อมเศร้าโศกในโลกทั้งสอง
คือ เศร้าโสกในโลกนี้ และเศร้าโศกในโลกหน้า
เขาย่อมเศร้าโศก ย่อมเดือดร้อน
เพราะมองเห็นกรรมชั่วของตนเอง.



* จุนทสูกริก.jpg (29.04 KB, 301x450 - ดู 421 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
saykwan
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 08 กันยายน 2011, 10:07:19 »

ตำนานฤาษีกินแลน

ในสมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้า ประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภภิกษุผู้หลอกลวงรูปหนึ่ง ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธกว่า...

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีดาบสผู้มีตบะกล้าตนหนึ่ง เป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้าน จึงได้สร้างศาลาไว้ให้ที่ชายป่าแห่งหนึ่งใกล้บ้าน ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์ได้เกิดเป็นแลนตัวหนึ่ง อาศัยอยู่ที่จอมปลวกแห่งหนึ่ง ใกล้ที่จงกรมของดาบสนั้น มันจะไปหาดาบสวันละสามครั้งเป็นประจำทุกวัน เพื่อฟังธรรม ไหว้ดาบสแล้ว จึงกลับไปอยู่ที่อยู่ของตน

ต่อมาไม่นาน ดาบสนั้น ได้อำลาชาวบ้านไปที่อื่น ได้มีดาบสโกงตนหนึ่ง เข้ามาอาศัยในศาลานั้นแทน แลนพระโพธิสัตว์ก็คิดว่า แม้ท่านผู้นี้ก็ทรงศีลเหมือนกัน จึงไปหาดาบสนั้นเช่นเดิม

อยู่มาวันหนึ่ง ฝนได้ตกมาในฤดูแล้ง ฝูงแมลงเม่าได้พากันบินออกจากจอมปลวกเป็นจำนวนมาก ฝูงแลนก็ได้ออกมากินแมลงเม่าเหล่านั้น พวกชาวบ้านพากันออกมาจับแลนแล้วปรุงเป็นอาหาร รสอร่อยนำมาถวายดาบส ดาบสได้ฉันเนื้อนั้นแล้วติดใจในรส เมื่อทราบว่าเป็นเนื้อแลน จึงคิดได้ว่า

" มีแลนใหญ่ตัวหนึ่งมาหาเราเป็นประจำ เราจะฆ่ามันกินเนื้อ "

จึงให้ชาวบ้านเอาเครื่องปรุงมาไว้ให้ ได้นั่งถือค้อนห่มคลุมผ้าอยู่ที่ประตูศาลา


เย็นวันนั้น แลนโพธิสัตว์ ได้ไปหาดาบสตามปกติ ได้เห็นท่านั่งที่แปลกของดาบส คิดว่า " วันนี้ดาบส นั่งท่าที่ไม่เหมือนวันก่อน นั่งชำเลืองเราเป็นประจำ " จึงไปยืนดูอยู่ใต้ทิศทางลม ได้กลิ่นเนื้อแลน จึงทราบว่า " ดาบสโกงนี้ คงฉันเนื้อแลน ติดใจในรสแล้ว คราวนี้ หวังจะตีเรา เอาเนื้อไปแกงเป็นอาหารแน่ๆ " จึงไม่ยอมเข้าไปใกล้ ถอยกลับแล้ววิ่งหนีไป

ฝ่ายดาบสโกงทราบว่าแลนรู้ตัวไม่ยอมมาแล้ว จึงลุกขึ้นขว้างค้อนตามหลังไป ค้อนได้ถูกเพียงหางแลนเท่านั้น แลนได้หลบเข้าไปในจอมปลวกอย่างรวดเร็ว โผล่เพียงศีรษะออกมาเท่านั้น กล่าวติเตียนดาบสด้วยคาถานี้ว่า

" นี่เจ้าผู้โง่เขลา จะมีประโยชน์อะไรแก่เจ้า ด้วยชฎาและการนุ่งห่มหนังเสือเหลือง
ภายในของเจ้าแสนจะรกรุงรัง เจ้าดีแต่ขัดสีภายนอกเท่านั้น "




* ฤาษีกินแลน.jpg (17.46 KB, 300x225 - ดู 628 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
saykwan
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 08 กันยายน 2011, 10:11:47 »

