เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 20 เมษายน 2024, 09:29:21
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  >>> ศิลปการลงทุนในตลาดหุ้น <<<
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 [21] 22 23 24 25 26 27 28 พิมพ์
ผู้เขียน >>> ศิลปการลงทุนในตลาดหุ้น <<<  (อ่าน 183574 ครั้ง)
kero2522
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #400 เมื่อ: วันที่ 17 พฤศจิกายน 2011, 08:28:24 »

ผม เล่นหุ้น ออนไลน์ ตลาด forex เหมือนกันเปล่า
http://www.marketiva.com/index.ncre?page=banners
http://www.marketiva.com/index.ncre?page=banners2
วิธีสมัคร
http://www.forexhot.com/About/Open-account.html
IP : บันทึกการเข้า
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #401 เมื่อ: วันที่ 17 พฤศจิกายน 2011, 20:50:04 »

จะ TFEX , AFAT, หรือไปไกลถึง FOREX มันก็ล้วนเป็นอนุพันธ์ อย่างที่ท่านวายุกล่าวไป อย่าง TFEX ก็จะอิงกับหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ไทย

แต่ก็มีของใหม่มาให้เล่นก็คือ ทอง และเงินที่เป็นตัวล่าสุด อนาคตก็ผมก็ไม่ทราบว่าท่านนักลงทุนอยากเล่นหรือจะเข็นตัวใหนเข้า

ส่วน AFET คือ สินค้าเกษตรล่วงหน้า ที่เป็นข้าว มัน ยางพารา และอื่นๆ ที่จะเข้ามาเทรดในอนาคต และสุดท้าย FOREX คือ ค่าเงินซึ่งตอนนี้ก็มีหลายสกุล

สำหรับผมผมว่าตลาดล่วงหน้าพวกนี้เหมาะกับการประกันความเสี่ยงมากกว่าลุงทุนเป็นจริงเป็นจัง และถ้าจะเอากับมันจริงๆ ผมว่าแทบจะไม่มีเวลาให้ตัวเอง

เพราะต้องติดตามวินาทีต่อวินาทีทั่วโลก ต้องหาข้อมูลกับแบบนั้นเลยทีเดียว บางครั้งก็อ่อนไหวหรือไม่ก็ไม่เป็นไปตามความจริงเท่าไหร่

อย่างกรณี ญี่ปุ่น ตอนซึนามิ มีหลายท่านที่เก็งว่าเงินเยนมันจะอ่อน แต่ผิดคาดครับ กลับแข็ง เพราะญี่ปุ่นขนเงินเข้าประเทศ เป็นต้น

สำหรับนักลงทุนต่างๆ ที่ยุ่งอยู่กับการส่งออก-หรือนำเข้ากับกับสิ่งที่ผมได้กล่าวมา เช่น เจ้าของห้างทอง หรือ ที่ทำเงิน ทางเหนือก็มีเยอะมิใช่หรือทำเครื่องเงิน

พ้อค้าส่งออกข้าว ยางพารา บริบัทที่รับเหมาก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ ๔ (อิอิ) เป็นต้น เหมาะมากกับตลาดพวกนี้

ส่วนผมตอนนี้ไม่ไหวครับ เลือดกำเดาจะไหล รวมทั้งความเป็นส่วนตัวและมาตราฐานการดำรงชีพเปลี่ยนไปถ้ามาลงทุนกับสิ่งเหล่านี้..

ที่ผมร่ายมาเอาซะยาวคงพอเข้าใจนะครับ อย่าเพิ่งงงล่ะ เอาเท่านี้ก่อนถ้าสงสัยก็ค่อยถามใหม่หรือรอท่านอื่นมาเสริม.
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #402 เมื่อ: วันที่ 20 พฤศจิกายน 2011, 11:04:52 »


ตลาดหุ้นช่วงนี้แกว่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง เหมือนกับน้ำท่วมที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง  ยิงฟันยิ้ม

จากประสบการณ์ ผมมีความเห็นเป็นส่วนตัวว่า ตลาดฯจะยังคงแกว่งขึ้นไปอีกระยะหนึ่ง จนถึงประมาณ
ไม่เกินกลางเดือนธันวาคม จะเริ่มปรับตัว ปรับฐานอีก แต่ดัชนีไม่น่าจะลงไปมากเหมือนช่วงที่เพิ่งผ่านมา


