Namdang
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #20 เมื่อ: วันที่ 19 เมษายน 2011, 07:57:46 » |
|
บ้านหลังหนึ่ง เก่าๆ ชำรุด ทรุด โทรม จะพังทับหัววันไหนก็ไม่รู้ เจ้าของบ้านก็อยากสร้างใหม่ให้ตอบสนองการใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไปมากในปัจจุบัน คนข้างบ้านไม่เคยมาอยู่ เดินผ่านไปมา แต่อยากให้บ้านเก่าๆ อยู่อย่างเดิม บอกว่าเก่าแหละดี สวย น่าอนุรักษ์ แต่ไม่เคยเข้าไปดู ไม่เคยเข้าไปช่วยบำรุงรักษา หญ้าสักเส้น ใยแมงมุมหยากใย่ ฝุ่นผง ไม่เคยช่วยเก็บกวาด เงินสักบาทไม่เคยช่วยสบทบซ่อมบำรุง เพิ่งจะมาคิดขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเอาตอนนี้ หลังขึ้นแล้วจะมีงบประมาณ มีเจ้าหน้าที่มาบูรณะ มาดูแลไหม หรือปล่อยให้ผุพังเหมือนโบราณสถานหลายๆแห่งที่ไม่เป็นแหล่งท่องเที่ยวไม่มีรายได้จากนักท่องเที่ยว.....เลิกอยู่ข้างรั้วบ้านแล้ววุ่นวายกับเจ้าของบ้านให้เขาทำโน่นทำนี่ ตราบใดที่เรายังไม่มีส่วนในการช่วยเขาซ่อม ดูแล บ้าน อย่าเรียกร้องว่ามันมีคุณค่า ตราบใดที่เรายังไม่เคยให้คุณค่า.....แก่สิ่งใด
เจ้าหน้าที่กรมศิลป และ เจ้าหน้าที่สมาคมสถาปนิกสยามแห่งประเทศไทย เคยเข้าไปให้ความรู้ที่โบสถ์แล้ว แต่พวกคุณก็ไม่ยอมรับ แถมประจานเขาต่อที่ประชุมโบสถ์อีก พวกคุณได้แต่แถ เรื่องนี้ไปวัน ๆ ถูกครอบงำ โดยไม่มองความเป็นจริงของสังคม ว่าเป็นไปอย่างไร เขาเคยคุยให้ฟังแล้วว่า ถ้าขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้ว กรมศิลปากรฯ เขาจะเข้ามาดูแลค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา และการซ่อมแซมทั้งหมด (เขาบอกว่า ถ้าซ่อมแซมแล้ว อยู่ได้เป็นอีกร้อยปี) แต่พวกคุณก็เป็นแค่กบในกะลา มีเพียงผู้นำไม่กี่คนที่ได้ชี้นำเรื่องต่าง ๆ เหล่านี้ให้สมาชิกโบสถ์ได้รับรู้ โดยไม่มองในแง่ของสังคมส่วนใหญ่ว่าเขาต้องการอะไร ในเรื่องนี้ กรมศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่ ได้ทำหนังสือให้ มูลนิธิสภาคริสตจักรแห่งประเทศไทย และโบสถ์คริสตจักรที่ 1 เวียงเชียงราย มาแล้วว่า "ห้า มรื้อถอนหรือทุบทิ้งทำลาย ก่อนได้รับอนุญาต จากกรมศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่" งานนี้ถ้าใครรื้อถอนหรือทุบทิ้ง ก็คงมีการติดคุก และชดใช้ การบ้างล่ะ สำหรับความดื้อรั้น
|
|
|
|
|
|
|
Namdang
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #24 เมื่อ: วันที่ 19 เมษายน 2011, 11:46:24 » |
|
ค่อยพูดค่อยจากันเถอะค่ะ เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน อย่าแบ่งแยกเป็นพวกเขา พวกคุณ หรือพวกใครเลย เข้าใจทั้งฝ่ายที่ต้องการอนุรักษ์ และเข้าใจในข้อจำกัดของทางโบสถ์ด้วย
เรื่องนี้คงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และถี่ถ้วนนะคะ คำถามคือ เมื่อกรมศิลปากรเข้ามาบูรณะแล้ว หลังจากนั้นการใช้งานวิหารหลังเดิมจะเป็นลักษณะใด ยังคงเข้าไปใช้งานได้ตามเดิม หรืออนุรักษ์ไว้เพื่อการเข้าชมเท่านั้น หากเป็นอย่างหลัง หากต้องไปหาที่สร้างโบสถ์ใหม่ จะไปหาที่ไหน ราคาเท่าไหร่ งบประมาณจะพอหรือไม่ ขาดเหลืออย่างไร ร่วมกันออกความเห็น เพื่อหาทางออกที่ดีสำหรับทุกฝ่ายเถอะค่ะ อย่าปะทะอารมณ์กันเลยและถึงตอนนั้นเราจะยื่นมือเข้าไปช่วยหรือไม่ อย่างไร
เท่าที่ทราบน่าจะเป็นการอนุรักษ์เพื่อเข้าชมเท่านั้น (ไม่ให้ใช้งาน) เรื่องการสร้างโบสถ์ใหม่ก็่ควรจะิิเป็นหน้าที่ของมูลนิธิสภาคริสตจักรต่อไป
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 19 เมษายน 2011, 11:48:56 โดย Namdang »
|
IP :
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
Namdang
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #25 เมื่อ: วันที่ 19 เมษายน 2011, 11:49:34 » |
|
คงมีคนอยากได้ผลประโยชน์ของงบการสร้างโบสถ์ใหม่แน่ๆเลย
เหมือนรู้เลยนะเจ้า 555+
|
|
|
|
|
Namdang
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #27 เมื่อ: วันที่ 19 เมษายน 2011, 20:40:13 » |
|
