เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 มีนาคม 2024, 20:22:00
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  บอร์ดกลุ่มชมรม
| |-+  ชมรมนักกลอน
| | |-+  ข้อคิด สะกิดใจ
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 [2] 3 4 5 6 7 8 9 10 11 พิมพ์
ผู้เขียน ข้อคิด สะกิดใจ  (อ่าน 17950 ครั้ง)
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #20 เมื่อ: วันที่ 05 กรกฎาคม 2011, 20:21:05 »

อ่านหลายรอบ ก็ชอบอีก

มีเพื่อนใจดีส่งมาให้อ่านอีกทีนึ่งจ้า..

ทัศนคติบอด
ชนะโทรไปบริษัทนี้ เป็นหนที่สองในรอบสัปดาห์นี้
บริษัทนี้เป็นลูกค้ารายใหม่ที่เขากำลังติดตามเรื่องอยู่
เสียงของโอเปอร์เรเตอร์ซึ่งรับสายด้วยเสียงที่เป็นมิตร
และอ่อนโยนกล่าวว่า
' สวัสดีคะบริษัทเอบีซีอิงค์ ยินดีต้อนรับคะ '
คุณชนะกล่าวว่า ' ผมขอเรียนสายกับคุณสมจิต
ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรมนุษย์หน่อยครับ '
โอเปอร์เรเตอร์กล่าวทักขึ้นมาว่า ' นั่นคุณชนะใช่ไหมคะ '
ชนะรู้สึกแปลกใจความสามารถในการจดจำเสียงของพนักงานคนนี้ได้
เขากล่าวตอบด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความประทับใจ
' ใช่แล้วครับ ขอบคุณที่จำได้ครับ ' เธอกล่าวว่า
' ยินดีคะ ดิฉันจะโอนสายให้นะคะ '
หลังจากที่ชนะสนทนาเรื่องงานกับสมจิตจบ
ชนะจึงถามสมจิตขึ้นมาว่า ' คุณสมจิต ผมขอชม
พนักงานรับโทรศัพท์ของคุณหน่อยครับ
เธอเก่งจริงๆเลยที่จำเสียงผมได้

เป็นการให้บริการ ที่เกินความคาดหวังของผมจริงๆเลยครับ
ผมเองไม่ได้เป็นลูกค้าประจำ และก็ไม่ได้โทรมาบ่อยๆ
ขนาดที่เธอจะจำเสียงผมได้ด้วย เธอมีเคล็ดลับอะไรครับ '

สมจิตพูดว่า ' เธอชื่อเรณูคะ เธอได้รับคำชมอย่างนี้บ่อยๆ
หากคุณฟังเรื่องของเธอมากขึ้นกว่านี้คุณจะยิ่งประทับใจ
สนใจฟังไหมละคะ '

ชนะรีบกล่าวตอบด้วยความกระตือรือร้นว่า
' สนใจสิครับ ช่วยกรุณาเล่าให้ฟังหน่อยครับ '

สมจิตเริ่มต้นเล่าอย่างอารมณ์ดี ' คุณเรณู เธอตาบอดคะ
เธอจึงต้องอาศัยการฟังเพียงอย่างเดียว
ทำให้! เธอสามารถจดจำชื่อคนได้ดี
เธออาศัยอยู่ที่สมุทรปราการและมาทำงานที่ออฟฟิศนี่
ซึ่งอยู่แถวดอนเมือง ซึ่งถือว่าไกลมากโดยเฉพาะสำหรับเธอ
ซึ่งต้องเดินทางโดยรถเมล์เหมือนคนปกติ
ส่วนใหญ่ก็จะมีคนตาดีอย่างพวกเรา ที่คอยช่วยดูสายรถเมล์
และส่งเธอขึ้นรถ เธอไม่เคยมาสายเลย
และก็ไม่เคยเรียกร้องขอ รถรับส่งแต่อย่างใด
ไม่เหมือนพนักงานปกติของพวกเราหลายคน
ตอนที่เราย้ายสำนักงานจากในเมือง ต้องขอรถรับส่งให้ด้วย

แถมหลายๆคนที่มีรถส่วนตัว ก็ยังมาทำงานสาย
พร้อมกับเหตุผลสารพัด คิดแล้วอายแทนคนตาดีเลยคะ '
เธอหยุดเว้นจังหวะสักครู่ ก่อนจะเล่าต่อว่า
' คุณเรณูมีทัศนคติที่ดีมากๆกับงานของเธอ
เธอเคยเล่าให้ดิฉันฟังว่า สำหรับเธอแล้ว
การรับโทรศัพท์ไม่ใช่งาน แต่มันคือชีวิต
เงินเดือนที่บริษัทให้กับเธอ

ทำให้เธอสามารถเลี้ยงตัวเอง และครอบครัวได้อย่างดี
นอกจากนี้ เธอยังมีเงินเหลือกว่าครึ่งสะสมไว้อีก
ที่จริงแล้วเพื่อนคนตาดีหลายคนเคยหยิบยืมจากเธอในยามฉุกเฉิน
คุณเรณูกล่าวว่า บริษัทเรา เพื่อนร่วมงาน ลูกค้า
และสังคมมอบโอกาสให้เธอได้พิสูจน์ว่าเธอมีคุณค่า
และสามารถมีส่วนร่วมสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับสังคมได้ เธอบอกว่า เธอพยายามทำงานของเธออย่างสุดความสามารถ ซึ่งรวมทั้งพยายามจำชื่อของผู้ที่โทรเข้ามาด้วย เธอบอกว่า ทุกคืนก่อนเข้านอน เธออยากรีบนอนไวๆ เพื่อจะได้รีบตื่นขึ้นมาทำงาน เธออดใจรอจะมาทำงานไม่ไหว
แหมอย่าหาว่าดิฉันบ่นเลยคะ แต่พวกตาดีๆอย่างพวกเรากลับภาวนา ให้ถึงวันหยุดเร็วๆเสียนี่กระไร '

สมจิตจบเรื่องด้วยเสียงหัวเราะเบาๆอย่างคนอารมณ์ดี


* 7298.gif (99.66 KB, 300x225 - ดู 297 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #21 เมื่อ: วันที่ 05 กรกฎาคม 2011, 20:23:00 »

เมื่อชนะมาเล่าเรื่องนี้ให้กับผมฟังในรถ
ระหว่างที่เราเดินทางไปพบลูกค้าที่นวนคร
ผมจึงเสริมความเห็นของผมไปว่า

' เราน่าจะเล่าเรื่องนี้ให้คนที่มาเข้าอบรม กับเราฟังบ้างนะ
บ่อยครั้งเรามักจะได้ยินคนบ่น ว่างานหนัก
หรือไม่ก็ปัญหาเรื่องงานมีมาก
สิ่งที่คุณเรณูมีแตกต่างกับเรา ไม่ใช่ว่าเธอตาบอดหรอกครับ

ความจริงพวกเราต่างหากที่บอด เราทัศนคติบอดไงละ
เราได้รับสิทธิประโยชน์ต่างๆมากมาย จากนายจ้างจนเคยชิน
กระทั่งมองไม่เห็นคุณค่าของสิ่งเหล่านั้น
ยิ่งนานวัน เรายิ่งเรียกร้องมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงปลายปีแบบนี้
ในขณะที่คุณเรณูกลับมองแตกต่างกับเราอย่างสิ้นเชิง
บางคนเบื่องานจนอยากลาออกไปอยู่กับบ้านเฉยๆ
มัน ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ Dr. Denis Waitley
ผู้แต่งหนังสือขายดีชื่อ 'The psychology of winning'
เขายก รายงานวิจัยในอเมริกาที่บอกว่า
ผู้เกษียณอายุออกจากงานไป โดยไม่มีภาระกิจอะไรทำ
มีอายุเฉลี่ยเพียงแค่เจ็ดปีเท่านั้น พวกเขาตายเพราะความรู้สึก
ด้อยคุณค่า หรือภาษาชาวบ้านเรียกว่า เฉาตายนั่นเองครับ

เราบางคนมีโอกาสได้ทำงานในสิ่งที่ตนเองรัก
ในขณะที่คนจำนวนมาก
ไม่มีโอกาสอย่างนั้น

อย่างไรก็ตามเรามีสิทธิที่จะเปลี่ยนมุมมอง
โดยหันมารักและหลงไหลในสิ่งที่เราทำได้
โดยไม่ต้องรอให้ตาบอดแบบคุณเรณูก็ได้ '

จาก FW. mail
ขอบคุณ คุณเรณู


* 8413cb1764.gif (15.46 KB, 79x72 - ดู 311 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #22 เมื่อ: วันที่ 05 กรกฎาคม 2011, 20:37:43 »

วันเวลา ผันผ่าน ไม่หวนกลับ
มันลาลับ ผ่านไป ไม่คืนหา
อดีตเก่า เป็นเรื่องเล่า คละเคล้ามา
วันเวลา พาให้เกิด กำเนิดการณ์

วันนี้เจอ เรื่องใด ไม่รู้อีก
อยากจะหลีก ปลีกกายใจ ไม่ให้สาน
เรื่องบางเรื่อง ปลืองจิต ให้คิดนาน
แต่วันวาน ไม่หวนให้ แก้ไขเลย



* 4720576eb736c.gif (18.57 KB, 80x80 - ดู 314 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #23 เมื่อ: วันที่ 14 กรกฎาคม 2011, 22:06:46 »

สิ่งที่เห็น อาจไม่เป็น อย่างที่คิด
เป็นเพราะจิต ของเรา เมาฟุ้งหลาย
เห็นของจริง อาจไม่ใช่ อย่างเข้าใจ
ดูข้างใน ให้ถ่องแท้ แน่จริงเอย

อิอิ  ขำขำ  ยิงฟันยิ้ม


* IMG_111.jpg (66.31 KB, 453x473 - ดู 288 ครั้ง.)

* pc.gif (10.51 KB, 60x70 - ดู 267 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
♡♡<Fairy>♡♡
นางฟ้า...ราตรี
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,585


เทพธิดา...ไร้ปีก


« ตอบ #24 เมื่อ: วันที่ 14 กรกฎาคม 2011, 22:52:31 »

 ยิ้มกว้างๆ...ขอบคุณ..มุมมอง..และแง่คิดดีๆ...
ที่ทำให้คนที่กำลังท้อแท้..และ...เหนื่อยล้าเหลือเกินกับงานและคนที่ต้องเผชิญอยู่
รู้สึก..ดีขึ้น..และมีกำลังใจที่จะสู้..กับ.."สิ่งที่ไม่น่าสู้"...ต่อไป...

