เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 24 เมษายน 2024, 04:05:07
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  >>> ศิลปการลงทุนในตลาดหุ้น <<<
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 [9] 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 ... 28 พิมพ์
ผู้เขียน >>> ศิลปการลงทุนในตลาดหุ้น <<<  (อ่าน 183603 ครั้ง)
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #160 เมื่อ: วันที่ 10 มิถุนายน 2011, 10:13:43 »

ฝาก นลท.รายใหญ่ อีกแล้ว  ยิงฟันยิ้ม
AGE ขยับเป้า 2554 รายได้พุ่ง 100 % จากตั้งไว้ 50 % เปรยมีลุ้นขยับเป้าต่อช่วง Q4 นี้ ยันพร้อมปิดดีลร่วมลงทุนเหมืองอินโดนีเซียแห่งแรกสิ้นปี นวค.ส่องต้าน 23.00...ทันหุ้น
IP : บันทึกการเข้า
vee48
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #161 เมื่อ: วันที่ 10 มิถุนายน 2011, 10:47:12 »

ฝาก นลท.รายใหญ่ อีกแล้ว  ยิงฟันยิ้ม
AGE ขยับเป้า 2554 รายได้พุ่ง 100 % จากตั้งไว้ 50 % เปรยมีลุ้นขยับเป้าต่อช่วง Q4 นี้ ยันพร้อมปิดดีลร่วมลงทุนเหมืองอินโดนีเซียแห่งแรกสิ้นปี นวค.ส่องต้าน 23.00...ทันหุ้น

 ตกใจ พี่เค้าเหนื่อยเลยพักนานค่ะ โกรธ
IP : บันทึกการเข้า
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #162 เมื่อ: วันที่ 10 มิถุนายน 2011, 15:23:58 »

CEI พุ่ง 12.39% ผู้บริหารคาดหันเล่นหุ้นเล็ก รับถ่านหิน-โรงไฟฟ้าไม่คืบ
ข่าวหุ้น-การเงิน สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- ศุกร์ที่ 10 มิถุนายน 2554 11:12:27 น.

หุ้น CEI พุ่ง 12.39% อยู่ที่ 4.90 บาท เพิ่มขึ้น 0.54 บาท เมื่อเวลา 11.00 น.โดยเปิดตลาดที่ 4.46 บาท สูงสุด 4.90 บาท ต่ำสุด 4.38 บาท มูลค่าการซื้อขาย 293 ล้านบาท

แหล่งข่าวจาก บมจ.คอมพาสส์ อีสต์ อินดัสตรี้(ประเทศไทย)(CEI)เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"ว่า ราคาหุ้น CEI ที่ปรับขึ้นมาในวันนี้ ถือเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะเมื่อราคาหุ้นใหญ่ปรับลงตามภาพรวม นักลงทุนก็มักจะหันมาเล่นหุ้นเล็กแทน

ส่วนความคืบหน้าการศึกษาธุรกิจใหม่ โดยเฉพาะถ่านหินนั้น ขณะนี้ได้ยกเลิกโครงการไปก่อน เนื่องจากวิเคราะห์แล้วไม่คุ้มค่าการลงทุน และพันธมิตรไม่ค่อยลงตัว ส่วนแผนการลงทุนโรงไฟฟ้ายังไม่มีผลสรุปเช่นกัน ขณะนี้ไม่ชัดเจนว่าโครงการต่อเนื่องด้านไหนที่จะเป็นรูปเป็นร่างบ้าง

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทก็ยังทำธุรกิจหลัก คือ การประกอบพัดลมอยู่ โดยสั่งชิ้นส่วนมาประกอบ รายได้ถือว่าอยู่ในระดับทรงๆ เพราะยอดขายไม่ได้เติบโตเหมือนปีก่อน ในตัวธุรกิจก็ยังพอมีกำไรแต่ไม่มาก โดยตอนนี้บริษัทมีรายได้หลักจากธุรกิจพัดลมและรายได้จากค่าเช่า ขณะที่มีแผนจะขายเครื่องจักรอีกจำนวนมากที่ไม่ได้ใช้แล้ว

สำหรับผลประกอบการงวดไตรมาส 3/54 (ก.พ.-เม.ย.54) เชื่อว่ายังเป็นบวก แต่ถ้าเทียบกับไตรมาส 2/54 (สิ้น 31 ม.ค.54) คงสู้ไม่ได้เพราะมีกำไรสุทธิ 93 ล้านบาทจากการขายที่ดินและอาคารเข้ามา แต่ก็เชื่อว่าผลประกอบการยังเป็นบวกได้
IP : บันทึกการเข้า
LoveYou2
สมาชิกลงทะเบียน
มัธยม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 926


096-0133136 บอย


« ตอบ #163 เมื่อ: วันที่ 10 มิถุนายน 2011, 23:48:36 »

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
คืออันนี้ไม่รู้จริงๆครับ
อยากถามว่า  ถ้าราคาน้ำมันจะปรับขึ้นเนี่ย  หุ้นจะ+รึว่า-  มากกว่าครับ
ขอบคุณครับ
IP : บันทึกการเข้า
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #164 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2011, 09:17:27 »

ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
คืออันนี้ไม่รู้จริงๆครับ
อยากถามว่า  ถ้าราคาน้ำมันจะปรับขึ้นเนี่ย  หุ้นจะ+รึว่า-  มากกว่าครับ
ขอบคุณครับ
ตอบก่อนแล้วกัน  ยิงฟันยิ้ม

ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญซะด้วย แต่ย่อข้อมูลมาให้ ....

