หญ้าจักรพรรดิ์
หญ้าจักรพรรดิ์
จะว่าไปแล้วในชีวิตการทำปศุสัตว์ของผมก็วนเวียนอยู่กับหญ้าเลี้ยงสัตว์ตระกูลเนเปียร์มาไม่น้อยกว่า 10 ปี เมื่อก่อนคนเลี้ยงวัวนมแถบ มวกเหล็ก-ปากช่อง จะคุ้นเคยกับหญ้าเนเปียร์ เนเปียร์ยักษ์ และที่ได้รับความนิยมมากที่สุดสมัยนั้น ก็คงจะได้แก่ เนเปียร์แคระ เพราะมี ใบดก อ่อนนุ่ม เหมาะกับวัวนมที่ค่อนข้างเลือกกินและเอาใจยาก
สมัยต่อมาก็เริ่มมีการนำเนเปียร์ลูกสมต่างๆเข้ามาใช้งานกันมากขึ้น จึงได้ลองสัมผัสกับหญ้าบาน่าที่โตดี ลำต้นใหญ่อวบ และพอจะตอบสนองน้ำในหน้าหนาวอยู่บ้าง หรือแม้กระทั่ง หญ้าอาลาฟัล ที่ดูแล้วน่าจะเป็นหญ้าลูกผสมของเนเปียร์แคระและชื่อก็อาจเพี้ยนมาจาก อีเลเฟ่น มาจาก Elephant Grass ซึ่งก็แปลได้ตรงๆ ว่า หญ้าช้าง อันเป็นชื่อเรียกทั่วไปของหญ้าสกุลเนเปียร์ ความคุ้นเคยกับหญ้าชนิดนี้มีมากทีเดียว เพราะได้ทุ่มเททำไร่หญ้าอาลาฟัลไปหลายปี ยอมรับในผลผลิตที่สูงและใบดกนุ่ม แต่ก็ต้องทำใจว่าถ้ากระทบอากาศหนาวก็ออกดอก และไม่ว่าจะตัด อัดปุ๋ย อัดน้ำ อย่างไรแตกออกมาใหม่ก็จะออกเป็นดอกอยู่เสมอ เรียกว่าหน้าหนาวไม่ต้องหวังผลผลิตกันเลยทีเดียว ไปรอให้อากาศอบอุ่นขึ้นเดือน มี.ค. นั่นแหละถึงจะเริ่มกันใหม่ จนช่วงหลังมีหญ้าลูกผสมเนเปียร์เข้ามาเพิ่ม ที่เรียกว่า หญ้าไต้หวัน ก็ผลผลิตดี สามารถแตกกอได้มากแต่ก็ใบค่อนข้างเรียวเล็ก
หญ้าชนิดใหม่ล่าสุดจากเมืองจีน
หน่วยงานพืชอาหารสัตว์กว่างซี (กวางสี)ประเทศจีน ได้ทำการพัฒนาปรับปรุงพันธ์หญ้าเนเปียร์ลูกผสมพันธุ์ใหม่ให้ดีกว่าเดิม และทำการส่งเสริมกระจายพันธุ์ไปทั่วประเทศ โดยทางการจีนตั้งชื่อให้ว่า ซินสวินฮว๋างจู๋ฉ่าว เป็นพันธุ์ลูกผสมระหว่าง ระหว่าง Pennisetum purpureum กับ Pennisetum alopecuroides (Chinese Pennisetum – หญ้าเนเปียร์ของจีน เรียกหญ้าหางหมาจิ้งจอก) บ้างก็ว่ามีการผสม Pennisetum americanum hybrid (Bana Grass) เข้าไปด้วย เป็นหญ้าที่เจริญเติบโตได้ดี มีคุณค่าทางอาหารสูง สัตว์ชอบกิน ในปี คศ. 2004 ได้เริ่มส่งออกขายให้ประเทศเกาหลี
หญ้าชนิดนี้ มีอายุหลายปี ลักษณะของลำต้นเป็นกอแบบตั้งตรง สูงประมาณ 3-4 เมตร แตกกอดี มีใบดกหนากว้างและไม่ทิ้งใบ ไม่ติดเมล็ด มีระบบรากที่แข็งแรง แตกรากขึ้นมาจนถึงข้อที่3-4จากดินด้วย
ข้อมูลจากเวบ