...ขอบคุณอีกครั้งค่ะ..พี่ "๋ ๋P"
... ยิ้มเท่ห์
IP : บันทึกการเข้า

>>>>>....หากหัวใจไม่เข้มแข็ง    อย่าหวัง "แรง" จากสวรรค์....<<<<<
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #25 เมื่อ: วันที่ 14 กรกฎาคม 2011, 23:09:30 »

 
ก่อนเดินทางอย่าลืมแผ่เมตตาให้กับสรรพสิ่งเจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขา
เทวดาที่รักษาผืนป่าแห่งนั้น บุญกุศลที่เราได้ทำไปตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบัน
ขอให้ท่านทั้งหลายได้รับ และขอพรให้เราเดินทางโดยสวัสดิภาพทั้งไปและกลับ



ฝากเป็นข้อคิดสะกิดใจในการเดินทาง


* IMG_1595.JPG (117 KB, 640x480 - ดู 201 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 15 สิงหาคม 2011, 23:00:13 โดย ๋๋P » IP : บันทึกการเข้า
Yim sri
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,753



« ตอบ #26 เมื่อ: วันที่ 14 กรกฎาคม 2011, 23:32:23 »

ขนาดเป็นช่วงบ่ายแท้ๆ ยังมีหมอกหนา งามแต๊งามว่า
แค่ดูรูป ก็ได้สัมผัสถึงอากาศบริสุทธิ์แล้ว
อิจฉาจัง แต่ท่านพี่ ขึ้นไปสำรวจเส้นทาง หรือไรนะ

เมื่อก่อนโน้นนนนนนน
ตอนเรียน ไปภูกระดึง  กับชมรมวรรณศิลป์ จุฬาฯ บรรยากาศคล้ายแบบนี้เลย
แต่มีเรื่องเศร้า ภูถล่ม คนจัด เป็นนักกลอนที่เก่งมากๆ ทั้ง ๓ คน มาละชีวิตไว้ที่ภูกระดึง
ทำให้การขึ้นภูครั้งนั้น เศร้าค่ะ
IP : บันทึกการเข้า

ธ สถิตย์ในใจตราบนิรันดร์กาล
Yim sri
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,753



« ตอบ #27 เมื่อ: วันที่ 22 กรกฎาคม 2011, 20:05:22 »

สิ่งที่เห็น อาจไม่เป็น อย่างที่คิด
เป็นเพราะจิต ของเรา เมาฟุ้งหลาย
เห็นของจริง อาจไม่ใช่ อย่างเข้าใจ
ดูข้างใน ให้ถ่องแท้ แน่จริงเอย

อิอิ  ขำขำ  ยิงฟันยิ้ม

เก็บมาจำใส่ไว้ข้างในจิต
ใคร่ครวญคิด  ถึงเหตุการณ์ที่ผ่านพ้น
นึกนึกอยู่  ว่าจะมีซึ่งตัวตน
แต่หากค้น คว้าไป ไร้ร่องรอย ยิ้มเท่ห์
IP : บันทึกการเข้า

ธ สถิตย์ในใจตราบนิรันดร์กาล
เรือจ้าง
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #28 เมื่อ: วันที่ 04 สิงหาคม 2011, 23:49:52 »

ชอบมากเลยค่ะ ^_^
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #29 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2011, 11:15:12 »

ชอบมากเลยค่ะ ^_^

ชอบข้อไหน เอาไปใช้ ได้ผลบ้าง
เป็นแนวทาง บอกกล่าว ได้แก้ไข
เพราะเป็นเรื่อง แง่คิด สะกิดใจ
นำไปใช้ ได้ผลไง มาบอกกัน

 ยิ้มกว้างๆ


* 486a65f29e3b0.gif (4.55 KB, 50x50 - ดู 233 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #30 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2011, 22:31:09 »

คุณปู่ ไป่ ฟาง ลี่ คนจนผู้ยิ่งใหญ่
 
เรื่องราวของคุณปู่ชาวจีนนามว่า ไป่ ฟาง ลี่ จากเมืองเทียนจิน ผู้ลำบากตรากตรำถีบสามล้อเก็บเงินกว่า 1.7 ล้าน บาท แล้วบริจาคให้กับเด็กยากจนที่ด้อยโอกาสทางการศึกษา ให้ได้มีโอกาสเล่าเรียนเป็นอนาคตของชาติ แต่กลับกันตัวคุณปู่เองกลับใช้ชีวิตอย่างสมถะ และมีชีวิตอย่างพอเพียงในกระท่อมเล็ก ๆ ของตัวเอง        
 
โดย คุณปู่ ไป่ ฟาง ลี่ อาศัยอยู่อย่างโดดเดี่ยวในกระท่อมเล็ก ๆ ในเมืองเทียนจิน และใช้ชีวิตด้วยรอยยิ้มมาทั้งชีวิต แม้ว่าชีวิตวัยเด็กของคุณปู่จะไม่ได้รับการศึกษาเหมือนกับใครหลาย ๆ คน แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้คุณปู่คิดว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่นแต่อย่างใด คุณปู่เลือกที่จะมีชีวิตอยู่แบบพอเพียงแต่ก็มีความสุขไปกับสิ่งรอบข้าง และดูเหมือนว่าชีวิตของคุณปู่จะมีความสุขมากกว่าคนที่มีพร้อมทุกอย่างหลาย ๆ คนบนโลกเสียด้วย
 
ในแต่ละวัน คุณปู่จะปั่นสามล้อคู่ใจออกไปคอยรับส่งผู้โดยสารตั้งแต่ 6 โมงเช้า และกลับบ้านไม่ต่ำกว่า 2 ทุ่ม ทุกวัน ซึ่งตั้งแต่เช้ายันค่ำ ชีวิตของคุณปู่จะวนเวียนอยู่กับการรับผู้โดยสารจากที่หนึ่ง แล้วพาไปส่งที่ปลายทางโดยปลอดภัย ก่อนจะรอรับผู้โดยสารรายใหม่อีกครั้ง และตลอดทั้งวันที่คุณปู่ตระเวนรับส่งผู้โดยสารนั้น แม้จะเหนื่อยแค่ไหน แต่รอยยิ้มของคุณปู่ก็ไม่เคยเลือนหายไปจากใบหน้า ราวกับว่าสิ่งที่ทำอยู่ตรงหน้าคือความสุขที่สุดในชีวิตของคุณปู่เลยทีเดียว ยิ่งไปกว่านั้น คุณปู่ไม่เคยเกี่ยงเรื่องค่าโดยสาร ไม่เคยตั้งราคาค่าโดยสารเลยสักครั้ง แต่จะให้ผู้โดยสารจ่ายค่าโดยสารตามที่เห็นสมควร และคุณปู่ก็ยิ้มรับมันไม่ว่ามันจะคุ้มค่าเหนื่อยหรือไม่ก็ตาม ส่วนเงินค่าโดยสารที่เก็บได้ในแต่ละวันนั้น คุณปู่ก็เก็บสะสมมาเรื่อย ๆ และไม่เคยอยากได้ อยากมีอะไรเพิ่มเติม คุณปู่ยังคงอาศัยอยู่ในกระท่อมเล็ก ๆ และประทังชีวิตด้วยอาหารเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่พอจะทำให้อิ่มได้ทุกมื้อเท่านั้น        
 
จนเมื่อปี พ.ศ. 2529 ขณะที่คุณปู่มีอายุได้ 74 ปี คุณปู่ได้ก็พบเจอกับเรื่องราวสะเทือนใจ ที่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณปู่ให้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากนั้น นั่นคือ วันหนึ่งขณะที่คุณปู่กำลังจอดสามล้อพักหลังจากส่งผู้โดยสารเสร็จแล้ว คุณปู่ได้มองเห็นเด็กชายวัย 6 ขวบ คนหนึ่ง กำลังช่วยหญิงสาวคนหนึ่งถือของพะรุงพะรังที่ซื้อมาจากตลาด ซึ่งมันดูหนักมากสำหรับเด็กชายตัวเล็ก ๆ คนนั้น แต่เขาก็ช่วยหญิงสาวถือของไปจนถึงปลายทางได้ และหญิงสาวก็ได้ให้ค่าตอบแทนจำนวนหนึ่งแก่เด็กชายคนนั้นไป ซึ่งหลังจากที่เด็กชายได้รับเงินค่าตอบแทน เขาก็มองขึ้นไปบนฟ้าด้วยใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ราวจะขอบคุณพระเจ้าสำหรับเงินที่ได้รับมาในมือ ก่อนที่จะเก็บมันลงในกระเป๋าแล้วไปรับจ้างถือของให้คนอื่น ๆ และทุกครั้งที่ได้รับเงิน เขาก็จะมองไปบนฟ้าด้วยรอยยิ้มอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า        
 
หลัง จากนั้นไม่นาน คุณปู่กลับเห็นเด็กชายคนดังกล่าวไปคุ้ยขยะ เพื่อที่จะค้นหาอะไรบางอย่าง และในที่สุด เด็กชายก็หยิบขนมปังสกปรกชิ้นหนึ่งขึ้นมา แสดงท่าทีดีใจก่อนที่จะปัดสิ่งสกปรกออกไปจากขนมปังชิ้นนั้นแล้วกินเข้าไป อย่างมีความสุข ราวกับขนมปังชิ้นนั้นเป็นของขวัญจากสวรรค์ คุณปู่รู้สึกสะเทือนใจกับภาพที่เห็นเป็นอย่างมาก จึงเข้าไปชวนเด็กชายคนดังกล่าวมานั่งทานมื้อเที่ยงด้วยกัน แล้วถามเด็กชายคนดังกล่าวว่า ทำไมจึงไม่เอาเงินที่ได้จากการรับจ้างถือของไปซื้อข้าวกินให้อิ่ม ซึ่งคำตอบที่ได้นั้น ก็ทำให้คุณปู่ถึงกับอึ้ง เมื่อเด็กชายได้บอกกับคุณปู่ว่า "ผมจะเอาเงินไปซื้ออาหารให้กับน้อง ๆ ของผม" ก่อน อธิบายต่อไปว่า พ่อแม่ของเขามีอาชีพคุ้ยขยะไปขายประทังชีวิต แต่แล้ววันหนึ่งพ่อแม่ของเขาก็หายตัวไป และเขาก็ไม่ได้พบกับพ่อแม่อีกเลย ชีวิตของเขาจึงเหลือเพียงน้องสาว 2 คนเท่านั้น        
 
หลัง จากได้รับรู้เรื่องราวสุดสะเทือนใจของเด็กชายแล้ว คุณปู่ก็ได้ขอให้เด็กชายพาไปหาน้องสาวทั้งสองคน ซึ่งทันทีที่คุณปู่ไปถึง ก็รู้สึกเหมือนหัวใจตัวเองกำลังร้องไห้ออกมา เมื่อภาพที่เห็นตรงหน้าคือเด็กหญิงวัย 4 และ 5 ขวบ ที่มีเนื้อตัวสกปรกและผ่ายผอม ขณะที่เพื่อนบ้านก็ไม่มีใครสนใจเด็กทั้ง 3 คน เลย จากนั้นคุณปู่จึงได้พาเด็กทั้งสามไปอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมืองเทียน จิน และบริจาคเงินทั้งหมดที่เขาเก็บสะสมมาตลอดชีวิตให้กับเด็กกำพร้าที่นี่ เพื่อเป็นค่าอาหารและทุนการศึกษา และตั้งแต่นั้นมา คุณปู่ก็เริ่มทำงานหนักขึ้น เพื่อหาเงินมาบริจาคให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ซึ่งถึงแม้จะต้องเหนื่อยมากขึ้น แต่มันก็คุ้มค่าเมื่อเงินที่ได้มาก็มีจำนวนมากขึ้นเช่นกัน โดยเงินทั้งหมดที่คุณปู่หามาได้หลังจากนั้น คุณปู่จะเจียดไว้นิดหน่อยสำหรับเป็นค่าอาหารในแต่ละวัน นั่นคือ ขนมปัง 2 ชิ้นสำหรับมือเที่ยง และเนื้อกับไข่สำหรับมื้อเย็น นอกนั้นคุณปู่จะบริจาคให้กับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทั้งหมด        
 