ท่านที่มีหุ้นอยู่ในพอร์ต ล้อตใดที่มีกำไรพอสมควร ก็ควรทยอยขายออกบ้างนะครับ อย่าให้เสียโอกาส
สำหรับผม หุ้น top ที่รับไว้ที่ราคา 50 บาท ต้นๆ ก็ขายไปแล้วที่ 60 บาท ต้นๆ จำนวนนิดหน่อยครับ ยิงฟันยิ้ม

ท่านที่ไม่มีหุ้นในพอร์ตใช้เงินหมุนลงทุนระยะสั้น ก็หาจังหวะกันเอาเองนะครับ (ลงทุนระยะสั้น อย่า
เอาส่วนต่างมากนัก เดี๋ยวจะพลาดพลั้ง  ยิงฟันยิ้ม)

IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #403 เมื่อ: วันที่ 01 ธันวาคม 2011, 09:57:50 »


มาเรียนย้ำตามประสบการณ์นะครับ ว่าหุ้นล็อตใดที่มีกำไรพอสมควร ให้ทยอยขายนะครับ อย่าให้เสียโอกาส

ภาวะตลาดหุ้นช่วงนี้กำลังแกว่งขึ้น แต่อย่าลืมว่า ตลาดฯมีขึ้น มีลง เหมือนอุทกภัยตอนนี้แหละครับ  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #404 เมื่อ: วันที่ 01 ธันวาคม 2011, 11:06:36 »


เพื่อนสมาชิกนักลงทุนท่านใดที่ลงทุนในหุ้นหลายๆตัวที่ต่างอุตสาหกรรมกัน จะเห็นความแตกต่าง
อย่างชัดเจนว่า การแกว่งขึ้น หรือลง ของหุ้น ที่ต่างอุตสาหกรรมกันนั้น จะไม่เหมือนกัน แม้ว่าดัชนี
ตลาดจะแกว่งขึ้นแรงอย่างวันนี้ แต่หุ้นพื้นฐานดีบางตัวเช่น BECL  RATCH  EGCO MCOT  ขยับขึ้น
เพียงเล็กน้อย  แต่หุ้นกลุ่มธนาคาร  และพลังงานน้ำมัน หรือหุ้นของกิจการที่มีพื้นฐานไม่ค่อยดีกลับขึ้น
เยอะกว่า ทั้งนี้เพราะเหตุปัจจัยหลายๆอย่างที่ผมได้เรียนไว้แล้วในตอนต้นๆของกระทู้นี้




 
IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #405 เมื่อ: วันที่ 04 ธันวาคม 2011, 12:49:29 »

การเรียนหนังสือ การทำงานเป็นลูกจ้าง ข้าราชการ ค้าขาย และ ฯลฯ ล้วนเป็นการลงทุนทั้งสิ้น

ผมเชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อย เป็นนักต่อสู้ชีวิต ที่ต้องลงทุนพร้อมกันในหลายๆอย่าง เนื่องจากความ
จำเป็นในชีวิต มีภาระอันมากมายที่ต้องรับผิดชอบ จึงต้องทำงานไปพร้อมกับเรียนหนังสือไปด้วย ซึ่ง
ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ต้องทั้งทำงานและเรียนหนังสือไปด้วย บางห้วงเวลาก็ต้องทำงานหลายๆอย่างด้วย
กัน ซึ่งผมขอเรียกว่าเป็นการลงทุนแบบผสม ซึ่งต้องยอมรับกันว่าห้วงเวลานั้น เป็นห้วงเวลาที่หนักหนา
สาหัสสากรรทีเดียว ท่านที่มีประสบการณ์ดังกล่าวมา ย่อมซาบซึ้งดี

การลงทุนในหุ้นหลายๆตัว (หลายอุตสาหกรรม) สำหรับผม ก็ถือว่าเป็นการลงทุนแบบผสมอย่างหนึ่ง
หรือที่ในแวดวงการลงทุนเรียกว่า การกระจายความเสี่ยง

ในแต่ละธุรกิจอุตสาหกรรมนั้น มีภาวะขึ้นลงแตกต่างกันออกไป จุดสูงสุด ต่ำสุดของแต่ละอุตสาหกรรม
ก็ไม่เหมือนกัน

ในทำนองเดียวกัน หุ้นในตลาดฯของแต่ละอุตสาหกรรม ก็มีภาวะขึ้นลง แตกต่างกันตามภาวะของการ
ขึ้นลงของแต่ละอุตสาหกรรมเช่นกัน

