เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 22:40:45
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  การเกษตร,ฟาร์มสัตว์,ปศุสัตว์ (ผู้ดูแล: bm farm)
| | |-+  ## โปรโมชั่นลดราคา สินค้าเกษตร ถูกมาก สุดคุ้ม ด่วน!! ที่ KOKOMAX.COM
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 ... 17 พิมพ์
ผู้เขียน ## โปรโมชั่นลดราคา สินค้าเกษตร ถูกมาก สุดคุ้ม ด่วน!! ที่ KOKOMAX.COM  (อ่าน 54575 ครั้ง)
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #60 เมื่อ: วันที่ 11 มกราคม 2016, 23:34:44 »


ทุกวันนี้ คนไทยรุ่นใหม่สนใจทำอาชีพการเกษตรกันน้อยลง เพราะมองว่า อาชีพการเกษตรเป็นงานที่หนัก ทำงานเหนื่อยยาก สายตัวแทบขาด แต่ได้ผลตอบแทนต่ำ ไม่คุ้มค่ากับการลงทุน ความจริง ภาคการเกษตรยังมีอีกหลายอาชีพที่น่าสนใจ เช่น อาชีพการปลูกกล้วยตานีเพื่อขายใบตอง ที่ใช้เงินลงทุนน้อย แต่ให้ผลตอบแทนสูง เรียกว่าฟันผลกำไรงามมาก ถึงร้อยละ 90 กันเลยทีเดียว

ในฉบับนี้ ขอพาท่านผู้อ่านไปพูดคุยกับ “คุณปรีชา เวฬุมาศ” หรือที่ผู้คนในชุมชนเรียกติดปากว่า “กำนันปรีชา” เกษตรกรคนเก่งรายนี้ประสบความสำเร็จในเส้นทางอาชีพการปลูกกล้วยตานีเพื่อตัดใบขาย จนสร้างฐานะครอบครัวได้อย่างมั่นคง ปัจจุบัน กำนันปรีชาและครอบครัวพักอาศัยอยู่ บ้านเลขที่ 28/2 หมู่ที่ 10 ตำบลย่านยาว อำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย โทร. (087) 349-9322

กำนันปรีชา มีจุดเริ่มต้นจากชีวิตชาวนา มีที่ดินทำกิน จำนวน 70 ไร่ แต่เส้นทางอาชีพชาวนาของเขากลับไม่ราบรื่น แม้ทำงานหนัก แต่ไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ เนื่องจากทำนาปลูกข้าวได้แค่ปีละครั้ง และขายข้าวได้ราคาถูก เขาเป็นเกษตรกรที่ทำงานสู้ชีวิต เมื่อเว้นว่างจากการทำนา ก็หารายได้เสริม มารับจ้างสอยใบตองให้กับสวนกล้วยของเพื่อนบ้าน ทำให้รู้ว่า อาชีพการทำสวนกล้วยตานีเพื่อขายใบตอง ให้ผลตอบแทนที่ดีมาก
เมื่อ 10 กว่าปีก่อน เขาตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพ หันมาปลูกกล้วยตานีเพื่อตัดใบขาย โดยกู้เงินจากธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เพื่อสร้างสวนกล้วยตานีเป็นของตัวเอง นับว่า อาชีพนี้ถูกโฉลกกับดวงชะตาเขามากที่สุด เพราะช่วยสร้างฐานะครอบครัวให้มั่นคง และสร้างรายได้ที่ยั่งยืนมาจนถึงทุกวันนี้

ในครั้งแรก กำนันปรีชาทดลองปลูกกล้วยตานีเพื่อขายใบ เพียงแค่ 5-6 ไร่ ปรากฏว่า สามารถสร้างรายได้รายวัน เฉลี่ยวันละ 200-300 บาท ทำให้เขาเกิดกำลังใจ ที่จะมุมานะทำงานมากขึ้น เริ่มจากขยายพื้นที่การปลูกกล้วย พร้อมกับพัฒนาช่องทางการตลาดควบคู่กันไป ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นหลายพันบาทต่อวัน

เมื่อกำนันปรีชามั่นใจว่า เขาเลือกเส้นทางอาชีพที่เหมาะสมกับตัวเองได้แล้ว ก็ไม่รีรอที่จะขยายกิจการอย่างต่อเนื่อง จนทุกวันนี้เขามีพื้นที่ทำสวนกล้วยตานีกว่า 240 ไร่ ซึ่งเป็นที่ดินส่วนตัวของกำนันปรีชา จำนวน 70 ไร่ นอกนั้นเป็นที่ดินเช่าเพื่อนำมาปลูกกล้วย โดยจ่ายค่าเช่าในอัตรา 1,500 บาท ต่อไร่ ต่อปี คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม เพราะการทำสวนกล้วย สามารถขายใบตอง เครือกล้วย ปลีกล้วย ทุกส่วนของต้นกล้วยขายได้ทั้งหมด แล้วยังเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ตลอดปี หลังหักค่าใช้จ่ายแล้ว ยังมีเงินเก็บฝากธนาคารได้ทุกปีแล้ว ยังมีเงินเหลือใช้สำหรับเปลี่ยนรถยนต์ใหม่ได้ทุกๆ 1-2 ปีอีกด้วย
การปลูกดูแลสวนกล้วยตานี

ที่ผ่านมา ภาครัฐได้จัดหาเครื่องสูบน้ำด้วยพลังงานไฟฟ้าเข้ามาใช้ในระบบชลประทานของพื้นที่ตำบลย่านยาว ทำให้สวนกล้วยตานีเพื่อตัดใบตองในท้องถิ่นแห่งนี้ จึงมีน้ำสำหรับใช้ดูแลสวนกล้วยตลอดทั้งปี ทำให้ต้นกล้วยไม่ขาดน้ำและเจริญเติบโตสมบูรณ์ ให้ผลผลิตที่ดี ตรงตามความต้องการของตลาด
การทำสวนกล้วยตานีของกำนันปรีชา เริ่มต้นจากการเตรียมดิน โดยใช้รถไถพรวนด้วยผาล 3 ระเบิดดินก่อนสัก 1 ครั้ง ก่อนปรับพื้นที่สวนให้เรียบ เพื่อไม่ให้น้ำขัง และไถพรวนด้วยผาล 7 ย่อยดินก่อนปลูก กำนันปรีชาจะเริ่มลงมือปลูกกล้วยในช่วงหน้าฝน ประมาณเดือนพฤษภาคม-เดือนกรกฎาคม
สำหรับ พื้นที่ 1 ไร่ จะใช้หน่อกล้วย 250 หน่อ ขุดหลุมกว้างลึก 30 เซนติเมตร ปลูกให้เหง้าอยู่ใต้ดิน 6-8 นิ้ว กลบดินบริเวณโคนให้แน่น ปลูกในระยะห่างประมาณ 5 ศอก ในท้องถิ่นแห่งนี้ มักเจอปัญหาพายุลมร้อนในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ทำให้ใบตองแตกได้ กำนันปรีชาจึงวางแผนป้องกันโดยปลูกไม้ผลไม้ยืนต้น เช่น ต้นมะม่วง มะปราง ฯลฯ รอบแปลง เพื่อเป็นแนวกันลมรักษาคุณภาพใบตองไม่ให้แตกฉีกขาด

เมื่อต้นกล้วยตานี แตกใบออกมาที่ส่วนยอด กำนันปรีชาจะเริ่มดูแลใส่ปุ๋ย สูตร 46-0-0 จำนวน 2 กระสอบ เพื่อบำรุงต้นกล้วยตานีในพื้นที่ปลูกทุกๆ 5 ไร่ ที่นี่จะนิยมใส่ปุ๋ยในช่วงฤดูฝน เฉลี่ยปีละ 2-3 ครั้ง และคอยสังเกตจากสภาพความสมบูรณ์ของต้นกล้วยตานี หากพบว่าใบกล้วยมีสีเขียวเข้ม แสดงว่า สภาพต้นสมบูรณ์ แข็งแรง ไม่ขาดธาตุอาหาร หากใบตองแก่มีสีจาง แสดงว่า ธาตุอาหารในดินเริ่มหมด ก็จะเติมปุ๋ยเคมีบริเวณโคนต้นกล้วยอีกครั้ง
สวนกล้วยตานีปลูกดูแลง่าย ไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรคและแมลงศัตรูพืช แต่หน้าฝน อาจเจอ ด้วงงวงเจาะลำต้น หรือปัญหาใบตองเป็นรอยพรุนบ้างประปราย ก็แก้ไขปัญหาแบบง่ายๆ โดยให้ธาตุเหล็ก คือ มีดอีโต้ ตัดฟันต้นกล้วยหรือใบตองเจ้าปัญหาทิ้งซะ เมื่อใบตองรุ่นใหม่แตกยอดออกมาก็มีใบสวยพริ้ง ไร้ริ้วรอยพรุนให้เห็นกวนใจอีก ส่วนปัญหาวัชพืชที่ขึ้นในแปลงกล้วย ที่นี่จะไม่ใช้ยาฆ่าหญ้าประเภทยาดูดซึมฉีดพ่นทำลายวัชพืช เพราะเสี่ยงทำให้ต้นกล้วยโทรมได้ ต้องอาศัยแรงงานคนทำหน้าที่กำจัดวัชพืชในแปลงกล้วยแทน