คุณ ปู่มีความสุขมากกับการทุ่มเททั้งหมดของชีวิตเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้า ขณะที่ตัวเองอยู่อย่างสมถะ ที่อาจจะยากจนในสายตาของใคร ๆ แต่สำหรับคุณปู่แล้ว คุณปู่กลับรู้สึกว่าตัวเองร่ำรวยแล้วที่มีบ้านให้อาศัย มีอาหารให้กินทุกมื้อ และมีเสื้อผ้าใส่ เพียงเท่านี้ คุณปู่ก็รู้สึกว่าตัวเองโชคดียิ่งกว่าใคร ๆ และถึงแม้ว่าตัวเองจะทำงานตลอด 365 วัน ไม่เคยหยุด ไม่ว่าอากาศจะหนาว จะร้อน หรือหิมะจะตกอย่างไร แต่ถ้ามีใครถามคุณปู่ว่าทำไมถึงต้องทำเพื่อเด็ก ๆ ขนาดนี้ คุณปู่จะบอกเสมอว่า "ไม่เป็นไรหรอกที่จะลำบาก ขอแค่ให้เด็กยากจนได้มีข้าวกิน และได้รับโอกาสทางการศึกษาเหมือนเด็กคนอื่น ๆ เท่านี้ก็มีความสุขแล้ว"        
 
สำหรับการบริจาคเงินของคุณปู่ที่เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี 2529 ซึ่งมียอดรวมกว่า 1.7 ล้าน บาทนั้น คุณปู่ไม่เคยเลยสักครั้งที่จะร้องขอสิ่งตอบแทนใด ๆ จากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และคุณปู่ก็ไม่รู้เลยว่าเด็กคนไหนได้รับประโยชน์จากเงินของคุณปู่บ้าง คุณปู่เฝ้าแต่ตรากตรำหาเงินมาให้เด็กกำพร้า จนเมื่อปี พ.ศ. 2545 เมื่อคุณปู่อายุได้ 90 ปี คุณปู่ก็ได้บริจาคเงินก้อนสุดท้ายในชีวิตจำนวน 2,500 บาทให้กับโรงเรียนสอนเด็กกำพร้า และบอกว่า"ฉัน แก่เกินไปและอ่อนแอเกินกว่าจะปั่นสามล้อได้เหมือนเดิมแล้ว ไม่สามารถบริจาคอะไรให้กับเด็ก ๆ ได้อีกแล้ว และนี่คงเป็นเงินก้อนสุดท้ายที่ฉันจะบริจาคให้กับทางโรงเรียน" และนั่นคือคำพูดสุดท้ายของคุณปู่ ก่อนที่คุณปู่จะเสียชีวิตลงอย่างสงบเมื่อปี พ.ศ.2548 ใน กระท่อมเล็ก ๆ อันแสนสุขของตัวเอง และงานศพของคุณปู่ก็เต็มไปด้วยเสียงร้องไห้เศร้าโศกเสียใจของเด็ก ๆ และครูอาจารย์จากโรงเรียนสอนเด็กกำพร้าที่มีร่วมงานกันอย่าง เนืองแน่น        
 
ณ วันนี้ แม้ว่า คุณปู่ไป่ ฟาง ลี่ ได้ล่วงลับไปนานกว่า 5 ปี แล้ว แต่ดูเหมือนว่าชื่อของคุณปู่ ยังคงถูกนำไปพูดถึงและบอกต่อนับครั้งไม่ถ้วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเมืองเทียนจิน รูปคุณปู่ถูกนำไปประดับไว้ เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้เด็ก ๆ ได้รำลึกถึงผู้มีพระคุณ ที่แม้จะไม่ได้หวังให้ใครยกย่อง และไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใด ๆ แต่ความดีของคุณปู่ก็คงไม่อาจจะถูกลบลืมไปได้ และมันก็จะยังคงดำรงอยู่อย่างนั้นไปอีกนาน


* imae001.jpg (24.8 KB, 301x397 - ดู 624 ครั้ง.)

* 4756.gif (4.5 KB, 50x50 - ดู 214 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 08 สิงหาคม 2011, 22:43:26 โดย ๋๋P » IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #31 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2011, 23:20:42 »

 ยิ้มเท่ห์


* ima1.jpg (21.67 KB, 362x515 - ดู 267 ครั้ง.)

* 36_1_32v.gif (14.63 KB, 68x52 - ดู 214 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #32 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2011, 00:38:13 »

ทุกอย่างย่อมมีสิ่งที่ดีกว่าเสมอ...
 

เด็กตาบอดคนหนึ่งนั่งตรงขั้นบันได
โดยวางหมวกไว้ข้างๆ และยกป้ายที่เขียนว่า
' ผมตาบอด..ช่วยเหลือผมด้วย '

ในหมวกใบนั้นมีเพียงเหรียญ อยู่นิดหน่อย

มีชายคนหนึ่งเดินผ่านมา
เขาหยิบมันออกจากกระเป๋าแล้วหย่อนลงในหมวก
หลังจากนั้นชายคนนั้นก็หยิบป้ายขึ้นมา
หมุนป้ายและเขียนคำบางคำลงไป
เขาวางป้ายนั้นลงเพื่อให้คนที่ผ่านไปมาได้เห็น
คำที่เขียนใหม่

ไม่นานนัก เหรียญในหมวกก็เริ่มเต็ม
มีคนจำนวนมากให้เงินเด็กตาบอดคนนั้น
บ่ายวันนั้นเอง ชายคนนั้นกลับอีกครั้ง
เพื่อมาดูว่าเด็กชายตาบอดเป็นอย่างไรบ้าง

เด็กตาบอดจำเสียงเดินของชายคนนั้นได้ จึงถามว่า
คุณคือคนที่เปลี่ยนคำพูดในป้ายของผมใช่ไหม
คุณเขียนว่าอะไร

ชายผู้นั้นบอกว่าฉันแค่เขียนความจริง
ฉันเขียนในสิ่งที่คุณเขียนไว้แล้ว
แต่ในอีกรูปแบบหนึ่ง
สิ่งที่ชายคนนั้นเขียนคือ วันนี้เป็นวันที่สวยงาม
แต่ฉันไม่สามารถมองเห็นมัน
 
คุณคิดว่าข้อความป้ายครั้งแรก
กับข้อความป้ายครั้งที่สอง
กล่าวถึงสิ่งเดียวกันหรือเปล่า

แน่นอนป้ายทั้ง บอกผู้คนว่าเด็กเป็นคนตาบอด
แต่ป้ายแรกบอกเพียงว่า ให้ผู้คนบริจาค
เงินเพียงเล็กน้อยลงในหมวก ส่วนป้ายที่สองบอกว่า
พวกเขาสามารถมีความสุขในวันที่สวยงามได้
แต่เด็กชายคนนี้ไม่สามารถมีความสุขกับสิ่งนั้นได้
เพราะเขาตาบอดเราได้รับบทเรียนอย่างน้อยสองอย่าง

ในเรื่องนี้
บทเรียนแรกคือ
ขอให้คุณรู้สึกพอใจในสิ่งที่คุณมี
เพราะยังมีคนอื่นที่มีน้อยกว่า
จงช่วยเหลือผู้อื่นเท่าที่คุณที่สามารถจะช่วยได้

บทเรียนที่สองคือ
มีความคิดสร้างสรรค์ มีความคิดใหม่ๆ
คิดแง่บวกแค่คิดต่างจากคนอื่น
และทุกอย่างย่อมมีสิ่งที่ดีกว่าอยู่เสมอ


* A33.gif (11.25 KB, 57x52 - ดู 210 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #33 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2011, 01:24:01 »

เรื่องราวที่เราส่งมาให้คุณนี้...ช่างงดงาม..
ขอใช้เวลาแค่  ๒  นาที
เพื่อคุณจะได้อ่านเรื่องนี้
แล้วความคิดของคุณจะเปลี่ยนไปชั่วกาล

ชาย ๒ คน ป่วยหนักทั้งคู่
นอนอยู่ที่โรงพยาบาลในห้องเดียวกัน

ชายคนแรก..
ได้รับอนุญาตให้ลุกนั่งได้ วันละ ๑ ชั่วโมงในช่วงบ่าย
เพื่อช่วยระบายของเหลวในปอด
เตียงของเขาอยู่ริมหน้าต่าง...
ซึ่งมีเพียงบานเดียวในห้องนั้น..

ชายอีกคนหนึ่ง...ป่วยหนัก

หมอให้นอนราบตลอดเวลาอยู่บนเตียง...

ชายทั้งสองคนที่ร่วมห้องกัน
ก็ได้คุยกันถึงเรื่องของชีวิตของตน
พวกเขาเล่าให้กันฟังถึงเรื่องภรรยา...

เรื่องครอบครัว..เรื่องบ้าน..
เรื่องการงาน...เรื่องสมัยถูกเกณฑ์ทหาร...
เรื่องที่ไปเที่ยวที่ต่าง ๆ ในวันพักร้อน...

ทุกวันในช่วงบ่าย...
ชายที่นอนเตียงริมหน้าต่าง...
จะบรรยายให้เพื่อนร่วมห้องฟังว่า...
มีอะไรเกิดขึ้นภายนอกบ้าง...
ชายคนที่ต้องนอนราบอยู่....
ก็รู้สึกดีขึ้น...
จากเวลาแค่ ๑ ชั่วโมง..

 

เห็นภาพว่า...
หน้าต่างที่มองออกไป...

เห็นทะเลสาบที่สวยงาม...
ฝูงเป็ด..และ...

หงส์ลอยล่องอยู่บนน้ำ...
ในขณะที่เด็ก ๆ แล่นเรือใบจำลอง...
คู่รักวัยเยาว์เดินจูงมือกัน...

มีครอบครัวที่อบอุ่นพาลูกมานั่งเล่นพักผ่อนใต้ร่มไม้

มีเด็กๆ มาเล่นกันที่สนามเด็กเล่นข้างๆ

มีดอกไม้สีสัน..สวยงาม..เบ่งบานอยู่รอบ ๆ...
และเห็นตึกรามทันสมัยของตัวเมืองอยู่ไกล....