แต่หุ้นนั้นมีปัจจัยอื่นที่เข้ามาทำให้มีราคาขึ้นลงนอกเหนือจากภาวะขึ้นลงของอุตสาหกรรมอีกด้วย

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 04 ธันวาคม 2011, 14:47:18 โดย Cupid » IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #406 เมื่อ: วันที่ 04 ธันวาคม 2011, 15:27:02 »


เมื่อธุรกิจต่างอุตสาหกรรมมีภาวะขึ้นลงที่ต่างกัน นักลงทุนรายย่อยที่มีศักยภาพด้านการเงินพอที่จะลง
ทุนในหุ้นหลายๆตัวได้ ก็ควรที่จะลงทุนในหุ้นหลายๆตัวที่ต่างอุตสาหกรรม พอร์ตลงทุนจะได้มีการ
ถ่วงดุลกันเอาไว้
มิให้ดูย่ำแย่มากนักในเวลาที่ตลาดฯเป็นขาลง แต่เมื่อตลาดฯเป็นขาขึ้น แม้ว่าพอร์ต
ลงทุนจะไม่ดูดีหวือหวาเหมือนกับพอร์ตลงทุนที่มีหุ้นเพียง 1 หรือ 2 ตัว ก็ไม่ต้องไปอิจฉาเขา

เพราะในโลกแห่งการลงทุนในตลาดหุ้น ความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นได้เสมอ (เป็นข้อเขียนที่เป็นวลีของ
ท่านอาจารย์ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร) เพราะหุ้นที่ตามปกติดูจะไม่ใคร่เคลื่อนไหวขึ้นลงมากนัก มีโอ
กาสสร้างส่วนต่าง (ผลกำไร) ให้เจ้าของพอร์ตเป็นกอบเป็นกำสูงถึงกว่า 50 - 100 % ทีเดียวก็มี ซึ่ง
ผมเองเคยได้ประสพมาแล้วหลายครั้ง ที่สำคัญคือต้องเป็นหุ้นของธุรกิจที่มีพื้นฐานดี มั่นคง จ่ายปันผล
สม่ำเสมอ และที่สำคัญที่สุดก็คือ เจ้าของพอร์ตลงทุนต้องมั่นคง ไม่หวั่นไหววอกแวก ในเวลาที่สถาน
การณ์ตลาดไม่ดี (ดูตัวเลขทางบัญชีแล้วเกิดวิตกกังวล เนื่องจากเห็นตัวเลขติดลบขาดทุนทางบัญชี)
 
IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #407 เมื่อ: วันที่ 05 ธันวาคม 2011, 10:09:12 »


การลงทุนในแวดวงตลาดการเงินการลงทุนนี้ มีผู้ให้คำแนะนำไว้หลายๆแนวทางด้วยกันโดยให้เหตุผล
แตกต่างกันไป ตามความต้องการของผู้ลงทุน ตามที่ผู้ลงทุนสามารถรับความเสี่ยงได้ ตามศักยภาพ
ทางการเงินของผู้ลงทุนแต่ละท่าน คือการลงทุนในตั๋วสัญญาใช้เงิน พันธบัตร เงินฝากธนาคาร หุ้น หุ้นกู้
กองทุนรวมประเภทต่างๆ ซึ่งแต่ละรูปแบบก็มีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่แตกต่างกันไป

ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะแนะนำให้ลงทุนแบบผสมผสาน คือให้นักลงทุน ลงทุนทั้งในตั๋วสัญญาใช้เงิน หุ้น
หุ้นกู้ กองทุนฯ พันธบัตร เงินฝากธนาคาร ไปในขณะเดียวกัน โดยให้เหตุผลว่า เพื่อจำกัด หรือกระจาย
ความเสี่ยง แต่จะมีนักลงทุนรายย่อยสักกี่ท่านที่มีศักยภาพทางการเงินที่จะลงทุนได้ทุกประเภทอย่างนั้น

ส่วนตัวของผมก็ไม่มีศักยภาพเพียงพออย่างนั้น ผมจึงหาวิธีลงทุนแบบผสมผสานของผมเอง เฉพาะ
การลงทุนในหุ้น ซึ่งจะได้ค่อยๆทยอยเรียบเรียงออกมาเล่าสู่กันฟังนะครับ

