ท่ามกลางข่าวที่มีผู้แจ้งมายังสมาคมสถาปนิกสยามฯ เรื่องคริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย จะทำการรื้ออาคารโบสถ์ (พระวิหาร) เก่าอายุ 97 ปี หลังวันที่ 24 เมษายน ศกนี้ เพื่อสร้างพระวิหารหลังใหม่ฉลองวาระครบรอบ 100 ปีในอีก 3 ปีต่อจากนี้ไป และเพื่อให้เหมาะสมต่อความต้องการรองรับคนที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 300 คน เป็น 1,000 คน รวมทั้งอ้างถึงความชำรุดทรุดโทรมจนไม่อาจซ่อมแซมได้ต่อไปแล้ว ทั้งที่เมื่อ 2 ปีก่อนกรมศิลปากรได้เคยเข้าไปตรวจสอบแล้วมีความเห็นสรุปว่า “...สามารถดำเนินการอนุรักษ์ โดยเสริมความมั่นคงด้วยการเพิ่มเสาและฐานรากเพื่อรับน้ำหนักโครงหลังคา และตัดความชื้นที่ผนัง ตลอดจนปรับซ่อมอาคารให้มีความมั่นคงยืนยาวต่อไปได้”
ข่าวล่าสุดได้ยืนยันว่าโครงสร้างโบสถ์เก่าหลังนี้ยังสามารถต้านทานแรงแผ่นดินไหวขนาด 6.7 ริคเตอร์ที่มีศูนย์กลางอยู่ในพม่า เมื่อ 24 มีนาคม ที่เพิ่งผ่านไปได้อย่างมั่นคง โดยปรากฏความเสียหายเพียงรอยร้าวของผิวปูนใหม่ที่กะเทาะจากการซ่อมแซมผิดวิธีในอดีตเท่านั้น
คุณค่าของโบสถ์คริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย
ตามประวัติโบสถ์คริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงรายหลังนี้ สร้างด้วยเงินบริจาคของคณะเพรสไบทีเรียนมิชชัน แห่งสหรัฐอเมริกาบนที่ดินบริเวณประตูสลี ใช้เวลาในการปรับพื้นที่เตรียมการและก่อสร้างราว 4 ปี จึงแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1914 ผู้อำนวยการสร้างโบสถ์หลังนี้คือนายแพทย์วิลเลี่ยม เอ. บริกส์ (William A. Briggs) มิชชันนารีคนสำคัญที่ทำประโยชน์ให้แก่เมืองเชียงรายมากมาย เช่น การก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค โรงเรียนและบ้านพักมิชชันนารี ตลอดจนศาลากลางและเรือนจำประจำจังหวัดเชียงราย ซึ่งหากพิจารณารายชื่อผู้เกี่ยวข้องท่านอื่น ๆ ที่ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดตั้งแต่หัวหน้าควบคุมงานก่อสร้างไปจนถึงลูกมือช่างปูน ก็อาจพบได้ว่าชั้นลูกหลานของหลายท่านที่ถูกระบุชื่อไว้ ยังคงมีส่วนร่วมดูแลคริสตจักรแห่งนี้เสมอมา หลังจากบรรพบุรุษได้อุทิศแรงกายแรงใจในการก่อสร้างโบสถ์หลังนี้ขึ้นมาด้วยความอุตสาหะ