ชายนอนริมหน้าต่าง...

บรรยายให้เพื่อนฟัง...
ถึงรายละเอียดต่าง ๆ ด้านนอก....ทุกวัน


ชายที่นอนราบอยู่ก็หลับตาลง....

จินตนาการให้เห็นภาพตามไป....

วันเวลา...เป็นสัปดาห์...

เป็นเดือน....ผ่านไปเช่นนั้น...

เช้าวันหนึ่ง....
.....................................
พยาบาลเวรเช้า...ได้พบร่างที่สงบนิ่งไร้ชีวิต...

ของชายที่นอนริมหน้าต่าง...

……………………………
เขาได้จากไปอย่างสงบนิ่งขณะนอนหลับ...
เธอเศร้าใจมาก....

เขาไม่มีญาติ

และได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายฌาปนกิจมารับศพของเขาไป...


เมื่อการจัดการศพผ่านไปเรียบร้อย....
ชายที่เป็นเพื่อนร่วมห้องได้เอ่ยปาก...ขอย้ายเตียง...
ไปนอนที่ริมหน้าต่างแทนเพื่อนผู้จากไปของเขา...

ชายผู้ซึ่งต้องนอนราบกับเตียงเป็นเวลานาน...

ได้พยายามยันร่างกายของเขาขึ้นด้วยศอก...

แม้มันจะเจ็บปวดและยากลำบาก...
ด้วยความกระหายที่จะมองเห็นโลกภายนอก....เหมือนที่เพื่อนร่วมห้องเห็น

ด้วยตาของตนเอง....
และ...เมื่อเขายันกายขึ้นมองผ่านหน้าต่างไปได้...
เขากลับเห็นเพียงแค่....
“....ผนังตึกว่าง ๆ. ของตึกอีกหลังหนึ่ง...”

……………………………..

 ด้วยความข้องใจ...
เขาได้ถามพยาบาลผู้ดูแลเพื่อนร่วมห้อง...
ผู้เพิ่งจากไป...

ผู้ซึ่งได้พรรณนาถึงความงามของโลกภายนอก...

ที่อยู่นอกหน้าต่างนั้นให้เขาฟัง...ประจำ

พยาบาลเล่าว่า....ผู้ชายคนนั้น....เขาตาบอดนะ
“ชายผู้เพิ่งจากไปนั้น...ที่แท้..เป็นคนตาบอด...
…ไม่สามารถแม้แต่จะมองเห็นว่า...

...มีผนังว่างเปล่านอกหน้าต่างบานนี้...”

ที่เขาเล่าให้คุณฟังถึงโลกภายนอกที่สวยงามนอกหน้าต่าง....
…อาจเพราะ....แค่อยากให้กำลังใจคุณ...”
………………………………………….


    เรื่องนี้บอกเราว่า...

…ยังมีเรื่องราวอีกมากมายในโลก...
…ที่เราสามารถทำให้คนอื่นมีความสุข...
…ไม่ว่า...

“....เราจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม...”
การแบ่งปันเรื่องทุกข์ใจให้คนอื่นรับรู้..
อย่างมากก็ลดความทุกข์ของเราไปครึ่งหนึ่ง....
แต่ถ้าแบ่งปันความสุข...
ที่เรามีให้คนอื่น...
…เราก็สุข...เขาก็สุข...
…ความสุขก็จะเป็น ๒ เท่า...

………………………………………..

เวลารักใคร . . . อย่าเสียใจในสิ่งที่คุณทำ
แต่ . . . จงเสียใจในสิ่งที่คุณไม่ได้ทำ

เมื่อเวลาผ่านไป . . . เราอาจจะต้องมานั่งเสียใจ
ว่าวันนั้น . . . ทำไมเราไม่ทำแบบนี้
ถ้าเราทำแบบนี้ . . .เรื่องนั้นอาจจะดีกว่านี้ก็ได้

คนเราไม่อาจย้อนเวลา กลับไปแก้ไขอดีตได้
เพราะอดีตไม่เคยหวนกลับ
เวลา . . . ไม่อาจย้อนคืนโอกาส
ในเรื่องบางเรื่อง . . . อาจจะมีแค่ครั้งเดียวในชีวิต

ในเมื่อตอนนี้ . . . เรายังมีโอกาสทำสิ่งดีๆ
ทำเรื่องดีๆ ให้กับคนที่เรารัก . . . ก็ทำไปเถอะ
ทำไปเลย . . .ให้ไปเลย . . .

โดยเฉพาะเรื่องความรู้สึกดีๆ
ความรู้สึกห่วงหา และเอาใส่ใจ...ให้ไปเถอะ
ให้ไปเท่าไหร่ก็ได้ . . . เพียงให้อย่างมีสติ
ทำแล้วไม่ทุกข์ไม่กระทบใคร . . . ให้ไปเถอะ
ทำไปเถอะ...ขอให้ทำให้ดีที่สุด..

เพราะเมื่อวันเวลาผ่านไป . . . สิ่งต่างๆ อาจผ่านพ้น
บางเรื่องอาจจบและจากไป . . . บางเรื่องอาจคงอยู่ในความทรงจำ
แต่อย่างน้อยเราได้ให้. . . ได้ทำในสิ่งที่อยู่ในใจไปหมดแล้ว
เมื่อเรามานึกถึง . . .มันจะเป็นความทรงจำที่ดีตลอดไป…….

 


* 4aa8dc3574617.gif (40.71 KB, 100x100 - ดู 230 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
Yim sri
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 8,753



« ตอบ #34 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2011, 08:09:14 »

ดีค่ะ
ขอบคุณค่ะ


* the-than190[1].gif (33.51 KB, 169x169 - ดู 676 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

ธ สถิตย์ในใจตราบนิรันดร์กาล
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #35 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2011, 10:06:24 »

เสริมบุญสร้างบุญบารมีนั้นนอกจากจะได้บุญแล้วยังเป็นการทำให้จิตใจสงบมีสติ สมาธิมากขึ้นจะทำการสิ่งใดก็จะส่งผลดีตามมา

1. นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ 15 นาที(หรือ เดินจงกรมก็ได้)
อานิสงส์ เพื่อ สติ ปัญญาที่เฉลียวฉลาดขึ้นทั้งภพนี้และภพหน้า เพื่อจิตใจ ที่สว่างผ่อนปรนจากกิเลส ปล่อยวางได้ง่าย จิตจะรู้วิธี แก้ปัญหาชีวิตโดยอัตโนมัติ ชีวิตจะเจริญ รุ่งเรืองไม่มีวันอับจน ผิวพรรณ ผ่องใส สุขภาพกายและ จิตแข็งแรง เจ้ากรรมนาย เวรและญาติมิตรที่ล่วงลับจะได้บุญกุศล

2. สวดมนต์ด้วยพระคาถาต่างๆอย่างน้อยวันละ ครั้งก่อนนอน
อานิสงส์ เพื่อ ให้สิ่ง ศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง ชีวิตหน้าที่ การงานเจริญก้าวหน้า เงินทองไหลมา เทมา แคล้วคลาดจาก อุปสรรคทั้งปวง จิตจะเป็นสมาธิได้เร็ว
แนะนำพระคาถา พาหุงมหากา , พระคาถาชิน บัญชร ,พระคาถายอด พระกัณฑ์ไตรปิฎก เป็นต้น เมื่อสวด เสร็จต้องแผ่เมตตาทุกครั้ง

3. ถวายยารักษาโรคให้วัด , ออกเงินค่า รักษาให้พระตามโรงพยาบาลสงฆ์
อานิสงส์ ก่อ ให้เกิด สุขภาพร่มเย็นทั้งครอบครัว โรคที่ไม่หาย จะทุเลา สุขภาพกายจิต แข็งแรง อายุยืนทั้ง ภพนี้และภพหน้า ถ้าป่วยก็จะ ไม่ขาดแคลนการรักษา

4. ทำบุญตักบาตรทุกเช้า
อานิสงส์ ได้ช่วยเหลือ ศาสนาต่อไปทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ขาดแคลน อาหาร ตายไปไม่หิว โหย อยู่ในภพที่ ไม่ขาดแคลน ข้าวปลาอาหาร อุดมสมบูรณ์

5. ทำหนังสือหรือสื่อต่างๆเกี่ยวกับธรรมะ แจกฟรีแก่ผู้คนเป็นธรรมทาน
อานิสงส์ เพราะ ธรรมทาน ชนะการให้ทานทั้งปวง ผู้ให้ธรรม จึงสว่างไปด้วยลาถยศ สรรเสริญ ปัญญา และบุญบารมี อย่างท่วมท้น เจ้ากรรมนาย เวรอโหสิกรรมให้ ชีวิตจะเจริญ รุ่งเรืองอย่างไม่คาดฝัน

6. สร้างพระถวายวัด
อานิสงส์ ผ่อนปรนหนี้ กรรมให้บางเบา ให้ชีวิต เจริญรุ่งเรือง สิ่ง ศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง แคล้วคลาดจาก อุปสรรคทั้งปวง ครอบครัวเป็น สุข ได้เกิดมา อยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนาตลอดไป

7. แบ่งเวลาชีวิตไปบวชชีพรามณ์หรือบวชพระ อย่างน้อย 9 วันขึ้นไป
อานิสงส์ ได้ ตอบแทนคุณ พ่อแม่อย่างเต็มที่ ผ่อนปรนหนี้ กรรมอุทิศผลบุญให้ญาติมิตรและเจ้ากรรมนายเวร สร้างปัจจัย ไปสู่นิพพานในภพต่อๆไป ได้เกิดมา อยู่ในร่มโพธิ์ของพุทธศาสนา จิตเป็นกุศล

8. บริจาคเลือดหรือร่างกาย
อานิสงส์ ผิวพรรณ ผ่องใส สุขภาพแข็ง แรง ช่วยต่ออายุ ต่อไปจะมีผู้ คอยช่วยเหลือไม่ให้ตกทุกข์ได้ยาก เทพยดาปกปัก รักษา ได้เกิดมามี ร่างกายที่งดงามในภพหน้า ส่วนภพนี้ก็ จะมีราศีผุดผ่อง

9. ปล่อยปลาที่ซื้อมาจากตลาดรวมทั้งปล่อย สัตว์ไถ่ชีวิตสัตว์ต่างๆ
อานิสงส์ ช่วย ต่ออายุ ขจัด อุปสรรคในชีวิต ชดใช้ หนี้กรรมให้เจ้ากรรมนายเวรที่เคยกินเข้าไป ให้ทำ มาค้าขึ้น หน้าที่ การงานคล่องตัวไม่ติดขัด ชีวิต ที่ผิดหวังจะค่อยๆฟื้นคืนสภาพที่สดใส เป็น อิสระ

10. ให้ทุนการศึกษา , บริจาค หนังสือหรือสื่อการเรียนต่างๆ , อาสาสอน หนังสือ
อานิสงส์ ทำให้มีสติ ปัญญาดี ในภพต่อๆไปจะ ฉลาดเฉลียวมีปัญญา ได้มีโอกาส ศึกษาเล่าเรียนอย่างรอบรู้ สติปัญญา สมบูรณ์พร้อม

11. ให้เงินขอทาน , ให้เงินคนที่ เดือดร้อน(ไม่ใช่การให้ยืม)
อานิสงส์ ทำให้ เกิดลาภไม่ขาดสายทั้งภพนี้และภพหน้า ไม่ตก ทุกข์ได้ยาก เกิดมา ชาติหน้าจะร่ำรวยและไม่มีหนี้สิน ความ ยากจนในชาตินี้จะทุเลาลง จะได้ เงินทองกลับมาอย่างไม่คาดฝัน

12. รักษาศีล 5 หรือศีล 8
อานิสงส์ ไม่ต้องไป เกิดเป็นเปรตหรือสัตว์นรก ได้เกิดมา เป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐครบบริบูรณ์ ชีวิตเจริญ รุ่งเรือง กรรมเวรจะไม่ ถ่าโถม ภัยอันตราย ไม่ย่างกราย เทวดานางฟ้า ปกปักรักษา

 ยิ้มเท่ห์
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #36 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2011, 10:40:49 »

นิทานก่อนทำงาน

เจ้านายหน้าขรึม พา ผจก.ฝ่ายบุคคล และเลขานุการไปทานข้าวเที่ยงในร้านอาหารที่ตกแต่งแบบโบราณ

ระหว่างรออาหาร............