การเก็บเกี่ยว

หลังปลูกดูแลต้นกล้วยตานีไปได้ ประมาณ 6 เดือน ก็เริ่มเก็บเกี่ยวใบตองออกขายได้บางส่วน โดยทั่วไปต้นกล้วยตานีจะให้ผลผลิตเต็มที่ เมื่ออายุครบ 1 ปี การทำสวนกล้วยตานีแห่งนี้ จะทยอยตัดใบตองแบบหมุนเวียนกันไป โดยตัดใบกล้วย ออกขายทุกๆ 15 วัน กล้วยตานี 1 ต้น จะตัดใบตองได้ 2 ยอด พื้นที่ปลูก 1 ไร่ จะได้ใบตอง จำนวน 500 ยอด ภายหลังการเก็บเกี่ยว จะใส่ปุ๋ย สูตร 15-15-15 ปีละครั้ง ในช่วงฤดูฝนประมาณเดือนพฤษภาคม โดยพื้นที่ปลูก 5 ไร่ จะใส่ปุ๋ย จำนวน 2 กระสอบ
อย่างที่บอกตั้งแต่แรกว่า การทำสวนกล้วยตานีให้ผลตอบแทนที่สูงมาก นอกจากขายใบตองเป็นสินค้าหลักสร้างรายได้เข้ากระเป๋าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 40,000-50,000 บาทแล้ว กำนันปรีชายังมีรายได้เสริมจากการขายหัวปลี หัวละ 4 บาท เครือกล้วยอ่อน ขายหวีละ 4 บาท สำหรับผลกล้วยอ่อน ชาวอีสานนิยมนำมาสับเพื่อปรุงรสเป็นส้มตำ หรือ “ตำกล้วย” นั่นเอง ขณะที่ชาวปักษ์ใต้นิยมนำกล้วยอ่อนไปยำหรือผัด
แม้กระทั่งต้นกล้วยที่ออกเครือแล้วก็ยังมีประโยชน์ทางการค้า กำนันจะตัดต้นกล้วยไปตากให้แห้ง ขายในลักษณะปอแห้ง ในราคากิโลกรัมละ 6 บาท เรียกว่า ต้นกล้วย 1 ต้น สามารถสร้างรายได้ทุกส่วนกันเลยทีเดียว จึงไม่น่าประหลาดใจกับคำกล่าวของกำนันปรีชาที่ว่า สวนกล้วยที่ปลูกใหม่ แค่ตัดใบตองออกขายเพียงเดือนเดียว ก็มีรายได้คุ้มกับค่าเช่าที่ดินตลอดทั้งปีแล้ว

การทำสวนกล้วยตานีเพื่อขายใบ ถือเป็นอาชีพที่สบาย แถมให้ผลตอบแทนที่ดีมากๆ เพราะลงทุนปลูกแค่ครั้งเดียว สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้เรื่อยๆ เมื่อเข้าสู่ปีที่ 2-3 ต้นกล้วยตานีจะขยายหน่อปลูกได้เอง เมื่อต้นแม่ตาย ก็จะแตกหน่อสร้างทายาทรุ่นใหม่ขึ้นมาแทนที่สม่ำเสมอ ทำให้มีจำนวนต้นกล้วยต่อไร่มากขึ้นแล้ว ยังตัดใบตองออกมาได้มากขึ้นอีกด้วย
การจัดการหลังเก็บเกี่ยว

ท้องถิ่นแห่งนี้นิยมตัดใบตอง วันละ 2 ครั้ง คือ ช่วงเช้าและเย็น โดยคนงานจะใช้ตะขอสอยที่ก้านใบลงมา และขนกลับไปที่บ้านกำนัน โดยนำใบตองกองบนพื้น รดน้ำและใช้ผ้าใบคลุมไว้ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น ไม่ให้ใบตองเหี่ยว หลังจากนั้น ภรรยากำนัน ลูกสาว และคนงานจะนั่งล้อมวงช่วยกันทำงานอย่างขะมักเขม้น เพื่อดูแลตัดแต่งใบตองก่อนพับใบตองและมัดซ้อนกันอย่างสวยงาม จนได้น้ำหนักเฉลี่ย มัดละ 5 กิโลกรัม ก่อนส่งขายแม่ค้าขาประจำ ช่วงแล้งเกษตรกรสามารถขายใบตองได้ในราคาสูง ประมาณ มัดละ 40 บาท แต่ช่วงหน้าฝน ใบตองมีราคาถูก ขายได้เพียง มัดละ 20 บาท เท่านั้น
ด้านตลาด

กำนันปรีชา บอกว่า ตลาดใบตองเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะเป็นที่ต้องการของตลาดในประเทศ ลูกค้ากลุ่มใหญ่คือ ร้านค้าหมูยอในภาคอีสาน นิยมซื้อใบตองตานีจากสวนแห่งนี้ไปใช้ เพราะใบตองของกำนันปรีชามีคุณภาพดี เมื่อนำไปนึ่งผ่านความร้อน ใบตองไม่ดำ เนื้อใบตองจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอ่อนสะดุดตาลูกค้า

นอกจากนี้ ใบตองตานีของไทยยังเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มยุโรป อเมริกา และเอเชีย เนื่องจากมีร้านอาหารไทยอยู่เป็นจำนวนมากในกลุ่มประเทศเหล่านี้ และนิยมสั่งซื้อใบตองตานีจากไทยไปใช้ประดับตกแต่งจานอาหารและห่อขนมไทย ราคาใบตองตานีของไทยขายได้ราคาแพง เฉลี่ยยอดละ 100 บาท เพราะใบตองตานีของไทย มีคุณภาพดี ในเรื่องความสด ใบสวย เหนียวและหนา เมื่อนำไปห่อขนมไทยจะไม่กรอบแตกง่ายเหมือนกับใบตองชนิดอื่น

หากใครต้องการเยี่ยมชมหรือแลกเปลี่ยนความรู้เรื่องการทำสวนกล้วยตานีเพื่อขายใบ สามารถติดต่อ กำนันปรีชา เวฬุมาศ ได้ตามที่อยู่ข้างต้น หรือที่เบอร์โทร. (087) 349-9322 กำนันปรีชายินดีแบ่งปันข้อมูลกับผู้สนใจทุกท่าน
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก มติชนออนไลน์ นะคะ

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com

ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน LINE ID: @KOKOMAX
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #61 เมื่อ: วันที่ 18 มกราคม 2016, 10:01:55 »



“ข่า” สมุนไพรป้องกันกำจัดแมลงวันทอง
แมลงวันทอง หรือแมลงวันผลไม้ เป็นศัตรูพืชที่สำคัญอย่างหนึ่งของเกษตรกรที่ปลูกพืชผักและผลไม้ต่างๆ ซึ่งแมลงวันทองก็มีหลายชนิด บางชนิดเข้าทำความเสียหายให้กับผลผลิตของเกษตรกรตั้งแต่ผลไม้ยังมีขนาดเล็ก จนถึงผลไม้ที่สุกแก่ บางชนิดเข้าทำลายพืชผักต่างๆ เกษตรกรต่างก็มีวีการ ในการป้องกันกำจัดได้หลายวิธี เช่น การทำกับดักเหยื่อล่อ

เหยื่อล่อแมลงวันทองนั้น มีทั้งเป็นสารสังเคราะห์ที่มีวางจำหน่าย และเกษตรกรยังสามารถใช้พืชสมุนไพรต่างๆ มาเป็นเหยื่อล่อได้อีกด้วย เช่น กระเพรา ,พลับพลึง , เล็บมือนาง , เดหลีใบกล้วย ฯลฯ โดยพืชเหล่านี้จะมีกลิ่นคล้ายกลิ่นของแมลงวันทองเพศเมีย ดังนั้นการใช้สมุนไพรที่ดึงดูดแมลงวันทองจะสามารถกำจัดได้เฉพาะแมลงวันทองเพศผู้เท่านั้น

นอกจากนี้ยังมีพืชสมุนไพรที่มีพิษต่อแมลงวันทอง เช่น มีกลิ่นที่แมลงวันทองไม่ชอบ หรือมีพิษต่อแมลงวันทอง ดังนั้นการใช้สมุนไพรที่ป้องกันและกำจัดแมลงวันทองจะเป็นการไล่หรือป้องกันการวางไข่ของแมงวันทอง ได้แก่ ข่า

ส่วนที่ใช้ : เหง้า

วิธีการใช้
วิธีที่ 1. ตำข่า 200 กรัม เมล็ดสะเดา 200 กรัม ตะไคร้หอม 200 กรัม แช่ผสมกันในน้ำ 20 ลิตร สารสกัดที่ได้ 1 ลิตร ผสมน้ำ 1 ปี๊บ ฉีดฆ่าแมลงศัตรูพืช

วิธีที่ 2. ตำข่าแก่ 1 กิโลกรัม แช่ในน้ำ 20 ลิตร นาน 1 คืน นำน้ำที่ได้ไปฉีดพ่น
- ฉีดทุกๆ 5 วัน เพื่อป้องกันแมลงวันทองมาวางไข่

ขอบคุณ (คุณปิยะ ปกเกตุ ผู้เขียน)

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com

ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน LINE ID: @KOKOMAX
IP : บันทึกการเข้า
24hr
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,208


ซื่อสัตย์และสัจจะ คือสิ่งสำคัญ


« ตอบ #62 เมื่อ: วันที่ 18 มกราคม 2016, 20:59:31 »

ตามที่ผมได้สั่งซื้อสินค้าจากท่านไปแล้วเกิดปัญหาขึ้น คือ กระป๋องที่ใช้บรรจุเชื้อไตรโคเดอร์เกิดฟองตัวมา จนเชื้อซึมออกมาเหลือไม่ถึงครึ่งขวด ตามที่ได้แจ้งท่านไว้ในไลน์ และท่านว่าจะติดต่อกลับมาวันจันทร์ ก็คือวันนี้ แต่ท่านกลับเงียบ ไป  ก็ไม่ว่ากันครับ    แต่ผลิตภัณฑ์และกระป๋องที่ใช้บรรจุ ท่านควรตรวจสอบและทำสินค้าของท่านให้ได้มาตราฐานมากกว่านี้ครับ จะได้ไม่มีเสียงสะท้อนกลับมา  อนึ่ง ใช่ผมจะดิสเครดิตท่าน นะครับ แต่การทำธุรกิจ  ควรมีมาตราฐานในการบรรจุและการตรวจสอบสินค่าให้ดี ก่อน นำส่งลูกค้าอย่างผม ครับ.
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #63 เมื่อ: วันที่ 19 มกราคม 2016, 09:06:12 »



เว็บช็อปปิ้งด้านเกษตรอินทรีย์อันดับ 1 ที่http://www.kokomax.com/

โทร.061-405-8899
LINE: @KOKOMAX
Facebook: kokomaxthailand
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #64 เมื่อ: วันที่ 25 มกราคม 2016, 07:41:13 »


มูลไส้เดือน อย่างดี ใช้ใส่ต้นไม้ บำรุงดิน เพื่อธาตุอาหาร ให้ดินร่วนซุย ทำให้รากแตกแขนงดี อุ้มน้ำ มีธาตุอาหารหลัก และธาตุอาหารรองครบถ้วน ตามที่พืชต้องการ ไม่มีสารพิษ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและธรรมชาติ

อัตราการใช้ ไม้ดอกไม้กระถาง 2-3 ช้อนโต๊ะ 7 วัน/ครั้ง พืชผัก สวนครัว 1 กก./ 3 ตารางเมตร 7 วัน/ครั้ง กล้วยไม้ ใช้น้ำมูลไส้เดือนฉีดพ่น