ขอวกกลับมาเข้าเรื่องหุ้นนิดนึงดีกว่า ว่าเหมือนหรือเกี่ยวข้องกับราคาน้ำมันอย่างไรบ้าง น้ำมันนั้นถือเป็นต้นทุนทั้งทางตรงและทางอ้อมของเกือบทุกบริษัท มากน้อยตามโครงสร้างค่าใช้จ่ายของแต่ละบริษัท เช่น บริษัทขนส่งอย่างการบินไทย แน่นอนน้ำมันถือเป็นต้นทุนสำคัญที่สุดตัวหนึ่ง (สมมุติว่าประมาณสัก 20% ของค่าใช้จ่ายทั้งหมด) หรืออย่างบริษัทรับเหมาก่อสร้างก็เช่นเดียวกัน การก่อสร้างนั้นต้องมีการขนส่งเครื่องไม้เครื่องมือและการขนส่งต่างๆเยอะ น้ำมันก็ย่อมเป็นต้นทุนที่สำคัญอย่างหนึ่งเช่นเดียวกัน แล้วเราก็ลองสมมุติต่อว่า น้ำมันขึ้น 50% (เช่น ดีเซล ขึ้นจาก 12 บาทมาที่ 18 บาทต่อลิตร) นั้นหมายถึงต้นทุนน้ำมันของการบินไทยจะกลายเป็นสัดส่วนถึง 30% (20% x 1.50 = 30%) หรือหมายถึง กำไรสุทธิที่ลดลงถึง 10% (เอาแบบตัวเลขง่ายๆนะ) แต่ แต่อย่าพึงตกใจครับ การบินไทยก็อาจไปทำ fixed ราคาน้ำมันไว้ก่อนเพื่อให้ผลกระทบน้อยลง หรือไม่ก็เพิ่มค่าตั๋ว (เช่น surcharge ค่าน้ำมัน) มาเก็บกับผู้โดยสารเพื่อผลักภาระนี้ไป ทำให้ลดความรุนแรงของผลกระทบจากราคาน้ำมันได้บ้าง ส่วนของบริษัทก่อสร้างใหญ่ๆที่รัฐประมูลโครงการจากรัฐบาลนั้น แบบย่อๆคือว่า ถ้าต้นทุนสูงเกินกว่ากำหนดกันไว้ในสัญญา x.x% รัฐบาลเป็นผู้รับผิดชอบแทนครับ ส่วนก่อสร้างรายเล็กๆก็ .... ตายกันเองครับ บริหารกันเอาเอง

นอกจากนี้ น้ำมันยังเป็นต้นทุนสำคัญทางอ้อมส่วนหนึ่งของบริษัทต่างๆอีกด้วย ที่เห็นได้ชัดเจน คือ การผลิตกระแสไฟฟ้านั้นยังใช้เชื้อเพลิงที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับน้ำมัน (น้ำมันเตา) หรืออ้างอิงราคาจากราคาน้ำมัน เป็นวัตถุดิบในการผลิตกระแสไฟฟ้าอยู่ แปลว่าน้ำมันขึ้น ไฟฟ้าก็ขึ้นครับ ไฟฟ้าเป็นสิ่งที่ทุกคนใช้กันอยู่แล้ว ต้นทุนการผลิตของบริษัทและโรงงานต่างๆจึงสูงขึ้นตาม นอกจากนี้ เมื่อต้นทุนการดำเนินชีวิตจากการเติมน้ำมันหรือใช้ไฟฟ้าสูงขึ้น ก็อาจส่งผลกระทบต่อการใช้จ่ายที่น้อยลงของผู้บริโภค แล้วก็ส่งต่อมาถึงยอดขายและกำไรของบริษัทต่างๆในตลาดหลักทรัพย์ เห็นไหมว่าสุดท้ายแล้วมันเกี่ยวข้องกันหมดแหละ

แล้วราคาหุ้นในตลาดละ แน่นอนว่าการที่น้ำมันขึ้นมากๆก็ทำให้คนกลัวถึงผลประกอบการของบริษัทต่างๆในตลาด (จากต้นทุนที่สูงขึ้นและกำลังซื้อที่ลดลง) ทำให้นักเก็งกำไรกลัวและใช้เป็นข้ออ้างในการขายหุ้น โดยเฉพาะช่วงก่อน เมื่อหุ้นตก คนก็มักอ้างว่าเป็นเพราะน้ำมันขึ้น เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งให้คนที่ลงทุนในหุ้นหันมาสนใจราคาน้ำมันกัน เออ แล้วคิดต่อสิ ว่าถ้าราคาน้ำมันลงละ..... สิ่งที่เกิดขึ้น ก็คือหุ้นก็ตกอยู่ดีครับ เพราะว่าคนกลัวว่าน้ำมันลงทำให้หุ้นใหญ่ๆที่มีผลต่อการคำนวณ SET INDEX มากๆอย่าง ปตท. ปตทสผ. หรือ ไทยออยล์ จะลงทำให้ภาพรวมของ SET INDEX ลงครับ คนก็เลยยังขายกันต่อ ................. สรุปว่าน้ำมันขึ้นหุ้นลง น้ำมันลงหุ้นก็ลง ฮ่า ฮ่า คุ้นๆเหมือนเรื่องราคาน้ำมันในต่างประเทศไหม?

ไม่มีบทสรุปสำหรับหุ้นครับ น้ำมันเราช่วยกันประหยัดได้ แต่หุ้นนั้นมันอยู่ที่จิตวิทยาและความเชื่อในราคาที่เหมาะสม ณ เวลา และ สถานการณ์หนึ่งๆครับ มันไม่ค่อยจะเที่ยงแท้หรอก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 มิถุนายน 2011, 21:28:17 โดย ซาลาเปา » IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #165 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2011, 10:19:32 »

ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
คืออันนี้ไม่รู้จริงๆครับ
อยากถามว่า  ถ้าราคาน้ำมันจะปรับขึ้นเนี่ย  หุ้นจะ+รึว่า-  มากกว่าครับ
ขอบคุณครับ

   ท่านเปาได้กรุณานำข้อมูลเรื่องน้ำมันมาวิสัชนาไว้ชัดเจน พอเป็นสังเขปแล้วนะครับ

   ผมขออนุญาตเพิ่มเติมย่อๆเช่นกันว่า ถ้าราคาน้ำมันปรับขึ้น หุ้นจะเป็นบวก หรือเป็นลบ เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น
สุดแต่ ปัจจัยที่มองไม่เห็น จะเข้ามากำหนด โดยให้บรรดานักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ดาหน้ากันออกมา
วิเคราะห์ผ่านสื่อ ทั้งทางหน้าจอ และทางตัวหนังสือฯ เพื่อผลในเชิงจิตวิทยา ในการซื้อขายแต่ละวัน
ถ้าท่านได้ลงสนาม และติดตามข่าวลักษณะนี้บ่อยๆจะเข้าใจได้ครับ บางทีข้อเท็จจริงอย่างเดียวกัน
แต่เกิดขึ้นต่างห้วงเวลากันเท่านั้น นักวิเคราะห์ผ่านสื่อคนเดียวกัน ยังวิเคราะห์ไปในทิศทางตรงกันข้ามได้เลย

   อันนี้ผมพูดถึงเรื่องราคาหุ้นอย่างเดียวนะครับ ส่วนราคาน้ำมันจะมีผลอย่างอื่นอย่างไรบ้าง ให้ดูข้อ
มูลที่ท่านเปาได้กรุณานำมาลงไว้ดังกล่าว น่าจะละเอียดเพียงพอทีเดียวครับ
IP : บันทึกการเข้า
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #166 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2011, 10:23:37 »

ได้ดูการประชุมโอเปก ที่ผ่านมามั้ย ใครได้กำไร...
เหมือนจะดีนะก่อนประชุมหลังประชุม โอ้...สุดยอดขาเก็งฯ เค้าหละ... ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #167 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2011, 17:43:18 »