และท่านใดมีวิธีการลงทุนแบบผสมผสานอย่างไร ก็สามารถนำมาแชร์กันได้ครับ  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #408 เมื่อ: วันที่ 07 ธันวาคม 2011, 19:41:04 »


การลงทุนในหุ้นแบบผสมผสานของผมคือ การลงทุนใน

1. ธุรกิจที่ต่างอุตสาหกรรมกัน

2. ธุรกิจที่ขายสินค้า หรือบริการที่จำเป็นในการดำรงชีพในชีวิตประจำวัน

3. ธุรกิจที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ

นี้คือหลักการกว้างๆของผม แต่ในรายละเอียดนั้น ในธุรกิจแต่ละธุรกิจ ต้องมีปัจจัยอื่นๆเข้ามาประกอบ
การพิจารณาด้วย เช่นความมีธรรมาภิบาลของผู้บริหาร ธุรกิจทุกประเภทถ้าผู้บริหารไม่มีธรรมาภิบาล
แล้ว แม้ว่าธุรกิจนั้นจะเป็นธุรกิจที่ขายสินค้า หรือบริการที่จำเป็นของมนุษย์ก็ตาม ธุรกิจนั้นๆก็อาจล่ม
สลายได้ ดังปรากฏให้เห็นเป็นข่าวอยู่เนืองๆ เมื่อธุรกิจล่มสลาย ผู้ถือหุ้นก็วอดวาย

ในช่วงที่ธุรกิจซบเซาตามฤดูกาลของธุรกิจแต่ละประเภท หรือเกิดวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจบางช่วง
ทำให้ธุรกิจซบเซา ราคาหุ้นก็ตกต่ำไปด้วย แต่ถ้าผู้บริหารดีมีธรรมาภิบาล ธุรกิจนั้นๆก็จะฟื้นตัวกลับ
มาได้ ราคาหุ้น ผลตอบแทนผู้ถือหุ้นก็จะฟื้นกลับมาเช่นกันครับ


IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #409 เมื่อ: วันที่ 09 ธันวาคม 2011, 07:53:53 »


ท่านนักลงทุนที่ทยอยรับหุ้นไว้เมื่อช่วงกันยาตุลา ช่วงนี้คงสดใส ทยอยขายทำกำไรเอาเงินไว้ใช้ฉลอง
คริสมาสต์และปีใหม่กัน...

มาย้ำกันบ่อยๆนะครับ ว่ามีวันน้ำท่วม ก็ต้องมีวันน้ำลด น้ำจะไม่ท่วมอยู่ตลอดไปฉันใด หุ้นก็ไม่ขึ้นตลอด
ไป ฉันนั้น ใช้วิธีทยอยซื้อ ทยอยขาย สบายๆครับ... ยิ้ม

IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #410 เมื่อ: วันที่ 09 ธันวาคม 2011, 10:23:47 »

การลงทุนในธุรกิจที่ต่างอุตสาหกรรมกัน

เราลองมาอนุมานว่า ผู้บริหารในทุกธุรกิจอุตสาหกรรมเป็นผู้มีธรรมาภิบาลเหมือนกัน แต่อุตสาหกรรม
ที่ต่างประเภทกัน ก็มีข้อเด่น ข้อด้อย ช่วงเวลาที่เป็นขาขึ้นของธุรกิจ ช่วงเวลาที่ธุรกิจซบเซา แตกต่าง
กันไปด้วย ในสถานการณ์ที่ภาวะเศรษฐกิจดำเนินไปตามปกติไม่มีเหตุแทรกซ้อน แต่ถ้ามีเหตุแทรก
ซ้อน (ซึ่งผมถือว่าเป็นข้อยกเว้นจากสถานการณ์ปกติ) เกิดเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก เช่น กรณีวิกฤตต้ม
ยำกุ้ง หรือแฮมเบอร์เกอร์ ธุรกิจต่างๆซึ่งเชื่อมโยงกันอยู่ทั้งทางตรง ทางอ้อม ก็จะเกิดผลกระทบตกอยู่
ในภาวะถดถอยซบเซา มากน้อยแตกต่างกันไป ตามประเภทของธุรกิจ ธุรกิจธนาคาร อสังหาริมทรัพย์
วัสดุก่อสร้าง พลังงานน้ำมัน จะได้รับผลกระทบค่อนข้างมาก ธุรกิจขนส่งสินค้า คมนาคม ได้รับผล
กระทบรองลงไปธุรกิจอาหาร พลังงานไฟฟ้า สื่อสาร จะได้รับผลกระทบไม่มากนักเพราะคนทั่วไปย่อม
ต้องการอาหารเพื่อการยังชีพ ขาดไม่ได้ และในโลกปัจจุบัน คนทั่วไปก็ต้อง ใช้ไฟฟ้า ใช้โทรศัพท์
ติดต่อสื่อสารกันในชีวิตประจำวันทุกวัน