สินค้าบรรจุเป็นแพ็คคู่ 1.ปุ๋ยมูลไส้เดือน 1 กิโลกรัม 2.น้ำมูลไส้เดือน 1 ขวด 500 ซีซี. ราคา 190 บาท คุ้มมากๆ

รายละเอียดเพิ่มเติมที่ http://kokomax.com/product-th-0-6656320-มูลไส้เดือน+จากฟาร์ม+ศรีธนา.html

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
Call Center 061-405-8899
Line : @KOKOMAX
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #65 เมื่อ: วันที่ 28 มกราคม 2016, 17:10:19 »


ไคโตซาน จีที (GT)  ไคโตซานแท้ 100% รับประกันคุณภาพ เห็นความแตกต่างแน่นอน

ไคโตซาน จีที (GT) เป็นสารโพลิเมอร์ธรรมชาติ สกัดจากเปลือกกุ้งแท้ 100%

1.ดูดซึมได้ทางใบสามารถนำพาปุ๋ยเข้าทางใบได้อย่างดีเยี่ยม

2.ลดปริมาณการสูญเสียปุ๋ยทางใบและทางดินได้ อย่างมาก

3.เร่งการเจริญเติบโต อัตราการงอก การแตกราก สร้างความสมบูรณ์ของพืชได้อย่างชัดเจน

4.กำจัดและต่อต้านโรคพืชโดยเฉพาะเชื้อราหลายชนิด เช่น ไฟทอปเทร่า (รากเน่าโคนเน่า)

5.สามารถผสมได้กับสารอื่น ๆ โดยไม่ทำให้ประสิทธิภาพของสารอื่น ๆ ลดลง

6.ปริมาณการใช้ต่ำ คุ้มค่า ปลอดภัย เป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการทำเกษตรปลอดสารพิษได้เป็นอย่างดี

7.เร่งการแตกตา แตกยอดของชวนชม กล้วยไม้และไม้ประดับ

8.เร่งรากกล้วยไม้ เช่น แคนทารียา ฟาแลน แวนด้า หวาย9.สร้างความสมบูรณ์ของดอกกล้วยไม้ ดอกจะอยู่ได้นาน

10.ต่อต้านรากเน่าโคนเน่าของพืช

11.เพิ่มผลผลิตและลดการ ให้ปุ๋ย

12.เพิ่มอัตราการงอกสำหรับเมล็ดพืชพันธุ์

13.สามารถประยุกต์ใช้กับงานเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ แปลงอนุบาลกล้าไม้

14.เพิ่มอัตราการงอกของเมล็ดพืช


อัตราการใช้ ไคโตซานจีที (GT)   20 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร  ฉีดพ่นเช้ามีแดดทุก 7-15 วัน

ขนาดและราคา ขนาด 1,000 ซีซี ราคา 250 บาท


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ

Call Center 061-405-8899

Line: @KOKOMAX

เว็บไซต์  สินค้าเกษตรมากมายที่ http://www.kokomax.com
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #66 เมื่อ: วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2016, 12:47:20 »



เคล็ดวิชาปลูกผัก ๗ กลุ่ม

๑. ผักกะหล่ำ ผักคะน้า และผักสลัด
- เป็นผักที่เรากินใบ เช่น ผักคะน้า ผักกาดขาว ผักกวางตุ้ง ผักกาดเขียว กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ผักสลัดต่างๆ
- กดดินเป็นหลุมลึกครึ่งเซนติเมตร หยอดเมล็ดหลุมละ ๕-๗ เมล็ด แล้วกลบดินทับบางๆ คลุมด้วยฟางหนา ๑ เซนติเมตร รดน้ำ
- พอต้นกล้างอก นับใบจริงได้ ๒-๓ ใบ ใช้กรรไกรตัดต้นอ่อนให้เหลือหลุมละ ๓ ต้นเมื่อมีใบจริง ๔ ใบตัดเหลือ ๒ ต้น ใบจริง ๕ ใบตัดเหลือ ๑ ต้นที่แข็งแรงที่สุด (ต้นอ่อนที่ตัดทิ้งนำมากินได้เลย กรอบอร่อย)
- ผักกลุ่มนี้ต้องการความชุ่มชื้น รดน้ำให้ชุ่มเสมอ อย่าให้แห้ง เฉพาะผักสลัดตั้งกระถางในร่มหรือแสงรำไร
- ระยะเก็บเกี่ยว : ผักคะน้า ผักกาดขาว ผักกวางตุ้ง ผักสลัด ๔๕ วัน ผักกาดเขียว ๖๐ วัน กะหล่ำต่างๆ ๗๕-๙๐ วัน
- ถ้าเป็นช่วงฤดูหนาว เก็บผักโดยเหลือใบไว้กับต้น ๒ ใบ ต้นจะงอกใบใหม่ให้เก็บได้อีก ๒-๓ ครั้ง

๒. ผักบุ้ง ผักชี
- เป็นผักที่เรากินใบ เช่น ผักบุ้งจีน ผักชี ขึ้นฉ่าย
- ผักบุ้งให้กดดินเป็นร่องตามยาวแล้วโรยเมล็ดเป็นแถวลงในร่อง กลบดินทับบางๆ คลุมด้วยฟางหนา ๑ เซนติเมตร แล้วรดน้ำ
- ผักชีกับขึ้นฉ่ายให้ปลูกแบบเดียวกับผักกะหล่ำ
- ผักบุ้งจีนต้องการแดดทั้งวัน แต่ผักชีและขึ้นฉ่ายชอบให้มีร่มเงาบ้าง
- ผักกลุ่มนี้ต้องการความชุ่มชื้น รดน้ำให้ชุ่มเสมอ อย่าให้แห้ง
- ระยะเก็บเกี่ยว : ผักบุ้งจีน ๓๐ วัน ผักชี ๔๕-๖๐ วัน ขึ้นฉ่าย ๖๐-๙๐ วัน

๓. แมงลัก โหระพา กะเพรา และผักชีฝรั่ง
- เป็นผักที่เรากินใบ เช่น แมงลัก โหระพา กะเพรา ผักชีฝรั่ง
- แมงลัก โหระพา กะเพรา ปลูกแบบเดียวกับผักกะหล่ำ หมั่นเด็ดดอกทิ้งเพื่อให้ต้นและใบเจริญเติบโตเต็มที่
- ผักชีฝรั่งนอกจากปลูกด้วยเมล็ดแบบผักกะหล่ำแล้ว ยังใช้ลำต้นที่มีรากติดปักชำได้ด้วย
- แมงลัก โหระพา กะเพรา รดน้ำวันละครั้งก็พอ ส่วนผักชีฝรั่งชอบความชุ่มชื้น อย่าให้แห้ง
- ระยะเก็บเกี่ยว : โหระพา กะเพรา แมงลัก ๔๕ วัน ผักชีฝรั่ง ๖๐ วัน

๔. แตงและถั่วบางชนิด
- ผักกลุ่มนี้เป็นไม้เถาเลื้อยที่เราเก็บกินผล เช่น บวบหอม ฟักเขียว แตงกวา แตงร้าน แตงไทย ฟักทอง น้ำเต้า มะระ ถั่วฝักยาว ถั่วแขก ถั่วพู ตำลึง
- หยอดเมล็ดโดยวางหลุมละ ๕ เมล็ด (ห่างกัน) แล้วกดหลุมลึกลงไปในดิน ๒-๔ เซนติเมตร คลุมฟางในหลุมหนา ๒ เซนติเมตร กลบดินให้ปิดเมล็ด
- รดน้ำแล้วปักไม้ค้างสำหรับให้พืชเกาะไว้ ถ้าปักหลังจากต้นงอกแล้วอาจโดนรากพืชขาดเสียหาย
- พอต้นกล้างอกมีใบเลี้ยงและใบจริงนับได้ ๖-๗ ใบ ถอนเหลือแต่ต้นแข็งแรงไว้หลุมละ ๓ ต้น ปล่อยโตทั้ง ๓ ต้น ไม่ต้องถอนอีก
- ห้ามพรวนโคนต้น เพราะจะทำให้รากขาด ต้นผักจะอ่อนแอต่อโรคและแมลง
- ระยะเก็บเกี่ยว : ๔๐-๖๐ วัน

๕. พริก มะเขือ
- เป็นผักที่เรากินผล เช่น พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า มะเขือเปราะ มะเขือยาว มะเขือพวง มะเขือเทศ
- กลุ่มนี้ต้องเพาะกล้าก่อน โดยใช้ภาชนะพลาสติกโปร่งๆ หรือถ้วยพลาสติกเจาะรูที่ก้นจนพรุน สูงไม่เกิน ๑๐ เซนติเมตร ใส่ดินในภาชนะแล้วหว่านเมล็ดให้กระจายบนผิวดิน กลบดินทับบางๆ รดน้ำ ใส่ภาชนะในถุงพลาสติก มัดปากถุง แล้วตั้งทิ้งไว้ ไม่ต้องรดน้ำอีก
- เมื่อต้นกล้ามีใบเลี้ยง ๒ ใบ แกะถุงออก รดน้ำวันละครั้งจนมีใบจริง ๒ ใบ ให้ย้ายไปลงในถุงเพาะชำสีดำขนาด ๒ นิ้ว (ซื้อได้ตามร้านขายต้นไม้ทั่วไป) จนต้นโตมีใบจริง ๕-๖ ใบ จึงย้ายต้นลงในกระถางจริง รดน้ำให้ชุ่ม
- ระยะเก็บเกี่ยว : มะเขือ ๙๐ วัน พริก ๑๒๐ วัน

๖. หอม กระเทียม
- เป็นผักที่เราเก็บหัวมาใช้ เช่น ต้นหอมหรือหอมแบ่ง หอมแดง กระเทียม
- ปลูกโดยใช้หัวที่เก็บไว้นาน ๔ เดือนแล้วเอามาตัดรากแห้งออก แยกหัวออกเป็นหัวเดียว ฝังลงดินให้ปลายหัวเสมอผิวดิน เว้นระยะระหว่างต้น ๕ เซนติเมตร คลุมฟางทับหนา ๑ เซนติเมตร รดน้ำ
- เมื่อต้นงอกได้ ๑๕ วันจึงค่อยใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก
- ต้นหอมต้องหมั่นกำจัดวัชพืช และรดน้ำให้ดินชุ่มชื้นอยู่เสมอ
- ระยะเก็บเกี่ยว : ต้นหอม ๔๕ วัน หอมแดง ๖๐ วัน กระเทียม ๙๐ วัน