วัฒนธรรม ศิลปกรรม สถาปัตยกรรม...อันเก่าแก่ของบรรพบุรุษ...เปรียบเสมือนรากแก้ว รากเหง้า ของต้นไม้ใหญ่ชื่อว่า "ชาติไทย" แต่มีบุคคลที่ต้องการความทันสมัย ความสวยงามที่ฉาบฉวย ตัดตอนแต่งพันธุกรรม ไปปลูกใหม่ เพื่อหวังเพียงความสวยงาม เป็นต้นไม้ "ชาติไทย" พันธุ์ใหม่ที่ขาดรากแก้ว รากเหง้า ที่เสริมสร้างความแข็งแรง ที่อาจล้มลงง่าย ๆ เพียงแค่ลมเป่าหู........ ...ชักงง... เออ งง ด้วยคน 555+
|
|
|
|
yodying
ชั้นประถม
ออฟไลน์
กระทู้: 281
|
|
« ตอบ #28 เมื่อ: วันที่ 19 เมษายน 2011, 21:07:18 » |
|
บ้านหลังหนึ่ง เก่าๆ ชำรุด ทรุด โทรม จะพังทับหัววันไหนก็ไม่รู้ เจ้าของบ้านก็อยากสร้างใหม่ให้ตอบสนองการใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไปมากในปัจจุบัน คนข้างบ้านไม่เคยมาอยู่ เดินผ่านไปมา แต่อยากให้บ้านเก่าๆ อยู่อย่างเดิม บอกว่าเก่าแหละดี สวย น่าอนุรักษ์ แต่ไม่เคยเข้าไปดู ไม่เคยเข้าไปช่วยบำรุงรักษา หญ้าสักเส้น ใยแมงมุมหยากใย่ ฝุ่นผง ไม่เคยช่วยเก็บกวาด เงินสักบาทไม่เคยช่วยสบทบซ่อมบำรุง เพิ่งจะมาคิดขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเอาตอนนี้ หลังขึ้นแล้วจะมีงบประมาณ มีเจ้าหน้าที่มาบูรณะ มาดูแลไหม หรือปล่อยให้ผุพังเหมือนโบราณสถานหลายๆแห่งที่ไม่เป็นแหล่งท่องเที่ยวไม่มีรายได้จากนักท่องเที่ยว.....เลิกอยู่ข้างรั้วบ้านแล้ววุ่นวายกับเจ้าของบ้านให้เขาทำโน่นทำนี่ ตราบใดที่เรายังไม่มีส่วนในการช่วยเขาซ่อม ดูแล บ้าน อย่าเรียกร้องว่ามันมีคุณค่า ตราบใดที่เรายังไม่เคยให้คุณค่า.....แก่สิ่งใด
เขาไม่ได้ต่อต้านการสร้างโบสถ์หลังใหม่ในการนมัสการพระเจ้านะ แต่เขาขอให้อนุรักษ์พระวิหารหลังเดิมเอาไว้ ที่ของสภาคริสตจักรฯ ในเมือง แปลงสวยๆมีตั้งเยอะน่าจะไปสร้างโบสถ์ใหม่ได้อย่างสวยงาม เช่นที่สีีแยกเข้าเกาะลอย ใกล้ๆร้านมิวนิคน่ะ ที่ให้ศุภนิมิต ใช้งานอยู่ ก็กว้างขวางโอ่อ่า น่าจะลองพิจารณาดูใหม่นะ
|
|
|
|
|
Namdang
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #30 เมื่อ: วันที่ 20 เมษายน 2011, 10:35:03 » |
|
เห็นมาตั้งแต่เด็กๆ เคยไปงานx-mas ด้วยสมัยเรียนซีวีเค สวยมากๆข้างใน อยากให้อนุรักษ์ไว้ เกรงว่าเชียงรายจะไม่มีของเก่าๆได้ดูอีก
เห็นด้วยเจ้า
|
|
|
|
sawate
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #31 เมื่อ: วันที่ 20 เมษายน 2011, 11:56:00 » |
|
ถ้าจะต้องแวะไปคุยกับหมอปลื้ม ด้อยปัญญาเสียทีละมังวะคะ เปิ้นบอกอนุรักษ์ ๆๆๆๆๆ ก้อยังจะแป๋งอยู่ หยังมาหลึกแต้ว่า
|
|
|
|
|
humble~angel
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #33 เมื่อ: วันที่ 22 เมษายน 2011, 23:19:51 » |
|
บ้านหลังหนึ่ง เก่าๆ ชำรุด ทรุด โทรม จะพังทับหัววันไหนก็ไม่รู้ เจ้าของบ้านก็อยากสร้างใหม่ให้ตอบสนองการใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไปมากในปัจจุบัน คนข้างบ้านไม่เคยมาอยู่ เดินผ่านไปมา แต่อยากให้บ้านเก่าๆ อยู่อย่างเดิม บอกว่าเก่าแหละดี สวย น่าอนุรักษ์ แต่ไม่เคยเข้าไปดู ไม่เคยเข้าไปช่วยบำรุงรักษา หญ้าสักเส้น ใยแมงมุมหยากใย่ ฝุ่นผง ไม่เคยช่วยเก็บกวาด เงินสักบาทไม่เคยช่วยสบทบซ่อมบำรุง เพิ่งจะมาคิดขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเอาตอนนี้ หลังขึ้นแล้วจะมีงบประมาณ มีเจ้าหน้าที่มาบูรณะ มาดูแลไหม หรือปล่อยให้ผุพังเหมือนโบราณสถานหลายๆแห่งที่ไม่เป็นแหล่งท่องเที่ยวไม่มีรายได้จากนักท่องเที่ยว.....เลิกอยู่ข้างรั้วบ้านแล้ววุ่นวายกับเจ้าของบ้านให้เขาทำโน่นทำนี่ ตราบใดที่เรายังไม่มีส่วนในการช่วยเขาซ่อม ดูแล บ้าน อย่าเรียกร้องว่ามันมีคุณค่า ตราบใดที่เรายังไม่เคยให้คุณค่า.....แก่สิ่งใด
เดลินิวส์ฉบับวันที่16 เมษายน 2554 และ กรุงเทพธุรกิจฉบับวันที่21 เมษายน 2554 ได้ให้ข้อคิดและความรู้แก่สังคมอย่างมากมาย ภาษาที่ใช้ก็งดงาม ปราศจากอคติใดๆ แต่เรื่องราวของบ้านหลังหนึ่ง...มีแต่คำพูดเปรียบเปรยกระแทกแดกดัน อ่านแล้วไม่สบายใจ เรามาทบทวนกันด้วยเหตุผลดีกว่า วางไว้เสียซึ่งอคติ ผลประโยชน์ส่วนตน และการเอาชนะคะคานกัน...สมาชิกในบ้านก็มีสิทธิ์ที่จะเห็นต่างจากคุณ เราไม่ต้องการบ้านใหม่ ในเมื่อบ้านเก่ายังเป็นบ้านที่อบอุ่นมีคุณค่าทางจิตใจและควรค่าแก่การอยู่อาศัย เราควรต้องเคารพสิทธิ์ซึ่งกันและกัน...
