http://www.thairath.co.th/today/view/175425ราคาอาหาร พืชผัก เนื้อสัตว์ จะถูกจะแพง...ขึ้นอยู่กับปุ๋ย
เพราะปุ๋ยเป็นปัจจัยพื้นฐานในการผลิตอาหารของมนุษย์ และอาหารของสัตว์ รวมทั้งสารพัดพืชพลังงานทดแทน ต่างต้องพึ่งปุ๋ยด้วยกันทั้งนั้นทั้งที่ปุ๋ยเป็นความมั่นคงของ ประเทศชาติ และความมั่นคงในการดำรงชีวิตของคนไทย...แต่ในการหาเสียงเลือก ตั้ง นักการเมืองที่อ้างเหตุผลจะอาสาทำงานเพื่อประชาชน ช่วยเหลือเกษตรกร กลับไม่มีพรรคการเมืองไหนให้ความสำคัญเรื่องปุ๋ยแม้แต่น้อย
โดยเฉพาะนโยบายแก้ปัญหาปุ๋ยเคมี นับวันที่จะมีราคาแพงขึ้น ไม่แพ้น้ำมัน
แม้จะมีบางฝ่ายออกมาแก้ต่าง...ปุ๋ยเคมีแพง ก็หันไปใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยชีวภาพแทนก็ได้
แต่จะทดแทนกันได้จริงหรือ
“นี่เป็นปัญหาความเข้าใจผิดของเกษตรกรและคนโดยทั่วไป ที่ยึดติด กับคำว่า เคมี อะไรที่เป็นเคมีต้องมีพิษมีอันตรายเหมือนกันหมด ปุ๋ยเคมีไม่ได้มีอันตรายแต่อย่างใด ปุ๋ยเคมีไม่ใช่สารเคมีจำพวกยาฆ่าแมลง
และชื่อดั้งเดิมของปุ๋ยชนิดนี้ ที่คนไทยรู้จักกันก็คือ ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ มาเปลี่ยนเป็นใช้ชื่อ ปุ๋ยเคมี เมื่อปี 2518 เพราะมีการออกกฎหมายพระราชบัญญัติปุ๋ย บังคับให้กระสอบใส่ปุ๋ยวิทยาศาสตร์จะต้องพิมพ์คำว่า ปุ๋ยเคมี ให้เห็นชัดเจน ชื่อปุ๋ยวิทยาศาสตร์เลยเปลี่ยนเป็นปุ๋ยเคมีตั้งแต่นั้นมา
การทำเกษตรในปัจจุบันไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ปุ๋ยเคมียังมีความจำเป็น เพราะให้ธาตุอาหารกับพืชได้มากที่สุด เพียงพอกับที่พืชต้องการ ในขณะที่ปุ๋ยอินทรีย์ให้ปริมาณธาตุอาหารที่น้อยมากไม่พอต่อ ความต้องการของพืช ปุ๋ยอินทรีย์เหมาะที่จะนำไปปรับปรุงดิน ให้มีความร่วนซุยมากกว่าจะนำเป็นธาตุอาหารให้กับพืช
ส่วนปุ๋ยชีวภาพไม่ต้องพูดถึง ในทางวิชาการเราไม่ถือว่าเป็นปุ๋ย เพราะเป็นเพียงจุลินทรีย์ ไม่มีธาตุอาหารของพืช จึงมีคุณสมบัติเป็นได้แค่ส่วนประกอบส่วนหนึ่งของปุ๋ยอินทรีย์ เท่านั้นเอง”
ศ.ดร.สรสิทธิ์ วัชโรทยาน กรรมการผู้จัดการมูลนิธิมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ปูชนียบุคคลด้านดินและปุ๋ยของเมืองไทย ยกตัวอย่างให้เห็นความแตกต่างธาตุอาหารในปุ๋ยเคมีกับปุ๋ย อินทรีย์ปุ๋ยอินทรีย์ที่ว่าดีเลิศ มีธาตุอาหารให้กับพืชมากที่สุด...มูลไก่ มีธาตุอาหาร (N...ไนโตรเจน-P...ฟอสฟอรัส-K...โพแตสเซียม) 2.42%-6.29%-2.11%
ถ้าจะให้ได้ธาตุอาหารเท่ากับปุ๋ยเคมี สูตร 15–15–15 ต้องใช้มูลไก่ในปริมาณมากกว่าปุ๋ยเคมีถึง 6–7 เท่าโดยน้ำหนัก
