วิกฤตภาษาถิ่น รัฐบาลเห็นชอบให้ปี 2550 เป็นปีภาษาไทยเฉลิมพระเกียรติ เนื่องในวโรกาสมหามงคลพระชนมพรรษา 80 พรรษา
โดยกระทรวงวัฒนธรรมเป็นหน่วยงานหลักในการสัมมนาระดมความคิดเห็น สะท้อนปัญหาวิกฤตของภาษาถิ่นที่กำลังสูญหายไปจากสังคมไทย เนื่องจากการรุกคืบของโลกาภิวัตน์ การแพร่กระจายภาษากลางผ่านสื่อ
ผลของการสัมมนา "คำเมืองวันนี้" พบว่า เด็ก ภาคเหนือรุ่นใหม่ไม่สามารถพูดได้ถูกต้องทั้งคำเมืองภาษาล้านนาและภาษาไทยกลาง เกิดปัญหาการนำคำไทยกลางมาผสมผสานกับคำเมือง จึงทำให้ไม่สามารถสื่อสารแต่ละภาษาได้อย่างชัดเจน
โดยเฉพาะคนที่อาศัยอยู่ในเมืองเชียงใหม่
ถ้าคนเชียงใหม่ยังไม่สนใจเรียนรู้อย่างถูกต้อง คาดว่าอีก 20 ปีจะไม่มีการสื่อสารพูดคำเมืองอีก ส่วนปัญหาภาษาถิ่นอีสานที่มีทั้งภาษาพูดและภาษาเขียนด้วยอักษรขอม ตัวอักษรไทน้อย และตัวอักษรธรรมลงในคัมภีร์ใบลาน มีปัญหาการสื่อความกับคนภาคกลาง ซึ่งเข้าใจว่าคำบางคำของภาษาอีสานนั้นไม่สุภาพ
เช่น ขี่(คนอีสานจะออกเสียงขี้) ขี่เกี้ยม(จิ้งจก) หรือ บักหำ หำน่อย(เด็กน้อย) เป็นต้น
ปัจจุบันอักษรเขียนภาษาอีสานหายไปหมดแล้ว เพราะมีผู้เอาใจใส่เรียนรู้ ทำให้อ่านอักษรโบราณที่อยู่ในใบลานหรืออักษรธรรมไม่ได้
และผลการสำรวจชื่อเล่นของเด็กและเยาวชนที่ผู้ปกครองนิยมตั้งให้บุตรหลาน จำนวน 2,828 คน โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดขอนแก่น พบว่า เด็กและเยาวชนมีการตั้งชื่อเป็นภาษาไทยร้อยละ 54.13 เด็กและเยาวชนที่มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษ ร้อยละ 45
ขณะที่คำว่า "บักหำน้อย" ที่เรียกแทนเด็ก และคำนำหน้าอย่างคำว่า "อี" เช่น อีพ่อ อีแม่ ที่ในภาษาท้องถิ่นถือเป็นคำสุภาพ กำลังเลือนหายไป
ส่วนภาษาถิ่นภาคใต้ก็มีบทบาทน้อยลง เนื่องจากครอบครัวนิยมสอนให้เด็กพูดภาษากลางมากขึ้น เพราะเกรงว่าถ้าไม่ให้พูดภาษากลางได้ดีตั้งแต่เด็ก จะพูดภาษากลางเพี้ยนเป็นสำเนียงแบบทองแดง
ทำให้เด็กรุ่นใหม่ฟังบทหนังตะลุง และมโนราห์ และเพลงบอก ไม่เข้าใจ
ถ้าไม่มีการแก้ไข หนังตะลุงก็จะหายไปจากสังคมภาคใต้
ส่วนภาคกลางพบว่า ปัจจุบัน เด็กและเยาวชน หรือคนท้องถิ่นในภาคกลางไม่กล้าพูดเสียงเหน่อ เพราะคนกรุงเทพฯ จะมองเป็นเรื่องตลก ขณะเดียวกัน ไม่มีการรวบรวมคำศัพท์ภาษาถิ่น ทำให้คนรุ่นใหม่ไม่สามารถศึกษาและเข้าใจความหมายที่ถูกต้องได้
เช่น คำว่า ไอ้หมา ที่สื่อถึงความเอ็นดู ความน่ารักของคนที่ถูกพูดถึง แต่หากพูดภาษาภาคราชการจะกลายเป็นการดูถูกเหยียดหยาม
ขณะที่ภาษาถิ่นภาคตะวันออก ก็พบปัญหาเช่นเดียวกับภูมิภาคอื่นๆ คือราชการใช้ภาษาไทยของคนกรุงเทพฯ เป็นเครื่องตัดสินภาษาถิ่นว่าไม่ใช่ภาษากลาง ส่งผลให้ประชาชนที่อยู่ในท้องถิ่นพูดภาษาถิ่นลดลง
เช่น คำสร้อยที่ลงท้ายประโยคว่า ฮิ และคำศัพท์ที่มักจะถูกล้อว่า ฮิเล็ก ฮิใหญ่ จนเป็นเรื่องน่าขบขันถูกมองว่าเป็นภาษาไม่สุภาพ
วิกฤตการณ์ภาษาที่เกิดจากการใช้ภาษาไทยกลางเป็นบรรทัดฐาน และปลูกฝังว่าภาษาถิ่นเป็นภาษาบ้านนอก เริ่มต้น
แก้ไขได้โดยครู สื่อมวลชน พ่อ แม่ และทุกฝ่ายควรช่วยกันปรับทัศนคติของเด็ก สร้างความภูมิใจในพูดภาษาถิ่นควบคู่กับการใช้ภาษาไทยอย่างลบค่านิยมการ เหยียดหยามภาษาถิ่นของท้องถิ่นอื่นๆ มิฉะนั้นภาษาถิ่นจะถูกกลืนและใกล้สูญพันธุ์เหมือนภาษา 14 กลุ่มภาษา
ได้แก่ ชอง กะซอง ซัมเร ชุอุง มลาบรี เกนซิว (ซาไก) ญัฮกุร โซ่(ทะวืง) ลัวะ(ละเวือะ) ละว้า (ก๋อง) อึมปี บิซู อูรักละโวย และมอเกล็น เป็นต้น
http://childmedia.net/node/215