http://www.gdhzc.com/tp.htm กล่าวว่ามี โปรตีนหยาบ 18.46 % โปรตีนละเอียด 16.68 % ไขมัน 1.74 % เถ้า 9.91 % เยื่อใย 17.7 % พลังงาน 3.54/กก. เยื่อใยรวมทั้งหมด 25.26 % เจริญเติบโตได้ดีที่อุณหภูมิ 15 C ขึ้นไป(เหมาะสม 25-35 C) ปริมาณน้ำฝนต้องการ 1000 มม./ปี ปลูก 1 ไร่จะได้น้ำหนักสด 40 -50 ตัน/ปี ถ้าดูแลดีจะได้ 60 ตัน/ปี
จากจีนมาถึงเมืองไทยแล้ว
หญ้าตัวนี้ถูกนำเข้ามาจากเมืองจีน โดยลุงลิ้ม Patric Lim และ ผอ.ต้อย เจ้าของ IT Farm 2008 และได้ทำการทดลองปลูกจนผ่านหน้าหนาวปลายปี 2552 มาแล้วที่ SK พัทยาแรนซ์ โดย คุณสุริยา กิจสำเร็จ ยืนยันว่าไม่ออกดอกเมื่อกระทบหนาว และยังสามารถให้ผลผลิต เติบโตได้ดีตลอดฤดูหนาวอีกด้วย
บางท่านอาจจะแปลชื่อภาษาจีนนี้เป็นไทยว่า หญ้าเมืองจีน ไผ่ราชันย์ หญ้าไผ่จอมราชันย์ หรือ หญ้าจ้าวแผ่นดิน แต่ลุงลิ้มบอกว่า ถ้าจะถอดความหมายจากภาษาจีนได้ถูกต้องไพเราะและเหมาะที่สุด ก็ควรจะเรียกชื่อหญ้าชนิดนี้ว่า หญ้าจักรพรรดิ์
วิธีการปลูก
ระยะปลูก ถ้าตามตำราของเมืองจีน ใช้ 50 x 100 ซม แต่จากประสบการณ์ ในเมืองไทยควรใช้เหมือนระยะของหญ้าสกุลเนเปียร์ คือ 1x1 เมตร จะเหมาะสมที่สุด ขุดหลุมประมาณ 1หน้าจอบ รองขี้วัว1กำมือคลุกเคล้าให้เข้ากัน วางท่อนพันธุ์เฉียง 45องศา ให้ข้ออยู่จมดินประมาณ 1-2นิ้ว ปลูกหลุมละ 1-2ท่อน และท่อนพันธุ์ควรถูกแช่ด้วยน้ำยาเร่งรากก่อนนำมาปลูกประมาณ 1-2วัน (ส่วนใหญ่ผู้ขายจะแช่น้ำยามาให้แล้ว)
ช่วงปลูกใหม่ต้องการน้ำมาก หมั่นรดน้ำให้ชุมทุกวัน แต่อย่าให้น้ำท่วมขัง หลังปลูกประมาณ 3-4อาทิตย์ สำหรับการเติบโตสู้วัชพืช ควรทำการกำจัดวัชพืชให้ ส่วนใหญ่จะทำเพียงแค่ครั้งเดียว หลังจากนั้นหญ้าจักรพรรดิ์ก็จะโตได้เร็วกว่าและสามารถสู้วัชพืชได้แล้ว
สำหรับคำถามที่ว่า ปลูกด้วยหน่อกับท่อนพันธุ์ อย่างไหนดีกว่ากัน จากการทดลอง ในช่วงแรกอาจจะมีความต่างกันเล็กน้อย แต่อัตรารอดดีเหมือนกัน ส่วนการแตกกอ ช่วงแรกดูเหมือนการปลูกด้วยหน่อจะแตกกอได้มากกว่านิดหน่อย แต่พอโตผ่านเดือนไปแล้วหลังจากกำจัดวัชพืชและใส่ปุ๋ย ผลที่ได้ก็โตทันกันจนดูไม่เห็นความแตกต่างกัน จึงไม่จำเป็นต้องผลิตหน่อพันธุ์เพราะยุ่งยากและล่าช้ากว่า
พื้นที่ปลูกที่เหมาะสม