โบสถ์หลังนี้ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อสิ้นสุดมหาสงครามเอเชียบูรพา (สงครามโลกครั้งที่ 2) ราวปี ค.ศ. 1946 หลังชำรุดทรุดโทรมเนื่องจากถูกยึดใช้เป็นส่วนหนึ่งของเขตทหารที่มาตั้งมั่นอยู่ในเมืองเชียงราย และพวกมิชชันนารีจำต้องออกนอกประเทศไทย เหตุการณ์ช่วงสงครามนั้นนับเป็นเวลายากลำบากสำหรับเหล่าคริสเตียนในการหาพื้นที่สำหรับนมัสการพระผู้เป็นเจ้า ด้วยต้องคอยหลบซ่อนกระทำการตามบ้านพักของสมาชิก เพราะทางการเข้มงวดเรื่องการประชุม เพื่อป้องกันการก่อเหตุร้ายและจารกรรม เมื่อเสร็จสงครามจึงยินดีกันยิ่งนักที่ได้กลับมาใช้โบสถ์นี้เป็นที่นมัสการอีกครั้ง
ลักษณะสถาปัตยกรรมของโบสถ์คริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย
โบสถ์นี้มีแผนผังอาคารเป็นรูปกางเขน (Latin Cross) แบ่งการใช้งานเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนห้องโถงหลัก (Nave) สำหรับประกอบพิธีกรรม มีความยาวตลอดทางเข้าด้านหน้าถึงแท่นบูชา (Altar) ส่วนปีกทั้งสองข้างของอาคาร (Transept) ทำเป็นชั้นลอย ที่ใต้แนวพื้นชั้นลอยนี้ทำอาเขต (Arcade) เป็นซุ้มโค้งก่ออิฐถือปูนข้างละ 3 ซุ้ม ทำหน้าที่ช่วยถ่ายน้ำหนักพื้นชั้นลอยลงสู่ฐานอาคาร ซึ่งรับกันดีกับซุ้มโค้งของช่องแสงเหนือประตูและหน้าต่างของอาคาร ส่วนห้องท้ายโบสถ์ซึ่งมีหลังคาลดระดับต่ำกว่าห้องโถงหลักเคยใช้เป็นห้องเรียนพระคัมภีร์สำหรับเด็ก ๆ โครงสร้างของอาคารโดยทั่วไปเป็นระบบกำแพงรับน้ำหนัก (Bearing wall) ที่ก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่กว่าอิฐปกติทั่วไป ที่เชิงผนังด้านซ้ายภายนอกอาคารติดแผ่นศิลาสลักหมายเลข 1914 ทั้งเลขไทยและอารบิค (หมายถึงปี ค.ศ. ที่สร้างโบสถ์นี้สำเร็จ) ที่มุขด้านหน้าและด้านข้างก่อเป็นเสาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ 4 ต้นเพื่อรองรับแผงหน้าจั่วที่เป็นแผ่นไม้ตีซ้อนเกล็ด ตรงกลางของแผงหน้าจั่วทำช่องหน้าต่างปิดเปิดได้ และที่เหนือหลังคาทางเข้าด้านหน้ามีหอคอยโถงสี่เหลี่ยมสำหรับแขวนระฆังที่ใช้ประกอบพิธีกรรมของโบสถ์ หลังคาปัจจุบันเป็นโครงสร้างเหล็กมุงกระเบื้องว่าวซีเมนต์สีน้ำตาลแดง กลมกลืนกับสีน้ำตาลเข้มของแผ่นไม้ที่แผงหน้าจั่ว และตัดกับสีขาวของผนังปูนฉาบอย่างน่าดู โดยเฉพาะตรงกึ่งกลางด้านหน้าอาคารใต้หลังคาปีกนก มีป้ายในกรอบไม้ระบุชื่อคริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย ด้วยตัวอักษรแบบเก่าพร้อมสัญลักษณ์กางเขนสีแดงบนพื้นขาว ให้ความรู้สึกสง่างามแบบเรียบง่าย