ส่วนมูลหมู วัว ควาย ฟางข้าว เศษพืชต่างๆ ยิ่งต้องเพิ่มปริมาณมากขึ้นไปอีก เพราะธาตุอาหารน้อยกว่ามูลไก่
เมื่อต้องใช้ปริมาณมากขึ้น ปัญหาไม่ได้มีเพียง ต้นทุนค่าปุ๋ยอินทรีย์ จะแพงกว่าปุ๋ยเคมีเท่านั้น ยังมีปัญหาเรื่องจะหาปุ๋ยอินทรีย์จำนวนมหาศาลนี้ได้จาก ไหน...ในประเทศไทยมีไม่พอให้ใช้เพาะปลูกแน่
“ถ้าเป็นสมัยก่อนสัก 60-70 ปีที่แล้ว ดินประเทศไทยยังอุดมสมบูรณ์อยู่ แต่นับวันการเพาะปลูกเพิ่มขึ้นทุกวัน ธาตุอาหารที่มีอยู่ในดินถูกพืชดูดขึ้นไปใช้ทุกวัน จนวันนี้คำว่า เมืองไทยดินดีสมเป็นนาสวน ไม่มีให้เห็นอีกต่อไป นอกจากจะรุกป่าเอามาทำพื้นที่เพาะปลูก
คนส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าการเพาะปลูกพืชแต่ละชนิดนั้น พืชดูดกินธาตุอาหารจากดินไปมากขนาดไหน เฉพาะปลูกข้าวได้ผล ผลิต 1 ตัน ต้นข้าวจะดูดธาตุอาหารหลัก ดูดตัว N 20 กก. ตัว P 4-5 กก. และดูดตัว K 25 กก.
คิดดูก็แล้วกัน ประเทศไทยผลิตข้าวได้ปีละ 32 ล้านตัน เราจะใช้ปุ๋ยอินทรีย์มากแค่ไหนเพื่อเติมให้ดินมีธาตุอาหาร เท่าที่ข้าวดูดใช้ไป นี่เฉพาะข้าวเท่านั้น ยังไม่รวมกับพืชชนิดอื่นๆ แล้วเราจะหาปุ๋ยอินทรีย์จำนวนมหาศาลมาจากไหน มาเติมให้ดินมีธาตุอาหารเพียงพอ”
ศ.ดร.สรสิทธิ์ ชี้ให้เห็นความสำคัญของปุ๋ยเคมี ที่ประเทศไทยไม่มีทางปฏิเสธได้...และคนไทยยากจะหลีกหนีข้าว ปลาอาหารแพงขึ้นทุกวัน ตามราคาปุ๋ยที่แพงขึ้น
เพราะความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีทั่วโลกเพิ่มมากขึ้น ในขณะที่ปุ๋ยไนโตรเจน (N) ที่ผลิตจากก๊าซธรรมชาติแพงขึ้นตามราคาน้ำมัน ปุ๋ยฟอสเฟต (P) กับปุ๋ยโพแตส (K) ที่ได้จากแร่ในธรรมชาติมีจำกัดและน้อยลงทุกวัน เพราะในโลกนี้มีแหล่งผลิตไม่กี่ประเทศ แถมใน 4-5 ประเทศ ที่มีแร่ปุ๋ยชนิดนี้ ได้ฮั้วรวมหัวกันกำหนดราคากันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แบบเดียวกับโอเปกรวมหัวกันฮั้วกำหนดราคาน้ำมันนั่นแหละ
“ปุ๋ยเคมีบ้านเราที่แพงขึ้นทุกวันนี้ ก็เพราะเราไม่สามารถผลิตได้เอง ต้องนำเข้าแม่ปุ๋ยเคมีจากต่างประเทศ ราคาปุ๋ยเลยตกไปอยู่ในมือพ่อค้ารายใหญ่แค่ 2 ราย ที่ทำสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายผูกขาดกับประเทศผู้ผลิต ห้ามขายปุ๋ยให้ผู้ค้ารายอื่นนอกจากตัวเอง ผู้ค้ารายอื่นเลยต้องหันไปซื้อปุ๋ยในตลาดจร ที่มีราคาแพงกว่า
แต่ถ้าประเทศไทย รัฐบาลไทยผลิตปุ๋ยขึ้นมาจำหน่ายได้เอง ไม่ต้องถึงขั้นผลิตปุ๋ยแบบขายปลีกให้เกษตรกรโดยตรง แค่ผลิตแม่ปุ๋ย N–P–K ขายส่งให้กับผู้ผลิตปุ๋ยผสมในประเทศ เพื่อรักษากลไกตลาดเดิมไว้ไม่ให้มีการผูกขาด ราคาปุ๋ยจะถูกลงได้ถึง 50%”