หญ้าจักรพรรดิ์เป็นหญ้าสกุลเนเปียร์ ที่ขึ้นได้ดีในดินหลายประเภท ไม่ว่าจะ ดินลูกรัง ดินทราย ดินเหนียว ทนแล้งแต่ไม่ทนน้ำท่วมขัง ตามรายงานกล่าวว่าต้องการน้ำฝน 1000 มม. / ปี เมื่อเปรียบเทียบกับอ้อยเมืองไทยที่ต้องการน้ำฝน 1200-1500 มม. / ปี จึงเห็นได้ว่าหญ้าชนิดนี้ถ้าพื้นที่แห้งแล้งแต่ปลูกอ้อยได้ก็สามารถปลูกหญ้าจักรพรรดิ์ได้เช่นกัน สำหรับพื้นที่นาที่ลุ่มที่อาจจะมีน้ำท่วมขัง แนะนำให้ยกร่องเพื่อระบายน้ำก็จะสามารถปลูกได้ แต่หญ้าชนิดนี้มีความต้องการแสงแดด ถ้าปลูกใกล้ร่มเงาหรือร่มสวนผลไม้จะให้ผลผลิตต่ำลงมาก ดังนั้นควรเลือกปลูกในบริเวณที่ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ
สรุปว่า สามารถปลูกได้ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ขอเพียงให้ได้รับแดดจัดและน้ำไม่ท่วมขัง
การเก็บเกี่ยวผลผลิต
ในการตัดครั้งแรก จะใช้เวลาประมาณ 75-90วัน คือไม่เกิน 3เดือน จากนั้นในการตัดครั้งต่อไป ก็จะไม่เกิน 45วัน แต่ถ้าช่วงฝนชุก เพียงแค่ 30 วันก็ได้ขนาดสำหรับตัดแล้ว วิธีการตัด เหมือนกับหญ้าสกุลเนเปียร์ทั้งหลาย คือควรตัดให้ชิดดินที่สุด ถ้าเหลือข้อไว้จะมีแขนงออกมาจากข้างข้อซึ่งลำเล็กและผลผลิตต่ำ ถ้าตัดชิดดินจะแตกเป็นหน่อใหม่ออกมามีขนาดโตอวบอ้วนงามกว่า
ผลผลิตที่ได้ สามารถนำไปให้วัวกินได้เลยโดยไม่ต้องบดสับ จากการทดลองสังเกตุได้ว่า ถ้าตัดที่ความสูงยังไม่เกินหน้าอก วัวเนื้อจะเคี้ยวลำต้นได้จนหมด แต่ถ้าลำแก่แข็งกว่านั้นควรเข้าเครื่องสับเสียก่อน หรือจะนำไปทำหญ้าหมักถนอมอาหารไว้ใช้ในยามขาดแคลนก็ได้ แต่ควรระวังเรื่องน้ำมาก วิธีแก้ไข ตัดแล้วควรผึ่งแดดไว้ประมาณ1วัน หรือใช้หญ้าที่มีอายุ 60-70วันแทน
การให้ปุ๋ย
ควรใส่ปุ๋ยขี้วัวหรือยูเรียพร้อมกับการกำจัดวัชพืชในครั้งแรก และใส่ทุกครั้งหลังตัดเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยการใส่ขี้วัวประมาณครึ่งบุ้งกี๋ หรือถ้าสามารถใส่ปุ๋ยยูเรีย 1 ช้อนต่อกอได้ก็จะดีมาก จะทำให้หญ้าใบเขียวเข้มดกงามดี และถ้าจะให้ดีกว่านั้นเมื่อเก็บเกี่ยวไป2-3รอบ ควรสลับมาให้ปุ๋ยสูตรเสมอ 15-15-15 บ้าง