๗.ขิง ข่า
- เป็นผักที่เราเก็บเหง้าใต้ดินมาใช้ เช่น ขิง ข่า กระชาย ขมิ้นขาว ขมิ้นชัน
- ใช้แง่งขิงหรือขมิ้นแก่มาตัดเป็นท่อนๆ ยาว ๑ นิ้ว สำหรับข่าให้ใช้ส่วนที่ติดต้นเหนือดินไว้บางส่วน กระชายให้ตัดรากออก
- เอาปูนแดงทาตรงรอยแผลที่ตัด ทิ้งให้แผลแห้งแล้วจึงนำมาฝังดินลึก ๑๐-๑๕ เซนติเมตร คลุมฟางทับ รดน้ำ
- รดน้ำวันละ ๑ ครั้ง
- ระยะเก็บเกี่ยว : ขิง ๑๒๐ วัน ข่า ขมิ้น กระชาย มากกว่า ๒๔๐ วัน แต่ถ้าต้องการขิงข่าอ่อนเก็บได้ใน ๓๐ วัน
- เดือนพฤศจิกายน-เมษายน เป็นช่วงที่ขิงข่าพักตัวทิ้งต้นเหลือแต่เหง้าใต้ดิน เดือนพฤษภาคมจึงงอกต้นขึ้นใหม่

ข้อมูล : ภาพ // เกษตรอินเตอร์เชียงใหม่

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com/

ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน LINE ID: @KOKOMAX
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #67 เมื่อ: วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2016, 09:43:07 »


เปิดรับสมัครตัวแทนจัดจำหน่าย ทั่วประเทศ ร่วมงานกับสินค้าและบริการคุณภาพ ผลิตภัณฑ์การเกษตรชีวภาพ KOKOMAX ขายดีอันดับ 1 เพียงอำเภอละ 1 ตัวแทนเท่านั้น!!!

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
โทร.061-405-8899
ไลน์. @KOKOMAX

เว็บไซต์ http://www.kokomax.com/
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #68 เมื่อ: วันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2016, 16:14:32 »


ตะลึง! "ผักกาดขาวบิ๊กไซส์" หนัก 2.8 กิโลกรัม

เมื่อวันที่ 11 ก.พ. นางขนิษฐา อคะทสึคะ กรรมการมูลนิธิศูนย์ฝึกอบรมเกษตรกรรมและอาชีพ ต.หงส์หิน อ.จุน จ.พะเยา เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิฯ ได้สำรวจแปลงผักสวนครัวภายในมูลนิธิฯ พบว่าผักกาดขาวหัวใหญ่มาก แต่ละหัวมีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 1.5 กก. บางหัวหนักถึง 2.8 กก. ซึ่งเจ้าหน้าที่ตัดไปขายที่ตลาดสดใกล้กับมูลนิธิฯ เพียงราคาหัวละ 15 บาท เท่านั้น เป็นพืชที่ใช้น้ำน้อยและดูแลง่ายๆ ด้วยการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ พื้นที่แปลงสำหรับปลูกผักกาดขาวดังกล่าว ใช้ปุ๋ยหมักและปุ๋ยคอกจากมูลสัตว์มาผสมเป็นอาหารของพืชผัก ผักในแปลงของมูลนิธิฯ ทั้งหมดจึงเป็นพืชผักปลอดภัย ผู้บริโภคสามารถมั่นใจในความปลอดภัยได้ในพืชผักของมูลนิธิฯ ทุกชนิด

กก.มูลนิธิฯ กล่าวต่อว่า ผู้ที่มาเยี่ยมชมสวนตื่นเต้นและขอซื้อผักกาดขาวหัวใหญ่กันจำนวนมาก ทั้งนี้ผักกาดขาวที่มูลนิธิฯ ได้ปลูกไว้นั้นเป็นผักกาดขาวซึ่งเป็นพันธุ์พื้นเมืองทั่วไป ใช้เวลาปลูก 2 เดือน สามารถเก็บผลผลิตแล้ว เป็นพืชที่ใช้น้ำไม่มาก ปลูกเป็นรายได้เสริมอย่างดีในฤดูแล้ง เป็นวิธีการที่ใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นดั้งเดิม ไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตราย ประกอบกับชาวบ้านใกล้มูลนิธิฯ มีปุ๋ยคอกมาให้มูลนิธิฯใช้ในแปลงเกษตร ฟางข้าวทางมูลนิธิฯ ได้มีการจัดเก็บเป็นฟางอัดแท่งนำไปใช้ทำกิจกรรมและแปลงเกษตร ทำให้เกิดความชุ่มชื้นให้พืชผักได้เป็นอย่างดี

“นวัตกรรมธรรมชาติที่ไม่ยุ่งยากในแปลงผักของมูลนิธิฯ ทำขึ้นเพื่อเป็นแหล่งศึกษาและเรียนรู้ด้านการจัดการเกษตรปลอดภัย จะมีนักศึกษาจากต่างประเทศ เช่น สปป.ลาว รวมทั้งนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยภายในประเทศหลายแห่ง เข้ามาศึกษาเรียนรู้เรื่องการทำเกษตรกรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันสังคมไทยได้ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหาสุขภาพอย่างมาก ดังนั้นจึงได้ใส่ใจเรื่องอาหารปลอดภัยมากขึ้น” นางขนิษฐา กล่าวย้ำ

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก ข่าวสดออนไลน์ นะคะ

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com/

ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน LINE ID: @KOKOMAX
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #69 เมื่อ: วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2016, 08:31:07 »


เชื้อราบิวเวอร์เรีย ตรา ลาเซียน่า ใช้กำจัดเพลี้ยและศัตรูพืช

เชื้อราบิวเวอร์เรีย เป็นจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรคกับแมลง ซึ่งสามารถทำลายแมลงได้หลายชนิด กลไกการเข้าทำลายแมลงของเชื้อบิวเวอร์เรีย คือเมื่อสปอร์ของเชื้อราสัมผัสกับผิวของแมลง ในสภาพความชื้นเหมาะสม จะงอกเส้นใยผ่านสู่ผิวหนังลำตัวแมลง แล้วขยายจำนวนเจริญอยู่ภายในโดยใช้เนื้อเยื่อของแมลงเป็นอาหาร แมลงจะตายในที่สุด ภายในระยะเวลาต่างๆ ขึ้นอยู่กับ ชนิด ขนาด และวัยของแมลงโดยทั่วไปประมาณ 3-10 วัน


ผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพชนิดผง มีผลกำจัดเพลี๊ยทุกชนิด ไรแดง แมลงหวี่ขาว ได้ผล 100 %

- ประกอบด้วย เชื้อราบิวเวอร์เรีย บาสเซียน่า และเมธาไรเซี่ยม แอนิโซเฟีย
- สามารถกำจัดเพลี๊ย แมลง ได้ 100 % ได้ผลดีกว่า

- สามารถกำจัด เพลี๊ยอ่อน เพลี๊ยไฟ ไรแดง แมลงหวี่ขาว เพลี๊ยกระโดด เพลี๊ยจั๊กจั่น หนอนกอ หนอนห่อใบ แมลงสิง แมลงเหล่า ด้วงหมัดผัก ทั้งช่วงตัวอ่อนและวัยแก่
 
- ควรฉีดพ่นให้โดนตัวแมลงศัตรูพืชจะเป็นผลดี

 
เชื้อราบิวเวอร์เรีย บิวเวอร์เรียแบบซอง 500 กรัม

เชื้อราบิวเวอร์เรีย ลาเซียน่า ใช้ได้กับ  เพลี้ยและหนอน แมลงสิง แมลงเหล่า เพลี้ยแป้ง เพลี้ยไฟ ไรแดง แมลงหวี่ขาว ด้วงหมัดผัก แมลงศัตรูพืชทุกชนิด  ทั้งในนาข้าว สวน พืชไร่ มันสำปะหลัง ข้าวโพด อ้อย มะม่วง น้อยหน่า ละมุด ส้ม ฝรั่ง ทับทิม องุ่น ทุเรียน มะละกอ กล้วยไม้  เยบีร่า  กุหลาบ เบญจมาศ  ดาวเรือง มะระ มะเขือ แตงโม ถั่วฝักยาว บวบ พริก


เชื้อราบิวเวอร์เรีย ลาเซียน่า  ใช้ป้องกันได้คุ้มค่าปลอดภัย

เชื้อราบิวเวอร์เรีย  ...  ราคาซองละ   170  บาท  /  500  กรัม

ขนาดและวิธีใช้เชื้อราบิวเวอร์เรีย  ลาเซียน่า

 

เชื้อราบิวเวอร์เรีย  50 กรัม / น้ำ20-25ลิตร   พ่นได้ทุกระยะการระบาด   หรือทุกๆ  7-10  วัน

 

เพิ่มพลังสูงสุดเมื่อใช้ร่วมกับ บีที-โกลด์


*ขนาดถุงละ 500 กรัม ราคา 170 บาท จัดส่งฟรี!!