ผจก.ฝ่ายบุคคลเอามือไปถูกาน้ำบนโต๊ะเล่น ทันใดนั้นก็มีควันพวยพุ่งออกมา....

และแล้วยักษ์จินนี่ก็ปรากฎกาย แล้วพูดว่า

' เราจะให้พรสามประการแก่พวกท่าน แต่เนื่องจากพวกท่านมากันสามคนจงแบ่งพร คนละข้อ'

ผจก.ฝ่ายบุคคลผู้อ่อนล้ายกมือ แล้วรีบพูดว่า

' ผมก่อน ผมก่อน! ขอให้ผมได้ไปใช้ชีวิตสงบบนเกาะสมุยซัก 2 สัปดาห์ '

จากนั้น ฟุ่บ!.....ร่างของเขาก็หายวับไปกับตา ทีนี้เลขานุการสาวชิงขอพรเป็นคนต่อไป รีบพูดว่า
' ขอให้ฉันกลายเป็นสาวไฮโซ ผู้ร่ำรวยที่สุดในโลก '

และแล้ว .... ฟุ่บ!..... ร่างของเธอก็หายวับไป....ต่อหน้าต่อตาเจ้านาย
 
เจ้านายจอมบ้างานย่นคิ้ว ก่อนจะเอ่ยว่า.... ตาฉันบ้างล่ะ ......

'ฉันขอให้ไอ้สองคนตะกี้ กลับมาทำงานตอนบ่ายโมงตรง '


นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า......ควรปล่อยให้เจ้านายของคุณ....พูดก่อนเสมอ
IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #37 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2011, 13:22:11 »

http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=305

 ยิ้มเท่ห์
วิญญาณสารภาพ
เรื่องที่ 2 วิญญาณคุณหลวง

คุณหลวงในเรื่องนี้นั้น เป็นข้าราชการมีบรรดาศักดิ์จริงๆ และเป็นเรื่องจริงๆ ด้วย แต่ผมขอสมมุติชื่อผู้นี้ว่า “วรณ์” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของราชทินนามของท่าน เด็กชายวรณ์ เกิดในตระกูลผู้ดี ตระกูลข้าราชการชั้นสูง เรียนหนังสือในโรงเรียนที่ดีมีชื่อ เก่งฉลาด เรียนจบชั้นมัธยมบริบูรณ์อย่างรวดเร็ว แต่บิดาท่านบุญน้อย ไม่ทันเห็นความเจริญรุ่งเรืองของบุตร ก็หมดอายุไปเสียก่อน ทีนี้ก็เหลือแต่มารดาผู้เดียวที่ต้องกระเหม็ดกระแหม่ส่งเสียให้เล่าเรียนจนจบ

ต่อมา นายวรณ์ ได้เข้ารับราชการในกรม กรมหนึ่ง ด้วยความเฉลียวฉลาด รับราชการเพียง 2 ปี ก็สอบชิงทุนเล่าเรียนหลวง ไปเรียนต่อยังประเทศอังกฤษได้ ก็ในสมัยรัชกาลที่ 5 ปลายๆ ถึงสมัยรัชกาลทึ่ 7 ถ้าผู้ใดได้ไปเรียนจบมาจากต่างประเทศ ซึ่งตอนนั้นได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย อิตาลี หรือสหรัฐอเมริกา นับว่าโก้เก๋ที่สุด เรียกว่า นักเรียนนอก พอเสร็จการศึกษาได้ปริญญา ไม่ว่าปริญญาใด กลับมารับราชการ ก็มักจะได้รับพระราชทานบรรดาศักด์เป็นหลวงทันที ไม่ต้องเป็นขุนก่อน

ท่านเหล่านี้ได้แก่ข้าราชการ ในกรมรถไฟหลวง กรมไปรษณีย์โทรเลขและโทรศัพท์ซึ่งเป็นของใหม่ๆ ของชาติไทยทั้งนั้นส่วนมากก็เป็นข้าราชการในกรมต่างๆ ของพระเจ้าลูกยาเธอกรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน (ในรัชกาลที่ 5) นอกนั้นก็เป็นผู้จบวิชากฎหมายจากอังกฤษและฝรั่งเศส

ท่านที่จบหลักสูตรวิชาวิทยาศาสตร์ก็มาเป็นครูอาจารย์ในมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ (เรียกตามชื่อสมัยนั้น) ท่านที่จบวิชานิติศาลตร์ ก็มาเป็นผู้พิพากษา หรือทำงานในกระทรวงต่างประเทศ ท่านที่จบวิชาทหารจากฝรั่งเศส เยอรมัน รัสเซีย อิตาลี หรือสหรัฐฯ ก็เข้ารับราชการในกองทัพต่างๆ เป็นต้น ท่านเหล่านี้ได้นำความรู้ความเจริญมาให้ประเทศชาติมากที่สุด

นายวรณ์ ตอนนั้นได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงแล้ว ได้ขยับขยายฐานะบ้านช่องให้สุขสบายกว่าเดิม สมฐานะนักเรียนนอก ที่บ้านไม่ใคร มีแต่มารดาซึ่งก็ชราภาพแล้ว อาศัยอยู่ด้วยโดยอาศัยในเรือนพักคนใช้ (คุณหลวงให้อยู่บนเรือนใหญ่ แต่มารดาท่านอ้างว่าไม่อยากอยู่ ผู้คนพลุกพล่าน เพื่อนฝูงของลูกมาหาทำให้ไม่สงบ ท่านว่าอย่างนั้น) นอกนั้นก็มีคนขับรถยนต์ 1 คน คนสวน 1 คน เด็กรับใช้ 1 คน และต่อมาก็มีแม่ครัว 1 คน

คุณหลวงยังหนุ่มมาก อาจยังไม่ถึง 30 ปีดี เสร็จงานก็เที่ยวเตร่สังสรรค์ ในระหว่างเพื่อนข้าราชการ และเพื่อนนักเรียนนอกด้วยกัน กลับบ้านก็ค่ำมืดดึกดื่นทุกวัน ได้ให้เงินคุณแม่ไว้ใช้เดือนละ 3 บาท เฉลี่ยแล้วก็ 10 สตางค์ต่อวัน ที่ได้รับจากลูกชาย คุณแม่ก็กระเหม็ดกระแหม่มาซึ้ออาหารมาทำรับประทาน

สมัยก่อนนั้น ก๋วยเตี๋ยวชามละ 3 สตางค์ 10 สตางค์ก็สามารถจะซื้อก๋วยเตี๋ยวชามโตๆ ได้ถึง 3 ชาม แต่อย่างไรก็ตาม 3 สตางค์ ต่อมื้อสำหรับคุณแม่ก็ขัดสนเต็มที ถ้าแบ่งไปซื้อหมากซื้อพลูบ้าง ซื้ออาหารมาประกอบเองบ้าง 3 บาทที่ได้ไม่กี่วันหมด เมื่อหมดท่านก็ทนอดๆ อยากๆ ไป ก็จะทำอย่างไรได้

ต่อมาคุณหลวงแต่งงานมีภรรยามีบุตร ก็พอดีเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ตำแหน่งราชการของคุณหลวงก็โตขึ้น แม้จะคืนราชทินนามไป ผู้คนก็ยังเรียกว่า “คุณหลวง” อยู่ดี ด้วยการเคยชินต่อสังคมนักเรียนนอก การไปสโมสร ไปเล่นกีฬา เล่นบิลเลียด ซึ่งเป็นที่นิยมมากในสมัยนั้นก็ย่อมทำให้คุณหลวงกลับบ้านดึกๆ เช่นเดิม ดึกเท่าดึก ไม่ว่าฝนจะตกฟัาจะร้องอย่างไร ผู้ที่ถ่างตาคอยคุณหลวง คอยเปิดประตูรับคุณหลวงไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นคุณแม่ผู้ชราของคุณหลวง นั่นเอง

คำทักทายของคุณหลวงต่อคุณก็คือ “แม่ทานข้าวหรือยัง” และแล้วก็เดินขึ้นบ้านไป พอขึ้นบ้านก็รับประทานอาหารที่เขาเตรียมไว้นิดๆ หน่อยๆ เพราะรับประทานจากข้างนอกบัางแล้ว ตอนหลังภรรยาคุณหลวงได้กลับไปอยู่กับมารดา โดยไม่ได้หย่าร้างกัน เพราะขาดความอบอุ่นในครอบครัว แต่บุตรชายของคุณหลวงคงอยู่ที่บ้านคุณหลวง โดยมีคุณย่าเป็นผู้ดูแลเลี้ยงดูฟูมฟัก ด้วยความทะนุถนอมรักใคร่

พอคุณหลวงลงมารับประทานของว่างเสร็จแล้ว จะเข้าไปดูลูกชายคนเดียวที่กำลังหลับ พลางก็เอามือลูบศีรษะบุตรด้วยความรัก แต่ข้างล่างนั่นซิ คุณหลวงไม่ทราบไม่เคยเห็น พอคนใช้ยกของว่างจากบนบ้านลงมาในครัว คุณแม่ซึ่งหิวโหยจะเอาจานใบย่อมๆ มาเขี่ยๆ เศษอาหารที่เหลือจากลูกรับประทานแล้ว มาใส่ปากใส่ท้อง พอบรรเทาอาการแสบท้องไปมื้อหนึ่งๆ ซึ่งแม่ครัวก็สงสารท่าน คอยตักอาหารที่เหลือกินจากคุณหลวงแล้วส่งมาให้ ในวันที่ท่านไปหาเองไม่ได้ เช่น ในเวลาป่วย เป็นต้น