เรื่องของการให้ปุ๋ยนี้ไม่ว่าพืชชนิดใด ถ้าเราตัดใช้บ่อยๆ แล้วไม่เติมปุ๋ยให้เมื่อดินจืดจนถึงที่สุดย่อมจะให้ผลผลิตต่ำ แต่สิ่งที่คนมองกันไม่เห็นด้วยตาเปล่า และไม่ค่อยได้นึกถึงก็คือคุณค่าทางอาหาร ถ้าไม่ให้ปุ๋ยเลยหญ้าในรุ่นหลังจะเหลือโปรตีนเท่าไหร่ งานวิจัยต่างๆหลายงานก็บ่งบอกเปอร์เซนต์โปรตีนของพืชอาหารสัตว์ จะมากน้อยก็ขึ้นอยู่กับการให้ปุ๋ยนั่นเอง ถ้าขาดปุ๋ยไนโตรเจนพืชอาหารสัตว์ที่เคยได้โปรตีนสูงก็จะลดต่ำลงไปมากจนน่าใจหาย ดังนั้น หญ้าที่ได้ก็แทบจะไม่มีคุณค่าทางอาหารเหลือเลย นี่คือเหตุผลหลักที่เราควรใส่ขี้วัวหรือปุ๋ยยูเรียให้กับพืชอาหารสัตว์ของเรา
เทคนิคการใส่ขี้วัว จากที่เคยปลูกหญ้าตระกุลเนเปียร์มาหลายชนิด การใส่ขี้วัวสามารถใส่ลงไปที่โคนกอได้เลยไม่ว่าจะเป็นขี้วัวสดหรือแห้ง ยืนยันว่าทนได้ตามแบบฉบับหญ้าตระกูลเนเปียร์ไม่ต้องกลัวร้อนกลัวเน่า หรือจะทำบ่อเกรอะรองรับน้ำฉีดล้างคอกและขี้วัวให้ไหลมารวมกัน แล้วสูบไปรดหญ้าโดยตรงเลยก็ได้
การให้น้ำ
ถ้าสามารถวางระบบให้น้ำได้ ก็จะมีผลผลิตสูงต่อเนื่องตลอดปี และสามารถใช้ปลูกร่วมกับการให้น้ำได้ทุกระบบ ทั้ง สปริงเกิ้ลน้ำเหวี่ยง ท่อน้ำหยด เทปน้ำหยด หรือ ปล่อยไหลไปตามร่องหน้าดิน ถ้าวางแผนระบบน้ำหยดไว้ดีก็อาจจะใส่ปุ๋ยไปพร้อมกับระบบให้น้ำได้เลย จะยิ่งช่วยประหยัดเวลาได้อีกมาก
ข้อดีหรือจุดเด่นของหญ้าจักรพรรดิ์
ทนหนาว ทนแล้ง ผลผลิตต่อไร่สูง โปรตีนสูง หญ้าจักรพรรดิ์ สามารถเติบโตได้ดีในอุณหภูมิหนาวได้ต่ำถึง 15 องศา นั่นหมายถึงหน้าหนาวในบ้านเราหญ้าชนิดนี้จะไม่พักตัวแน่นอน แค่คิดว่าปลูกแล้ววัวของเราจะมีหญ้าสดกินตลอดปี ก็คุ้มเหลือหลายแล้ว เพราะอย่างไรเสียหญ้าสดก็ย่อมมีคุณค่าครบถ้วนดีกว่าฟางหรือหญ้าหมักแน่นอน
แต่ไม่ใช่แค่นั้น หญ้าจักรพรรดิ์ ยังมีรายงานวิจัยรับรองว่าสามารถให้โปรตีนได้สูงถึง18.46% นั่นหมายถึงเราสามารถลดต้นทุนอาหารข้นได้ ถ้าเราใช้หญ้าตัวนี้ สำหรับเรื่องผลผลิต ผลการวิจัยยืนยันว่าในพื้นที่ 1 ไร่ ให้ผลผลิต 40-50 ตัน/ปี และถ้าดูแลดีก็จะได้ผลผลิตถึง 60 ตัน / ปี
ลำต้นแก่ไม่แข็งเท่าหญ้าเนเปียร์ชนิดอื่น ข้อดี ตัดให้กินสดไม่สับบด จะเหลือก้านลำต้นน้อยกว่าอาลาฟัล เพราะนิ่มวัวเคี้ยวได้เกือบหมด ถ้าเป็นอาลาฟัลจะต้องมาเก็บลำต้นออกไปทิ้งเกือบทั้งหมด จากจุดนี้ที่ดีเหนือกว่าหญ้าเนเปียร์ชนิดอื่น จึงสามารถช่วยให้เจ้าของฟาร์มประหยัดเงินและเวลาไปได้อีก นั่นคือ
- ตัดง่าย เร็วกว่า และไม่เปลืองใบมีด จากที่เคยตัดหญ้าอาลาฟัลลำต้นแก่ทุกวัน ผมใช้ใบมีดของแท้ ไม่เกิน2เดือนหมดคม
- ถนอมเครื่องตัดหญ้า เพราะตัดง่าย จึงไม่ต้องเร่งกำลังรอบของเครื่องมาก ก็เท่ากับเครื่งไม่โทรมไว และ ที่สำคัญ ประหยัดน้ำมันกว่า
