http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=305 วิญญาณสารภาพ
เรื่องที่ 2 วิญญาณคุณหลวง
คุณหลวงในเรื่องนี้นั้น เป็นข้าราชการมีบรรดาศักดิ์จริงๆ และเป็นเรื่องจริงๆ ด้วย แต่ผมขอสมมุติชื่อผู้นี้ว่า “วรณ์” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของราชทินนามของท่าน เด็กชายวรณ์ เกิดในตระกูลผู้ดี ตระกูลข้าราชการชั้นสูง เรียนหนังสือในโรงเรียนที่ดีมีชื่อ เก่งฉลาด เรียนจบชั้นมัธยมบริบูรณ์อย่างรวดเร็ว แต่บิดาท่านบุญน้อย ไม่ทันเห็นความเจริญรุ่งเรืองของบุตร ก็หมดอายุไปเสียก่อน ทีนี้ก็เหลือแต่มารดาผู้เดียวที่ต้องกระเหม็ดกระแหม่ส่งเสียให้เล่าเรียนจนจบ
ต่อมา นายวรณ์ ได้เข้ารับราชการในกรม กรมหนึ่ง ด้วยความเฉลียวฉลาด รับราชการเพียง 2 ปี ก็สอบชิงทุนเล่าเรียนหลวง ไปเรียนต่อยังประเทศอังกฤษได้ ก็ในสมัยรัชกาลที่ 5 ปลายๆ ถึงสมัยรัชกาลทึ่ 7 ถ้าผู้ใดได้ไปเรียนจบมาจากต่างประเทศ ซึ่งตอนนั้นได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย อิตาลี หรือสหรัฐอเมริกา นับว่าโก้เก๋ที่สุด เรียกว่า นักเรียนนอก พอเสร็จการศึกษาได้ปริญญา ไม่ว่าปริญญาใด กลับมารับราชการ ก็มักจะได้รับพระราชทานบรรดาศักด์เป็นหลวงทันที ไม่ต้องเป็นขุนก่อน
ท่านเหล่านี้ได้แก่ข้าราชการ ในกรมรถไฟหลวง กรมไปรษณีย์โทรเลขและโทรศัพท์ซึ่งเป็นของใหม่ๆ ของชาติไทยทั้งนั้นส่วนมากก็เป็นข้าราชการในกรมต่างๆ ของพระเจ้าลูกยาเธอกรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน (ในรัชกาลที่ 5) นอกนั้นก็เป็นผู้จบวิชากฎหมายจากอังกฤษและฝรั่งเศส
ท่านที่จบหลักสูตรวิชาวิทยาศาสตร์ก็มาเป็นครูอาจารย์ในมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ (เรียกตามชื่อสมัยนั้น) ท่านที่จบวิชานิติศาลตร์ ก็มาเป็นผู้พิพากษา หรือทำงานในกระทรวงต่างประเทศ ท่านที่จบวิชาทหารจากฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย อิตาลี หรือสหรัฐฯ ก็เข้ารับราชการในกองทัพต่างๆ เป็นต้น ท่านเหล่านี้ได้นำความรู้ความเจริญมาให้ประเทศชาติมากที่สุด
นายวรณ์ ตอนนั้นได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงแล้ว ได้ขยับขยายฐานะบ้านช่องให้สุขสบายกว่าเดิม สมฐานะนักเรียนนอก ที่บ้านไม่ใคร มีแต่มารดาซึ่งก็ชราภาพแล้ว อาศัยอยู่ด้วยโดยอาศัยในเรือนพักคนใช้ (คุณหลวงให้อยู่บนเรือนใหญ่ แต่มารดาท่านอ้างว่าไม่อยากอยู่ ผู้คนพลุกพล่าน เพื่อนฝูงของลูกมาหาทำให้ไม่สงบ ท่านว่าอย่างนั้น) นอกนั้นก็มีคนขับรถยนต์ 1 คน คนสวน 1 คน เด็กรับใช้ 1 คน และต่อมาก็มีแม่ครัว 1 คน