การณ์ก็เป็นเช่นนี้อยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แม้ในตอนเชัา คุณแม่จะเจียดเงินเล็กๆ น้อยๆ มาทำอาหารใส่บาตรเป็นประจำ พร้อมกันก็คอยดูคุณหลวงลูกชาย ที่จะออกจากบ้านไปทำงานด้วยความปลื้มปิติที่มีลูกชายทำงานมีตำแหน่งใหญ่โต

คุณหลวงออกจากบ้านไปทำงานแล้ว คุณแม่ก็จะเข้าไปในครัวตามเดิมพลางก็ดูๆ เศษอาหารที่เหลือจากลูกชาย สิ่งใดพอที่จะรับประทานก็จะนำไปรับประทาน โดยซดกับน้ำข้าวที่เขาเช็ดไว้ ส่วนมื้อกลางวัน ถ้าไม่มีอะไรก็จะไหว้วานเด็กไปซื้ออาหารและหมากพลูมารับประทาน แต่ก็ไม่เคยเลยที่จะลืมไปดูแลหลานคนเดียว ว่าหลานตื่นแล้ว มีอะไรกินหรือยัง ป่วยไข้เป็นอะไรหรือเปล่า ซึ่งหลานก็ติดคุณย่าอย่างแยกไม่ได้ อะไรๆ ก็ต้องคุณย่า..... คุณย่า..... คุณย่า..... ทุกอย่าง

วันหนื่ง หลายชายป่วยเป็นไข้ตั้งแต่เชัา คุณหลวงเข้าไปดูลูกด้วยความห่วงใย นึกในใจว่าลูกอายุขวบเศษจะทนเป็นไข้สูงๆ อย่างนี้ได้หรือ ? ถ้าเป็นได้ อยากจะรับมาเป็นไข้เสียเอง ด้วยความเป็นห่วง คุณหลวงบอกคนที่บ้านว่า วันนี้เที่ยงจะกลับมากินข้าวที่บ้าน มาดูลูกด้วย จะมาพร้อมกับหมอ

คุณหลวงมาถึงบ้านเอาบ่ายโมงเศษ ก็พบคุณแม่ประคับประคองหลานชายอยู่ ด้วยอารมณ์ใม่ค่อยจะดี จึงดุคุณแม่ไปหลายคำว่า “เอายาโบราณๆ มาให้หลานกิน ดีไม่ดี เดี๋ยวก็เลยตายเลย” ความเจตนาดี ประกอบกับความสงสารเด็กที่ตัวร้อน เพ้อ กระวนกระวาย จนทนไม่ได้ ยาที่เคยมีเคยใช้อยู่ยังพอมี ก็ละลายให้หลานกิน เด็กเมื่อถูกยาขมๆ ก็อาเจียน ร้องไห้ ก็พอดีคุณหลวงมาถึง ก็เลยทำคุณบูชาโทษไป คุณหลวงเฝ้าดูลูกอยู่จนเย็น ไม่ไปไหน เพราะความเป็นห่วงลูก

ด้วยความสงสารหลาน ด้วยความเสียใจ คุณแม่หลบไปนั่งซับน้ำตาอยู่คนเดียวในห้อง อยากจะบอกลูกสักคำว่า “ย่าน่ะรักหลานไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าลูกรักลูกของลูกหรอกนะ” และแล้วผัาแถบผืนเก่าที่คาดอยู่ ก็เปียกชุ่มด้วยน้ำตาที่ซึมไหลอย่างไม่หยุดยั้งของคุณย่า

หมอกลับไปพร้อมกับคุณหลวงโดยจัดยาให้ไว้ ก็คุณย่าอีกน่ะแหละ ที่คอยรับคำสั่งจากคุณหลวงว่าให้เอายาอย่างนี้ๆ ละลายให้หลานรับประทานตามเวลาที่หมอสั่ง ด้วยความปลื้มใจที่จะได้อยู่ดูแลหลาน ด้วยความดีใจว่าหมอมาตรวจรักษาแล้ว หลานคงจะหายวันหายคืน ทำให้ลืมความหิว

คุณหลวงนั่งรับประทานอาหารมื้อกลางวันอยู่คนเดียว รับประทานหนึ่งก็หันมาถามแม่ว่า “คุณแม่หิวข้าวไหม ทานข้าวหรือยัง” ทั้งๆ ที่เป็นเวลาเลยเที่ยง เลยบ่ายไปแล้ว อาหารหรือข้าวสักเม็ดก็ยังไม่ตกถึงท้อง แต่ด้วยความรักลูกเกรงใจลูก กลัวว่าจะรับประทานอาหารไม่อิ่ม

คุณแม่ก็ตอบไปว่า “ทานไปเถอะลูก แม่ไม่หิวเลย ทานไปเถอะ”

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 09 สิงหาคม 2011, 13:41:12 โดย ๋๋P » IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #38 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2011, 13:38:27 »

คุณแม่ตอบอย่างปลื้มปิติ ที่ลูกชายคนเดียวถามถึง ซึ่งไม่เคยได้ยินคำถามนี้มาหลายปีแล้ว แต่พอแม่ครัว ยกอาหารที่เหลือทานแล้วลงมาข้างล่าง คุณแม่ก็ค่อยๆ เดินไปที่ครัว เจียดๆ อาหาร ที่เหลือจากรับประทานของลูกมาใส่ปากใส่ท้องด้วยความหิวโหย แต่ก็ลืมบอกแม่ครัวว่า “เย็นนี้พอเช็ดน้ำข้าวแล้ว ขอให้เก็บไว้ให้ฉันหน่อยด้วยอย่างเคย”

พอตกเย็น อาการของลูกก็ค่อยยังชั่วตัวเย็นลง ไม่ร้องไห้หลับสบาย โดยมีคุณย่านั่งปัดยุงอยู่ข้างๆ คุณหลวงก็ออกมาสั่งคนใช้ ว่า “จะไปข้างนอก แล้วกลับมารับประทานข้าวที่บ้านอย่างเคยแต่ว่าดึกหน่อย”

คุณย่าได้รับน้ำข้าวจากแม่ครัวแล้วเก็บไว้ พลางก็ขึ้นไปเฝ้าหลาน ป้อนอาหารให้หลาน พอหิวมากแสบท้อง ก็ลงมาซดน้ำข้าวที่เก็บไว้พอรองๆ ท้องไว้ก่อน แล้วก็กลับขึ้นไปเฝ้าหลานต่อ สองยามแล้วคุณหลวงถึงได้กลับบ้าน แม่ครัวก็จัดอาหารวางไว้บนโต๊ะห้องอาหาร ซึ่งคุณหลวงรีบเดินเข้าไปดูลูกด้วยความเป็นห่วง ลูกหลับ เห็นคุณย่านั่งอยู่ข้างๆ ก็สบายใจ ถามแม่ว่า “หลานรับประทานอาหารไหม ?”

คุณย่าก็ตอบว่า “ได้ดี อาการดีมาก”

แล้วคุณหลวงก็ลงไปห้องอาหารนั่งรับประทานอาหารที่จัดไว้ แล้วก็ขึ้นนอน คุณย่าก็ค่อยๆ ย่องลงมา เดินลงไปในครัวตามเดิม รีบยกน้ำข้าวมากลั้วคอพร้อมกับเขี่ยๆ เศษอาหารที่เหลืออยู่บ้างเล็กๆ น้อย มาใส่ปากพอปะทังความหิวอย่างเคย !

หลายวันต่อมาคุณแม่ของคุณหลวงก็ป่วยลง เป็นลมบ่อยๆ หน้ามืด ไม่มีแรง นอนซมอยู่ในห้องหลายวัน จนพระวัดสระเกษมารับบาตรประจำออกปากถามคนบ้านข้างเคียง ก็ทราบว่าคุณโยมป่วยไปเสียแล้ว ท่านสงสารก็เดินเข้าไปในบ้าน แล้วก็ไปเยี่ยมคุณโยม เห็นสภาพของคุณโยมแล้วท่านก็ปลงเวทนา เป็นถึงมารดาคุณหลวงแต่อยู่ในห้องคนใช้ มีชามน้ำข้าวอยู่ 1 ใบ จานเล็กๆ ใส่เศษอาหารที่ยังไม่ได้รับประทานอยู่ 2 จาน แล้วท่านก็เดินออกรับบาตรโปรดสัตว์ต่อไป


         


บ้านคุณหลวงอยู่ในละแวกบ้านหมู่ญาติ ญาติคุณหลวงหลายคน ที่อยู่ถัดๆ ก็ออกมาใส่บาตรทุกเช้าเหมือนกัน พระท่านจึงเล่าให้คุณโยมที่มาใส่บาตรฟังว่า “คุณโยมมารดาคุณหลวงป่วยไปหลายวันแล้ว อาตมาเข้าไปเยี่ยมเห็นทรุดโทรมเต็มที”

ด้วยคำพูดเพียงแค่นี้เอง ทำให้ญาติของคุณโยมเป็นห่วง คนแรกที่มาเยี่ยมมีศักดิ์เป็นน้องห่างๆ ของคุณหลวงชื่อ เบ็ญจรงค์ พอทราบเรื่อง คุณเบ็ญจรงค์ก็รีบเข้าไปหาคุณป้า ก็แลเห็นสภาพอันน่าหดหู่ใจ ก็รีบกลับไปเอาอาหารจากที่บ้านให้รับประทาน แล้วก็เล่าให้คุณหลวงฟังว่า “คุณป้าไม่สบายมาก น่าจะพาหมอมาตรวจ หรือพาไปโรงพยาบาล”

คุณหลวงก็ตอบว่า “คุณแม่เป็นอย่างนี้บ่อยๆ ก็โรคคนแก่นั่นแหละ”

สุดท้าย ญาติพี่น้องก็จัดการหาหมอมาตรวจให้ที่บ้านผลการตรวจปรากฎว่า ป่วยด้วยโรคขาดอาหาร พอคุณหลวงทราบเรื่องเขาก็โวยวายว่า “คุณแม่ตระหนี่ถี่เหนียวเอง ไม่ยอมซื้ออาหารกิน ซื้อแต่หมากพลูแล้วก็ใส่บาตร เงินทองก็ให้ไว้”

ตกลงความผิดก็ตกอยู่กับคุณแม่อีก ที่ไม่ยอมซื้ออาหารมารับประทาน แต่คุณหลวงหาได้ทราบไม่ว่า เงินเดือน เดือนละ 3 บาท ที่ให้แม่นั้น มันอยู่ได้ไม่ถึง 10 วัน นอกนั้นก็เป็นวันอด แต่ถึงอย่างนั้น ยังหาอาหารมาใส่บาตรถวายพระทุกวัน ไม่ได้เว้น ต่อมาหลานสาวเวลามาเยี่ยมก็นำอาหารติดไม้ติดมือมาให้คุณป้ารับประทานทุกครั้งไป อาการก็ค่อยๆ กระเตื้องขึ้น ตามประสาคนสูงอายุ

วันดีคืนดี ๆ คุณหลวงก็จะมาโผล่หน้าถามว่า “คุณแม่เป็นยังไงบ้าง ทานข้าวแล้วหรือยัง ?”