|
|
|
|
humble~angel
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #34 เมื่อ: วันที่ 23 เมษายน 2011, 10:31:21 » |
|
ท่ามกลางข่าวที่มีผู้แจ้งมายังสมาคมสถาปนิกสยามฯ เรื่องคริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย จะทำการรื้ออาคารโบสถ์ (พระวิหาร) เก่าอายุ 97 ปี หลังวันที่ 24 เมษายน ศกนี้ เพื่อสร้างพระวิหารหลังใหม่ฉลองวาระครบรอบ 100 ปีในอีก 3 ปีต่อจากนี้ไป และเพื่อให้เหมาะสมต่อความต้องการรองรับคนที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 300 คน เป็น 1,000 คน รวมทั้งอ้างถึงความชำรุดทรุดโทรมจนไม่อาจซ่อมแซมได้ต่อไปแล้ว ทั้งที่เมื่อ 2 ปีก่อนกรมศิลปากรได้เคยเข้าไปตรวจสอบแล้วมีความเห็นสรุปว่า “...สามารถดำเนินการอนุรักษ์ โดยเสริมความมั่นคงด้วยการเพิ่มเสาและฐานรากเพื่อรับน้ำหนักโครงหลังคา และตัดความชื้นที่ผนัง ตลอดจนปรับซ่อมอาคารให้มีความมั่นคงยืนยาวต่อไปได้”
ข่าวล่าสุดได้ยืนยันว่าโครงสร้างโบสถ์เก่าหลังนี้ยังสามารถต้านทานแรงแผ่นดินไหวขนาด 6.7 ริคเตอร์ที่มีศูนย์กลางอยู่ในพม่า เมื่อ 24 มีนาคม ที่เพิ่งผ่านไปได้อย่างมั่นคง โดยปรากฏความเสียหายเพียงรอยร้าวของผิวปูนใหม่ที่กะเทาะจากการซ่อมแซมผิดวิธีในอดีตเท่านั้น
คุณค่าของโบสถ์คริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย
ตามประวัติโบสถ์คริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงรายหลังนี้ สร้างด้วยเงินบริจาคของคณะเพรสไบทีเรียนมิชชัน แห่งสหรัฐอเมริกาบนที่ดินบริเวณประตูสลี ใช้เวลาในการปรับพื้นที่เตรียมการและก่อสร้างราว 4 ปี จึงแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1914 ผู้อำนวยการสร้างโบสถ์หลังนี้คือนายแพทย์วิลเลี่ยม เอ. บริกส์ (William A. Briggs) มิชชันนารีคนสำคัญที่ทำประโยชน์ให้แก่เมืองเชียงรายมากมาย เช่น การก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค โรงเรียนและบ้านพักมิชชันนารี ตลอดจนศาลากลางและเรือนจำประจำจังหวัดเชียงราย ซึ่งหากพิจารณารายชื่อผู้เกี่ยวข้องท่านอื่น ๆ ที่ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดตั้งแต่หัวหน้าควบคุมงานก่อสร้างไปจนถึงลูกมือช่างปูน ก็อาจพบได้ว่าชั้นลูกหลานของหลายท่านที่ถูกระบุชื่อไว้ ยังคงมีส่วนร่วมดูแลคริสตจักรแห่งนี้เสมอมา หลังจากบรรพบุรุษได้อุทิศแรงกายแรงใจในการก่อสร้างโบสถ์หลังนี้ขึ้นมาด้วยความอุตสาหะ
โบสถ์หลังนี้ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อสิ้นสุดมหาสงครามเอเชียบูรพา (สงครามโลกครั้งที่ 2) ราวปี ค.ศ. 1946 หลังชำรุดทรุดโทรมเนื่องจากถูกยึดใช้เป็นส่วนหนึ่งของเขตทหารที่มาตั้งมั่นอยู่ในเมืองเชียงราย และพวกมิชชันนารีจำต้องออกนอกประเทศไทย เหตุการณ์ช่วงสงครามนั้นนับเป็นเวลายากลำบากสำหรับเหล่าคริสเตียนในการหาพื้นที่สำหรับนมัสการพระผู้เป็นเจ้า ด้วยต้องคอยหลบซ่อนกระทำการตามบ้านพักของสมาชิก เพราะทางการเข้มงวดเรื่องการประชุม เพื่อป้องกันการก่อเหตุร้ายและจารกรรม เมื่อเสร็จสงครามจึงยินดีกันยิ่งนักที่ได้กลับมาใช้โบสถ์นี้เป็นที่นมัสการอีกครั้ง
ลักษณะสถาปัตยกรรมของโบสถ์คริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย
โบสถ์นี้มีแผนผังอาคารเป็นรูปกางเขน (Latin Cross) แบ่งการใช้งานเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนห้องโถงหลัก (Nave) สำหรับประกอบพิธีกรรม มีความยาวตลอดทางเข้าด้านหน้าถึงแท่นบูชา (Altar) ส่วนปีกทั้งสองข้างของอาคาร (Transept) ทำเป็นชั้นลอย ที่ใต้แนวพื้นชั้นลอยนี้ทำอาเขต (Arcade) เป็นซุ้มโค้งก่ออิฐถือปูนข้างละ 3 ซุ้ม ทำหน้าที่ช่วยถ่ายน้ำหนักพื้นชั้นลอยลงสู่ฐานอาคาร ซึ่งรับกันดีกับซุ้มโค้งของช่องแสงเหนือประตูและหน้าต่างของอาคาร ส่วนห้องท้ายโบสถ์ซึ่งมีหลังคาลดระดับต่ำกว่าห้องโถงหลักเคยใช้เป็นห้องเรียนพระคัมภีร์สำหรับเด็ก ๆ โครงสร้างของอาคารโดยทั่วไปเป็นระบบกำแพงรับน้ำหนัก (Bearing wall) ที่ก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่กว่าอิฐปกติทั่วไป ที่เชิงผนังด้านซ้ายภายนอกอาคารติดแผ่นศิลาสลักหมายเลข 1914 ทั้งเลขไทยและอารบิค (หมายถึงปี ค.