เครดิตภาษี

   เครดิตภาษี อธิบายอย่างย่อๆพอเข้าใจ คือภาษีที่นิติบุคคลได้จ่ายให้รัฐไปแล้ว แต่บุคคลธรรมดาสา
มารถขอคืนได้ เนื่องจากว่าภาษีที่นิติบุคคลจ่ายไปนั้น เป็นอัตราที่กำหนดไว้เฉพาะนิติบุคคลเท่านั้น
บุคคลธรรมดาทั่วไปไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้ในอัตราที่นิติบุคคลต้องจ่าย  นลท รายย่อยซึ่งเป็นบุคคล
ธรรมดาที่ได้ถือหุ้นของนิติบุคคลนั้นๆอยู่ จึงสามารถขอคืนภาษีที่นิติบุคคลได้ชำระไปแล้วได้

ขอคืนภาษีอย่างไร

   ภาษีนิติบุคคลนั้น จ่ายจากกำไรสุทธิ ตามรอบระยะเวลาบัญชี โดยทั่วไปนิติบุคคลต้องจ่ายภาษีประ
มาณ 25% - 30% ของกำไรสุทธิ และนิติบุคคล (หรือบริษัทฯที่จดทะเบียนในตลาดฯ) นำกำไรที่ได้ชำระ
ภาษีแล้วดังกล่าวมาจัดสรรเป็นเงินปันผลจ่ายให้ผู้ถือหุ้น

   บุคคลธรรมดาที่ถือหุ้นของบริษัทฯจดทะเบียนฯนั้นๆอยู่ ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ในอัตราที่บริษัทฯ
ต้องจ่าย กฎหมายจึงกำหนดให้รัฐต้องคืนภาษีที่บริษัทฯได้ชำระไว้แล้วให้บุคคลธรรมดาที่ถือหุ้น และ
ได้รับเงินปันผลจากบริษัทฯดังกล่าว โดยต้องยื่นแบบแสดงรายการเงินได้ฯ และเมื่อคำนวณภาษีออก
มาแล้วได้มีการชำระภาษีเกินไปเท่าใด ก็สามารถขอคืนได้

   อุทธาหรณ์ บริษัท A ต้องชำระภาษี 30 % ของกำไรสุทธิ เมื่อบริษัทฯชำระภาษีเงินได้นิติบุคคลแล้ว
ก็นำกำไรหลังจากที่ได้ชำระภาษีแล้วนั้น นำมาจัดสรรจ่ายเป็นเงินปันผลให้ผู้ถือหุ้น  สมมติว่าผู้ถือหุ้น
ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาได้รับเงินปันผลจำนวน 10,000 บาท ก็จะได้รับเครดิตภาษีอีก 30% (แต่ไม่ใช่
30% ของเงินปันผลที่ได้รับนะครับ แต่จะตกประมาณ 42.85% ของเงินปันผลที่ได้รับ) กรณีนี้ผู้ถือหุ้น
ซึ่งได้รับเงินปันผลจำนวน 10,000 บาท ไปแล้ว จึงยังจะได้รับเครดิตภาษีอีกจำนวน 4,285 บาท ด้วย

    ผมเชื่อว่า นลท รายย่อยอีกเป็นจำนวนมาก อาจไม่รู้ว่า นอกเหนือจากเงินปันผลแล้ว ยังจะได้รับเคร
ดิตภาษีอีกด้วย  สำหรับผมนั้นในปีแรกที่เข้าตลาดฯก็ไม่รู้ จึงไม่ได้ขอรับเครดิตภาษี

   ในเวลาต่อมาเมื่อผมได้รู้และได้ขอรับเครดิตภาษีแล้ว ผมยังได้มีโอกาสรู้จักเพื่อน นลท ในห้องค้า
อีกหลายท่านที่ไม่รู้ ซึ่งผมได้ช่วยชี้แนะและคำนวณเครดิตภาษีให้ในครั้งแรกๆ

    ที่ผมนำเรื่องเครดิตภาษีมาเรียบเรียงไว้ย่อๆนี้ ก็เพื่อให้ นลท รายย่อยพอเข้าใจว่า ประโยชน์ที่ นลท
ระยะยาวจะได้รับจากการลงทุนในหลักทรัพย์ นอกเหนือจากส่วนต่างของราคาหุ้น และเงินปันผลแล้ว
นลท ยังจะได้รับประโยชน์จาก เครดิตภาษี อีกด้วย และเพื่อเป็นข้อมูลให้ท่านที่สนใจ ได้ใช้พิจารณา
ประกอบการตัดสินใจเข้าเป็น นลท ระยะยาวด้วยครับ


  

  
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 มิถุนายน 2011, 18:41:42 โดย cupid » IP : บันทึกการเข้า
LoveYou2
สมาชิกลงทะเบียน
มัธยม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 926


096-0133136 บอย


« ตอบ #168 เมื่อ: วันที่ 11 มิถุนายน 2011, 20:09:06 »

ขอบคุณครับ สำหรับคำตอบ สรุปคือไม่แน่เสมอไปใช่ไหมครับ
IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #169 เมื่อ: วันที่ 12 มิถุนายน 2011, 08:22:22 »

ขอบคุณครับ สำหรับคำตอบ สรุปคือไม่แน่เสมอไปใช่ไหมครับ


ถูกต้องครับ สิ่งที่แน่นอนคือ ความไน่นอน  ยิ้มเท่ห์
IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #170 เมื่อ: วันที่ 13 มิถุนายน 2011, 10:07:19 »


คำสอนของศาสดา

   เบรกนี้ ผมขออนุญาตนำบทความของท่านอาจารย์ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ซึ่งเป็น VALUE INVESTOR
ที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงของนักลงทุน มานำเสนอบ้างนะครับ หลังจากที่ผมได้นำประสบ
การณ์ส่วนตัวมาเล่าสู่กันระยะหนึ่งแล้ว บทความนี้ได้ลงในหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ ในคอลัมน์
"โลกในมุมมองของ VALUE INVESTOR" บทความชิ้นนี้ได้ลงพิมพ์มานานหลายปีแล้วละครับ ผมได้
ตัดเก็บไว้ (ไม่มีรายละเอียด วัน เดือน ปี) ดังนี้ครับ


คำสอนของศาสดา

โดย ดร.นิเวศน์  เหมวชิรวรากร  จากหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
     
    เบน เกรแฮม บิดาของ Value Investment  เขียนหนังสือ บทความ และสอนลูกศิษย์ เกี่ยวกับ
การลงทุนมากมาย ต่อไปนี้คือหลักการสำคัญๆ 10 ข้อ ที่ Value Investor  ควรจดจำและนำไปปฏิบัติ
     