คำตอบก็คือ “สบายดีลูก อย่าเป็นห่วงแม่เลย แม่ไม่หิวหรอก”

แต่แล้วคืนนั้นก็ต้องคอยอาหารเหลือจากลูก มาแกล้มกับน้ำข้าวอย่างที่เคยประพฤติ ก็ด้วยความห่วงลูก กลัวลูกจะไม่สบายใจ กลัวลูกจะรับประทานอาหารไม่อิ่ม กลัวสิ้นปลืองเพราะลูกจะต้องใช้จ่ายมากขึ้น

พอสบายได้ไม่กี่วัน โรคขาดสารอาหารก็มาเยือนอีก ทีนี้เป็นลมอาเจียนเพราะท้องว่าง อาหารที่ได้ก็คือ น้ำข้าวกับเกลือ และเศษๆ อาหารที่เหลือจากลูกตามเคย ซึ่งไม่เพียงพอกับร่างกาย แต่ถึงกระนั้นคุณแม่ก็ทน ทน และทนเพื่อดูความเจริญรุ่งเรืองของบุตรชายคนเดียวของท่านต่อไปด้วยความอิ่มใจ

วันหนึ่ง ฝนตกตั้งแต่เช้าพรำๆ อยู่จนเย็นก็ไม่หยุดน้ำก็นองไปทั่วบริเวณบ้าน คุณหลวงได้ยินอะไรแปลกๆ ที่ซอกประตูบ้าน เสียงเหมือนประตูบ้านถูกขีดข่วน คุณหลวงจึงออกมาจากห้อง มาเปิดไฟดู ก็พบแม่แมวสีสวาทที่เลี้ยงไว้กำลังคาบลูกมัน ตัวเล็กๆ 4 ตัว หนีน้ำขึ้นมา วางไว้ที่ซอกประตูทีละตัวๆ คุณหลวงจึงจ้องมองดูด้วยความสนใจ แม่แมวค่อยๆ เลียน้ำที่เปียกตัวลูก เปียกขนลูกอยู่ ทีละตัวๆ แล้วเอาอกแม่ให้ลูกแมวได้อาศัยไออุ่น พลางก็ขดตัวให้ลูกดูดนม

“โอ้สัตว์เดียรัจฉานยังรักลูกห่วงลูกถึงเพียงนี้”

คุณหลวงรีบเดินขึ้นบนบ้าน ไปดูลูกชายที่หลับอยู่ด้วยความรักและเมตตา คืนนั้น คุณหลวงไม่ได้ไปไหนเพราะฝนยังตกพรำๆ อยู่ จึงรับประทานเย็นแต่หัวค่ำ แล้วขึ้นนอนโดยนอนห้องเดียวกับลูกชาย ในใจก็คิดว่า “ลูกแมว 4 ตัวนี่ ถ้าไม่ได้แม่แมวช่วย น้ำคงท่วมตาย หรือเปียกฝนจนหนาวตายหมด แม่แมวซึ่งเป็นสัตว์ยังรักลูกถึงเพียงนี้”

เมื่อคิดได้ดังนี้ ก็นึกเป็นห่วงลูก ลุกขึ้นเอาผ้าห่มให้ลูก เอามือลูบหัวลูกด้วยความรัก และเมตตาสงสารพลางตาก็มองดูลูกที่ขาดแม่ คุณหลวงจ้องอยู่นาน นานทีเดียว ขณะนั้นเองคุณหลวงก็คิดในใจว่า

“เมื่อตัวเรายังเล็กๆ คุณแม่คงห่วงเรา ทะนุถนอมเรา รักใคร่เมตตาเรามากเหมือนกับที่เรารักและเวทนาลูกเรา หรืออาจจะมากกว่าก็ได้ เพราะแม่มีลูกคนเดียวคือเรา คอยป้อนข้าวให้เราเมื่อเราหิว กรอกยาให้กินเมื่อเราเจ็บไข้ เช็ดน้ำตาเราเมื่อเราร้องไห้ เอายาทาแผลให้เราเมื่อเราหกล้มแขนขาถลอก เมื่อพ่อตายแล้ว ยังอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบ มีอะไรๆ ก็เอาออกขาย เอาเงินส่งให้เราได้เรียนหนังสือจนจบ ทำการงาน ได้ดิบได้ดีถึงเพียงนี้ ขณะนี้แม่อยู่กับเรา เราไม่ได้ดูแลท่านเลย ป่านนี้การป่วยของคุณแม่เป็นอย่างไรบ้าง ? โรคขาดอาหารที่หมอว่าน่ะ คุณแม่จะเป็นลมอีกหรือเปล่า รับประทานอาหารแล้วหรือยัง มีอะไรรับประทานบ้าง ?”

คุณหลวงนอนคิดอยู่บนเก้าอี้พักผ่อน และแล้วก็รีบลุกขึ้นมาดูมารดาที่ห้องนอน ภาพที่คุณหลวงพบก็คือ คุณแม่เหมือนคนแก่หง่อม ดูเหมือนไม่ใช่อายุ 70 เศษ ผอมมากนั่งพิงฝาห้อง มือที่สั่นเทิ้มอยู่นั้น กำลังยกถ้วยน้ำข้าวซด เบื้องหน้ามีจานใส่อาหารจานเล็กๆ อยู่ 2 จาน

คุณหลวงเดินเข้าหามารดาในห้อง พลางถามว่า “คุณแม่ทานอะไร ?”

คุณแม่ตกใจ ไม่นึกว่าลูกชายสุดที่รักจะเดินมาหา ก็ไม่ทันได้ตอบ ในขณะเดียวกัน คุณหลวงก็ยกจานอาหารขึ้นมาดู ก็พบว่าเป็นอาหารเหลือจากตนรับประทานไว้ และในมือก็มีถ้วยเล็กๆ คือ ถ้วยน้ำข้าวที่คุณแม่ซดอยู่ คุณหลวงจึงถามว่า

“ทำไมคุณแม่ไม่ทานอาหารดีๆ นี่มันของเหลือข้างบนบ้าน”

คุณแม่ก็ตอบว่า “อย่าห่วงเลยลูกแม่ไม่หิวหรอก นิดๆ หน่อยๆ ก็พออิ่มแล้ว”

คุณหลวงมองไปรอบๆ ห้อง มองที่หลับที่นอน เครื่องใช้ไม้สอยของคุณแม่ ดูแล้วไม่ต่างอะไรกับคนอนาถาไร้ที่พึ่ง ต้องขอทานเขาอยู่ ขอทานเขากิน คุณหลวงรู้สึกเสึยใจมาก เศร้าใจอย่างที่สุด จึงบอกกับมารดาว่า “คุณแม่อย่าเพิ่งทานอะไรนะ เดี๋ยวจะไปหาอาหารมาให้”

คุณแม่ก็ร้องบอกว่า “อย่าเลยลูกแม่ไม่หิวหรอก แค่นี้ก็พอแล้ว”


         


พอพูดเสร็จ ด้วยความเพลียก็หมดแรงล้มตัวลงนอน น้ำข้าวที่ถือไว้ก็หก คุณหลวงรีบเรียกคนใช้ให้มาเช็ดถูทำความสะอาดให้ทันที แล้วรีบผลุนผลันลุกออกไปจากห้องคุณแม่ เดินไปยังเรือนใหญ่อย่างรวดเร็วเปลี่ยนเครื่องแต่งกาย สวมเสื้อใหม่ นุ่งกางแพร สมัยนั้นนุ่งกางเกงแพรกันเป็นปกติในการแต่งกายลำลอง เช่น สวมเสื้อกุยเฮง นุ่งกางเกงแพร ขึ้นรถรางไปไหนๆ ก็สุภาพแล้ว) พอแต่งตัวเสร็จก็กางร่มไปยังตลาดใกล้ๆ บ้าน คือ แถวๆ นางเลิ้ง พร้อมกันก็ถือหม้อย่อมๆ ไปด้วย 1 ใบ พร้อมกันก็ได้ยินเสียงคุณแม่ส่งเสียงอันแหบแห้งตามมาด้วยว่า “อย่าไป อย่าลำบากเลยลูก แม่ไม่หิวหรอก แล้วฝนฟ้าก็ตกอย่างนี้”

คุณหลวงไม่ฟังต่อไปอีก รีบเดินอย่างเร็ว แบบครึ่งเดินครึ่งวิ่งไปยังตลาดนางเลิ้งทันที ทั้งๆ ที่ฝนก็ตกพรำๆ อย่างนั้น คุณหลวงรีบซื้อโจ๊กไก่ใส่ไข่มา 1 ชาม ใส่หม้อถือ แล้วรีบเดินจ้ำกลับบ้านทันที “ป่านนี้ คุณแม่คงรอคอยอาหารที่กำลังไปซื้อมาให้ คุณแม่คงหายหิว หายเป็นลม ตั้งแต่นี้ต่อไป เราจะทะนุบำรุงแม่เราไม่ให้ลำบาก ไม่ให้อดอยากอย่างนี้อีก ตัวเราเองมันไม่ดี ไม่นึกถึงแม่ที่มีกันอยู่ 2 คนแม่ลูกเท่านั้น”

คุณหลวงรำพึงลำพันในใจ นึกปลื้มใจที่จะได้ฉลองพระคุณแม่ในครั้งนี้ และตั้งแต่นี้ต่อไปคุณแม่จะไม่ลำบาก ไม่ป่วยไข้อีกแล้ว ถึงอย่างไรๆ เราก็จะไม่ทอดทิ้งแม่อีกจนกว่าจะตายจากกันไป ตอนนี้คุณหลวงลืมลูกชายที่หลับอยู่ที่บ้านสนิท จิตพะวงคิดแต่จะเอาอาหารมาให้คุณแม่ ซึ่งเป็นครั้งแรกในชีวิตที่ได้กระทำอย่างนี้

แต่..... แต่..... คุณหลวงไม่มีโอกาสได้กระทำกตเวทีต่อคุณแม่เสียแล้ว เพราะเมื่อเดินจ้ำๆ มาถึงสี่แยกนางเลิ้ง คุณหลวงก็จ้ำข้ามถนนทันทีเพื่อที่จะไปบ้าน โดยไม่สังเกตเห็นรถบรรทุกของคันหนึ่งที่กำลังวิ่งมา

IP : บันทึกการเข้า
๋๋P
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,917



« ตอบ #39 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2011, 13:39:45 »