ในพอร์ตลงทุนของผมจึงมีทั้งหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง พลังงานน้ำมัน คมนาคม อาหาร ไฟฟ้า สื่อสาร
(แต่ตอนนี้สื่อสารทั้ง DTAC   ADVANC  ขายไปหมดแล้ว  ยิงฟันยิ้ม)
   


IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #411 เมื่อ: วันที่ 09 ธันวาคม 2011, 14:17:18 »


ธุรกิจที่ขายสินค้า หรือบริการ ที่จำเป็นในการดำรงชีพประจำวัน

ธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการที่จำเป็นนี้ เช่น ธุรกิจอาหาร ห้างสรรพสินค้า ผลิตไฟฟ้า จะเป็นธุรกิจที่
ให้ผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นในรูปเงินปันผลที่สม่ำเสมอ ในสถานการณ์ปกติ ราคาหุ้นจะไม่ค่อยเคลื่อน
ไหวขึ้นลงรวดเร็วหวือหวานัก และส่วนใหญ่จะไม่ขึ้นลงตามดัชนี นอกจากมีสถานการณ์ที่เป็นข้อยกเว้น
ที่ผมได้กล่าวมาแล้ว ซึ่งถ้าหุ้นของธุรกิจประเภทนี้ตกต่ำตามดัชนีมากๆ ขอให้รวบรวมความกล้า ทยอย
รับลงทุนได้ครับ โดยดูอัตราผลตอบแทนปันผลในอดีตที่สม่ำเสมอ เทียบกับราคาหุ้นที่ท่านตัดสินใจ
จะซื้อลงทุนว่าคุ้มหรือไม่ และผมขอย้ำว่า ให้ทยอยซื้อครับ และเมื่อสถานการณ์ที่เป็นข้อยกเว้นผ่านไป
หุ้นประเภทนี้ก็จะค่อยๆกลับขึ้นมาตามผลกำไรของธุรกิจ และผลตอบแทนเงินปันผลครับ
IP : บันทึกการเข้า
สมพร1962
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 468



« ตอบ #412 เมื่อ: วันที่ 11 ธันวาคม 2011, 20:12:09 »

ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูล และความรู้เืพื่อเป็นวิทยาทาน ผมอ่านแค่สองหน้า มึนเลย แต่ก็ดีมากครับใช้เปรียบเทียบได้กับการเริ่มลงทุน หรือดำเนินการลงทุนอยู่ อ่านเป็นข้อมูลพื้นฐานธุรกิจได้ครับ ไม่จำเป็นต้องใช้ในตลาดหุ้นเสมอไปครับ
IP : บันทึกการเข้า

ลูกค้าให้ความไว้วางใจ ครอบครัวอยู่รอด
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #413 เมื่อ: วันที่ 11 ธันวาคม 2011, 20:57:59 »

ขอบคุณครับ สำหรับข้อมูล และความรู้เืพื่อเป็นวิทยาทาน ผมอ่านแค่สองหน้า มึนเลย แต่ก็ดีมากครับใช้เปรียบเทียบได้กับการเริ่มลงทุน หรือดำเนินการลงทุนอยู่ อ่านเป็นข้อมูลพื้นฐานธุรกิจได้ครับ ไม่จำเป็นต้องใช้ในตลาดหุ้นเสมอไปครับ

ด้วยความยินดีครับ..... ยิงฟันยิ้ม
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 ธันวาคม 2011, 21:01:17 โดย Cupid » IP : บันทึกการเข้า
สมพร1962
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 468



« ตอบ #414 เมื่อ: วันที่ 11 ธันวาคม 2011, 21:41:58 »