 
โปรโมชั่นสั่งซื้อครบ 10 ถุง แถมฟรี 2 ถุง


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ

Call Center  061-405-8899

LINE ID:  @KOKOMAX

เว็บไซต์  http://www.kokomax.com
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #70 เมื่อ: วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2016, 23:55:19 »


หนุ่มสกลนคร เลี้ยงไก่ดำ ทำรายได้จาก ไข่ เนื้อ พันธุ์ ฟันกำไรไม่หยุด

“ไก่ดำ” เป็นปศุสัตว์ท้องถิ่นที่กำลังได้รับความนิยมจากเกษตรกรมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคอีสานซึ่งถือเป็นแหล่งพันธุ์ไก่ดำ มีเกษตรกรเลี้ยงกันอย่างแพร่หลาย เพราะด้วยคุณสมบัติที่เลี้ยงง่าย สามารถเลี้ยงแบบเดียวกับไก่พื้นเมืองทั่วไป ที่สำคัญจำหน่ายได้ราคาที่ดี เนื่องจากมีจุดเด่นเรื่องสีของลำตัว ว่ากันว่ามีสรรพคุณทางยาและมีคุณค่าทางโภชนาการสูง

คุณวรวิทย์ มะโนชัย หรือ คุณโป้ง เป็นอีกผู้หนึ่งที่ยึดการเลี้ยงไก่ดำ ภายใต้ชื่อฟาร์มไก่ดำวรัมพร ตั้งอยู่ที่บ้านดงมะไฟ ตำบลขมิ้น อำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร (โทร. 08-1237-0127, 08-3332-5273) เพราะเห็นถึงคุณสมบัติด้านการบำรุงร่างกายของไก่ดำช่วยให้สุขภาพดีขึ้น จึงได้เสาะหาสายพันธุ์ไก่ดำมาเลี้ยงเพื่อให้คุณแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งอยู่ในขณะนั้นได้รับประทาน พร้อมกับจำหน่ายให้เพื่อนบ้านละแวกนั้นบ้างเล็กน้อย

“ไก่ดำมีคุณสมบัติเป็นยาช่วยชะลอการขยายตัวของโรคมะเร็งได้ หรือป่วยในระยะแรก ๆ ก็อาจหายขาดได้ นอกจากนี้ ไก่ดำยังมีสารแทนนินเป็นสารสีดำที่ช่วยชะลอความแก่ในผู้ชาย ลดปวดประจำเดือนในผู้หญิง และบำรุงระบบสืบพันธุ์หญิง ทำให้คนส่วนมากสนใจและหันมาบริโภคและเลี้ยงไก่ดำกันมากขึ้น”

คุณวรวิทย์ บอกว่าปัจจุบันฟาร์มมีไก่ดำแม่พันธุ์อยู่ประมาณ 100 ตัว สายพันธุ์ที่เลี้ยงหลัก ๆ มี พันธุ์ภูพาน พันธุ์เคยู และพันธุ์มองโก พร้อมกับนำมาผสมข้ามสายพันธุ์กับไก่คอล่อน ซึ่งเป็นไก่พื้นเมืองของทางภาคใต้ที่มีขนาดตัวใหญ่ ผลผลิตที่ออกมามีคุณภาพเนื้อที่ดี โตเร็ว แต่ยังคงจุดเด่นของไก่ดำแต่ละสายพันธุ์เอาไว้อย่างครบถ้วน อย่างสายพันธุ์มองโก กับเคยู จะโตเร็ว โครงสร้างใหญ่เหมาะกับการเพาะนำลูกมาเลี้ยงขุน ซึ่งจะเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่พันธุ์ภูพานเลี้ยงง่าย ต้านทานโรค ถ้าเอาไปเลี้ยงสามารถปล่อยให้หากินเองตามธรรมชาติเหมือนไก่บ้านทั่วไป

“การนำเอาไก่ทั้งสามพันธุ์นี้มาทำเป็นพันธุ์คอล่อนก็เพื่อให้ไก่มีอกตัน ตัวหนัก และทนทานต่อโรคได้ดี เนื่องจากไก่คอล่อนเป็นพันธุ์ของทางใต้ ซึ่งก็เป็นที่รู้จักกันดี อย่างคอล่อนพัทลุง ส่วนสายพันธุ์ภูพานเป็นของจังหวัดสกลนคร ด้วยความที่อยากเลี้ยงไก่ท้องถิ่น แต่อยากให้น้ำหนักไก่ดีกว่าปกติ จึงนำมาผสมพันธุ์เป็นไก่คอล่อนภูพาน คอล่อนเคยู และคอล่อนมองโก”

การจัดการการเลี้ยงไก่

รูปแบบโรงเรือนที่ใช้เลี้ยงไก่ของทางฟาร์ม ไม่ได้ยุ่งยากอะไรมากนัก อย่างแม่พันธุ์ที่ค่อนข้างเลี้ยงง่าย และไม่มีปัญหาด้านสุขภาพมากนัก ก็ใช้โรงเรือนที่เป็นคอกคอนกรีตปูพื้นด้วยแกลบ (เปลี่ยนแกลบทุก 2-3 เดือน) ส่วนจำนวนไม่ได้กำหนดตายตัวว่าต่อตารางเมตรต้องเลี้ยงเท่าไร เพียงแค่ให้ไก่มีที่หลับนอน และหลบแดดหลบฝนได้อย่างมิดชิดเท่านั้น เพราะถ้าไก่ถูกฝนก็ป่วยและเสียหายได้ ส่วนการดูแลพ่อพันธุ์แม่พันธ์ที่ฟาร์มจัดอัตราส่วน 1 ต่อ 5 คือตัวผู้ 1 ตัวต่อตัวเมีย 5 ตัว แล้วก็ให้กินอาหารผสม แล้วปล่อยให้หากินตามธรรมชาติ กินแมลงบ้าง ให้ออกกำลังกายบ้าง สำหรับอาหารที่ใช้เลี้ยง ถ้าเป็นไก่เล็กก็ให้อาหารไก่เนื้อระยะแรกเกิด เมื่อโตขึ้นมาหน่อยก็เปลี่ยนสูตรอาหารที่ให้ แต่ยังคงเป็นอาหารไก่เนื้อเช่นเดิม พอเป็นไก่รุ่นก็เปลี่ยนมาให้อาหารผสมเอง ที่ใช้วัตถุดิบจำพวกหัวอาหาร ปลายข้าว รำ พร้อมทั้งเสริมพวกหญ้าให้กินด้วย

“สิ่งที่ฟาร์มให้ความสำคัญที่สุดคือ การฟักไข่ เพราะเป็นปัจจัยสำคัญของการให้ผลผลิต ถ้าไข่ฟักออกมามาก ฟาร์มก็มีผลผลิตมากนั่นเอง การฟักไข่ฟาร์มจึงใช้เครื่องฟักไข่ ที่ได้พัฒนาขึ้นมาเอง ซึ่งทำให้การฟักมีประสิทธิภาพดีกว่า เนื่องจากถ้าหากแม่ไก่ฟักไข่เอง ต้องใช้เวลากกไข่นานถึง 21 วัน เมื่อลูกไก่ออกจากไข่ แม่ไก่ต้องใช้เวลาเลี้ยงอีก 1 เดือน ทำให้แม่ไก่โทรม อีกทั้งยังเสียเวลาการให้ผลผลิตชุดต่อ ๆ ไป ด้วย แต่ถ้าใช้เครื่องฟักไข่ หลังจากแม่ไก่ให้ไข่ก็นำเข้าตู้ฟัก แม่ไก่ไม่ต้องกกเอง สามารถผสมพันธุ์และให้ไข่ชุดต่อไปได้ทันที ที่สำคัญไข่ที่ฟักออกจากตู้สามารถนำมาเลี้ยงอนุบาลในกรง ซึ่งจัดการได้ง่ายกว่าด้วย”

ผลผลิตและการตลาด

ในเรื่องของผลผลิต ไก่ดำภูพานโดยเฉลี่ยแล้วจะให้ผลผลิตดี ไข่ดก ฟองใหญ่ ซึ่งในหนึ่งปีจะให้ผลผลิตประมาณ 200 กว่าฟอง แต่ถ้าเป็นไก่ดำเคยู จะได้ผลผลิตประมาณปีละ 100 ฟอง ส่วนเรื่องของตลาดไม่ได้ออกไปหาตลาดเอง แต่จะมีผู้มารับซื้อถึงฟาร์ม โดยจะขายทั้งไข่และลูกไก่เป็นหลัก ราคาไข่มีเชื้อที่เกษตรกรต้องนำไปฟังเอง ขายอยู่ที่ฟองละ 50 บาท ส่วนลูกไก่จะขายดีสุดเป็นลูกไก่ดำพันธุ์เคยู ตัวสีขาว มีเท่าไรก็ไม่พอจำหน่าย ถ้าเป็นลูกไก่ดำภูพานจะขายตัวละ 60-70 บาท ส่วนไก่ดำเคยูขายได้ 80 บาท

ส่วนพ่อแม่พันธุ์ความต้องการเวลานี้มีค่อนข้างมาก ทั้งยังมีราคาที่ดี แต่เชื่อว่ากระแสความนิยมตรงนี้มีอีกประมาณ 1-2 ปี จากนั้นผู้เลี้ยงส่วนใหญ่ก็น่าจะมุ่งไปที่ตลาดเนื้อเป็นหลัก ซึ่งไก่เนื้อของฟาร์มจะนำออกไปขายเองที่ตลาดบ้าง คือพอไก่โตก็จะคัดตัวผู้ไปขายที่ตลาด สัปดาห์ละครั้งหรือเดือนละครั้ง โดยราคาไก่เนื้อชำแระขายอยู่ที่กิโลกรัมละ 250-300 บาท ขึ้นอยู่กับแต่ละช่วงของปี

คุณวรวิทย์ บอกว่าถ้าเกษตรกรรายอื่นสนใจเลี้ยงก็อยากจะแนะนำว่า ก่อนอื่นต้องมีพื้นที่ อย่างน้อยก็ต้องทำเล้า เช่นถ้าเลี้ยงไว้บริโภคเองสัก 5 ตัว ก็ควรมีเล่าขนาด 4x4 เมตร พร้อมมีพื้นที่ให้ไก่ได้ออกหากินบ้าง ปัจจัยหลัก ๆ ก็มีเพียงเท่านี้ ส่วนเรื่องสายพันธุ์ค่อยมาดูทีหลัง ถ้าจะเลี้ยงแบบปล่อยแนะนำให้เลี้ยงสายพันธุ์ภูพาน แต่ถ้าจะเลี้ยงขุนแบบขังกรง แนะนำให้เลี้ยงสายพันธุ์เคยูหรือมองโก เนื่องจากคล้ายกับไก่พื้นเมืองทั่วไปและตัวใหญ่กว่า แต่ภูพานจะโตช้าแต่ทนโรค

“อนาคตถ้าคนกินไก่ดำเยอะขึ้นตลาดก็มีมากขึ้น แต่ตอนนี้คนไทยยังกินน้อยอยู่ เนื่องจากว่าไก่มีเนื้อดำดูไม่น่ารับประทาน แต่จริง ๆ แล้วเจ้าตัวไก่ดำนี้แหละเป็นของมีประโยชน์ ก็ได้พยายามบอกเกษตรกรที่มารับซื้ออยู่เสมอว่า อย่าเลี้ยงเพื่อเน้นขาย เพราะไก่ดำมันมียุคของมัน หากแต่ให้เลี้ยงเอาไว้กินก่อน เหลือแล้วค่อยขายผลผลิตจะได้ไม่ล้นตลาด ซึ่งไก่ดำมีจุดเด่นตรงสรรพคุณ คนที่สนใจเท่านั้นจึงจะเห็นคุณค่าของไก่ดำ” คุณวรวิทย์ กล่าวในที่สุด