คุณหลวงยังหนุ่มมาก อาจยังไม่ถึง 30 ปีดี เสร็จงานก็เที่ยวเตร่สังสรรค์ ในระหว่างเพื่อนข้าราชการ และเพื่อนนักเรียนนอกด้วยกัน กลับบ้านก็ค่ำมืดดึกดื่นทุกวัน ได้ให้เงินคุณแม่ไว้ใช้เดือนละ 3 บาท เฉลี่ยแล้วก็ 10 สตางค์ต่อวัน ที่ได้รับจากลูกชาย คุณแม่ก็กระเหม็ดกระแหม่มาซึ้ออาหารมาทำรับประทาน
สมัยก่อนนั้น ก๋วยเตี๋ยวชามละ 3 สตางค์ 10 สตางค์ก็สามารถจะซื้อก๋วยเตี๋ยวชามโตๆ ได้ถึง 3 ชาม แต่อย่างไรก็ตาม 3 สตางค์ ต่อมื้อสำหรับคุณแม่ก็ขัดสนเต็มที ถ้าแบ่งไปซื้อหมากซื้อพลูบ้าง ซื้ออาหารมาประกอบเองบ้าง 3 บาทที่ได้ไม่กี่วันหมด เมื่อหมดท่านก็ทนอดๆ อยากๆ ไป ก็จะทำอย่างไรได้
ต่อมาคุณหลวงแต่งงานมีภรรยามีบุตร ก็พอดีเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ตำแหน่งราชการของคุณหลวงก็โตขึ้น แม้จะคืนราชทินนามไป ผู้คนก็ยังเรียกว่า “คุณหลวง” อยู่ดี ด้วยการเคยชินต่อสังคมนักเรียนนอก การไปสโมสร ไปเล่นกีฬา เล่นบิลเลียด ซึ่งเป็นที่นิยมมากในสมัยนั้นก็ย่อมทำให้คุณหลวงกลับบ้านดึกๆ เช่นเดิม ดึกเท่าดึก ไม่ว่าฝนจะตกฟัาจะร้องอย่างไร ผู้ที่ถ่างตาคอยคุณหลวง คอยเปิดประตูรับคุณหลวงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณแม่ผู้ชราของคุณหลวง นั่นเอง
คำทักทายของคุณหลวงต่อคุณก็คือ “แม่ทานข้าวหรือยัง” และแล้วก็เดินขึ้นบ้านไป พอขึ้นบ้านก็รับประทานอาหารที่เขาเตรียมไว้นิดๆ หน่อยๆ เพราะรับประทานจากข้างนอกบัางแล้ว ตอนหลังภรรยาคุณหลวงได้กลับไปอยู่กับมารดา โดยไม่ได้หย่าร้างกัน เพราะขาดความอบอุ่นในครอบครัว แต่บุตรชายของคุณหลวงคงอยู่ที่บ้านคุณหลวง โดยมีคุณย่าเป็นผู้ดูแลเลี้ยงดูฟูมฟัก ด้วยความทะนุถนอมรักใคร่
พอคุณหลวงลงมารับประทานของว่างเสร็จแล้ว จะเข้าไปดูลูกชายคนเดียวที่กำลังหลับ พลางก็เอามือลูบศีรษะบุตรด้วยความรัก แต่ข้างล่างนั่นซิ คุณหลวงไม่ทราบไม่เคยเห็น พอคนใช้ยกของว่างจากบนบ้านลงมาในครัว คุณแม่ซึ่งหิวโหยจะเอาจานใบย่อมๆ มาเขี่ยๆ เศษอาหารที่เหลือจากลูกรับประทานแล้ว มาใส่ปากใส่ท้อง พอบรรเทาอาการแสบท้องไปมื้อหนึ่งๆ ซึ่งแม่ครัวก็สงสารท่าน คอยตักอาหารที่เหลือกินจากคุณหลวงแล้วส่งมาให้ ในวันที่ท่านไปหาเองไม่ได้ เช่น ในเวลาป่วย เป็นต้น
การณ์ก็เป็นเช่นนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้ในตอนเชัา คุณแม่จะเจียดเงินเล็กๆ น้อยๆ มาทำอาหารใส่บาตรเป็นประจำ พร้อมกันก็คอยดูคุณหลวงลูกชาย ที่จะออกจากบ้านไปทำงานด้วยความปลื้มปิติที่มีลูกชายทำงานมีตำแหน่งใหญ่โต