รบกวนท่านยังงี้นะครับ คือผมเป็นคนที่ชอบอ่านไปคิดตามไปเลือยตามความเข้าใจ มีอยู่ 2 ข้อความที่ไม่เข้าใจ
ถ้าท่านได้มีคำตอบแล้ว ช่วยบอกหน้าด้วยนะครับ แต่ถ้าท่านยังไม่เคยตอบในกระทู้ใด ผมขอรบกวนท่านช่วยอธิบายพอคร่าวๆ ก็ได้นะครับ

1.เครดิตทางภาษี   คืออะไร ดียังไงครับ
2.ใบสำคัญแสดงสิทธิ  คืออะไรสำคัญยังไงครับ

ขอบคุณครับ
IP : บันทึกการเข้า

ลูกค้าให้ความไว้วางใจ ครอบครัวอยู่รอด
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #415 เมื่อ: วันที่ 12 ธันวาคม 2011, 07:51:35 »


ขออนุญาตเรียนเรื่อง เครดิตภาษีก่อนนะครับ

ผมได้โพสไว้ในกระทู้นี้ใน« ตอบ #168 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2011, 17:43:18 » แล้ว แต่ขอ
อนุญาต ก๊อป มาลงไว้เลย เพื่อจะได้ไม่ต้องเปิดย้อนไปอีก

   Re: >>> ศิลปการลงทุนระยะยาว <<<
« ตอบ #168 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2011, 17:43:18 »   
________________________________________
เครดิตภาษี

   เครดิตภาษี อธิบายอย่างย่อๆพอเข้าใจ คือภาษีที่นิติบุคคลได้จ่ายให้รัฐไปแล้ว แต่บุคคลธรรมดาสา
มารถขอคืนได้ เนื่องจากว่าภาษีที่นิติบุคคลจ่ายไปนั้น เป็นอัตราที่กำหนดไว้เฉพาะนิติบุคคลเท่านั้น
บุคคลธรรมดาทั่วไปไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ในอัตราที่นิติบุคคลต้องจ่าย  นลท รายย่อยซึ่งเป็นบุคคล
ธรรมดาที่ได้ถือหุ้นของนิติบุคคลนั้นๆอยู่ จึงสามารถขอคืนภาษีที่นิติบุคคลได้ชำระไปแล้วได้

ขอคืนภาษีอย่างไร
   
   ภาษีนิติบุคคลนั้น จ่ายจากกำไรสุทธิ ตามรอบระยะเวลาบัญชี โดยทั่วไปนิติบุคคลต้องจ่ายภาษีประ
มาณ 25% - 30% ของกำไรสุทธิ และนิติบุคคล (หรือบริษัทฯที่จดทะเบียนในตลาดฯ) นำกำไรที่ได้ชำระ
ภาษีแล้วดังกล่าวมาจัดสรรเป็นเงินปันผลจ่ายให้ผู้ถือหุ้น

   บุคคลธรรมดาที่ถือหุ้นของบริษัทฯจดทะเบียนฯนั้นๆอยู่ ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราที่บริษัทฯ
ต้องจ่าย กฎหมายจึงกำหนดให้รัฐต้องคืนภาษีที่บริษัทฯได้ชำระไว้แล้วให้บุคคลธรรมดาที่ถือหุ้น และ
ได้รับเงินปันผลจากบริษัทฯดังกล่าว โดยต้องยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ฯ และเมื่อคำนวณภาษีออก
มาแล้วได้มีการชำระภาษีเกินไปเท่าใด ก็สามารถขอคืนได้

   อุทธาหรณ์ บริษัท A ต้องชำระภาษี 30 % ของกำไรสุทธิ เมื่อบริษัทฯชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้ว
ก็นำกำไรหลังจากที่ได้ชำระภาษีแล้วนั้น นำมาจัดสรรจ่ายเป็นเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น  สมมติว่าผู้ถือหุ้น
ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาได้รับเงินปันผลจำนวน 10,000 บาท ก็จะได้รับเครดิตภาษีอีก 30% (แต่ไม่ใช่
30% ของเงินปันผลที่ได้รับนะครับ แต่จะตกประมาณ 42.85% ของเงินปันผลที่ได้รับ) กรณีนี้ผู้ถือหุ้น
ซึ่งได้รับเงินปันผลจำนวน 10,000 บาท ไปแล้ว จึงยังจะได้รับเครดิตภาษีอีกจำนวน 4,285 บาท ด้วย