- เมื่อลำต้นอ่อนนุ่มกว่าก็ทำให้ตัดง่าย ทำให้ประหยัดเวลาในการตัดมากขึ้น
- ถ้าเอาไปเข้าเครื่องสับ ก็จะได้ข้อดีเหล่านี้ด้วยเช่นกัน คือ สับง่าย ประหยัดเวลา ประหยัดน้ำมัน เครื่องไม่โทรม ไม่ต้องลับใบมีดเครื่องหรือตั้งใบมีดบ่อย
สิ่งเหล่านี้คือต้นทุนแฝงของคนเลี้ยงวัวทั้งนั้นครับ
ข้อดีอีกประเด็น เกี่ยวกับใบที่หนากว้างและดก จึงได้เนื้อใบเยอะ เมื่ออัตราส่วนของใบมากขึ้น โปรตีนก็สูง ทำให้นำไปเลี้ยงสัตว์อื่นๆได้อีกหลายชนิดนอกจากวัว ทั้ง แพะ แกะ ม้า หรือแม้กระทั่ง ไก่งวง หนูตะเภา กระต่าย หรือ สุกร(ในเมืองจีนใช้เลี้ยงสุกรด้วย) ส่วนเรื่องขนและความคายคันของใบก็มีบ้างตามสไตล์กลุ่มเนเปียร์ยักษ์แต่ไม่ถึงกับคันมาก เรียกว่าไม่หนักหนาคนเลี้ยงวัวแน่นอน และขอบใบก็ไม่คมด้วย
ทำไมถึงต้องปลูก
ปัจจุบันการเลี้ยงวัวหรือทำปศุสัตว์แบบต้อนไปเลี้ยงหัวไร่ปลายนา ตามที่รกร้างนับวันจะหาที่เลี้ยงได้ยากขึ้นทุกที และแม้กระทั่งการไปหาตัดหญ้าตามข้างทางก็หายากและได้คุณภาพไม่ดีสม่ำเสมอ ดังนั้นถ้าเราคิดจะมีฝูงปศุสัตว์ เราควรปลูกพืชอาหารสัตว์ให้มีเพียงพอเสียก่อนเพื่อความมั่นคงของกิจการปศุสัตว์ของเรา
เมื่อเปรียบเทียบความต่างระหว่างบ้านเรากับฝูงวัวที่ Texas ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่นั่นเขาได้เปรียบเรื่องพื้นที่เป็นอย่างมาก วัวของเขามีพื้นที่แปลงหญ้ามากมายมหาศาล วัว1ตัวใช้ที่เกิน10ไร่ แม้จะเป็นหญ้าLine ต้นเล็กๆ แต่ความที่มีพื้นที่กว้างขวาง ทำให้วัวของเขาเรียกได้ว่าไม่ขาดแคลนหญ้าเลย เขาจึงมีเวลามาทำงานอื่น มาคิดพัฒนาปรับปรุงฟาร์มของเขาได้ดียิ่งขึ้น แต่สำหรับชาววัวบ้านเราแล้ว บางวันแค่หาตัดหญ้าให้วัวกินให้เพียงพอ ก็แทบจะหมดเวลาไปทั้งวันแล้ว หรือไม่ก็บางฟาร์มหมดทุนไปกับการซื้อหญ้าและอาหารหยาบต่างๆให้วัวที่ฟาร์มจนแทบไม่เหลือกำไร
แต่เมื่อมาลองนึกดูแล้ว ประเทศไทยเองก็มีดินดี น้ำดี อุณหภูมิเหมาะสมกับการเพาะปลูกมากกว่าพื้นที่ของเขามากมาย ถ้ามุมกลับกัน เราปลูกหญ้าคุณภาพดีให้ได้ผลผลิตต่อไร่สูงๆ เราก็สามารถเลี้ยงวัวได้มากมายเช่นกันแม้จะใช้พื้นที่น้อยกว่าเขา ดังนั้นการปลูกหญ้าคุณภาพดีให้เพียงพอจึงเป็นเรื่องของความมั่นคงก้าวหน้าของกิจการฟาร์มอย่างแท้จริง