ศ. ที่สร้างโบสถ์นี้สำเร็จ) ที่มุขด้านหน้าและด้านข้างก่อเป็นเสาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ 4 ต้นเพื่อรองรับแผงหน้าจั่วที่เป็นแผ่นไม้ตีซ้อนเกล็ด ตรงกลางของแผงหน้าจั่วทำช่องหน้าต่างปิดเปิดได้ และที่เหนือหลังคาทางเข้าด้านหน้ามีหอคอยโถงสี่เหลี่ยมสำหรับแขวนระฆังที่ใช้ประกอบพิธีกรรมของโบสถ์ หลังคาปัจจุบันเป็นโครงสร้างเหล็กมุงกระเบื้องว่าวซีเมนต์สีน้ำตาลแดง กลมกลืนกับสีน้ำตาลเข้มของแผ่นไม้ที่แผงหน้าจั่ว และตัดกับสีขาวของผนังปูนฉาบอย่างน่าดู โดยเฉพาะตรงกึ่งกลางด้านหน้าอาคารใต้หลังคาปีกนก มีป้ายในกรอบไม้ระบุชื่อคริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย ด้วยตัวอักษรแบบเก่าพร้อมสัญลักษณ์กางเขนสีแดงบนพื้นขาว ให้ความรู้สึกสง่างามแบบเรียบง่าย
โบสถ์นี้มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและเทคนิคการก่อสร้างใกล้เคียงกับอาคารหลังแรกของโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค (ปัจจุบันใช้เป็นอาคารอำนวยการ) ที่ได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล (Colonial Style) โดยต่างมีจุดเด่นที่หอระฆังด้านหน้าอาคาร (Bell Tower)
ปัจจุบันโบสถ์เก่าหลังนี้ยังไม่ได้รับการซ่อมบำรุงให้พ้นจากความเสื่อมโทรม ระฆังที่เคยแขวนอยู่บนหอคอยได้ถูกย้ายลงมาไว้ในซุ้มเล็กที่สร้างใหม่ด้านข้างอาคาร ฝ้าเพดานยิปซัมภายในชำรุดหลุดร่วง เพราะความชื้นจากน้ำฝนที่รั่วเข้ามาตามแผ่นกระเบื้อง ส่วนผนังมีรอยกะเทาะของปูนฉาบเป็นแนวเสมอกัน สาเหตุน่าจะมาจากแผ่นหินอ่อนที่กรุเชิงผนังภายในปิดกั้นการระบายความชื้นที่ขึ้นมาจากใต้ดิน ประกอบกับปูนซีเมนต์ที่ใช้ฉาบซ่อมในสมัยหลังไม่มีรูพรุนให้ระบายความชื้นได้ดีเหมือนผิวปูนเดิม วงกบประตูหน้าต่างบางส่วนเปื่อยผุจากการกัดกินของปลวกและมอดไม้
แต่ความเสียหายทั้งหมดนี้ยังอยู่ในวิสัยที่จะซ่อมแซมได้ตามหลักวิชาการ ยกเว้นแต่ว่าประโยชน์ใช้สอยที่เปลี่ยนแปลงไปจะเป็นเงื่อนไขหลักของการรื้อสร้างใหม่
ทางออกของการคงอยู่ของโบสถ์หลังนี้ เป็นไปได้ว่า หากทางคริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย ยังสามารถปรับกลยุทธ์จากการเรี่ยไรระดมทุนเพื่อสร้างอาคารหลังใหม่ เปลี่ยนเป็นการศึกษาความเป็นไปได้เพื่ออนุรักษ์และปรับปรุง เชื่อว่าก็ย่อมต้องได้รับการสนับสนุนจากสมาชิก ตลอดจนบุคคลทั่วไปที่เห็นในคุณค่าและประสงค์จะมีส่วนร่วมช่วยเหลือ โดยทุนที่ได้มานั้นส่วนหนึ่งจำเป็นต้องเจียดไปจ้างผู้เชี่ยวชาญมาทำการสำรวจและออกแบบการอนุรักษ์และปรับปรุง เพื่อให้ได้รูปแบบที่เหมาะสม และอาจมีการทำประชาพิจารณ์เพื่อหาข้อสรุปที่เหมาะสมที่สุดจากสมาชิกและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เมื่อถึงเวลานั้นหากคำตอบที่ได้คือหมดหนทางในการซ่อมแซมแล้ว การรื้อเพื่อสร้างใหม่จึงสมควรเป็นทางออกสุดท้าย แต่ก่อนรื้อถอนควรต้องมีการจัดทำรายงานบันทึกข้อมูลอาคารเดิมไว้ให้ครบถ้วนมากที่สุด เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา ซึ่งวิธีการสำรวจรังวัดและเขียนแบบ VERNADOC โดยนักศึกษาและสถาปนิกอาสาสมัครก็อาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถกระทำได้
เพื่อให้วาระสุดท้ายของโบสถ์เก่าหลังนี้ได้กระทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ด้วยการให้ความรู้แก่ผู้ที่อาวรณ์ในคุณค่าทางศิลปะสถาปัตย กรรมยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์เมืองเชียงรายสืบไป.
.................