เรื่องจุลกาลและมหากาล เต็มเรื่อง

พระศาสดา เมื่อเสด็จเข้าไปอาศัยเสตัพยนคร ประทับอยู่ในป่าไม้ประดู่ลาย ทรงปรารภจุลกาล และมหากาล ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า สุภานุปสฺสึ วิหรนฺตํ เป็นต้น

ที่เมืองเสตัพยนคร มีกุฎุมพี 3 พี่น้อง คือ จุลกาล มัชฌิมกาล และมหากาล ประกอบอาชีพเป็นพ่อค้านำกองคาราวานเกวียนบรรทุกสิ่งของตระเวนไปขายตามเมืองต่างๆ ทั้งนี้โดยคนที่ชื่อจุลกาล ซึ่งเป็นพี่คนโต และ มหากาล ซึ่งเป็นน้องคนเล็ก เป็นผู้ควบคุมกองคาราวานเกวียนไป

ครั้งหนึ่ง ทั้งมหากาลและจุลกาล เมื่อเดินทางไปค้าขาย ก็ได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาจากพระศาสดา หลังจากสดับพระสัทธรรมเทศนาแล้ว ฝ่ายมหากาลได้ทูลขอบรรพชาอุปสมบทจากพระศาสดา ส่วนจุลกาลก็ได้บรรพชาอุปสมบทเหมือนกัน แต่เป็นการบวชเพียงเพื่อจะสึกแล้วชวนให้พี่ชายสึกตามไปด้วยเท่านั้นเอง

มหากาลนั้นมีความตั้งใจในการปฏิบัติสมณธรรมมาก ได้ไปฏิบัติธรรมอยู่ในป่าช้าตามแบบ โสสานิกธุดงค์(ธุดงค์ที่เข้าไปปฏิบัติอยู่ในป่าช้า) และพิจารณาถึงความไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา ตามหลักของคำสอนในพระพุทธศาสนาว่า

สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ มีอันเกิดขึ้น
และเสื่อมไปเป็นธรรมดา เมื่อเกิดขึ้นแล้วดับไป
ความสงบแห่งสังขารเหล่านั้นเป็นสุข.

จนในที่สุดได้บรรลุความรู้แจ้งเห็นจริงได้เป็นพระอรหันต์

ต่อมา พระศาสดาและสาวกทั้งหลาย รวมทั้งภิกษุมหากาลและจุลกาลนี้ด้วย ได้เข้าไปอยู่ในป่าสิงสปาวัน(ป่าประดู่ลาย) ใกล้เมืองเสตัพยะ ในช่วงนั้นเองพวกอดีตภรรยาของพระจุลกาล ได้อาราธนาพระศาสดาพร้อมด้วยภิกษุสาวกทั้งหลายไปที่บ้านของพวกตน พระจุลกาลได้เดินทางล่วงหน้าไปที่บ้านภรรยา เพื่อตระเตรียมปูอาสนะที่ประทับสำหรับพระศาสดาและสาวกทั้งหลาย พอพระจุลกาลเดินทางไปถึงที่บ้านพวกภรรยาก็ได้บังคับให้พระจุลกาลสึกโดยให้เปลี่ยนชุดแต่งกายจากผ้ากาสาวพัสตร์มาเป็นชุดคฤหัสถ์

ในวันรุ่งขึ้น พวกอดีตภรรยาของพระมหากาล ได้อาราธนาพระศาสดาและพระสงฆ์สาวกไปที่บ้านของพวกตนบ้าง โดยมีวัตถุประสงค์จะทำการสึกพระมหากาลอย่างเดียวกับที่ภรรยาของอดีตพระจุลกาลเคยทำกับพระจุลกาล หลังจากเสร็จสิ้นถวายภัตตาหาร พวกอดีตภรรยาของพระมหากาลได้ทูลพระศาสดาขอให้พระมหากาลอยู่ก่อน โดยอ้างว่าเพื่อจะได้ “กล่าวอนุโมทนา” ดังนั้นพระศาสดาและพระสงฆ์สาวกทั้งหลายจึงได้กลับคืนสู่วิหาร