   ข้อแรก  จงเป็นนักลงทุน อย่าเป็นนักเก็งกำไร โดยคำจำกัดความของนักเก็งกำไรก็คือ คนที่แสวง
หากำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาหุ้น โดยไม่คำนึงถึงมูลค่าที่แท้จริงของกิจการ ส่วนนักลงทุน
ก็คือคนที่ซื้อหุ้นในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานของบริษัทฯ และขายเมื่อหุ้นวิ่งขึ้นไปเกินมูลค่าที่แท้จริง
     
   ข้อสอง    การคำนวณหามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ มีสูตรคือ
                     มูลค่าของหุ้น = EPS (8.5+2xG)
       โดยEPS คือกำไรต่อหุ้น ส่วน G คืออัตราการเจริญเติบโตของกำไรต่อหุ้นต่อปี โดยคิดเฉลี่ย
ไป 7-10 ปีในอนาคต ตัวอย่างเช่นหุ้น ก มีกำไรต่อหุ้นเท่ากับ 2 บาท  และเราคาดว่ากำไรต่อหุ้นนี้
จะโตปีละ 5% โดยเฉลี่ยตลอด 10 ปีข้างหน้า มูลค่าของหุ้นจะเท่ากับ 2(8.5+2x5) หรือเท่ากับ 37 บาท
     
   ข้อสาม   จงรู้ว่า กิจการมีราคาเท่าไร สิ่งนี้ทำได้โดยเอาราคาหุ้นคูณด้วยจำนวนหุ้นทั้งหมดที่มีอยู่
หรือที่จะมีเนื่องจากการแปลงสภาพ หรือใช้สิทธิของวอร์แรนท์ พูดง่ายๆก็คือ ถ้าเราจะเป็นเจ้าของ
กิจการทั้งหมดคนเดียว จะต้องจ่ายเงินซื้อในราคาเท่าไร
     
   ข้อสี่     จงตระหนักว่า เราไม่สามารถคำนวณมูลค่าที่แท้จริงได้อย่างแม่นยำ เพราะฉะนั้นจะต้องมี
การ “เผื่อ” การผิดพลาด หรือจะต้องมี Margin of Safety ในการซื้อหุ้น นั่นก็คือ ต้องซื้อหุ้นที่มีราคา
ต่ำกว่ามูลค่าที่คำนวณได้ ไม่ต่ำกว่า 20%
     
   ข้อห้า    ต้องกระจายความเสี่ยงในการลงทุน เม็ดเงินที่จะลงทุนในหุ้น ควรจะอยู่ระหว่าง 25% ถึง
75% ที่เหลือควรเป็นพันธบัตรหรือเงินสด ขึ้นอยู่กับภาวะตลาดหุ้นว่า มีค่า PE ของตลาดสูงหรือต่ำ
หรือมีการจ่ายปันผลสูงหรือต่ำ เทียบกับอัตราดอกเบี้ยของพันธบัตร การซื้อหุ้นเอง ก็ควรซื้อหุ้นกระ
จาย อย่าให้มีหุ้นที่ “หนักพอร์ต” ควรมีหุ้นอย่างน้อย 30 ตัว (คำสอนข้อนี้จะแตกต่างจากแนวของ
วอร์เร็น บัฟเฟตต์ ที่ถือหุ้นน้อยตัวกว่ามาก)

    เบรกนี้ขอแค่ 5 ข้อก่อนนะครับ อีก 5 ข้อ ขอติดไว้ก่อน พิมพ์และจัดหน้า เหนื่อยน่ะครับ  ยิ้มเท่ห์


IP : บันทึกการเข้า
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #171 เมื่อ: วันที่ 13 มิถุนายน 2011, 10:27:21 »

นี่ก็ท่านอีกแล้ว.....
หุ้นหลังรัฐบาลใหม่/ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร


การเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึงในครั้งนี้ผมคิดว่าเป็นการเลือกตั้งที่น่าจับตามองมาก สาเหตุก็เพราะประการแรก มันเป็นการแข่งขันกันแบบเอาเป็นเอาตายเพื่อจะได้จัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นทั้งสองฝ่ายต่างก็ทุ่มเทและเสนอนโยบายที่จะเอาใจผู้ลงคะแนนส่วนใหญ่ของประเทศ ประการที่สองก็คือ นโยบายที่นำเสนอโดยพรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองฝ่ายนั้น เป็นนโยบายที่อาจจะมีผลกระทบนอกจากกับประชาชนทั่วไปแล้ว มันยังจะมีผลกระทบไปถึงธุรกิจต่าง ๆ เป็นการทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญขนาดที่เรียกว่าอาจจะเปลี่ยนแปลง “โครงสร้าง” ทางเศรษฐกิจหรือการทำธุรกิจของประเทศไทย และประการสุดท้าย มันอาจจะเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจหรือความน่าสนใจของหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แต่ละกลุ่ม มาดูกันว่าเป็นอย่างไร
การเลือกตั้งครั้งนี้มีการเสนอนโยบายที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมอย่างยิ่งในแง่ที่ว่า “ถ้าคุณเลือกเราแล้ว คุณจะได้อะไร” สิ่งที่จะได้ไม่ใช่แค่นโยบายกว้าง ๆ อย่างที่เคยเป็นมา แต่เป็นสิ่งที่ชัดเจนและบอกเป็นตัวเลขได้ในหลาย ๆ ด้าน ผมคงไม่พูดถึงนโยบายทั้งหมดแต่จะพูดเฉพาะเรื่องที่ผมคิดว่าจะมีผลกระทบรุนแรงและน่าจะเกิดได้ทันทีหรือในเวลาอันสั้นมากนั่นคือนโยบายเกี่ยวกับค่าแรงขั้นต่ำ และนโยบายอัตราภาษีนิติบุคคล เพราะนี่คือนโยบายที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโดยตรง และนโยบายการ “รับประกันราคา” สินค้าเกษตรหลัก ๆ เช่นข้าว เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับคนจำนวนมากที่เป็นเกษตรกร
ถ้าหากมีการดำเนินนโยบายตามที่ประกาศจริงหลังจากที่ได้มีการจัดตั้งรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นพรรคไหน ดูเหมือนว่าสิ่งที่ค่อนข้างแน่นอนก็คือ จะมีการปรับอัตราค่าแรงงานขั้นต่ำเพิ่มขึ้นมากซึ่งนี่ก็น่าจะกระทบไปถึงแรงงานในระดับอื่นด้วยที่จะต้องเพิ่มขึ้นไม่มากก็
น้อย ผลก็คือ คนงานซึ่งมีอยู่จำนวนมากจะมีรายได้เพิ่มขึ้นมาก เช่นเดียวกัน การประกันราคาพืชผลก็จะส่งผลให้เกษตรกรจำนวนมากมีรายได้เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากเช่นเดียวกัน นี่จะส่งผลให้ผู้ใช้แรงงานและเกษตรกรที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นมากทันที เงินที่มากขึ้นนี้จะถูกนำมาใช้จ่ายซื้อสินค้าทำให้การบริโภคภายในประเทศเฟื่องฟูขึ้นมาก และสิ่งที่จะตามมาก็คือ อัตราเงินเฟ้อก็น่าจะสูงขึ้นพอสมควรทีเดียว อย่างไรก็ตามเงินเฟ้อนี้ก็ไม่น่าจะสูงเกินกว่าค่าแรงที่ได้เพิ่มขึ้น ผลก็คือ คนที่มีรายได้น้อยและเป็นคนส่วนใหญ่ในประเทศน่าจะได้ประโยชน์ ความมั่งคั่งของพวกเขาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
หันกลับมาดูธุรกิจและผู้ประกอบการทั้งหลายก็จะพบว่า ต้นทุนของสินค้าและบริการของเขาจะเพิ่มขึ้น มากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณแรงงานที่พวกเขาต้องใช้ โดยทั่วไป สัดส่วนต้นทุนแรงงานของธุรกิจขนาดเล็กจะสูงกว่าธุรกิจขนาดใหญ่ สัดส่วนการใช้แรงงานของธุรกิจที่ใช้เท็คโนโลยีต่ำก็จะสูงกว่าอุตสาหกรรมที่ใช้เท็คโนโลยีสูง ดังนั้น ธุรกิจขนาดเล็กและธุรกิจที่ใช้เท็คโนโลยีต่ำก็จะถูกกระทบรุนแรงเพราะจะมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ถ้าหากว่าธุรกิจมีการแข่งขันหรือขายสินค้าหรือบริการภายในประเทศเป็นหลักและสินค้าหรือบริการจากต่างประเทศไม่สามารถเข้ามาแข่งขันได้อย่างจริง ๆ จัง แบบนี้ธุรกิจก็อาจจะไม่ถูกกระทบมาก เพราะเมื่อต้นทุนของธุรกิจสูงขึ้นพอ ๆ กันทุกราย พวกเขาก็สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เพิ่มขึ้นไปยังผู้ซื้อสินค้าหรือใช้บริการ ผลก็คือ พวกเขาก็น่าจะยังสามารถทำกำไรได้ต่อไป ธุรกิจที่ส่งออกสินค้าไปขายยังต่างประเทศนั้น ถึงแม้ต้นทุนค่าแรงจะเพิ่มขึ้นมาก พวกเขาก็ไม่สามารถส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้ซื้อในต่างประเทศได้ เพราะคู่แข่งของพวกเขาที่อยู่ในประเทศอื่นนั้น ไม่ได้มีต้นทุนแรงงานที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น ผู้ส่งออกน่าจะมีกำไรน้อยลงหรือบางรายอาจจะขาดทุนและไม่สามารถส่งออกสินค้าได้ต่อไป ดังนั้น สิ่งที่แน่ชัดก็คือ การส่งออกของประเทศน่าจะชะลอตัวลง กำไรของบริษัทส่งออกน่าจะน้อยลง ความมั่งคั่งของผู้ส่งออกน่าจะลดลง ผู้ส่งออกเป็นผู้ที่เสียประโยชน์อย่างชัดเจน
ธุรกิจที่เน้นขายให้กับผู้บริโภคภายในประเทศนั้น บอกไม่ได้ชัดว่าเสียประโยชน์จากนโยบายเพิ่มค่าแรงและเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกร เพราะถึงแม้ค่าแรงซึ่งเป็นต้นทุนการผลิตจะเพิ่มขึ้น หลาย ๆ ธุรกิจก็สามารถเพิ่มราคาขายสินค้าและบริการได้ นอกจากนั้น การที่ประชาชนมีรายได้มากขึ้นก็ทำให้พวกเขามีการซื้อมากขึ้น รายได้ของธุรกิจก็สูงขึ้น นี่ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นก็ส่งผลให้ราคาสินค้าเพิ่มขึ้นซึ่งก็ทำให้ธุรกิจขายสินค้าและมียอดขายสูงขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อด้วย นอกจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นแล้ว หากว่ารัฐบาลลดอัตราภาษีนิติบุคคลลง ต้นทุนทางด้านภาษีก็ลดลง เมื่อประกอบกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น กำไรของบริษัทก็อาจจะไม่ลดลง หรือบางทีอาจจะดีขึ้นด้วย ดังนั้น สำหรับผู้ที่ขายสินค้าหรือให้บริการภายในประเทศแล้ว พวกเขาอาจจะไม่เสียประโยชน์ หลายบริษัทอาจได้ประโยชน์ด้วยซ้ำ
หากว่าอัตราการเพิ่มของค่าแรงสูงมากพอ ผลกระทบรุนแรงพอ เราก็อาจจะได้เห็นธุรกิจโดยเฉพาะที่เป็นผู้ส่งออกบางรายอยู่ไม่ได้เพราะสินค้าที่เคยผลิตไม่สามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก การส่งออกที่เคยเป็น “เครื่องยนต์หลัก” ในการผลักดันการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศจะมีบทบาทน้อยลง เราจะไม่ได้เห็นการส่งออกที่โตเอา ๆ ต่อเนื่องมาเป็นสิบ ๆ ปีอีกต่อไป ในอีกด้านหนึ่ง การบริโภคภายในประเทศจะเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น ในภาพใหญ่ของประเทศ การกระจายความมั่งคั่งของคนไทยก็จะดีขึ้นเพราะประชาชนทั่วไปจะมีรายได้มากขึ้น ในขณะที่ผู้ส่งออกและผู้ประกอบการจำนวนไม่น้อยอาจจะมีรายได้น้อยลง ดังนั้น ถ้าเป็นแบบนี้ผมคิดว่านโยบายที่เสนอมาก็ไม่น่ามีปัญหาอะไรมากและน่าจะเป็นผลดี
ประเด็นปัญหาก็คือ ถ้าหากการเพิ่มค่าแรงและรายได้ให้กับผู้มีรายได้น้อยนั้นสูงเกินกว่าที่ควรจะเป็นมากเมื่อเทียบกับผลิตภาพในการผลิตและธุรกิจและแรงงานไม่สามารถปรับตัวได้ ผลที่จะเกิดขึ้นก็อาจจะน่ากลัวและเป็นอันตรายกับการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว เหตุผลก็คือ การส่งออกของประเทศก็จะลดลงมาก ธุรกิจก็อาจจะต้องเลิก การจ้างงานอาจจะลดลง คนอาจจะตกงาน รายได้โดยรวมของผู้มีรายได้น้อยก็จะลดลง การบริโภคภายในประเทศก็จะลดลงตาม และดังนั้น แม้แต่ธุรกิจที่เน้นการบริโภคในประเทศเองก็อาจจะมีรายได้น้อยลง การจ้างงานก็อาจจะลดลงไปอีก สุดท้าย การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศก็จะลดลง และเมืองไทยก็อาจจะกลายเป็นประเทศที่ไม่สามารถแข่งขันได้คล้าย ๆ กับประเทศอย่างฟิลิปปินส์ที่มีค่าแรงขั้นต่ำอาจจะสูงแต่คนไม่มีงานทำ
ผมคงไม่กล้าเดาว่าประเทศไทยหลังจากมีรัฐบาลใหม่เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร แต่ในด้านของหุ้นนั้น ในขั้นนี้เพื่อความปลอดภัย ผมคงพยายามที่จะเลือกหุ้นลงทุนที่จะปลอดภัยถ้ามีการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าว และอาจจะพิจารณาหลีกเลี่ยงหุ้นของกิจการที่จะถูกกระทบรุนแรง อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวแล้วผมก็คิดว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดดูเหมือนว่าจะถูกกระทบน้อยกว่าบริษัทขนาดเล็กและบริษัทผู้ส่งออกที่ส่วนใหญ่อยู่นอกตลาดหุ้