โบสถ์นี้มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและเทคนิคการก่อสร้างใกล้เคียงกับอาคารหลังแรกของโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค (ปัจจุบันใช้เป็นอาคารอำนวยการ) ที่ได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล (Colonial Style) โดยต่างมีจุดเด่นที่หอระฆังด้านหน้าอาคาร (Bell Tower)
ปัจจุบันโบสถ์เก่าหลังนี้ยังไม่ได้รับการซ่อมบำรุงให้พ้นจากความเสื่อมโทรม ระฆังที่เคยแขวนอยู่บนหอคอยได้ถูกย้ายลงมาไว้ในซุ้มเล็กที่สร้างใหม่ด้านข้างอาคาร ฝ้าเพดานยิปซัมภายในชำรุดหลุดร่วง เพราะความชื้นจากน้ำฝนที่รั่วเข้ามาตามแผ่นกระเบื้อง ส่วนผนังมีรอยกะเทาะของปูนฉาบเป็นแนวเสมอกัน สาเหตุน่าจะมาจากแผ่นหินอ่อนที่กรุเชิงผนังภายในปิดกั้นการระบายความชื้นที่ขึ้นมาจากใต้ดิน ประกอบกับปูนซีเมนต์ที่ใช้ฉาบซ่อมในสมัยหลังไม่มีรูพรุนให้ระบายความชื้นได้ดีเหมือนผิวปูนเดิม วงกบประตูหน้าต่างบางส่วนเปื่อยผุจากการกัดกินของปลวกและมอดไม้
แต่ความเสียหายทั้งหมดนี้ยังอยู่ในวิสัยที่จะซ่อมแซมได้ตามหลักวิชาการ ยกเว้นแต่ว่าประโยชน์ใช้สอยที่เปลี่ยนแปลงไปจะเป็นเงื่อนไขหลักของการรื้อสร้างใหม่
ทางออกของการคงอยู่ของโบสถ์หลังนี้ เป็นไปได้ว่า หากทางคริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย ยังสามารถปรับกลยุทธ์จากการเรี่ยไรระดมทุนเพื่อสร้างอาคารหลังใหม่ เปลี่ยนเป็นการศึกษาความเป็นไปได้เพื่ออนุรักษ์และปรับปรุง เชื่อว่าก็ย่อมต้องได้รับการสนับสนุนจากสมาชิก ตลอดจนบุคคลทั่วไปที่เห็นในคุณค่าและประสงค์จะมีส่วนร่วมช่วยเหลือ โดยทุนที่ได้มานั้นส่วนหนึ่งจำเป็นต้องเจียดไปจ้างผู้เชี่ยวชาญมาทำการสำรวจและออกแบบการอนุรักษ์และปรับปรุง เพื่อให้ได้รูปแบบที่เหมาะสม และอาจมีการทำประชาพิจารณ์เพื่อหาข้อสรุปที่เหมาะสมที่สุดจากสมาชิกและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เมื่อถึงเวลานั้นหากคำตอบที่ได้คือหมดหนทางในการซ่อมแซมแล้ว การรื้อเพื่อสร้างใหม่จึงสมควรเป็นทางออกสุดท้าย แต่ก่อนรื้อถอนควรต้องมีการจัดทำรายงานบันทึกข้อมูลอาคารเดิมไว้ให้ครบถ้วนมากที่สุด เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา ซึ่งวิธีการสำรวจรังวัดและเขียนแบบ VERNADOC โดยนักศึกษาและสถาปนิกอาสาสมัครก็อาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถกระทำได้
เพื่อให้วาระสุดท้ายของโบสถ์เก่าหลังนี้ได้กระทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ด้วยการให้ความรู้แก่ผู้ที่อาวรณ์ในคุณค่าทางศิลปะสถาปัตย กรรมยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์เมืองเชียงรายสืบไป.
.................