คุณหลวงออกจากบ้านไปทำงานแล้ว คุณแม่ก็จะเข้าไปในครัวตามเดิมพลางก็ดูๆ เศษอาหารที่เหลือจากลูกชาย สิ่งใดพอที่จะรับประทานก็จะนำไปรับประทาน โดยซดกับน้ำข้าวที่เขาเช็ดไว้ ส่วนมื้อกลางวัน ถ้าไม่มีอะไรก็จะไหว้วานเด็กไปซื้ออาหารและหมากพลูมารับประทาน แต่ก็ไม่เคยเลยที่จะลืมไปดูแลหลานคนเดียว ว่าหลานตื่นแล้ว มีอะไรกินหรือยัง ป่วยไข้เป็นอะไรหรือเปล่า ซึ่งหลานก็ติดคุณย่าอย่างแยกไม่ได้ อะไรๆ ก็ต้องคุณย่า..... คุณย่า..... คุณย่า..... ทุกอย่าง
วันหนื่ง หลายชายป่วยเป็นไข้ตั้งแต่เชัา คุณหลวงเข้าไปดูลูกด้วยความห่วงใย นึกในใจว่าลูกอายุขวบเศษจะทนเป็นไข้สูงๆ อย่างนี้ได้หรือ ? ถ้าเป็นได้ อยากจะรับมาเป็นไข้เสียเอง ด้วยความเป็นห่วง คุณหลวงบอกคนที่บ้านว่า วันนี้เที่ยงจะกลับมากินข้าวที่บ้าน มาดูลูกด้วย จะมาพร้อมกับหมอ
คุณหลวงมาถึงบ้านเอาบ่ายโมงเศษ ก็พบคุณแม่ประคับประคองหลานชายอยู่ ด้วยอารมณ์ใม่ค่อยจะดี จึงดุคุณแม่ไปหลายคำว่า “เอายาโบราณๆ มาให้หลานกิน ดีไม่ดี เดี๋ยวก็เลยตายเลย” ความเจตนาดี ประกอบกับความสงสารเด็กที่ตัวร้อน เพ้อ กระวนกระวาย จนทนไม่ได้ ยาที่เคยมีเคยใช้อยู่ยังพอมี ก็ละลายให้หลานกิน เด็กเมื่อถูกยาขมๆ ก็อาเจียน ร้องไห้ ก็พอดีคุณหลวงมาถึง ก็เลยทำคุณบูชาโทษไป คุณหลวงเฝ้าดูลูกอยู่จนเย็น ไม่ไปไหน เพราะความเป็นห่วงลูก
ด้วยความสงสารหลาน ด้วยความเสียใจ คุณแม่หลบไปนั่งซับน้ำตาอยู่คนเดียวในห้อง อยากจะบอกลูกสักคำว่า “ย่าน่ะรักหลานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าลูกรักลูกของลูกหรอกนะ” และแล้วผัาแถบผืนเก่าที่คาดอยู่ ก็เปียกชุ่มด้วยน้ำตาที่ซึมไหลอย่างไม่หยุดยั้งของคุณย่า
หมอกลับไปพร้อมกับคุณหลวงโดยจัดยาให้ไว้ ก็คุณย่าอีกน่ะแหละ ที่คอยรับคำสั่งจากคุณหลวงว่าให้เอายาอย่างนี้ๆ ละลายให้หลานรับประทานตามเวลาที่หมอสั่ง ด้วยความปลื้มใจที่จะได้อยู่ดูแลหลาน ด้วยความดีใจว่าหมอมาตรวจรักษาแล้ว หลานคงจะหายวันหายคืน ทำให้ลืมความหิว
คุณหลวงนั่งรับประทานอาหารมื้อกลางวันอยู่คนเดียว รับประทานหนึ่งก็หันมาถามแม่ว่า “คุณแม่หิวข้าวไหม ทานข้าวหรือยัง” ทั้งๆ ที่เป็นเวลาเลยเที่ยง เลยบ่ายไปแล้ว อาหารหรือข้าวสักเม็ดก็ยังไม่ตกถึงท้อง แต่ด้วยความรักลูกเกรงใจลูก กลัวว่าจะรับประทานอาหารไม่อิ่ม
คุณแม่ก็ตอบไปว่า “ทานไปเถอะลูก แม่ไม่หิวเลย ทานไปเถอะ”