อ่านแล้วคงต้องไปวิเคราะห์กันเอง เนาะพวกเรา
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 13 มิถุนายน 2011, 10:32:50 โดย ซาลาเปา » IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #172 เมื่อ: วันที่ 13 มิถุนายน 2011, 13:15:17 »


   ต้องขอบคุณท่านเปาทุกครั้งที่ท่าน up date ข่าวและบทความที่ทันต่อเหตุการณ์มาฝากพวกเราทาง
หน้าเว็บเสมอๆ ขอคารวะด้วยความจริงใจครับ (เอามาบ่อยๆเน้อ... ยิ้มเท่ห์)
IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #173 เมื่อ: วันที่ 14 มิถุนายน 2011, 09:34:12 »

วันนี้ขออนุญาตตัดตอนนำบทความบางส่วน ที่เห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์กับเพื่อน นลท และท่านที่สน
ใจจะเป็น นลท มาให้อ่านกัน ในภาวะที่ตลาดหุ้นกำลังผันผวน ดังนี้ครับ

คำแนะนำในการลงทุน

ทุกครั้ง ในภาวะที่ตลาดหุ้นผันผวน ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง ขอให้นึกไปถึงปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทย  อย่าตื่นตระหนกหรือฮึกเหิมจนทำให้ตัดสินใจผิดพลาด  สังคมไทยในวันนี้ เป็นสังคมที่เสพข่าวสารและมักคล้อยตามโดยในบางครั้งจะลืมคิดถึงความจริง
ลองมาพิจารณาข้อมูลด้านอื่นๆ บ้าง
 
ธนาคารโลก ชี้ว่าการขยายตัวในประเทศส่วนใหญ่ของเอเชียจะชะลอลงในปีนี้ รวมถึงการ
ชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่พัฒนา สำหรับเศรษฐกิจของประเทศไทยคาดว่าจะขยายตัว 3.7% ในปีนี้ โดยชะลอตัวลงจาก 7.8% ในปีที่แล้ว (ซึ่งมีฐานการเติบโตจากปี 2552 ที่ติดลบ จึงขยายตัวสูงถึง 7.8% ในปี 2553) แต่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นสู่ 4.2% ในปีหน้า และ 4.3% ในปี 2556
 
ธปท.> มองว่าสถานการณ์ที่ต่างชาติขายหุ้นและตราสารหนี้ในไทยน่าจะเกิดเพียงชั่วคราว หลัง
การเลือกตั้งชัดเจนก็น่าจะกลับมาลงทุนอีก
 
ปลัดกระทรวงการคลัง มองว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในระดับแข็งแกร่ง ซึ่งเห็นได้จากช่วง 5 เดือนที่ผ่านมานั้น การเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและการส่งออกในทุกสาขายังขยายตัวได้ดี
 
เดือน พ.ค. รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิสูงกว่าเป้า 18% โดยเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิที่สูงกว่าเป้าหมายมาก ส่งผลให้ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2554 จัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าหมายเกิน 1.7 แสนล้านบาทแล้ว
 
บอร์ดบีโอไอ ไฟเขียวส่งเสริมลงทุน 9 โครงการ มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ยอดคำขอรับส่งเสริม 5 เดือนแรก ทะลุ 2 แสนล้านบาท
 
ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ค. อยู่ที่ 71.1 เพิ่มขึ้นจาก 70.5 ใน เม.ย. เป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน
 
นายธนินทร์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ ซีพี กล่าวว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งมากที่สุดตั้งแต่ทำธุรกิจซีพีมา 47 ปี และมีแนวโน้มจะเติบโตได้มากในเวทีโลกภายใต้เงื่อนไขการเมืองนิ่ง ไม่มีสีเหลืองสีแดง และต้องมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และเป้าหมายบริหารงานที่ชัดเจน
 
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้ว่าปัจจัยพื้นฐานการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังดีอยู่จากการที่บริษัทจดทะเบียนไทยมีกำไรสุทธิเติบโตสูงติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศในแถบภูมิภาคนี้ โดยเติบโตถึง 30% ในไตรมาสแรกปีนี้เทียบกับปีก่อน ขณะที่ผลสำรวจของบลูมเบิร์กคาดว่าจะโต 20% นอกจากนี้ ผลตอบแทนจากเงินปันผลก็ดีที่สุดในภูมิภาค
อย่าลืมว่าปัจจัยพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะใช้พิจารณาว่าอะไร ที่ไหน น่าลงทุน  ลองกลับมาทบทวนเบื้องหลังความสำเร็จของนักลงทุนระดับโลกผู้เป็นตำนานกันบ้าง

Benjamin Graham บิดาแห่งการลงทุนแบบ Value Investment  บอกว่านักลงทุนผู้ชาญฉลาด ไม่ได้หมาย ความว่าต้องมีไอคิวหรือมีการศึกษาสูง แต่หมายถึง ต้องอดทน มีวินัยในการลงทุน  ขวนขวายหาความรู้อยู่เสมอ  ศึกษาทำความเข้าใจกิจการที่สนใจอย่างละเอียด  มีความรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้น  และควบคุมอารมณ์ไม่ให้เหนือเหตุผลได้ดี  เขาบอกว่า ในระยะสั้นราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงนั้น จะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจซื้อขายของผู้เล่น  ถ้าคนเชื่อและลงความเห็นว่า มันจะขึ้นมากกว่าคนที่คิดว่ามันจะลง ราคาหุ้นก็จะขึ้นตามการ "ลงคะแนน" ของนักลงทุน  แต่ในระยะยาวนั้น ราคาหุ้นจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท ถ้ามีกำไรมาก ตลาดก็จะให้ราคาหุ้นสูงขึ้นตามกำไรหรือน้ำหนักนั้น

