เหรียญด้านที่สอง เอฟทีเอไม่ข่วยอะไรไทยยังโดนภาษีอ่วม!!!
ปัจจุบันแม้ไทยจะมีเอฟทีเอหรือเขตการค้าเสรีจีนอาเซียน ซึ่งถือว่าไทยเป็น ประเทศนำร่อง แต่ใครจะเชื่อว่า “จนแล้วจนรอดเราก็เสียเปรียบจีนวันยังค่ำ!!!” แม้ตามเอฟทีเอจะระบุให้ภาษีการส่งออกและนำเข้าสินค้าตามที่ระบุในข้อตกลงเป็น 0% แต่ในความเป็นจริง เรื่องของผลผลิตสินค้าเกษตร เรากลับต้องเสียภาษีให้จีนอีกถึง 19% !!!
เหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะจีนมีการเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มหรือแวตในสินค้าเกษตร จากไทย 13% และผู้นำเข้าต้องเสียภาษีการค้าให้กับรัฐบาลจีนอีก 6% ซึ่งจัดเป็น คนละประเด็นกับเอฟทีเอ ในขณะที่ไทยเราไม่มีการเก็บภาษีในรายละเอียดปลีกย่อย เหมือนกับจีน ทำให้เราอิดออดในเรื่องการเสียภาษีไม่ได้
ประเด็นคือ เหตุใดรัฐบาล ณ ขณะนั้นจึงตกลงเซ็นกับจีน ทั้งที่เอฟทีเอ ยังมีช่องโหว่อีกมาก? จะมาบอกว่าศึกษาข้อตกลงไม่ละเอียดคงเป็นไปไม่ได้ เพราะคนระดับเป็นถึงรัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูง รวมถึงผู้เกี่ยวข้อง คงไม่ได้เป็นแค่ตาสีตาสาทำมาหาเลี้ยงชีพไปวันๆ คนระดับนี้น่าจะมีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลที่ทำให้ประเทศชาติได้ผลประโยชน์ ในขณะที่จีนเองก็ไม่เสียเปรียบไทย เรียกว่า “วิน วิน ทั้งสองฝ่าย”
เพราะฉะนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องตอบกับสังคมว่า เพราะเหตุใด???
แม้ว่าการตกลงดังกล่าวจะทำให้สินค้าไทยส่งไปยังจีนได้มากขึ้นและง่ายขึ้น ในขณะที่สินค้าจีนเองก็เป็นไปในทำนองเดียวกัน แต่ก็น่าจะมีการศึกษาในรายละเอียด ให้มากกว่านี้ เพราะผลสุดท้ายการเสียภาษีมากขึ้น ผลลัพธ์ก็จะมาตกที่การกดราคา จากเกษตรกร ท้ายที่สุดแล้วเกษตรกรไทยก็กลายเป็นเพียงคนไร้ความรู้ที่หาเลี้ยงชนชั้นที่ สูงกว่าเช่นเดิมไม่ต่างจากอดีต
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะทำให้เกิดผลพวงในการลงนามร่วมกับทางการจีนใน “พิธี สารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำ เข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างประเทศไทยและจีน” ตามมา จนทำให้เกิด เส้นทางค้าขายร่วมกันเพิ่มขึ้นคือ เส้นทาง R3A ซึ่งเริ่มจาก อ.เชียงของ จ.เชียงราย ผ่านเมืองห้วยทราย บ่อแก้ว หลวงน้ำทา และบ่อเต็น ของลาว เข้าสู่เมืองโม่หาน จิ่งหอ และเชียงรุ้ง มุ่งสู่นครคุนหมิงของจีน รวมระยะทางราว 1,200 กม. ก่อนที่ จะกระจายสู่มณฑลต่างๆ ของจีน ทำให้มีมูลค่าเพิ่มขึ้น จนเปลี่ยนรูปแบบจากการ ค้าชายแดนเป็นการค้าระหว่างประเทศ
ที่จากเดิมเราต้องส่งสินค้าเราเข้าลาวก่อน โดยการขนส่งทางเรือและโดย กองทัพมด แล้วเก็บภาษีเป็นรายๆ ไป ซึ่งทำให้เราส่งออกผลผลิตไปจีนแล้วเสียภาษีน้อยลง แต่ในขณะเดียวกันการผ่านด่านเล็กอย่างลาวก็ทำให้สินค้าไทยต้องถือสัญชาติลาว และก่อให้เกิดความเสียหายต่อสินค้าได้ระหว่างการขนส่ง ขณะเดียวกันเราก็ได้ไฟเขียวโควตาผลไม้ 23 ชนิดเข้าจีน ซึ่งถือว่ามากกว่าประเทศอื่น แต่ผลจากการเสียภาษีดังกล่าว ก็ทำให้ผลไม้ไทยราคาสูงขึ้น ซึ่งอาจกระทบ ต่อผู้บริโภคชาวจีน
เรื่องนี้คงหาข้อสรุปได้ยาก เพราะผลไม้เราได้รับการตอบรับจากชาวจีนเป็น อย่างดี แต่ผู้แบกรับภาระก็คือ ผู้ส่งออกและนำเข้า ซึ่งผลก็จะชิ่งมายังเกษตรกรอีกที ในขณะที่มีการทำข้อตกลงร่วมกันไปแล้ว คงไปแก้อะไรไม่ได้ เพราะทางการ จีนกำหนดเรื่องภาษีตัวนี้มานานแล้ว ขณะเดียวกันหากเราจะไปแก้ในเรื่องของการ เก็บภาษีแวตในสินค้าเกษตรไทยก็คงทำไม่ได้ เพราะผลกระทบเรื่องของราคาสินค้า และเงินเฟ้อจะตามมาเป็นเงาตามตัว
เรื่องนี้คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องโทษรัฐบาลที่ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือก่อนเซ็น ซึ่งนี่เองอาจเป็นอีกหนึ่งจุดบอดของไทยเราที่มีคนไม่ค่อยรู้ความมาบริหารประเทศใน ช่วงที่ผ่านมา
http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413353527