กรณีศึกษาเรื่องการอนุรักษ์โบสถ์เก่า
เกาหลี : อนุรักษ์ทั้งย่านไม่เฉพาะแต่อาคาร
โบสถ์ชองดง (อายุ 113 ปี) เป็นโบสถ์เรียบง่ายแบบวิคตอเรียนโกธิค สร้างด้วยอิฐแดง ตั้งอยู่ในถิ่นพำนักอาศัยของชาวต่างชาติที่เรียกว่าย่านชอง-ดง ย่านนี้เป็นเส้นทางเดินชมมรดกสถาปัตยกรรมอิทธิพลตะวันตกที่น่าสนใจย่านหนึ่งในกรุงโซล ซึ่งสถาปนิกหญิง โช อิน-ซุก (Cho In-souk) และ มร.โรเบิร์ต โคห์เล่อร์ (Robert Koehler) นักเขียนชาวอเมริกัน ได้คัดสรรไว้ในหนังสือชื่อ Seoul’s Historic Walks นับเป็นตัวอย่างที่ดีของการอนุรักษ์ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของเจ้าของอาคาร นักวิชาการ และหน่วยงานราชการ โดยผู้ที่มาเยี่ยมเยือนจะได้สัมผัสบรรยากาศและสถาปัตยกรรมเกาหลียุคเปิดประเทศเมื่อร้อยปีเศษที่ผ่านมา โบสถ์นี้นับเป็นสัญลักษณ์สำคัญของยุคแรกที่ชาวอเมริกันเข้ามามีอิทธิพลในเกาหลี สร้างในปี ค.ศ. 1898 และถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นในปี ค.ศ. 1926 การเปลี่ยนรูปแบบจากแบบดั้งเดิมไปเล็กน้อย ทำให้อาคารหลังนี้เป็นตัวอย่างของโบสถ์โปรเตสแตนต์ยุคแรกที่โดดเด่นของเกาหลี และอันที่จริงโบสถ์นี้ยังเป็นสักการะสถานตามแบบตะวันตกที่เก่าแก่ที่สุดของเกาหลีอีกด้วย
สวีเดน : สงวนรักษาไว้เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ภาคภูมิ
โบสถ์โอสมาร์ค เมืองทอร์สบี (อายุ 246 ปี) เป็นโบสถ์คริสต์นิกายลูเธอรัน ของชุมชนสวีดิชเชื้อสายฟินน์ที่บรรพบุรุษอพยพจากฟินแลนด์เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในประเทศสวีเดนตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18 ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี สร้างเมื่อ ปี ค.ศ. 1765 มีการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 75 ปีที่แล้ว ในปีที่ผ่านมา ค.ศ. 2010 ได้มีการสำรวจรังวัดและเขียนแบบด้วยวิธี VERNADOC (Vernacular Documentation) โดยสถาปนิกและนักศึกษาอาสาสมัครจากประเทศฟินแลนด์ ไทย จีน และอียิปต์ ร่วมบันทึกคุณค่าของโบสถ์เพื่อการศึกษาทางวิชาการ ภายใต้การสนับสนุนจาก ICOMOS-CIAV (International Council on Monuments and Sites - International Committee of Vernacular Architecture) ในระหว่างกิจกรรมได้มีการบรรยายพิเศษจากชาวบ้านเกี่ยวกับประวัติชุมชนและโบสถ์ผ่านภาพถ่ายเก่า ตลอดจนเกร็ดชีวิตของบรรพบุรุษที่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโบสถ์แห่งนี้มาบอกเล่าให้แก่ผู้ร่วมโครงการจากนานาชาติด้วยความภาคภูมิใจ
โบสถ์คริสตจักรที่ 1 สำเหร่ กรุงเทพฯ (อายุ 101 ปี) คริสตจักรแห่งแรกของมิชชันนารีคณะอเมริกันเพรส ไบทีเรียนซึ่งเดินทางเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในประเทศ ไทยเมื่อปี ค.ศ. 1840 พระวิหารหลังแรกสร้างในปี ค.ศ. 1860 ถูกรื้อสร้างใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นในปี ค.ศ. 1910 ในรูปแบบที่ใกล้เคียงของเดิม พระวิหารหลังปัจจุบันได้รับการซ่อมแซมดูแลด้วยกำลังของสมาชิกของโบสถ์มาโดยตลอด
โบสถ์คริสตจักรตรัง (อายุ 96 ปี) สร้างในปี ค.ศ. 1915 มีการซ่อมแซมพระวิหารหลังเดิมเป็นระยะมาโดยตลอด เมื่อมีผู้รับเชื่อเพิ่มมากขึ้น ได้สร้างอาคารนมัสการหลังใหม่ในพื้นที่ใกล้เคียงใน ค.ศ. 1990 โดยยังคงเก็บพระวิหารหลังเก่าไว้ และใช้ระบบโทรทัศน์วงจรปิดถ่ายทอดการประกอบพิธีกรรมไปยังอาคารนมัสการหลังใหม่.
จากเดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=494&contentId=133009
ขอบพระคุณท่านอาจารย์สุดจิต สนั่นไหว ที่กรุณาให้ข้อคิดเรื่องการรื้อคริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย ผ่านทางหนังสือพิมพ์ 'เดลินิวส์' ฉบับประจำวันเสาร์ที่ 16 เมษายน 2554 และผ่านทางหนังสือพิมพ์ 'กรุงเทพธุรกิจ' ฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน 2554 ข้อคิดของท่านเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างยิ่ง... ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ดร.วันชัย มงคลประดิษฐ์ ที่ครั้งหนึ่งท่านได้กรุณาไปพูดให้ข้อคิดเรื่องนี้ที่คริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย แต่กลุ่มผู้มีอำนาจไม่ฟังท่าน... ท่านเป็นคนนอก ท่านยังอาวรณ์ในคุณค่าทางศิลป-สถาปัตยกรรมยุคหนึ่งของประวัติศาสตร์เมืองเชียงราย แต่เหนือสิ่งอื่นใด ท่านกำลังช่วยกอบกู้ดวงใจอันปวดร้าวของเรา... ลูกหลานของบรรพบุรุษแห่งความเชื่อ ขอบพระคุณท่านอาจารย์ทั้งสองอีกครั้งค่ะ.