ข้อมูล / ภาพ : เกษตรกรก้าวหน้า

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com/

ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน LINE ID: @KOKOMAX
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #71 เมื่อ: วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2016, 22:24:53 »


น่าสน! เลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อซีเมนต์ เลี้ยงง่ายโตไว ขายได้ราคาดี

บทความการเกษตรมีมาฝากกันอีกแล้วครับ เรียกว่ายุกคนี้ต้องหันไปทำเกษตรกันแล้วเป็นอาชีพที่มาแรงจริงๆ แม้แต่คุณพี่เชษฐ์ สไมล์บัฟฟาโล่ อดีตสมาชิกวงดนตรีดัง มีเงินเป็นล้านๆ ยังหันมาทำนาเลย นับเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เลยครับ

หลังจากก่อนหน้านี้ที่เราเคยนำเสนอวิธีการเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อพลาสติก มาฝากพี่น้องให้ได้อ่านได้นำไปทดลองกันนั้น ปรากฎว่าได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก แถมยังมีบางท่านที่เลี้ยงเองอยู่แล้วมาช่วยเสริมว่าดีจริงๆ เลี้ยงขายแล้วมีรายได้งดงาม ขายได้ถึงกิโลกรัม 100-200 บาทเลยทีเดียว

แหล่งจำหน่ายนั้นหาไม่ยาก ตามตลาดหรือหมู่บ้านก็ขายหมดแล้ว จึงเป็นสิ่งที่น่าจะต่อยอดได้ครับ วันนี้จึงไปนำเอาอีกหนึ่งวิธีการเลี้ยงกุ้งฝอยมาให้ได้นำไปทดลองกันอีกครั้ง

เผื่อใครที่ไม่สะดวกในการขุดบ่อ สามารถใช้วิธีนี้ไปเลี้ยงได้เลยครับ นั่นก็คือ การเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อซีเมนต์ นั่นเองครับ
ขั้นตอนแรกครับ

เตรียมพืชน้ำ ตามธรรมชาติที่หาได้อย่างเช่น ผักตบชวา หญ้าขน สาหร่ายเป็นต้น เพื่อนำมาปลูกในบ่อ

สายยางสำหรับฉีดน้ำในบ่อเพื่อกระตุ้นให้กุ้งวางไข่
ตาข่ายสำหรับปิกปากบ่อ เพื่อป้องกันสัตว์อื่นๆ ลงไปในบ่อกุ้งของเราหรือพวกยุงลงไปวางไข่ เป็นต้นครับ

เมื่อเตรียมอุปกรณ์ครบทุกอย่างแล้ว ก็จัดพื้นที่ส่วนที่จะเลี้ยงกุ้งตามความเหมาะสมของท่าน และความสะดวกของพื้นที่บ้าน วางบ่อวงซีเมนต์ (เพื่อป้องกันน้ำซึมแห้งให้เทพื้นรองก้นบ่อ และก่อนใส่ดินอาจจะปูด้วยพลาสติกก้ได้น่ะครับ )

นำดินใส่ลงไปในบ่อวงซีเมนต์ ที่ก้นบ่อประมาณ 1-10 เซนติเมตร และเติมน้ำเข้าไปให้เกือบเต็มบ่อ

นำพืชน้ำที่เตรียมไว้ลงไปปลูก โดยพืชน้พนี้จะเป็นที่อาศัยของกุ้งฝอย และช่วยในการปรับสภาพน้ำในบ่อด้วย

หลังจากนั้นให้นำกุ้งฝอยปล่อยลงในบ่อที่เตียมไว้ (สามารถให้แม่พันธุ์กุ้งได้ตามแหล่งน้ำธรรมชาติ) ในช่วง 7 วันแรกของการปล่อยกุ้งฝอยลงในบ่อวงซีเมนต์นั้นห้ามให้อาหารกุ้งเด็ดขาดครับ เพราะเราต้องปล่อยให้กุ้งฝอยปรับสภาพเข้ากับบ่อให้ได้เสียก่อน หลังจากนั้นจึงให้อาหารได้ตามปกติ

ในส่วนของอาหารนั้นก็คล้ายๆ กับที่เราเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อพลาสติก โดยนำเอาไข่แดงที่ต้มสุกแล้วเน้นว่าเฉพาะไข่แดงครับ จำนวน 2 ฟอง ผสมกับรำอ่อน 3 ขีด คลุกเคล้าให้เข้ากัน จากนั้นให้ทำการปั้นเป็นก้อนๆ เท่ากำปั้นหย่อนลงไปในบ่อ (ในการให้อาหารนั้นให้กะปริมานของกุ้งในบ่อว่าควรให้มากน้อยแค่ไหน และควรหมั่นตรวจสอบว่าอาหารหมดหรือไม่ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำเน่าเสียด้วยครับ)

หลังจากนั้น 1 เดือนกุ้งฝอยของเราจะเริ่มวางไข่ ให้เรานำเอาสายยางมาเปิดน้ำเข้าบ่อเพื่อเป็นการกระตุ้นให้กุ้งวางไข่ และจากนั้นเราจะได้ลูกกุ้งฝอยชุดใหม่ และเลี้ยงต่อไปอีกประมาน 4 เดือนก็สามารถจับขายได้

นอกจากนี้เราสามารถใช้สูตร EM ช่วยในการฆ่าเชื้อโรคในบ่อ และให้กุ้งฝอยโตเร็วได้เช่นเดียวกับวิธีเลี้ยงในบ่อพลาสติกครับ โดยใช้ EM 2 ช้อนแกง ,กากน้ำตาล 2 ช้อนแกง,น้ำ 1 ลิตร มาผสมให้เข้ากันแล้วหมักไว้ในที่ร่ม 1 อาทิตย์

อัตราส่วนในการใช้ : อีเอ็ม 1 ลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร ใส่บัวรดน้ำราดให้ทั่วบ่อ จะใช้หลังจากที่เติมน้ำลงไปก่อนปล่อยกุ้งฝอย จะช่วยดับกลิ่นฆ่าเชื้อโรคในบ่อ กุ้งฝอยโตเร็ว

โดยรวมแล้ววิธีการเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อซีเมนต์นั้นก็คล้ายกับการเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อพลาสติก เพียงแต่ว่ามีการปรับเปลี่ยนรูปแบบของสถานที่เลี้ยงเท่านั้น เพื่อความสะดวกในการจัดการบริหารพื้นที่เลี้ยงของแต่ละคนที่มีไม่เหมือนกัน

นอกจากนี้การเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อดินก็น่าสนใจครับ เป็นการเลี้ยงที่ทำได้ง่ายและนิยมเช่นกัน มีหลายๆ ท่านแนะนำมา

กุ้งฝอยนั้นเป็นสัตว์น้ำที่ได้รับความนิยมในการบริโภคในทุกๆ พื้นที่ จึงมีความต้องการตลอด และขายได้ง่าย ทำเป็นหารได้หลากหลาย มีรสชาติอร่อย แถมราคานั้นยังสูงอีกด้วยตกกิโลกรัมละ 100- 200 บาท หากเราสามารถเลี้ยงและนำมาจำหน่ายได้ทุกวันจะสามารถสร้างรายได้อย่างงดงามให้กับครอบครัวเลยทีเดียวครับ และต้นทุนในการเลี้ยงนั้นก็ไม่ได้มากกมายอะไร

ลองเอาไปทดลองเลี้ยงกันดู เริ่มจากบ่อเดียวก่อนก็ได้ ถ้าสำเร็จก็ขยายการผลิตให้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ครับ น่าสนใจจริง การเลี้ยงกุ้งฝอยในบ่อซีเมนต์

ข้อมูล : เกษตรอินเตอร์เชียงใหม่

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com/

ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน LINE ID: @KOKOMAX
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #72 เมื่อ: วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2016, 09:08:57 »


ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร โดยชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ KOKOMAX 
ลด 10% ด่วนเลยที่ http://www.kokomax.com

IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #73 เมื่อ: วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2016, 23:09:05 »


ลดราคา อุปกรณ์การทำเกษตรอินทรีย์ จาก KOKOMAX

ลดทันที ทุกออเดอร์ วันนี้วันสุดท้าย ที่ http://www.kokomax.com/

ผลิตภัณฑ์เกษตร ไร้สารเคมี ครบทุกความต้องการพืช

สั่งซื้อ ไลน์: @KOKOMAX และ KOKOMAX8888
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #74 เมื่อ: วันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2016, 21:32:04 »


รายการสินค้าเกษตรอินทรีย์ โปรโมชั่นยกลัง ราคาถูกมาก
ที่ http://www.kokomax.com สอบถามได้เลยนะคะที่สนใจ มาตรฐานคุณภาพ ใช้สำหรับเกษตรอินทรีย์ จาก KOKOMAX

สอบถามราคาแบบลัง โทร.061-405-8899
ไลน์ ไอดี : @KOKOMAX และ KOKOMAX8888
อีเมลล์: info.kokomax@gmail.com
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #75 เมื่อ: วันที่ 03 มีนาคม 2016, 09:15:32 »



