ข่างไม่ค่อยดีเท่าใหร่สำหรับนักลงทุน หรือว่านักเล่นหุ้นครับ
http://www.thairath.co.th/ecoผมกำลังศึกษาเรื่องหุ้นหรือการลงทุนอยู่ เจอข่าวนี้ก็ต้องศึกษามากขึ้น มีความสุขกับการลงทุนครับตลาดหุ้นแดงทั่วโลก ชี้สหรัฐฯผ่าน ก.ม.ขยายเพดานหนี้ไม่มีผล เศรษฐกิจโลกอ่อนแอหนัก “คณิศ” เตือนรัฐบาลใหม่รับมือ ไม่อย่างนั้นเศรษฐกิจไทยปีนี้อาจขยายตัวเหลือแค่ 3% จี้ดูแลเงินเฟ้อไม่ให้พุ่งเกิน 2%
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า คืนวันที่ 1 ส.ค.ที่ผ่านมา สภาผู้แทนราษฎรของสหรัฐฯ อนุมัติข้อตกลงเพื่อปรับเพิ่มเพดานหนี้จาก 14.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯในปัจจุบัน โดยจะมีการปรับลดงบใช้จ่ายลดลง 2.1 ล้านล้านเหรียญฯในเวลา 10 ปี ด้วยคะแนนเสียง 269 ต่อ 169 ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯหลีกเลี่ยงเส้นตายการผิดนัดชำระ หนี้ในวันที่ 2 ส.ค.นี้ได้ เพราะคาดกันว่า วุฒิสภาสหรัฐฯ ที่จะมีการลงมติเวลา 23.00 น. ของคืนวันที่ 2 ส.ค.จะผ่านร่างกฎหมายดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ตลาดเงินทั่วโลกกลับมีปฏิกิริยาน้อยมากกับเรื่องนี้ และยังคงวิตกกังวล เพราะมีความเป็นไปได้ที่สหรัฐฯจะถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือลงจากระดับ AAA สูงอยู่
ขณะที่ตลาดหุ้นทั่วโลก วานนี้ (2 ส.ค.) ปรับตัวลดลงแทบทุกตลาด โดยดัชนีหุ้นภูมิภาคเอเชีย (2 ส.ค.) ลดลงทั้งภูมิภาค ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยปิดที่ 1,139.61 จุด ลดลง 4.53 จุด, ดัชนีหุ้นนิเคอิ ญี่ปุ่น ปิดที่ 9,844.59 ลดลง 120.42 จุด ตลาดหุ้นเซี่ยงไฮ้ ปิดที่ 2,679.259 ลดลง 24.524 จุด, ดัชนีหุ้นฮั่งเส็ง ปิดที่ 22,421.46 ลดลง 241.91 จุด, หุ้นสเตรทไทม์ สิงคโปร์ปิดที่ 3,177.09 จุด ลดลง 38.18 จุด เช่นเดียวกับภูมิภาคยุโรปและอเมริกา (1ส.ค.) โดยหุ้นดาวโจนส์ สหรัฐฯปิดที่ 12,132.49 จุด ลดลง 10.75 จุด, เอฟที -100 อังกฤษ ปิดที่ 5,774.43 ลดลง 40.76 จุด, ดีเอเอ็กซ์ เยอรมัน ปิดที่ 6,953.58 จุด ลดลง 204.79 จุด และซีเอซี-40 ฝรั่งเศส ปิดที่ 3,588.05 จุด ลดลง 83.23 จุด
นายนาโอกิ ฟูจิวาระ ผู้จัดการกองทุนชินกิน แอสเซ็ท แมเนจเมนต์ ของญี่ปุ่น กล่าวว่า การปรับลดลงของตลาดหุ้นทั่วโลกช่วงเช้านี้ไม่ใช่เรื่องประหลาดใจ เพราะตลาดกังวลกับแนวโน้มของเศรษฐกิจสหรัฐฯและเศรษฐกิจโลกในระยะยาว แม้ว่าสหรัฐฯจะหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระหนี้ในครั้งนี้ได้ก็ตาม ทั้งนี้ จากผลสำรวจพบว่า การผลิตของโลกขยายตัวต่ำสุดในรอบ 2 ปีในเดือน ก.ค.นี้ ขณะที่ยอดคำสั่งซื้อลดลงเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2551
“ข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคของโลกทำให้นักลงทุนต้องพิจารณาอย่างจริงจังถึงคำถามใน การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก” นายคีธ โบว์แมน นักวิเคราะห์หุ้นจากฮาร์กรีฟ แลนส์ดาวน์กล่าว ขณะที่นายโจเซฟ คาปูร์โซ นักวางแผนกลยุทธ์จากคอมมอลเวลธ์ แบงก์ กล่าวว่า “ในระยะสั้นสหรัฐฯ หลีกเลี่ยงวิกฤติการเงินโลกครั้งที่ 2 แต่สหรัฐฯต้องปรับงบประมาณลงอีกและเมื่อรวมกับข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ อ่อนแอมาก ทำให้มีความเป็นไปได้มากขึ้นที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะต้องออกนโยบายผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE3 ทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯอ่อนค่าลงอีก”