    ผมเชื่อว่า นลท รายย่อยอีกเป็นจำนวนมาก อาจไม่รู้ว่า นอกเหนือจากเงินปันผลแล้ว ยังจะได้รับเคร
ดิตภาษีอีกด้วย  สำหรับผมนั้นในปีแรกที่เข้าตลาดฯก็ไม่รู้ จึงไม่ได้ขอรับเครดิตภาษี

   ในเวลาต่อมาเมื่อผมได้รู้และได้ขอรับเครดิตภาษีแล้ว ผมยังได้มีโอกาสรู้จักเพื่อน นลท ในห้องค้า
อีกหลายท่านที่ไม่รู้ ซึ่งผมได้ช่วยชี้แนะและคำนวณเครดิตภาษีให้ในครั้งแรกๆ

    ที่ผมนำเรื่องเครดิตภาษีมาเรียบเรียงไว้ย่อๆนี้ ก็เพื่อให้ นลท รายย่อยพอเข้าใจว่า ประโยชน์ที่ นลท
ระยะยาวจะได้รับจากการลงทุนในหลักทรัพย์ นอกเหนือจากส่วนต่างของราคาหุ้น และเงินปันผลแล้ว
นลท ยังจะได้รับประโยชน์จาก เครดิตภาษี อีกด้วย และเพื่อเป็นข้อมูลให้ท่านที่สนใจ ได้ใช้พิจารณา
ประกอบการตัดสินใจเข้าเป็น นลท ระยะยาวด้วยครับ

IP : บันทึกการเข้า
สมพร1962
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 468



« ตอบ #416 เมื่อ: วันที่ 12 ธันวาคม 2011, 10:06:24 »

ขอบคุณครับ
IP : บันทึกการเข้า

ลูกค้าให้ความไว้วางใจ ครอบครัวอยู่รอด
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #417 เมื่อ: วันที่ 12 ธันวาคม 2011, 10:41:49 »

ใบสำคัญแสดงสิทธิ (Warrant)

ใบสำคัญแสดงสิทธินี้ เท่าที่ทราบจะมีอยู่สองประเภท คือใบสำคัญแสดงสิทธิธรรมดา
และใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Covered Warrant)

ใบสำคัญแสดงสิทฺธิธรรมดานั้น คือตราสารอนุพันธ์ชนิดหนึ่งซึ่งบริษัทเจ้าของหลักทรัพย์ (หุ้น) ออก
จำหน่ายให้กับนักลงทุน เพื่อให้สิทธิแก่ผู้ถือตราสารนี้ ในการซื้อหุ้นสามัญของบริษัทฯ ในราคา และ
ระยะเวลาที่บริษัทฯกำหนด ซึ่งบริษัทฯจะออกหุ้นเตรียมไว้เพื่อรองรับการใช้สิทธิดังกล่าว เงินที่ได้จาก
การใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญของนักลงทุน ก็จะนำไปใช้เป็นทุนหมุนเวียนในกิจการของบริษัทฯ เท่ากับ
เป็นเครื่องมือในการระดมทุนในช่วงที่บริษัทฯมีโครงการขยายกำลังการผลิต หรือขยายกิจการนั่นเอง
 
ใบสำคัญแสดงสิทธิธรรมดานั้นมักจะออกให้กับนักลงทุนที่ถือหุ้นสามัญของบริษัทฯอยู่แล้ว และมักจะ
เป็นการให้เปล่าในอัตราส่วนที่บริษัทฯกำหนด (เช่น สี่ ต่อ หนึ่ง หมายความว่าถ้านักลงทุนถือหุ้นสามัญ
อยู่ 4 หุ้น ก็จะได้รับ 1 Warrant หรือ 1 ใบสำคัญแสดงสิทธิ) และบริษัทฯจะนำใบสำคัญแสดงสิทธินี้
จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อให้มีการซื้อขายเปลี่ยนมือกันได้  แต่ก็มีบางบริษัทฯที่ออกใบสำคัญ
แสดงสิทธินี้ให้เฉพาะพนักงานและผู้บริหารในบริษัทฯ ไม่ให้แก่นักลงทุนทั่วไป และไม่นำเข้าจดทะ
เบียนในตลาดฯ ไม่ให้ซื้อขายเปลี่ยนมือได้

และการออกใบสำคัญแสดงสิทธินี้ ต้องได้รับอนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์เสียก่อน จึงจะออกได้