กับดักกาวดักแมลง..ตัวช่วยป้องกันแมลงวันทองและแมลงศัตรูพืชอื่นๆ

แมลงวันผลไม้ที่มักจะสร้างความเสียให้ให้กับเกษตรกรผู้ปลูกไม้ผล ส่วนใหญ่จะเข้าทำลายด้วยวิธีการวางไข่ไว้ในผลไม้ที่มีเปลือกบางหรือใกล้สุก แล้วฟักออกมาเป็นตัวหนอนชอนไชอยู่ภายในเนื้อผลไม้ ทำให้ผลผลิตเน่าเสียหายแต่เกษตรกรสามารถป้องกันได้ด้วยการใช้กับดักกาวเหนียวแมลงวันผลไม้โดยปราศจากการใช้ยาฆ่าแมลง
คุณหนูกันต์ มนตรีโพธิ์ เจ้าของไร่มณฑิรา บ้านคำแดง ม.7 ต.เดิด อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เกษตรกรผู้เชี่ยวชาญการปลูกมะม่วงแบบปลอดสารพิษมากว่า 20 ปี ให้สัมภาษณ์กับทีมงาน Farmer info ให้คำแนะนำถึงวิธีการกำจัดแมลงวันทองผลไม้ซึ่งเป็นแมลงศัตรูของมะม่วงและไม้ผลอีกหลายชนิดที่มีเปลือกบางโดยจะเข้าทำลายด้วยวิธีวางไข่ไว้ในผลไม้สุกและฟักเป็นตัวหนอนชอนไชอยู่ภายใน ทำให้ผลเน่าเสียหายและร่วงหล่นลงพื้น ซึ่งคุณหนูกันต์ได้คิดค้นกับดักแมลงวันทองผลไม้โดยการนำเอาสารล่อแมลงเมธิลยูจีนอลมาใช้งานร่วมกับกาวเหนียวทดแทนการใช้สารเคมีกำจัดแมลง ดังนี้
วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
1. แผ่นฟิวเจอร์บอร์ดสีเหลืองหรือสีขาว
2. กาวเหนียวดักแมลง หรือสเปร์ยกาว(ชนิดเหนียว)
3. สารล่อแมลงเมธิลยูจีนอล
ขั้นตอนวิธีการทำ
1. ตัดฟิวเจอร์บอร์ดให้เป็นแผ่น ขนาด 60x80 ซม. (หรือขนาดพอเหมาะ)
2. ใช้แปลงทากาวเหนียวดักแมลงแบบบางๆบนแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดด้านใดด้านหนึ่ง หรือฉีดสเปร์ยกาวให้เต็มแผ่นฟิวเจอร์บอร์ด
3. หยดสารล่อแมลงเมธิลยูจีนอลด้านที่มีกาวกระจายให้ทั่วแผ่นฟิวเจอร์บอร์ด
4. นำกับดักที่ได้ไปติดไว้ตามจุดต่างๆ ที่ระดับความสูงประมาณ 1.50 เมตร หรือในระดับที่พอเอื้อมมือถึง
5. เมื่อแมลงวันทองผลไม้ได้กลิ่นของสารยูจีนอลจะบินมาติดกับดักกาวเหนียวในที่สุด

หมายเหตุ
แผ่นฟิวเจอร์บอร์ดสีเหลืองจะสามารถล่อแมลงได้ในระยะไกลกว่าแผ่นฟิวเจอร์บอร์ดสีขาวเนื่องจากสีเหลืองเป็นสีที่แมลงมองเห็นได้ชัดกว่า
เรียบเรียงโดย : อภัย นามเพ็ง เจ้าหน้าที่สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.อุบลราชธานี.
ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก รักบ้านเกิด นะคะ

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com

ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน LINE ID: @KOKOMAX
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #76 เมื่อ: วันที่ 05 มีนาคม 2016, 09:17:22 »


สารชีวภาพกำจัดโรคพืช โคโค-แมกซ์ KOKOMAX มีคุณสมบัติในการป้องกันและกำจัดโรคพืช ทั้งโรคทางใบ และต้น ราก ที่เกิดจากเชื้อราและแบคทีเรีย เห็นผลชัดเจนตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้

ใช้ได้กับโรคพืช เช่น โรคแอนแทรคโนส ราแป้ง โรคราดำ โรคเน่าดำ โรคต้นเน่าแห้งหรือโรคราเมล็ดผักกาดหรือเน่าเข้าไส้ ใบด่าง รากเน่าโคนเน่า โรคใบหงิก โรคแคงเกอร์ โรคเน่าเละ โรคสนิมเหล็ก โรคราน้ำค้าง โรคเหี่ยว โรคแผลสะเก็ด (สแคป) เป็นต้น

ราคาเพียง 450 บาท จัดส่งฟรี!!! เว็บเกษตร ราคาถูกที่สุด

เว็บไซต์ http://www.kokomax.com

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
Call Center 061-405-8899
LINE ID: @KOKOMAX
อีเมลล์ info.kokomax@gmail.com
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #77 เมื่อ: วันที่ 07 มีนาคม 2016, 08:09:16 »


หนอนระบาดใช้ บีที-โกลด์ BT-GOLD  (ใช้กำจัดหนอนชนิดต่าง ๆ เช่น)

หนอนเจาะสมอฝ้าย หรือหนอนเจาะผลมะเขือเทศ หนอนกินใบสัก

หนอนหญ้าแมวในปาล์มน้ำมัน หนอนกระทู้ผัก หนอนกระทู้หอมในผักต่าง ๆ หนอนเจาะเมล็ดทุเรียน หนอนเจาะขั้วลิ้นจี่ หนอนแปะใบส้ม และ หนอนม้วนใบข้าว

ราคาเพียง 190 บาท จัดส่งฟรี!!! เว็บเกษตร ราคาถูกที่สุด

เว็บไซต์ http://www.kokomax.com/

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
Call Center 061-405-8899
LINE ID: @KOKOMAX และ KOKOMAX8888
อีเมลล์ info.kokomax@gmail.com
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #78 เมื่อ: วันที่ 08 มีนาคม 2016, 10:23:52 »


‪#‎ปลูกข้าวลอยน้ำทำง่ายๆได้แบบนี้‬

การปลูกข้าวลอยน้ำอินทรีย์ ทางเลือกใหม่ของการปลูกข้าวบนพื้นน้ำ
ซึ่งเป็นวิธีการปลูกข้าวที่ทดลองแล้วว่าได้ผลจริง ช่วยในการประหยัดต้นทุน ก่อให้เกิดรายได้ ผลผลิตข้าวที่ได้ปลอดสารเคมีตกค้าง นับว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับเกษตรกรที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำ หรือไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง และเป็นการปรับตัวให้เข้ากับภาวะน้ำท่วมที่อาจจะเกิดขึ้นเป็นเวลานาน
1.ฝากล่องโฟมเก่า (กล่องโฟมใส่ผลไม้)
2.กระถางพลาสติกสำหรับปลูก
3.ดินเลนสำหรับปลูก
4.เมล็ดพันธุ์ข้าว
5.ลำไม้ไผ่สำหรับทำแพ
6.เชือกฟาง
วิธีการปลูกข้าวลอยน้ำอินทรีย์
1.นำเมล็ดข้าวไปเพาะในแปลงเพาะ เหมือนกับการเตรียมกล้าพันธุ์สำหรับดำนาทั่วไป
2.นำตาไม้ไผ่มาทำเป็นกรอบสี่เหลี่ยมเพื่อทำเป็นแพในพื้นที่ที่จะปลูกข้าวลอยน้ำ
3.นำฝากล่องผลไม้ (ฝากล่องโฟม) มาเจาะรูให้มีขนาดเท่ากับกระถางพลาสติก แต่ให้อุ้มตัวกระถางไว้ได้
4.นำกระถางปลูกใส่ดินเลนให้เต็ม
5.เมื่อกล้ามีอายุ 10-15 วัน จึงแยกกล้ามาปลูกในกระถางที่เตรียมไว้ประมาณ 4-5 กอต่อกระถาง
6.นำกระถางเพาะกล้าใส่ในฝากล่องโฟม แล้วจึงนำไปลอยน้ำ ในกรอบไม้ไผ่ที่เตรียมไว้
7.ใช้เชือกผูกกล่องโฟมกับแพไม้ไผ่ เพื่อป้องกันการพัดพาของน้ำ ไม่ให้ไหลไปที่อื่น

การดูแลและการใส่ปุ๋ย
ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ชีวภาพบำรุงช่วงที่ข้าวมีอายุ 30 และ 50 วัน หลังการปลูก โดยใส่ปุ๋ยอินทรีย์อัตรา 1 กำมือ/กระถาง/ครั้ง หากมีแมลงศัตรูพืช ก็ใช้น้ำหมักสมุนไพรฉีดพ่น วิธีนี้เกษตรกรไม่ต้องเสียเวลาดูแลเรื่องน้ำเลย เพราะข้าวจะได้รับน้ำตลอดเวลาในช่วงระยะเวลาการปลูก

ประโยชน์ของผลผลิตที่ได้
วิธีการปลูกข้าวลอยน้ำอินทรีย์ ทำให้เกษตรกรสามารถลดต้นทุนเรื่องการเตรียมดิน น้ำมันเชื้อเพลิง และตัดปัญหาการดูแลเรื่องน้ำ การทำแพปลุกข้าวในพื้นที่ 1 ไร่ ผลผลิตที่ได้รับ เฉลี่ย 70 ถัง/ไร่ ซึ่งวิธีนี้จะไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมจากการเผาและลดการใช้สารเคมีต่างๆ ทำให้ลดต้นทุนได้มาก อีกทั้งวัสดุอุปกรณ์ยังสามารถนำมาใช้ในครั้งต่อไปได้

กรณีศึกษาการปลูกข้าวลอยน้ำ
นายสุพรรณ เมธสาร เกษตรกรได้ทำการเกษตร ปลูกข้าว ปลูกผัก ดำรงชีวิตได้ในภาวะน้ำท่วม โดยได้สังเกตเห็นผักตบชวาลอยเต็มแม่น้ำ แล้วช่วงนั้นก็มีข่าวว่ามีเรือแล่นไปติด กอผักตบอยู่เป็นวันไปไหนไม่ได้ จึงเกิดความคิดว่า ผักตบมันก็เป็นพืชมันก็ต้องเอามาทำปุ๋ยได้ แล้วพอดีที่บ้านก็มีปลูกไผ่ไว้ ก็เลยเอามาต่อทำแพ แล้วก็ลองปลูกข้าวในน้ำ หลังจากนั้น จึงได้เริ่มทดลองปลูกข้าวในน้ำ ซึ่งปรากฏว่าได้ผลผลิตจริงประมาณ 20-25 รวงต่อต้น อีกทั้งยังประหยัดต้นทุน เพราะเกษตรกรสามารถลดต้นทุนเรื่องการเตรียมดิน น้ำมันเชื้อเพลิง ปุ๋ย ยาฆ่าแมลง ตัดปัญหาการดูแลเรื่องน้ำ จากการคำนวณพบว่า หากทำแพปลูกข้าวในพื้นที่ 1 ไร่ จะได้ผลผลิต เฉลี่ย 70 ถังต่อไร่ ซึ่งวิธีนี้จะไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม จากการเผาตอซังข้าวและลดการใช้สารเคมีต่างๆ ส่วนวัสดุอุปกรณ์ยังสามารถนำมาใช้ครั้งต่อไปได้ ข้อดีของการปลูกข้าวลอยน้ำแบบนี้ไม่ต้องใส่ ปุ๋ย เพราะในแม่น้ำมีอาหารอยู่แล้ว น้ำไม่ต้องรดก็เราปลูกในน้ำ ส่วนเพลี้ย แมลง หอยเชอรี่ มีวิธีกำจัด โดยค่อยๆ กดแพข้าวลอยน้ำลงในน้ำทีละนิดจนข้าวทั้งต้นจมลงใต้น้ำไว้ประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้น พวกแมลง หนอน ก็จะลอยน้ำ ให้ปลาแถวนี้ก็จะมากิน