หลังจากที่เดินทางมาถึงประตูหมู่บ้าน พวกภิกษุทั้งหลายได้แสดงหวาดวิตก ที่พวกภิกษุเหล่านี้หวาดวิตกก็เพราะพระมหากาลได้รับพุทธานุญาตให้อยู่ที่บ้านอดีตภรรยาแต่โดยลำพัง ซึ่งเป็นที่น่าหวาดกลัวว่าจะเป็นเหมือนกรณีที่เกิดขึ้นกับพระจุลกาลพระน้องชาย คือจะถูกอดีตภรรยาจับสึกนั่นเอง พระศาสดาตรัสว่าพระสองพี่น้องนี้ไม่เหมือนกัน คือ พระจุลกาลยังฝักใฝ่ในกามคุณ มีความเกียจคร้านและอ่อนแอ ราวกับต้นไม้ที่ไม่แข็งแรง ตรงกันข้ามมหากาล มีความบากบั่น ขยันหมั่นเพียร มีจิตในเด็ดเดี่ยว และมีศรัทธาอย่างแรงกล้าในพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ มีลักษะเหมือนเหมือนภูเขาศิลาล้วน

จากนั้นพระศาสดาตรัสพระธรรมบทพระคาถาที่ 7 และที่ 8 ว่า

ผู้ตกเป็นทาสของความสวยงาม
ไม่ควบคุมอินทรีย์ทั้งหลาย
ไม่รู้จักประมาณในโภชนาหาร
เกียจคร้าน ขาดความบากบั่น
มารย่อมกำจัดเขาได้
เหมือนลมพัดพาต้นไม้ที่ไม่แข็งแรงได้ฉะนั้นฯ


ผู้ไม่ตกเป็นทาสของความสวยงาม
ควบคุมอินทรีย์ทั้งหลายได้
รู้จักประมาณในโภชนาหาร
มีศรัทธา ขยันหมั่นเพียร
มารย่อมกำจัดเขาไม่ได้
เหมือนลมพัดพาภูเขาศิลาล้วนไม่ได้ ฉะนั้นฯ

ในขณะพวกอดีตภรรยาของพระมหากาลกำลังจะมาช่วยกันเปลื้องสบงจีวรออกจากร่างกายของพระมหากาลอยู่นั้นเอง พระเถระรู้ทันในวัตถุประสงค์ของอดีตภรรยา จึงได้รีบลุกขึ้นยืนแล้วเหาะทะยานทะลุทะลวงผ่านหลังคาบ้านขึ้นสู่อากาศด้วยกำลังแห่งฤทธิ์ แล้วเหาะไปลงที่แทบพระบาทของพระศาสดาในช่วงพอดีกับที่พระศาสดาตรัสพระธรรมบททั้ง 2 พระคาถาข้างต้นจบลง




* 4.jpg (39.48 KB, 600x450 - ดู 351 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
saykwan
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 08 กันยายน 2011, 10:15:18 »

เรื่องธิดาของนายช่างหูก

วันหนึ่ง พระศาสดาทรงตรวจดูโลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นธิดาช่างหูกนั้น เข้ามาอยู่ในข่ายคือพระญาณของพระองค์ ทรงใคร่ครวญแล้ว ทราบว่านางจะได้บรรลุโสดาปัตติผล

จึงได้เสด็จไปที่เมืองอาฬวีเพื่อแสดงธรรมแก่นางเป็นครั้งที่สอง เมื่อธิดาช่างหูกได้ทราบข่าวว่าพระศาสดาเสด็จมา พร้อมด้วยภิกษุ 500 รูป ก็มีความประสงค์จะไปฟังธรรมของพระศาสดา แต่ขณะนั้นนางได้รับคำสั่งจากบิดาว่าให้รีบกรอด้ายให้แล้วเสร็จเพื่อจะได้นำด้ายที่กรอแล้วนั้นไปทอผ้าที่ยังทอค้างอยู่ นางจึงรีบกรอด้ายอย่างขมีขมัน เมื่อกรอด้ายเสร็จแล้วก็จะนำด้ายหลอดนั้นไปให้บิดา ในระหว่างทางก็ได้หยุดอยู่ที่ข้างท้ายๆของผู้คนที่กำลังฟังธรรมของพระศาสดาอยู่นั้น ในขณะเดียวกันพระศาสดาทรงทราบว่าธิดาช่างหูกจะมาฟังธรรมของพระองค์ และหลังจากฟังธรรมแล้วนางก็จะเสียชีวิตเมื่อไปยังที่ทอผ้า จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญยิ่งที่นางจะต้องได้ฟังธรรมในช่วงที่นางจะไปโรงทอฟ้าไม่ใช่ในช่วงที่นางเดินทางกลับมา ดังนั้น เมื่อธิดาช่างหูกมาปรากฏตัวอยู่ข้างท้ายของผู้ฟังธรรมทั้งหลายนั้น พระศาสดาได้จึงได้ทอดพระเนตรไปยังงนาง เมื่อนางเห็นพระศาสดาทอดพระเนตรมาที่นางเช่นนั้น นางก็วางตะกร้าด้ายแล้วเข้าไปถวายบังคมพระศาสดา พระศาสดาจึงได้ตรัสถามปัญหาต่างๆกับนางและนางก็ได้ตอบปัญหาเหล่านี้ดังต่อไปนี้