เพราะเรามีทรัพยากรที่จะผลิตแม่ปุ๋ยได้ถึง 2 ตัว นั่นคือ แม่ปุ๋ย N ที่ได้จากก๊าซธรรมชาติ และแม่ปุ๋ย K ที่มีแหล่งแร่หินฟอสเฟตในภาคตะวันออกเฉียงเหนือในแอ่งโคราช แอ่งสกลนคร ที่สามารถขุดขึ้นมาได้นาน 50-60 ปี
จะมีเพียงแม่ปุ๋ย P เท่านั้นที่เราจะต้องนำเข้าแร่วัตถุดิบจากต่างประเทศมาผลิตเป็นแม่ปุ๋ยในประเทศ
“อย่าอ้างว่า เราผลิตแม่ปุ๋ย N จากก๊าซธรรมชาติเอง ต้นทุนจะแพงกว่าซาอุดีอาระเบีย ที่บริษัทผูกขาดปุ๋ยของไทยนำเข้ามา เขาผลิตได้ถูกก็จริง แต่เวลาขายก็ไม่ได้ขายถูกแต่อย่างใด ซาอุฯขายแพงตามราคาตลาดโลก เราก็ต้องซื้อแพง
แต่ถ้าเราผลิตเอง ต้นทุนแพงจะขายถูกขายแพงทำไมรัฐบาลจะกำหนดไม่ได้ ในเมื่อวันนี้รัฐบาลยังอุดหนุนคนใช้น้ำมันดีเซล ก๊าซแอลพีจี ได้ และทำไมรัฐบาลจะอุดหนุนให้ผลิตปุ๋ยจากก๊าซธรรมชาติเพื่อช่วย เกษตรกรไม่ได้”
แต่ที่ยากจะทำได้ ปัญหาอยู่ตรงนักการเมือง จะมีจิตใจเสียสละ หาญกล้าขัดผลประโยชน์บริษัทปุ๋ยรายใหญ่เพื่อรักษาผลประโยชน์ ของเกษตรกร และคนไทยทั้งประเทศที่จะได้มีอาหารราคาถูก
เมื่อก่อนเราก็มีปุ๋ยแห่งชาติ ที่ก่อร่างสร้างตัวมาปี 2525 สมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ และมาเจ๊งปิดกิจการขายให้เอกชนในปี 2546 สมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
เจ๊งไปเพราะสถานการณ์ตอนนั้นปุ๋ยมีราคาถูก การลงทุนทำกันเกิน ตัว แทนที่จะผลิตแค่แม่ปุ๋ยขายส่ง กลับขยายการลงทุนผลิตปุ๋ยผสมขายแข่งกับเอกชน ประกอบกับซื้อเครื่องจักรผลิตปุ๋ยผสมมาจากเกาหลีใต้ หวังจะได้ใช้วัตถุดิบราคาถูกมาผลิตปุ๋ยผสม แต่พอเอาเข้าจริงกลับทำไม่ได้ ต้องใช้วัตถุดิบราคาแพงมาผลิตปุ๋ยผสมแทน...ในที่สุดลงทุนสูง แต่ต้องขายราคาต่ำกว่าทุน...ก็เลยเจ๊ง
แต่วันนี้สถานการณ์ตรงข้าม ปุ๋ยมีราคา ถึงเวลาที่รัฐบาลต้องหวนกลับมาฟื้นโครงการปุ๋ยแห่งชาติอีก ครั้ง เพราะปุ๋ยไม่ได้เป็นแค่ปัจจัยผลิตทางการเกษตรอีกแล้ว
แต่เป็นปัจจัยทางความมั่นคงด้านอาหารของคนไทยทั้งประเทศ ที่ส่งผลไปถึงความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศอีก ต่างหาก
เพราะถ้ายังปล่อยให้ปุ๋ยอยู่ในกำมือนายทุนปุ๋ยผูกขาดอย่าง นี้...แค่เขาแกล้งบีบขยับราคา กักตุนทำปุ๋ยขาดตลาด ข้าวปลาอาหารแพง ความปั่นป่วนของบ้านเมือง ความมั่นคงของรัฐบาล ไม่ต่างอะไรกับลูกไก่ในกำมือเจ้าสัวมาเฟียปุ๋ย...บีบเมื่อไร ป่วนเมื่อนั้น
ก็เห็นกันอยู่หลัดๆ อะไรที่แพงๆ...ใช่รายใหญ่ที่ไหนป่วนหรือเปล่า.
นสพ.ไทยรัฐ
โดย ไทยรัฐฉบับพิมพ์
31 พฤษภาคม 2554, 08:39 น.
tags:
,สกู๊ปหน้า 1,ปุ๋ยวิกฤติ,ชาติไม่มั่นคง,ราคาอาหาร,ปุ๋ยวิทยาศาสตร์,