กรณีศึกษาเรื่องการอนุรักษ์โบสถ์เก่า
เกาหลี : อนุรักษ์ทั้งย่านไม่เฉพาะแต่อาคาร
โบสถ์ชองดง (อายุ 113 ปี) เป็นโบสถ์เรียบง่ายแบบวิคตอเรียนโกธิค สร้างด้วยอิฐแดง ตั้งอยู่ในถิ่นพำนักอาศัยของชาวต่างชาติที่เรียกว่าย่านชอง-ดง ย่านนี้เป็นเส้นทางเดินชมมรดกสถาปัตยกรรมอิทธิพลตะวันตกที่น่าสนใจย่านหนึ่งในกรุงโซล ซึ่งสถาปนิกหญิง โช อิน-ซุก (Cho In-souk) และ มร.โรเบิร์ต โคห์เล่อร์ (Robert Koehler) นักเขียนชาวอเมริกัน ได้คัดสรรไว้ในหนังสือชื่อ Seoul’s Historic Walks นับเป็นตัวอย่างที่ดีของการอนุรักษ์ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของเจ้าของอาคาร นักวิชาการ และหน่วยงานราชการ โดยผู้ที่มาเยี่ยมเยือนจะได้สัมผัสบรรยากาศและสถาปัตยกรรมเกาหลียุคเปิดประเทศเมื่อร้อยปีเศษที่ผ่านมา โบสถ์นี้นับเป็นสัญลักษณ์สำคัญของยุคแรกที่ชาวอเมริกันเข้ามามีอิทธิพลในเกาหลี สร้างในปี ค.ศ. 1898 และถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นในปี ค.ศ. 1926 การเปลี่ยนรูปแบบจากแบบดั้งเดิมไปเล็กน้อย ทำให้อาคารหลังนี้เป็นตัวอย่างของโบสถ์โปรเตสแตนต์ยุคแรกที่โดดเด่นของเกาหลี และอันที่จริงโบสถ์นี้ยังเป็นสักการะสถานตามแบบตะวันตกที่เก่าแก่ที่สุดของเกาหลีอีกด้วย
สวีเดน : สงวนรักษาไว้เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ภาคภูมิ
โบสถ์โอสมาร์ค เมืองทอร์สบี (อายุ 246 ปี) เป็นโบสถ์คริสต์นิกายลูเธอรัน ของชุมชนสวีดิชเชื้อสายฟินน์ที่บรรพบุรุษอพยพจากฟินแลนด์เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในประเทศสวีเดนตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18 ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี สร้างเมื่อ ปี ค.ศ. 1765 มีการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 75 ปีที่แล้ว ในปีที่ผ่านมา ค.ศ. 2010 ได้มีการสำรวจรังวัดและเขียนแบบด้วยวิธี VERNADOC (Vernacular Documentation) โดยสถาปนิกและนักศึกษาอาสาสมัครจากประเทศฟินแลนด์ ไทย จีน และอียิปต์ ร่วมบันทึกคุณค่าของโบสถ์เพื่อการศึกษาทางวิชาการ ภายใต้การสนับสนุนจาก ICOMOS-CIAV (International Council on Monuments and Sites - International Committee of Vernacular Architecture) ในระหว่างกิจกรรมได้มีการบรรยายพิเศษจากชาวบ้านเกี่ยวกับประวัติชุมชนและโบสถ์ผ่านภาพถ่ายเก่า ตลอดจนเกร็ดชีวิตของบรรพบุรุษที่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโบสถ์แห่งนี้มาบอกเล่าให้แก่ผู้ร่วมโครงการจากนานาชาติด้วยความภาคภูมิใจ
โบสถ์คริสตจักรที่ 1 สำเหร่ กรุงเทพฯ (อายุ 101 ปี) คริสตจักรแห่งแรกของมิชชันนารีคณะอเมริกันเพรส ไบทีเรียนซึ่งเดินทางเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในประเทศ ไทยเมื่อปี ค.ศ. 1840 พระวิหารหลังแรกสร้างในปี ค.ศ. 1860 ถูกรื้อสร้างใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นในปี ค.ศ. 1910 ในรูปแบบที่ใกล้เคียงของเดิม พระวิหารหลังปัจจุบันได้รับการซ่อมแซมดูแลด้วยกำลังของสมาชิกของโบสถ์มาโดยตลอด
โบสถ์คริสตจักรตรัง (อายุ 96 ปี) สร้างในปี ค.ศ. 1915 มีการซ่อมแซมพระวิหารหลังเดิมเป็นระยะมาโดยตลอด เมื่อมีผู้รับเชื่อเพิ่มมากขึ้น ได้สร้างอาคารนมัสการหลังใหม่ในพื้นที่ใกล้เคียงใน ค.ศ. 1990 โดยยังคงเก็บพระวิหารหลังเก่าไว้ และใช้ระบบโทรทัศน์วงจรปิดถ่ายทอดการประกอบพิธีกรรมไปยังอาคารนมัสการหลังใหม่.
จากเดลินิวส์
http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=494&contentId=133009