1.คำถาม : เธอมาจากไหน คำตอบ : ไม่ทราบ พระเจ้าข้า
2.คำถาม : เธอจักไป ณ ที่ไหน คำตอบ : ไม่ทราบ พระเจ้าข้า
3.คำถาม : เธอไม่ทราบหรือ คำตอบ : ทราบ พระเจ้าข้า
4.คำถาม : เธอทราบหรือ คำตอบ : ไม่ทราบ พระเจ้าข้า

ผู้คนที่ฟังธรรมอยู่นั้น คิดว่าธิดาช่างหูกขาดความเคารพในพระศาสดา จึงตอบปัญหาแบบวกวนพูดไม่รู้เรื่อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเข้าใจผิด พระศาสดาจึงได้ขอให้ธิดาช่างหูกอธิบายคำตอบต่างๆนั้นอย่างละเอียด นางจึงอธิบายว่า พระศาสดาทราบเป็นอย่างดีแล้วว่า นางมาจากบ้าน แต่พระศาสดาถามในคำถามข้อที่หนึ่ง ว่านางมาจากไหน นางตีความหมายว่าพระศาสดาถามถึงภพภูมิในอดีตของนางก่อนจะมาเกิดในภูมิมนุษย์นี้ นางจึงตอบไปว่า ไม่ทราบ สำหรับปัญหาข้อที่สอง นางตีความว่าพระศาสดาตรัสถามถึงภพภูมิในอนาคตที่นางจะไปเกิด นางจึงตอบไปว่า ไม่ทราบ สำหรับคำถามข้อที่สาม พระศาสดาคงจะหมายถึงว่า นางรู้หรือไม่ว่าจะตายในวันหนึ่ง นางจึงตอบไปว่า ทราบ ส่วนคำถามสุดท้าย พระศาสดาคงจะหมายถึงว่า นางจะตายเมื่อใด นางจึงตอบไปว่า ไม่ทราบ


พระศาสดาพอพระทัยในคำอธิบายของนาง และได้ตรัสกับผู้มาฟังธรรมทั้งหลายว่า “พวกท่านย่อมไม่ทราบถ้อยคำชื่อมีประมาณเท่านี้ ที่นางกุมาริกากล่าวแล้ว เพราะเอาแต่จะจับผิดอย่างเดียวเท่านั้น เพราะจักษุคือปัญญาของชนเหล่าใดไม่มี ชนเหล่านั้น เป็นดุจคนตาบอดทีเดียว จักษุคือปัญญาของชนเหล่าใดมีอยู่ ชนเหล่านั้นนั่นแล เป็นผู้มีจักษุ”

จากนั้น พระศาสดาจึงตรัสพระธรรมบท พระคาถานี้ว่า

สัตวโลกนี้เป็นเหมือนคนบอด
ในโลกนี้น้อยคนจะเห็นแจ้งได้
น้อยคนจะไปสวรรค์
เหมือนนกหลุดจากข่าย มีน้อย ฉะนั้น.



* 6.jpg (15.7 KB, 320x283 - ดู 384 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
saykwan
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 08 กันยายน 2011, 10:17:38 »

วันนี้พอหอมปากหอมคอแค่นี้ก่อนนะครับพรุ่งนี้จะนำนิทานธรรมบทมาให้อ่านต่อ


* 7.jpg (26.66 KB, 300x533 - ดู 308 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 13 พฤศจิกายน 2013, 00:38:33 »

saykwan
วันนี้พอหอมปากหอมคอแค่นี้ก่อนนะครับพรุ่งนี้จะนำนิทานธรรมบทมาให้อ่านต่อ

ไหว้สา
พรุ่งนี้ หรือ เมื่อไร  ท่านจะ เมตตา  มาทำ ธัมมทาน ต่อ ?
ผม ขอเป็น กำลังใจ ให้ท่าน  สู้ ๆ ๆ   

สาธุ ครับ
IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!