ข้อมูล-ภาพ http://www.environnet.in.th/2014/?p=4011

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com

ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน
LINE ID: @KOKOMAX
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #79 เมื่อ: วันที่ 13 มีนาคม 2016, 08:49:35 »


การเพาะถั่วงอกตัดราก แบบคอนโด

การเพาะ “ถั่วงอก” นับเป็นอาชีพด้านการเพาะปลูกที่ให้ผลผลิตได้รวดเร็วที่สุด ซึ่งเวลาเพียง 2-3 วันเท่านั้น ก็มีผลผลิตให้รับประทานหรือจำหน่ายได้ ซึ่งความน่าสนใจของถั่วงอกอยู่ที่ปริมาณความต้องการของตลาด ว่ากันว่าแต่ละวันประเทศไทยมีความต้องใช้ถึงวันละ 1 ล้านกิโลกรัม ทั้งยังเป็นความต้องการที่กระจายอยู่ทั่วประเทศด้วย ดังนั้นไม่ว่าจะเพาะถั่วงอกอยู่ที่ไหน ก็สามารถจำหน่ายได้อย่างแน่นอน
วัสดุ-อุปกรณ์ สำหรับการเพาะถั่วงอกตัดราก แบบคอนโด

- วงบอซีเมนต์ เส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เซนติเมตร สูง 50 เซนติเมตร ก้นทึบ เจาะรู 1 รู เพื่อระบายน้ำ
เหตุที่ใช้วงบ่อที่มีความสูง 50 เซนติเมตร เนื่องจากนำมาใช้เพาะถั่วงอกแบบคอนโดจำนวน 4 ชั้น ซึ่งแต่ละชั้นจะมีความสูงต้นถั่วประมาณ 2 นิ้ว เมื่อรวมกับอุปกรณ์และวัสดุเพาะแล้ว จะพอดีกับความสูงของบ่อซีเมนต์นั่นเอง

- อิฐบล็อกหรือชั้นที่แข็งแรง สำหรับวางวงบ่อให้สูงจากพื้น
- ดินน้ำมัน ใช้อุดรูระบายน้ำของวงบ่อ
- ตะแกรงเหล็กรองก้น ขนาดพอดีกับวงบ่อ มีขาตั้งสูงจากก้นบ่อประมาณ 1 นิ้ว
- ตะแกรงพลาสติก หรือที่เรียกกันว่าตะแกรงเกล็ดปลา รูขนาด 1 มิลลิเมตร ทรงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง 50 เซนติเมตร ซึ่งเท่ากับขนาดของภาชนะปลูก จำนวน 6 ชิ้น (หากเป็นตะแกรงเก่า ล้างทำความสะอาด และต้มฆ่าเชื้อให้เรียบร้อย)
- กระสอบป่าน ตัดเป็นวงกลม ขนาดใหญ่กว่าภาชนะปลูกประมาณ 2 นิ้ว (ขนาด 54 เซนติเมตร) เย็บขอบป้องกันการหลุดให้เรียบร้อย จำนวน 6 ชิ้น (หากเป็นกระสอบเก่า ล้างทำความสะอาด และต้มฆ่าเชื้อให้เรียบร้อย)
- อุปกรณ์ให้น้ำ
- ผ้าสักหลาดทึบแสง สำหรับปิดด้านบนของภาชนะปลูก
- เมล็ดถั่วเขียว ที่ผ่านการคัดคุณภาพแล้ว จำนวน 1.8 กิโลกรัม
การคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่นำมาปลูก ทำได้โดย หากซื้อถั่วเขียวที่จำหน่ายตามท้องตลาดทั่วไปที่บรรจุไว้ในถุง ถั่วเขียวที่ดีเมื่อตบหรือถูข้างถุงจะเห็นละอองขาว ๆ เกาะอยู่ข้างใน และลักษณะของเมล็ดต้องเป็นมันเงา เมื่อลองใช้ฟันขบดู เมล็ดจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ แต่ถ้าขบแล้วเมล็ดยุบลงตามฟันไม่แตก แสดงว่ายังอ่อนอยู่ ไม่ควรนำมาเพาะถั่วงอก

วิธีการเพาะถั่วงอก
1. นำเมล็ดถั่วเขียวมาซาวน้ำ 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 เพื่อคัดแยกเมล็ดที่ลีบเล็ก ไม่สมบูรณ์และเศษสิ่งปลอมปนต่าง ๆ ซึ่งจะลอยน้ำขึ้นมานำออกให้หมด ครั้งที่ 2 ให้ขยำเมล็ดไปพร้อมกันด้วย ทำให้เยื่อหุ้มเมล็ดหลุดลอยขึ้นมาเห็นเป็นละอองขาว ๆ หากเป็นเมล็ดพันธุ์เก่าเยื่อดังกล่าวจะรัดเมล็ดแน่น ไม่ลอยขึ้นมา ซึ่งทำให้อัตราการงอกไม่ดีเท่าที่ควร
2. นำเมล็ดถั่วเขียวที่ซาวน้ำแล้วมาแช่ในน้ำอุ่น อุณหภูมิประมาณ 40-45 องศาเซลเซียส หรือ ใช้น้ำต้มเดือด 1 ส่วน ผสมน้ำธรรมดา 3 ส่วน แช่ทิ้งไว้ 6-8 ชั่วโมง (หากสภาพอากาศร้อนแช่ 6 ชั่วโมง ถ้าอากาศหนาวแช่ 8 ชั่วโมง)
- อุณหภูมิของน้ำห้ามต่ำหรือสูงกว่านี้ เพราะหากต่ำเกินไปจะฆ่าเชื้อโรคไม่ได้ และถ้าสูงเกินไปทำให้เมล็ดถั่วตาย เพาะไม่ขึ้น และการแช่น้ำอุ่นทำให้เปลือกเกิดปฏิกิริยา ทำให้หลุดได้ง่าย ซึ่งช่วยทั้งเรื่องการงอก และล้างทำความสะอาดได้ง่าย หลังจากแช่ตามระยะเวลาที่กำหนด เมล็ดถั่วเขียวเริ่มมีรากปริ่ม ๆ ขึ้นมา
3. นำตะแกรงเหล็กวางด้านล่างสุดของวงบ่อซีเมนต์
- เหตุที่ตะแกรงตั้งมีขาให้สูงจากพื้นประมาณ 1 นิ้ว เพื่อให้รากของถั่วงอกชั้นล่างสุดลอยขึ้นเหนือวงบ่อ ไม่ถูกกดทับ สมบูรณ์และสามารถเจริญเติบโตได้ตามปกติ
4. นำตะแกรงพลาสติก 1 ชิ้น วางบนตะแกรงเหล็ก
5. นำกระสอบป่าน 1 ผืน วางทับลงไป
6. นำตะแกรงพลาสติกอีก 1 ชิ้น วางอีกรอบหนึ่ง
7. นำเมล็ดถั่วเขียวที่แช่ไว้ (1.8 กิโลกรัม/วงบ่อ) แบ่งออกเป็น 4 ส่วนเท่า ๆ กัน
8. นำส่วนหนึ่งมาโรยบนตะแกรง เกลี่ยให้เสมอกัน ซึ่งจะมีความหนา 2-3 เมล็ดซ้อนกัน (จะได้ถั่วงอกชั้นที่ 1)
- พยายามเกลี่ยให้เมล็ด ที่มีลักษณะยาว ขนานกับตะแกรงมากที่สุด ซึ่งทำให้รากหยั่งลงไปหาความชื้นที่กระสอบได้ง่ายกว่าการที่เมล็ดตั้งอยู่
9. นำกระสอบป่าน 1 ผืน วางทับลงไป
10. นำตะแกรงพลาสติกอีก 1 ชิ้น วางแล้วนำถั่วเขียวอีก 1 ส่วน โรยลงไปในลักษณะเดียวกัน (จะได้ถั่วงอกชั้นที่ 2)
11. ทำลักษณะเดียวกันนี้จนครับทั้ง 4 ชั้น โดยชั้นบนสุดปิดทับด้วยตะแกรงพลาสติกและกระสอบป่านอย่างละ 2 ชิ้น
12. รดน้ำโดยผ่านกระสอบด้านบนให้ชุ่ม ซึ่งน้ำและความชื้นถูกกักเก็บไว้ในกระสอบ นำผ้าสักหลาดคลุมป้องกันแสง
13. รดน้ำ เช้า กลางวัน เย็น ทุกวัน โดยรดผ่านผ้ากระสอบด้านบน สังเกตน้ำที่ไหลผ่านออกมาจากรูก้นบ่อให้มีอุณหภูมิปกติ น้ำที่ใช้รดแล้วนำกลับมาใช้ใหม่ได้ หลังรดน้ำคลุมด้วยผ้าสักหลาดทุกครั้ง
14. ถั่วงอกจะใช้เวลาในการเจริญเติบโต 60 ชั่วโมงนับตั้งแต่แช่เมล็ด หรือหลังจากเพาะประมาณ 2 คืน 3 วัน ต้นถั่วเจริญเติบโตและดันกันขึ้นมาเป็นชั้น ๆ ก็สามารถเก็บผลผลิตได้

การเก็บเกี่ยว
เปิดผ้าคลุมออก ใช้น้ำฉีดด้านบนซึ่งจะทำให้เปลือกของถั่วหลุดออกไปจำนวนหนึ่ง จากนั้นก็นำออกจากวงบ่อมาที่ละชั้น จับชายกระสอบป่านคว่ำถั่วลงกระแทกในน้ำเพื่อให้เปลือกก็หลุดออก ใช้มีดตัดบริเวณโคนต้นรอยต่อระหว่างราก ต้นถั่วงอกก็หลุดออกมา นำใส่ตะแกรงล้างน้ำอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้ถั่วงอกที่สดสะอาด พร้อมบริโภคหรือนำไปจำหน่าย

ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก เกษตรกรก้าวหน้า นะคะ

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com

ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน
LINE ID: @KOKOMAX
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 ... 17 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!