Warren Buffet  บอกให้เราเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่  เวลาจะซื้อหุ้นก็ให้ดูก่อนว่า มันเป็นกิจการที่ดีหรือเปล่า ถ้าไม่ดีอย่าซื้อ  ถ้าดีก็ต้องดูว่าราคาหุ้นในขณะนั้นเหมาะสมหรือไม่  ถ้าแพงอย่าซื้อ  ถ้าถูกค่อยซื้อ (นี่คือรากฐานของแนวคิด Good Stock + Good Trade = Good Performance ของ บลจ.บัวหลวง)  นอกจากนี้ยังแนะนำให้เก็บหุ้นไว้ไม่ต้องคิดว่าจะขายแม้ว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือตก ให้ขายต่อเมื่อกิจการเริ่มไม่ดีแล้ว และให้เรากลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภ และให้เราโลภเมื่อคนอื่นกำลังกลัว เพราะในช่วงที่ตลาดดีมาก การกลัวเมื่อคนอื่นโลภจะช่วยให้เรารอดจากหายนะได้
แต่ในยามวิกฤติที่ทุกคนกลัวและถอนตัวออกจากตลาด มันก็ยากมากที่เราจะรู้สึกโลภ

Peter Lynch เปิดเผยความสำเร็จในการลงทุนว่า ไม่ต้องไปสนใจการขึ้นลงของตลาด ให้ใช้เหตุผลในการซื้อขายเท่านั้น เพราะราคาหุ้นกับกำไรจะไปด้วยกันเสมอในระยะยาว และหากราคาหุ้นแยกออกไปจากกำไร ไม่ช้ามันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไร อย่ากลัวเวลาราคาหุ้นตกหากกำไรของบริษัทยังดีอยู่ ยิ่งหุ้นลงยิ่งเป็นโอกาสซื้อ เพราะไม่ช้าราคาหุ้นจะวิ่งกลับมาตามกำไร และถ้าราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเกินกำไรที่เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็จะปรับตัวลงมาหาเส้นกำไร

Jesse Livermore ผู้เป็นตำนานของนักเก็งกำไรใน Wall Street บอกว่า ตลาดหุ้นเป็นอันตรายต่อคนที่ขี้เกียจ คนโง่ และคนที่ชอบรวยทางลัด เพราะการเก็งกำไรไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ทำให้คนรวยได้ในชั่วข้ามคืน และนักเก็งกำไรที่จะประสบความสำเร็จต้องทำงานหนักและ "ฉลาด"  
ทบทวนเบื้องหลังความสำเร็จของกูรูด้านการลงทุนกันแล้ว ก็อย่าลืมทฤษฎีที่เป็นจริงที่สุดที่ว่า  “เงิน ต้องมีที่ไป”

ในเมื่อประเทศตะวันตก เช่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป ยังไม่พ้นจากปัญหาที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจและหนี้สิน  คนที่เขามีเงิน ผู้จัดการกองทุนที่บริหารเงินมหาศาลทั่วโลกจะทำอย่างไร ในเมื่อต้องบริหารเงินของผู้ลงทุน  เงินจึงต้องไหลไปในที่ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่พอใจและเหมาะสมกับความเสี่ยง

หากมองว่าทั้งโลกแย่แล้ว ลงทุนหุ้นก็เสี่ยงสูงไปในภาวะที่ไม่แน่นอน ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไม่ว่าประเทศไหนก็เสี่ยงว่ารัฐบาลประเทศนั้นๆ จะไม่สามารถใช้คืนหนี้พันธบัตรที่เราไปลงทุนได้  เงินจะไหลไปไหน

หากเป็นประเด็นข้างต้น ลงทุนในอะไรที่ประเทศไหนก็น่ากลัวทั้งนั้น  เงินจะไหลไปอยู่ในสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อยที่สุดในภาวะการณ์นั้น  ซึ่งก็น่าจะเป็น ทองคำ (Safe Heaven)
แต่หากยังมีประเทศที่เศรษฐกิจยังไปได้  มีอัตราการเติบโต เดี๋ยวเดียวเงินที่ไหลไปก็จะไหลกลับมา
ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Market หรือ EM) ยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีอยู่ และมีอัตราการเติบโตที่ใช้ได้ โดยเฉพาะในเอเชีย แม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้างจากอัตราเงินเฟ้อ
เราน่าจะชินกับสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองกันแล้ว  ที่อยู่รอดมาได้ก็เพราะนักธุรกิจไทยทำงานกันอย่างหนัก จนส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของเรา และเดี๋ยวนี้เขาก็ออกมาโหมโรงต่อต้านคอร์รัปชั่นกันแล้วด้วย

รากฐานของนักธุรกิจเหล่านี้อยู่ในประเทศไทย เขาไม่ปล่อยให้ประเทศพังแน่ เพราะเขาจะพังไปด้วย  ดังนั้น อย่าไปกลัวมากเกินไปกับนโยบายประชานิยมทั้งหลายที่เรากำลังห่วงกันว่าจะทำร้ายประเทศไทยในระยะยาว

หรือจะทำให้เงินเฟ้อจนควบคุมไม่ได้   ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ข้าราชการกระทรวงการคลัง และพวกเราจะส่งสัญญาณเตือนไปยังรัฐบาลใหม่อย่างแน่นอนหากมีแนวโน้มในทางลบมากเกินไป
นอกจากนี้ นโยบายเศรษฐกิจบางนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ก็ดูจะดีต่อประเทศ  หากมองอย่างไร้อคติ

เชื่อไหม หากจะบอกว่า สักวันหนึ่งไม่นานนัก ไม่น่าจะเกิน 2 ปี ทุกคนจะเหนื่อยและคิดได้
เราเหนื่อยกันมาหลายปีแล้ว  กีฬาแข่งกันยังมีเวลาเลิก  จึงเชื่อว่าบ้านเมืองคงจะอยู่กันแบบที่ผ่านมานี้ได้อีกไม่เกิน 2 ปี แล้วก็จะกลับเข้ามาอยู่ในวิถีที่ควรจะเป็นจะอยู่ร่วมกัน  ซึ่งจะส่งผลดีต่อประเทศไทยที่มีตำแหน่งที่ตั้งที่ได้เปรียบและเป็นศูนย์กลางของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้  ขอเพียงแต่ให้เรามีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และเป้าหมายบริหารงานที่ชัดเจน เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเท่านั้นเอง
ล่าสุด ตอนนี้กองทุนในประเทศก็เริ่มซื้อหุ้นแล้ว หลังจากที่ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงไปมาก โดยน่าจะมองกันว่าปัจจัยลบต่างๆ ได้สะท้อนไปในราคาหุ้นที่ลดลงไปมากแล้ว
หากอ่านถึงตรงนี้แล้วยังกลัว ไม่กล้าลงทุนในช่วงที่คนอื่นกลัว ก็ขอให้กลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น และทำความเข้าใจที่ 4 กูรูต่างประเทศผู้ประสบความสำเร็จในการลงทุนชั้นเทพเขาแนะนำอีกที