ส่วน Covered Warrant นั้นจะคล้ายคลึงกับ Warrant ธรรมดา แต่ต่างกันที่ผู้ออกCovered Warrant
นั้น ไม่ใช่บริษัทเจ้าของหลักทรัพย์ และบริษัทเจ้าของหลักทรัพย์ก็ไม่ได้มีการออกหุ้นใหม่มาเพื่อรอง
รับการใช้สิทธิ แต่ผู้ออก Covered Warrant ใช้หุ้นที่ถืออยู่ หรือหาซื้อหุ้นในตลาดฯมารองรับการใช้
สิทธิ ดังนั้น Covered Warrant จึงเป็นเพียงเครื่องมือทางการเงิน ไม่ใช่เครื่องมือในการระดมทุนเช่น
Warrant ธรรมดา

เอาคร่าวๆก่อนนะครับ ถ้ายังไม่ค่อยกระจ่าง ถามได้อีกครับ จะตอบตามความรู้และประสบการณ์ที่มีครับ... ยิงฟันยิ้ม

IP : บันทึกการเข้า
สมพร1962
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 468



« ตอบ #418 เมื่อ: วันที่ 12 ธันวาคม 2011, 14:30:40 »

ขอบคุณอีกครับนะครับ ขออนุญาติทำความเข้าแล้วหากมีคำถามใด ผมขอรบกวนท่านอีกครั้งนะครับ ขอบคุณครับ
IP : บันทึกการเข้า

ลูกค้าให้ความไว้วางใจ ครอบครัวอยู่รอด
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #419 เมื่อ: วันที่ 13 ธันวาคม 2011, 19:44:23 »

ธุรกิจที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ

แน่นอนครับ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโดยตรงหรือโดยอ้อม ผู้ลงทุนก็ย่อมต้องหวังผลตอบแทนจากการ
ลงทุนทุกคน การลงทุนในหุ้นจัดว่าเป็นการลงทุนโดยอ้อมครับ คือนักลงทุนรายย่อยที่ลงทุนโดยการ
ซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ได้เข้าไปบริหารกิจการเอง แต่อาศัยเจ้าของ ผู้บริหารกิจการ เป็น
ผู้บริหารจัดการธุรกิจ จะกำไรมากน้อยแค่ไหน หรือขาดทุนล้มเหลว ขึ้นอยู่กับเจ้าของ หรือผู้บริหารฯ
เท่านั้น ไม่ขึ้นอยู่กับผู้ถือหุ้น ผมจึงขอเรียนว่า ปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งที่นักลงทุนพึงให้ความสำคัญใน
การพิจารณาเลือกซื้อหุ้นลงทุน ว่าสมควรลงทุนกับกิจการใด ก็คือ เจ้าของ และผู้บริหาร ว่ามีความ
สามารถ และมีธรรมาภิบาลเพียงใดหรือไม่ แต่จะดูอย่างไรนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่มีรายละเอียดปลีกย่อย
มากมาย ผมจะทยอยเรียบเรียงมาเล่าสู่กันฟัง เท่าที่พอจะออกอากาศได้ และเท่าที่พอจะเข้าใจจาก
ประสบการณ์ที่ผ่านมาครับ

เรามาว่ากันถึงเรื่องธุรกิจที่จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอก่อนครับ ผมเป็นคนหนึ่งซึ่งก่อนที่จะลงทุนซื้อหุ้นของ
กิจการใด ผมจะมองไปที่การจ่ายปันผลว่า กิจการนั้นมีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอหรือไม่ เป็นลำดับแรก
ปัจจัยต่อมาก็คือ ประเภทของกิจการ เจ้าของ ผู้บริหาร  เมื่อได้ข้อมูลเบื้องต้นดังกล่าวพอมั่นใจได้ใน
ระดับหนึ่งแล้ว ก็มาดูที่ราคาหุ้นปัจจุบัน เปรียบเทียบกำไรย้อนหลังไปในอดีต ต่อเนื่องกับการคาดการณ์
ผลประกอบการ ผลกำไร และการที่กิจการจะจ่ายปันผลในอนาคต (การลงทุน คือการซื้ออนาคต)

ขอปิดเบรกนี้ไว้ก่อน สำหรับหัวข้อนี้ยังมีต่ออีกครับ

  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 14 ธันวาคม 2011, 07:53:19 โดย Cupid » IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 [21] 22 23 24 25 26 27 28 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!