ในสมัยโน้นรถยนต์ไม่มากเหมือนเดี๋ยวนี้ ต่างกันสักร้อยเท่า นานๆ จะมีโผล่มาสักคัน คนส่วนมากก็ไม่ค่อยจะหลบหลีกรถ ระวังรถ คุณหลวงก็อยู่ในประเภทนี้ โดยคุณหลวงรีบวิ่งผ่าสายฝนข้ามฟากไปยังอีกฟากหนึ่ง รถบรรทุกคันนั้นสุดจะห้ามล้อหรือหยุดทัน ก็ชนร่างของคุณหลวงกลิ้งไป แถมยังถูกล้อทับศรีษะเสียแบนอีกด้วย คุณหลวงสิ้นใจตรงนั้น แต่หม้อโจ๊กยังกำแน่น ส่วนโจ๊กนั้นหกกระจายหมดแล้ว

เป็นอันว่าคุณหลวงหมดบุญที่จะกระทำการกตัญญูกตเวทีแก่มารดาผู้บังเกิดเกล้า หมดโอกาสเสียแล้ว แม้จะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตก็ตาม “คุณหลวงบุญไม่ถึง” สำเริงฟังหลวงพ่อเล่า นัยน์ตามีน้ำตาซึมไปกับเรื่องที่หลวงพ่อท่านคุย

หลวงพ่อท่านกล่าวว่า “คนที่จะรักเรายิ่งกว่าพ่อยิ่งกว่าแม่ไม่มีอีกแล้วในโลก พ่อแม่เป็นผู้ที่จะคอย ให้อภัย คอยช่วยเหลือคอยสนับสนุนคอยชุบเลี้ยงชีวิต คนมีบุญเท่านั้น ที่มีโอกาสกระทำกุศล คือ การฉลองคุณพ่อแม่ ส่วนที่จะทำบุญทำกุศลไปให้พ่อแม่นั้น แม้จะทำเท่าไหร่ ก็ยังไม่เห็นผลเท่ากับที่ทำให้ท่านเมื่อยังมีชีวิตอยู่ การทำบุญให้ท่านเมื่อท่านตายแล้ว คนจะปลื้มใจก็คือ ผู้รับทาน และผู้ทำทานเท่านั้น คือ ผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่”

ข่าวมรณกรรมของคุณหลวงแพร่กระจายไปในหมู่ญาติอย่างรวดเร็ว แต่ข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์เกรียวกราวนั้น ดูเหมือนจะมีเพียงฉบับเดียว เพราะเมื่อร่วมๆ 60 ปีที่แล้วมานั้น ไม่มีหนังสือพิมพ์หลายๆ ฉบับเหมือนปัจจุบันนี้

ขอย้อนกลับมาทางคุณแม่ ซึ่งก็นอนคอยรอการกลับมาของคุณหลวง เท่าไหร่ๆ ก็ยังไม่กลับ ก็เลยม่อยหลับผ็อยไปเพราะความเพลีย รุ่งเช้าพอตื่นขึ้นมาคุณแม่ก็คอยดูลูกชายว่าจะออกจากบ้าน หรือ จิตวิญญาณดวงที่เคลื่อนมาได้หันมามองแล้วพูดว่า “โถ วรณ์ เจ้าอยู่นี่หรือลูก ทำไมรูปร่างเจ้าเป็นอย่างนี้”

วิญญาณของคุณหลวงจำได้ ก็รีบวิ่งเข้าไปหาจิตวิญญาณของคุณแม่ วิ่งเข้าไปๆ แต่วิ่งเข้าไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งห่างออกไปเท่านั้น ยิ่งวิ่งหนักขึ้นก็เหมือนวิ่งซอยเท้าอยู่กับที่ หรือวิ่งถอยหลังห่างออกไป ห่างออกไป จิตวิญญาณของคุณแม่ยื่นอาหาร โยนอาหารมาให้ ก็รับไม่ได้ รับไม่ถึง กลิ่นอาหารอันหอมหวลนั้น ยิ่งชวนให้วิ่งเข้าหาอีก อาหารที่ตกลงมาก็กลายเป็นเศษอาหารอันบูดเน่า

จิตวิญญาณของคุณหลวงตะโกนด้วยเสียงดังว่า “คุณแม่ ผมหิวอาหารที่คุณแม่ถืออยู่ แบ่งให้ผมอีก”

เมื่อคุณแม่ยื่นอาหารมาให้ ก็หยิบไม่ถึง ครั้นพอหยิบถึง ก็กลายเป็นของที่กินไม่ได้ จิตวิญญาณของคุณแม่ จึงบอกกับร่างเปรตในจิตวิญญาณของคุณหลวงว่า “อย่าวิ่งมาเลยลูก ไม่มีวันที่จะถึงแม่ได้ แม่ทำบุญทำกุศลไว้ตั้งแต่เล็กจนตาย แม่จึงได้อุดมสมบูรณ์ในภพนี้ และภพที่จะไปต่อ ในชั่วขณะที่มานี่เพราะเป็นห่วงลูก คิดถึงลูก ลูกไม่ได้ทำบุญให้กับพระอรหันต์ของลูกเลย วิบากอันนี้จึงได้ติดตามมา เจ้าทำบุญอื่นไว้ก็มาก เมื่ออยู่มนุษยโลกเจ้าจะได้รับผลบุญนั้นต่อไปภายหลัง

พระอรหันต์ที่ว่านี้ ก็คือ พ่อแม่ของเรา ซึ่งพร้อมที่จะให้อภัยเสมอ แต่กรรมและวิบากนั้นไม่เคยยกโทษให้ใครเลย ไม่มีใครจะมาขอโทษ หรือยกโทษให้ และไม่มีใครที่จะมาแบ่งบุญหรือความดีที่ทำไว้นั้นไปได้เลย ใครทำสิ่งใดไว้ ก็จะต้องได้สิ่งนั้นตอบแทน

ลูกจะอยู่ในภพนี้ชั่วขณะ ทนทุกข์ทรมานอย่างนี้ไปจนหมดเวรกรรมที่ลูกขาดความกตัญญูกตเวที วิบากนี้สิ้นสุดเมื่อไร เมื่อนั้นมักจะไปอยู่อีกภพหนึ่งจะได้เสวยสุขในผลบุญที่เคยกระทำในพระศาสนา เมื่อรับราชการอยู่ในโลกมนุษย์ เคยทำบุญช่วยเหลือสัตว์ที่ทุกข์ทรมาน ปล่อยนกปล่อยปลาไว้ก็หลายหน กุศุลวิบากนี้จะตามสนองลูกต่อไปเมื่อสิ้นภพวิบากกรรมนี้แล้ว

แม่จะต้องไปตามกรรมของแม่แล้ว แม่ทำบุญทุกวันใส่บาตรทุกวัน อดมื้อกินมื้อแต่ไม่ยอมเว้นที่จะใส่บาตร ไม่ยอมเว้นที่จะทำบุญทำกุศล ที่มาหาลูกนี่เพราะก่อนที่แม่จะละสังขารในโลกมนุษย์ แม่มีจิตผูกพันเป็นห่วงลูกอยู่ กุศลกรรมจึงนำพามาให้พบลูกตามความปรารถนา และเมื่อพบแล้วแม่ก็จะต้องจากไป ไปรับกุศลกรรมที่ทำไว้ ขอให้ลูกพ้นเวรพ้นวิบากไปเร็วๆ และไปรับกุศลกรรมที่กระทำไว้ในภพอันดีงามต่อไป”

จิตวิญญาณของคุณหลวงนั่งพนมมือฟังคำพูดของคุณแม่ จนเสียงค่อยๆ จางหายไป หายไป ในที่สุดเมื่อแหงนหน้าดูอีกที ก็เห็นจิตวิญญาณของคุณแม่ ซึ่งมีร่างกายอันสง่างดงามดวงหน้าอิ่มเอิบ ค่อยๆ เคลื่อนจากไปในที่ลุด

“วิญญาณของคุณแม่ไปไหนขอรับกระผม” สำเริงถาม

“ก็ไปสู่สุคติภพ คือภพที่มีแต่ความสุข ไม่อนาทรร้อนใจอะไรเลย”

“อยู่ที่นั่นนานเท่าไหร่ แล้วจากนั้นจะไปไหนขอรับกระผม”

“ถ้านับเวลาในมนุษยโลกก็นานมาก แต่ถ้านับเวลาในสุคติภพแล้ว มันก็ไม่นาน จะนานเท่าไหร่ช้าหรือเร็ว ก็สุดแต่กรรมที่ได้กระทำไว้ ทำดีไว้มาก ก็รับผลมากนาน ทำไว้พอประมาณ ถ้าทำกุศลด้วยความจำใจด้วยความไม่เต็มใจ กุศลกรรมนั้นก็ไม่เป็นผล

ส่วนจากสุคติภพแล้วนั้นจะไปไหนก็สุดแต่กรรมอีก อาจจะจุติเกิดลงมาเป็นมนุษย์ ได้พบพระศาสนาอีก ได้ทำกุศลในแนวทางถูกต้องอีก ภพต่อไปก็จะดีขึ้นๆ แต่บางทีหมดบุญหมดกุศลวิบากแล้ว ก็อาจจะต้องมารับอกุศลวิบากในพิภพอื่น อาจไม่ใช่โลกนี้ก็ได้ หรืออาจจะมาจุติเป็นมนุษย์ใหม่ หรืออาจจะไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉาน เมื่อหมดบุญหมดกุศลกรรมที่ทำไว้ มันก็วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกว่าจะสิ้นชาติ สิ้นภพไม่มีการเกิดอีก นั่นคือ พระนิพพาน คือหมดกิเลสแล้วเท่านั้น”

ตอนนั้น ก็เป็นเวลาที่ดึกแล้วร่วม 4 ทุ่ม เรา 2 คนก็กราบลาท่านกลับที่พักที่บ้านสำเริง เราลาท่านกราบท่านด้วยความรู้สึกเหมือนท่านชี้ทางที่จะไปสู่สุคติให้เรา ทางบุญทางกุศลให้เรา กราบท่านด้วยความเคารพอย่างจริงใจ สำเริงถึงกับเอ่ยปากว่า “กระผมจะมานมัสการหลวงพ่ออีกขอรับกระผม”

แล้วท่านก็ให้ศีลให้พร เรา 2 คนตั้งใจว่าวันหลังจะมากราบท่านอีก โดยไม่ลืมหาของมาถวายท่าน ทั้งๆ ที่รู้ว่าท่านไม่ปรารถนาอะไรจากใครทั้งสิ้น แต่เราก็จะหา 1 ในปัจจัย 4 มาถวายท่านให้จงได้ในคราวหน้า

ระหว่างเดินมาที่ท่าน้ำ สำเริงกล่าวออกมาคำหนึ่งว่า “แปลก เป็นเรื่องที่น่าคิดมาก”

ผมก็ตอบเขาว่า “จริง และเรื่องแปลกกว่านี้ก็มีอีก ท่านคงเล่าให้เราฟังวันหลัง”

ผมขอยุติเรื่องคำสารภาพของวิญญาณ ตอนคุณหลวง ไว้แค่นี้ก่อนพบกันใหม่ในคราวหน้า เรื่องวิญญาณพยาบาทครับ



     จบ..............เรื่องที่ 2
วิญญาณคุณหลวง     

IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 5 6 7 8 9 10 11 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!