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า นักลงทุนทั่วโลกสนใจที่จะเข้าซื้อสินทรัพย์ที่มีความปลอดภัยสูงมากขึ้นเช่น เงินฟรังก์สวิส โดยค่าเงินดอลลาร์ในช่วงเช้าวานนี้ (2 ส.ค.) อ่อนค่าลงทำสถิติต่ำสุดใหม่เมื่อเทียบกับเงินฟรังก์สวิส ขณะที่ธนาคารกลางทั่วโลกหันมาลงทุนในทองคำมากขึ้นโดยธนาคารกลางเกาหลีใต้ ระบุว่า ในช่วง 2เดือนที่ผ่านมาได้เข้าซื้อทองคำเพิ่มขึ้น 25 ตัน ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซื้อทองคำเพิ่มขึ้นประมาณ 10 ตัน ตั้งแต่เดือน เม.ย.โดยราคาทองคำล่าสุดวานนี้ (2ส.ค.)ปรับขึ้นไปอยู่ที่ 1,627.74 เหรียญสหรัฐฯ ต่อออนซ์ เพิ่มขึ้น 9.64 เหรียญฯ
นายคณิศ แสงสุพรรณ ผู้อำนวยการมูลนิธิสถาบันวิจัยนโยบายเศรษฐกิจและการคลัง เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจโลกหลังจากที่สหรัฐอเมริกาขยายเพดานหนี้สาธารณะ คาดว่าตั้งแต่ช่วงนี้ไปจนถึงปลายปีเศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงมาก ถ้าประเทศไทยไม่ทำให้เศรษฐกิจภายในเข้มแข็งขึ้น และเชื่อมโยงเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้านรวมและเอเชีย เศรษฐกิจไทยจะมีปัญหาอย่างแน่นอน อาจจะได้เห็นผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) โตเพียง 3-3.5% “เมื่อสหรัฐฯขยายเพดานก่อหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น ต่อไปก็จะต้องออกตราสารหนี้มาขายให้กับนักลงทุน แต่เชื่อว่าไม่มีนักลงทุนรายใดกล้าเสี่ยง ดังนั้น เฟดก็ต้องเข้ามาซื้อเองซึ่งต้องใช้มาตรการ QE3 ออกมา ขณะที่ประเทศในแถบยุโรปก็ยังมีปัญหาเศรษฐกิจอยู่ ทำให้เงินล้นตลาด เกิดภาวะราคาสินค้า ราคาน้ำมัน รวมถึงราคาทองคำขยับตัวสูงขึ้น”
สำหรับเศรษฐกิจภายในประเทศสิ่งที่เป็นปัญหาสำคัญ คือ ราคาน้ำมันและราคาอาหารที่พุ่งสูงขึ้น เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะเงินเฟ้อจนกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลชุดใหม่ต้องดูแลสินค้าสำคัญ 13 ชนิดที่ส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด โดยใช้มาตรการบริหารการนำเข้าและการส่งออกให้ทันสถานการณ์เพื่อให้ราคาเป็น ไปตามกลไกตลาดอย่างแท้จริง ขณะเดียวกันต้องดูแลปัญหาราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้ส่งผลกระทบกับประชาชนมากเกินไปโดยเฉพาะการลดเงินนำส่งเข้ากองทุน น้ำมันเชื้อเพลิง
ทั้งนี้ หากรัฐบาลควบคุมไม่ให้อัตราเงินเฟ้อสูงกว่า 1-2% ได้ การเพิ่มรายได้ให้ประชาชนอีก 40% ตามนโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ก็จะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง หากรายได้เพิ่มแต่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นมาก รายได้ก็ไม่ได้เพิ่มอย่างแท้จริง ขณะเดียวกัน ถ้าเดินหน้านโยบายอื่นตามที่หาเสียงไว้ได้จริง ทั้งการรับจำนำข้าว การขึ้นเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท รวมถึงมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้ปีละ 6%.