|
|
|
|
|
Namdang
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #36 เมื่อ: วันที่ 23 เมษายน 2011, 11:16:17 » |
|
ท่ามกลางข่าวที่มีผู้แจ้งมายังสมาคมสถาปนิกสยามฯ เรื่องคริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย จะทำการรื้ออาคารโบสถ์ (พระวิหาร) เก่าอายุ 97 ปี หลังวันที่ 24 เมษายน ศกนี้ เพื่อสร้างพระวิหารหลังใหม่ฉลองวาระครบรอบ 100 ปีในอีก 3 ปีต่อจากนี้ไป และเพื่อให้เหมาะสมต่อความต้องการรองรับคนที่เพิ่มขึ้นจากเดิม 300 คน เป็น 1,000 คน รวมทั้งอ้างถึงความชำรุดทรุดโทรมจนไม่อาจซ่อมแซมได้ต่อไปแล้ว ทั้งที่เมื่อ 2 ปีก่อนกรมศิลปากรได้เคยเข้าไปตรวจสอบแล้วมีความเห็นสรุปว่า “...สามารถดำเนินการอนุรักษ์ โดยเสริมความมั่นคงด้วยการเพิ่มเสาและฐานรากเพื่อรับน้ำหนักโครงหลังคา และตัดความชื้นที่ผนัง ตลอดจนปรับซ่อมอาคารให้มีความมั่นคงยืนยาวต่อไปได้”
ข่าวล่าสุดได้ยืนยันว่าโครงสร้างโบสถ์เก่าหลังนี้ยังสามารถต้านทานแรงแผ่นดินไหวขนาด 6.7 ริคเตอร์ที่มีศูนย์กลางอยู่ในพม่า เมื่อ 24 มีนาคม ที่เพิ่งผ่านไปได้อย่างมั่นคง โดยปรากฏความเสียหายเพียงรอยร้าวของผิวปูนใหม่ที่กะเทาะจากการซ่อมแซมผิดวิธีในอดีตเท่านั้น
คุณค่าของโบสถ์คริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย
ตามประวัติโบสถ์คริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงรายหลังนี้ สร้างด้วยเงินบริจาคของคณะเพรสไบทีเรียนมิชชัน แห่งสหรัฐอเมริกาบนที่ดินบริเวณประตูสลี ใช้เวลาในการปรับพื้นที่เตรียมการและก่อสร้างราว 4 ปี จึงแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ. 1914 ผู้อำนวยการสร้างโบสถ์หลังนี้คือนายแพทย์วิลเลี่ยม เอ. บริกส์ (William A. Briggs) มิชชันนารีคนสำคัญที่ทำประโยชน์ให้แก่เมืองเชียงรายมากมาย เช่น การก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค โรงเรียนและบ้านพักมิชชันนารี ตลอดจนศาลากลางและเรือนจำประจำจังหวัดเชียงราย ซึ่งหากพิจารณารายชื่อผู้เกี่ยวข้องท่านอื่น ๆ ที่ถูกบันทึกไว้อย่างละเอียดตั้งแต่หัวหน้าควบคุมงานก่อสร้างไปจนถึงลูกมือช่างปูน ก็อาจพบได้ว่าชั้นลูกหลานของหลายท่านที่ถูกระบุชื่อไว้ ยังคงมีส่วนร่วมดูแลคริสตจักรแห่งนี้เสมอมา หลังจากบรรพบุรุษได้อุทิศแรงกายแรงใจในการก่อสร้างโบสถ์หลังนี้ขึ้นมาด้วยความอุตสาหะ
โบสถ์หลังนี้ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อสิ้นสุดมหาสงครามเอเชียบูรพา (สงครามโลกครั้งที่ 2) ราวปี ค.ศ. 1946 หลังชำรุดทรุดโทรมเนื่องจากถูกยึดใช้เป็นส่วนหนึ่งของเขตทหารที่มาตั้งมั่นอยู่ในเมืองเชียงราย และพวกมิชชันนารีจำต้องออกนอกประเทศไทย เหตุการณ์ช่วงสงครามนั้นนับเป็นเวลายากลำบากสำหรับเหล่าคริสเตียนในการหาพื้นที่สำหรับนมัสการพระผู้เป็นเจ้า ด้วยต้องคอยหลบซ่อนกระทำการตามบ้านพักของสมาชิก เพราะทางการเข้มงวดเรื่องการประชุม เพื่อป้องกันการก่อเหตุร้ายและจารกรรม เมื่อเสร็จสงครามจึงยินดีกันยิ่งนักที่ได้กลับมาใช้โบสถ์นี้เป็นที่นมัสการอีกครั้ง
ลักษณะสถาปัตยกรรมของโบสถ์คริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย
โบสถ์นี้มีแผนผังอาคารเป็นรูปกางเขน (Latin Cross) แบ่งการใช้งานเป็น 3 ส่วน ได้แก่ ส่วนห้องโถงหลัก (Nave) สำหรับประกอบพิธีกรรม มีความยาวตลอดทางเข้าด้านหน้าถึงแท่นบูชา (Altar) ส่วนปีกทั้งสองข้างของอาคาร (Transept) ทำเป็นชั้นลอย ที่ใต้แนวพื้นชั้นลอยนี้ทำอาเขต (Arcade) เป็นซุ้มโค้งก่ออิฐถือปูนข้างละ 3 ซุ้ม ทำหน้าที่ช่วยถ่ายน้ำหนักพื้นชั้นลอยลงสู่ฐานอาคาร ซึ่งรับกันดีกับซุ้มโค้งของช่องแสงเหนือประตูและหน้าต่างของอาคาร ส่วนห้องท้ายโบสถ์ซึ่งมีหลังคาลดระดับต่ำกว่าห้องโถงหลักเคยใช้เป็นห้องเรียนพระคัมภีร์สำหรับเด็ก ๆ โครงสร้างของอาคารโดยทั่วไปเป็นระบบกำแพงรับน้ำหนัก (Bearing wall) ที่ก่อด้วยอิฐขนาดใหญ่กว่าอิฐปกติทั่วไป ที่เชิงผนังด้านซ้ายภายนอกอาคารติดแผ่นศิลาสลักหมายเลข 1914 ทั้งเลขไทยและอารบิค (หมายถึงปี ค.ศ. ที่สร้างโบสถ์นี้สำเร็จ) ที่มุขด้านหน้าและด้านข้างก่อเป็นเสาสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ 4 ต้นเพื่อรองรับแผงหน้าจั่วที่เป็นแผ่นไม้ตีซ้อนเกล็ด ตรงกลางของแผงหน้าจั่วทำช่องหน้าต่างปิดเปิดได้ และที่เหนือหลังคาทางเข้าด้านหน้ามีหอคอยโถงสี่เหลี่ยมสำหรับแขวนระฆังที่ใช้ประกอบพิธีกรรมของโบสถ์ หลังคาปัจจุบันเป็นโครงสร้างเหล็กมุงกระเบื้องว่าวซีเมนต์สีน้ำตาลแดง กลมกลืนกับสีน้ำตาลเข้มของแผ่นไม้ที่แผงหน้าจั่ว และตัดกับสีขาวของผนังปูนฉาบอย่างน่าดู โดยเฉพาะตรงกึ่งกลางด้านหน้าอาคารใต้หลังคาปีกนก มีป้ายในกรอบไม้ระบุชื่อคริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย ด้วยตัวอักษรแบบเก่าพร้อมสัญลักษณ์กางเขนสีแดงบนพื้นขาว ให้ความรู้สึกสง่างามแบบเรียบง่าย