Tags : บทความวิเคราะห์ตลาดหุ้น

ที่มา

http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/finance/finance/20110613/395229/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99.html
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 14 มิถุนายน 2011, 10:57:57 โดย cupid » IP : บันทึกการเข้า
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #174 เมื่อ: วันที่ 14 มิถุนายน 2011, 12:45:14 »

ลุงแอ๊ด ได้ใจไปโลด  ยิงฟันยิ้ม
นลท.Velcome ถืออยู่ไม่ใช่เหรอ ยินดีด้วย
IP : บันทึกการเข้า
vee48
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #175 เมื่อ: วันที่ 14 มิถุนายน 2011, 13:11:50 »

ลุงแอ๊ด ได้ใจไปโลด  ยิงฟันยิ้ม
นลท.Velcome ถืออยู่ไม่ใช่เหรอ ยินดีด้วย

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ดู vol แล้วนึกว่าจะไม่ผ่าน 98...เน็ตหลุด เข้าไปเช็คเมื่อสักครู่ แอบตกใจว่าผ่าน 3M มาได้ยังไง...ตอนนี้ก็ท่องไว้ค่ะ 100ๆๆๆ

พี่เปา ได้ข่าว Dtac มั้ยคะ? เค้าจะปันผลพิเศษ 12.6 บาท ตกใจ ตกใจ (โม้ป่าวเนี่ย??) วันนี้สองตัวนี้เค้าแข่งกันขึ้น ใครถือไว้ก็หน้าบาน อิอิ
IP : บันทึกการเข้า
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« ตอบ #176 เมื่อ: วันที่ 14 มิถุนายน 2011, 13:21:54 »

ลุงแอ๊ด ได้ใจไปโลด  ยิงฟันยิ้ม
นลท.Velcome ถืออยู่ไม่ใช่เหรอ ยินดีด้วย

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ดู vol แล้วนึกว่าจะไม่ผ่าน 98...เน็ตหลุด เข้าไปเช็คเมื่อสักครู่ แอบตกใจว่าผ่าน 3M มาได้ยังไง...ตอนนี้ก็ท่องไว้ค่ะ 100ๆๆๆ

พี่เปา ได้ข่าว Dtac มั้ยคะ? เค้าจะปันผลพิเศษ 12.6 บาท ตกใจ ตกใจ (โม้ป่าวเนี่ย??) วันนี้สองตัวนี้เค้าแข่งกันขึ้น ใครถือไว้ก็หน้าบาน อิอิ

 ตอนนี้ นลท Velcome  ก็หน้าบานสิ ลุงแอ๊ดน่ะ น่าจะเกิน 100 ค่อยๆทยอยขายเน้อ...  ยิ้มเท่ห์
 
 cupid ก็มีอยู่ในโกดังนิดหน่อย จะทยอยขายมั่ง... ยิ้มกว้างๆ
 
IP : บันทึกการเข้า
vee48
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #177 เมื่อ: วันที่ 14 มิถุนายน 2011, 13:39:45 »

ลุงแอ๊ด ได้ใจไปโลด  ยิงฟันยิ้ม
นลท.Velcome ถืออยู่ไม่ใช่เหรอ ยินดีด้วย

 ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ดู vol แล้วนึกว่าจะไม่ผ่าน 98...เน็ตหลุด เข้าไปเช็คเมื่อสักครู่ แอบตกใจว่าผ่าน 3M มาได้ยังไง...ตอนนี้ก็ท่องไว้ค่ะ 100ๆๆๆ

พี่เปา ได้ข่าว Dtac มั้ยคะ? เค้าจะปันผลพิเศษ 12.6 บาท ตกใจ ตกใจ (โม้ป่าวเนี่ย??) วันนี้สองตัวนี้เค้าแข่งกันขึ้น ใครถือไว้ก็หน้าบาน อิอิ

 ตอนนี้ นลท Velcome  ก็หน้าบานสิ ลุงแอ๊ดน่ะ น่าจะเกิน 100 ค่อยๆทยอยขายเน้อ...  ยิ้มเท่ห์
 
 cupid ก็มีอยู่ในโกดังนิดหน่อย จะทยอยขายมั่ง... ยิ้มกว้างๆ
 

ยิงฟันยิ้ม วันก่อนปล่อยไปแล้วนิดหน่อย คงต้องเริ่มทยอยแล้วล่ะค่ะ..พี่ cupid คะ ปันผลพิเศษ 3.5 บาทเน้อ
IP : บันทึกการเข้า
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #178 เมื่อ: วันที่ 14 มิถุนายน 2011, 14:56:54 »

ข่าวตอนเที่ยงๆ ได้ยินว่าทรูฟ้องดีแตก น่ะ
วันนี้เจ้ามือ...ขอยืมแมงเม่ามาเรียก...บ่ยอมให้ผ่าน 61 ร้ายกาจ

 TRUEMOVE ฟ้อง DTAC วันนี้เรื่อง DTAC มีต่างชาติถือหุ้นเกือบ 70% (กฏหมายกำหนด < 49% ) //คาดว่าน่าจะเป็นเพราะDTAC ไปฟ้องเรื่องสัญญา3G ระหว่าง CAT กับ TRUE ว่าไม่ถูกกฎหมายกับศาลปกครอง... ดังนั้น TRUE จึงฟ้องกลับว่า DTAC เป็นคนทำผิดกฎหมายพรบ.ต่างด้าวของไทย ซึ่งท้ายที่สุดก็ต้องดูต่อไปว่าจะจบกันยังไง เพราะประเด็นเรื่องการถือหุ้นโดยคนต่างด้าวเกิน 50% น่าจะกระทบกับหุ้นในตลาดฯ อีกหลายแห่ง และประเด็นนี้ก็อยู่ในตลาดฯ มานานแล้ว
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 14 มิถุนายน 2011, 16:33:06 โดย ซาลาเปา » IP : บันทึกการเข้า
vee48
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #179 เมื่อ: วันที่ 14 มิถุนายน 2011, 15:02:25 »

เม่าน้อยหรือจะสู้เจ้ามือ ร้องไห้
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 [9] 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 ... 28 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!