โบสถ์นี้มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมและเทคนิคการก่อสร้างใกล้เคียงกับอาคารหลังแรกของโรงพยาบาลโอเวอร์บรุ๊ค (ปัจจุบันใช้เป็นอาคารอำนวยการ) ที่ได้รับอิทธิพลสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล (Colonial Style) โดยต่างมีจุดเด่นที่หอระฆังด้านหน้าอาคาร (Bell Tower)
ปัจจุบันโบสถ์เก่าหลังนี้ยังไม่ได้รับการซ่อมบำรุงให้พ้นจากความเสื่อมโทรม ระฆังที่เคยแขวนอยู่บนหอคอยได้ถูกย้ายลงมาไว้ในซุ้มเล็กที่สร้างใหม่ด้านข้างอาคาร ฝ้าเพดานยิปซัมภายในชำรุดหลุดร่วง เพราะความชื้นจากน้ำฝนที่รั่วเข้ามาตามแผ่นกระเบื้อง ส่วนผนังมีรอยกะเทาะของปูนฉาบเป็นแนวเสมอกัน สาเหตุน่าจะมาจากแผ่นหินอ่อนที่กรุเชิงผนังภายในปิดกั้นการระบายความชื้นที่ขึ้นมาจากใต้ดิน ประกอบกับปูนซีเมนต์ที่ใช้ฉาบซ่อมในสมัยหลังไม่มีรูพรุนให้ระบายความชื้นได้ดีเหมือนผิวปูนเดิม วงกบประตูหน้าต่างบางส่วนเปื่อยผุจากการกัดกินของปลวกและมอดไม้
แต่ความเสียหายทั้งหมดนี้ยังอยู่ในวิสัยที่จะซ่อมแซมได้ตามหลักวิชาการ ยกเว้นแต่ว่าประโยชน์ใช้สอยที่เปลี่ยนแปลงไปจะเป็นเงื่อนไขหลักของการรื้อสร้างใหม่
ทางออกของการคงอยู่ของโบสถ์หลังนี้ เป็นไปได้ว่า หากทางคริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย ยังสามารถปรับกลยุทธ์จากการเรี่ยไรระดมทุนเพื่อสร้างอาคารหลังใหม่ เปลี่ยนเป็นการศึกษาความเป็นไปได้เพื่ออนุรักษ์และปรับปรุง เชื่อว่าก็ย่อมต้องได้รับการสนับสนุนจากสมาชิก ตลอดจนบุคคลทั่วไปที่เห็นในคุณค่าและประสงค์จะมีส่วนร่วมช่วยเหลือ โดยทุนที่ได้มานั้นส่วนหนึ่งจำเป็นต้องเจียดไปจ้างผู้เชี่ยวชาญมาทำการสำรวจและออกแบบการอนุรักษ์และปรับปรุง เพื่อให้ได้รูปแบบที่เหมาะสม และอาจมีการทำประชาพิจารณ์เพื่อหาข้อสรุปที่เหมาะสมที่สุดจากสมาชิกและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เมื่อถึงเวลานั้นหากคำตอบที่ได้คือหมดหนทางในการซ่อมแซมแล้ว การรื้อเพื่อสร้างใหม่จึงสมควรเป็นทางออกสุดท้าย แต่ก่อนรื้อถอนควรต้องมีการจัดทำรายงานบันทึกข้อมูลอาคารเดิมไว้ให้ครบถ้วนมากที่สุด เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษา ซึ่งวิธีการสำรวจรังวัดและเขียนแบบ VERNADOC โดยนักศึกษาและสถาปนิกอาสาสมัครก็อาจเป็นทางเลือกหนึ่งที่สามารถกระทำได้
เพื่อให้วาระสุดท้ายของโบสถ์เก่าหลังนี้ได้กระทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ด้วยการให้ความรู้แก่ผู้ที่อาวรณ์ในคุณค่าทางศิลปะสถาปัตย กรรมยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์เมืองเชียงรายสืบไป.
.................
กรณีศึกษาเรื่องการอนุรักษ์โบสถ์เก่า
เกาหลี : อนุรักษ์ทั้งย่านไม่เฉพาะแต่อาคาร
โบสถ์ชองดง (อายุ 113 ปี) เป็นโบสถ์เรียบง่ายแบบวิคตอเรียนโกธิค สร้างด้วยอิฐแดง ตั้งอยู่ในถิ่นพำนักอาศัยของชาวต่างชาติที่เรียกว่าย่านชอง-ดง ย่านนี้เป็นเส้นทางเดินชมมรดกสถาปัตยกรรมอิทธิพลตะวันตกที่น่าสนใจย่านหนึ่งในกรุงโซล ซึ่งสถาปนิกหญิง โช อิน-ซุก (Cho In-souk) และ มร.โรเบิร์ต โคห์เล่อร์ (Robert Koehler) นักเขียนชาวอเมริกัน ได้คัดสรรไว้ในหนังสือชื่อ Seoul’s Historic Walks นับเป็นตัวอย่างที่ดีของการอนุรักษ์ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของเจ้าของอาคาร นักวิชาการ และหน่วยงานราชการ โดยผู้ที่มาเยี่ยมเยือนจะได้สัมผัสบรรยากาศและสถาปัตยกรรมเกาหลียุคเปิดประเทศเมื่อร้อยปีเศษที่ผ่านมา โบสถ์นี้นับเป็นสัญลักษณ์สำคัญของยุคแรกที่ชาวอเมริกันเข้ามามีอิทธิพลในเกาหลี สร้างในปี ค.ศ. 1898 และถูกขยายให้ใหญ่ขึ้นในปี ค.ศ. 1926 การเปลี่ยนรูปแบบจากแบบดั้งเดิมไปเล็กน้อย ทำให้อาคารหลังนี้เป็นตัวอย่างของโบสถ์โปรเตสแตนต์ยุคแรกที่โดดเด่นของเกาหลี และอันที่จริงโบสถ์นี้ยังเป็นสักการะสถานตามแบบตะวันตกที่เก่าแก่ที่สุดของเกาหลีอีกด้วย
สวีเดน : สงวนรักษาไว้เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ภาคภูมิ
โบสถ์โอสมาร์ค เมืองทอร์สบี (อายุ 246 ปี) เป็นโบสถ์คริสต์นิกายลูเธอรัน ของชุมชนสวีดิชเชื้อสายฟินน์ที่บรรพบุรุษอพยพจากฟินแลนด์เข้ามาตั้งรกรากอยู่ในประเทศสวีเดนตั้งแต่สมัยคริสต์ศตวรรษที่ 18 ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี สร้างเมื่อ ปี ค.ศ. 1765 มีการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อประมาณ 75 ปีที่แล้ว ในปีที่ผ่านมา ค.ศ. 2010 ได้มีการสำรวจรังวัดและเขียนแบบด้วยวิธี VERNADOC (Vernacular Documentation) โดยสถาปนิกและนักศึกษาอาสาสมัครจากประเทศฟินแลนด์ ไทย จีน และอียิปต์ ร่วมบันทึกคุณค่าของโบสถ์เพื่อการศึกษาทางวิชาการ ภายใต้การสนับสนุนจาก ICOMOS-CIAV (International Council on Monuments and Sites - International Committee of Vernacular Architecture) ในระหว่างกิจกรรมได้มีการบรรยายพิเศษจากชาวบ้านเกี่ยวกับประวัติชุมชนและโบสถ์ผ่านภาพถ่ายเก่า ตลอดจนเกร็ดชีวิตของบรรพบุรุษที่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโบสถ์แห่งนี้มาบอกเล่าให้แก่ผู้ร่วมโครงการจากนานาชาติด้วยความภาคภูมิใจ
โบสถ์คริสตจักรที่ 1 สำเหร่ กรุงเทพฯ (อายุ 101 ปี) คริสตจักรแห่งแรกของมิชชันนารีคณะอเมริกันเพรส ไบทีเรียนซึ่งเดินทางเข้ามาเผยแพร่ศาสนาในประเทศ ไทยเมื่อปี ค.ศ. 1840 พระวิหารหลังแรกสร้างในปี ค.ศ. 1860 ถูกรื้อสร้างใหม่ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นในปี ค.ศ. 1910 ในรูปแบบที่ใกล้เคียงของเดิม พระวิหารหลังปัจจุบันได้รับการซ่อมแซมดูแลด้วยกำลังของสมาชิกของโบสถ์มาโดยตลอด
โบสถ์คริสตจักรตรัง (อายุ 96 ปี) สร้างในปี ค.ศ. 1915 มีการซ่อมแซมพระวิหารหลังเดิมเป็นระยะมาโดยตลอด เมื่อมีผู้รับเชื่อเพิ่มมากขึ้น ได้สร้างอาคารนมัสการหลังใหม่ในพื้นที่ใกล้เคียงใน ค.ศ. 1990 โดยยังคงเก็บพระวิหารหลังเก่าไว้ และใช้ระบบโทรทัศน์วงจรปิดถ่ายทอดการประกอบพิธีกรรมไปยังอาคารนมัสการหลังใหม่.
จากเดลินิวส์ http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=494&contentId=133009
ขอบพระคุณท่านอาจารย์สุดจิต สนั่นไหว ที่กรุณาให้ข้อคิดเรื่องการรื้อคริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย ผ่านทางหนังสือพิมพ์ 'เดลินิวส์' ฉบับประจำวันเสาร์ที่ 16 เมษายน 2554 และผ่านทางหนังสือพิมพ์ 'กรุงเทพธุรกิจ' ฉบับประจำวันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน 2554 ข้อคิดของท่านเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างยิ่ง... ขอบพระคุณท่านอาจารย์ ดร.วันชัย มงคลประดิษฐ์ ที่ครั้งหนึ่งท่านได้กรุณาไปพูดให้ข้อคิดเรื่องนี้ที่คริสตจักรที่ 1 เวียง เชียงราย แต่กลุ่มผู้มีอำนาจไม่ฟังท่าน... ท่านเป็นคนนอก ท่านยังอาวรณ์ในคุณค่าทางศิลป-สถาปัตยกรรมยุคหนึ่งของประวัติศาสตร์เมืองเชียงราย แต่เหนือสิ่งอื่นใด ท่านกำลังช่วยกอบกู้ดวงใจอันปวดร้าวของเรา... ลูกหลานของบรรพบุรุษแห่งความเชื่อ ขอบพระคุณท่านอาจารย์ทั้งสองอีกครั้งค่ะ. อาทิตย์หน้า ก็คงจะเป็นที่แน่นอนแล้วล่ะครับว่า จะต้องขึ้นเป็นโบราณสถานหรือไม่ เพราะว่า เรื่องดังกล่าวได้เข้าสู่ที่ประชุมของกรมศิลปากรส่วนกลางเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และรอการลงนามของอธิบดีเท่านั้น ก็เป็นอันเสร็จสิ้นของกระบวนการ การขึ้นเป็นโบราณสถานต่อไป (สำนักศิลปากรที่ 8 เชียงใหม่ ได้ส่งหนังสือคำขอขึ้นเป็นโบราณสถานไปที่กรมศิลปากรส่วนกลาง เมื่อวันที่ 11 เมษายน ที่ผ่านมา หลังจากได้รับสำเนาการพิพากษาจากศาลปกครอง) ใครจะรื้อถอน ทุบทิ้ง ก็ควรให้คิดให้ดีนะครับ เพราะถ้าขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแล้ว ก็ถือเป็นสมบัติของชาติ (คิดก่อนทำ)
|
|
|
|
|
|
charming-tulip
บุคคลทั่วไป
|
|
« ตอบ #39 เมื่อ: วันที่ 23 เมษายน 2011, 12:13:20 » |
|
ในฐานะสมาชิก คจ.ที่ 1 ยังรักและผูกพันกับพระวิหารที่เคยมานมัสการตั้งแต่จำความได้จวบจนวันนี้ ดังนั้นหากสามารถอนุรักษ์และซ่อมให้พร้อมเข้ามานมัสการได้เหมือนเดิม ย่อมเป็นการดีกว่า เพราะสภาพปัจจุบันยังเพียงพอกับการร่วมนมัสการของสมาชิก ทุกครั้งที่เข้าโบสถ์ ความรู้สึกสงบ อบอุ่น และสันติสุขจะเต็มล้นอยู่ในหัวใจ เพียงข่าวคราวการรื้อถอนโบสถ์จะทำหลังวันที่ 24 เม.ย. พร้อมกับเลี้ยงมุทิตาจิต ศบ.อาวุโสที่ต่างรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นการสิ้นสุดการใช้งานท่าน ท่านก็เป็นเหมือนกับพระวิหารเก่าที่จะถูกรื้อถอน มีสมาชิกไม่น้อยแต่ไม่มีเสียงดังเพราะไร้ซึ่งอำนาจและเงินทองต่างก็รู้สึกเศร้าสลดและหดหู่ใจ เรามีแต่คำอธิษฐานวิงวอนของให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า เพราะพระเจ้ายิ่งใหญ่ที่สุดและเชื่อว่าไม่มีอำนาจใดที่ไม่ได้มาจากพระเจ้า
|
|
|
|