เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 20 เมษายน 2024, 05:04:26
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  การเกษตร,ฟาร์มสัตว์,ปศุสัตว์ (ผู้ดูแล: bm farm)
| | |-+  ## โปรโมชั่นลดราคา สินค้าเกษตร ถูกมาก สุดคุ้ม ด่วน!! ที่ KOKOMAX.COM
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 ... 17 พิมพ์
ผู้เขียน ## โปรโมชั่นลดราคา สินค้าเกษตร ถูกมาก สุดคุ้ม ด่วน!! ที่ KOKOMAX.COM  (อ่าน 54579 ครั้ง)
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #40 เมื่อ: วันที่ 06 ตุลาคม 2015, 22:50:48 »



เทคนิคการปลูกกล้วยกลับหัว  ผลผลิตดี โตวัย กำไรงาม

1. เลือกกล้วยที่มีการตัดเครือไปแล้ว เนื่องจากจะมีความอุดมสมบูรณ์กว่า จากนั้นตัดใบและลำต้นทิ้ง เหลือเฉพาะส่วนโคนสูงจากพื้นดิน 30-40 เซนติเมตร
2. ใช้เสียมแซะหน่อออกจากดิน โดยเหลือรากติดอยู่ด้วย
3. นำไปปลูกในหลุมลึก 50 เซนติเมตร โดยการวางหน่อพันธุ์กล้วยส่วนรากชี้ด้านบน นำส่วนปลายยอดปักลงดินแทน เสร็จแล้วกลบดินให้ท่วมทั้งต้น
4. การดูแลให้น้ำเหมือนกล้วยปกติ เมื่อปลูกแล้ว 1 เดือน ไม่ต้องใส่ปุ๋ยเพราะต้นกล้วยจะกินอาหารจากต้นเดิม ซึ่งจะเห็นต้นกล้วยแตกหน่อประมาณ 2-4 หน่อ/ต้น
5. หลังปลูกแล้ว 3 เดือน ต้นกล้วยจะสูง 1 เมตรขึ้นไป และจะให้ผลผลิตเมื่อมีอายุครบ 1 ปี 6 เดือน ในขณะที่ปลูกแบบเดิมจะใช้เวลาถึง 1 ปี 8 เดือน ถึงจะให้ผลผลิต และต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปี ถึงจะได้ต้นกล้วย 3-4 หน่อ/หลุมปลูก
 การปลูกกล้วยแบบกลับหัวจึงเป็นอีกวิธีหนึ่งที่เกษตรกรสามารถนำไปใช้ได้จริง ซึ่งให้ผลผลิตเร็วกว่าแบบเดิม ทั้งยังได้ต้นเตี้ยกว่าปกติ ซึ่งง่ายต่อการเก็บผลผลิตอีกด้วย รวมถึงการลดต้นทุนการใส่ปุ๋ยได้อีกด้วย

ที่มา : สำนักส่งเสริมและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 1 ชัยนาท

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com

ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน LINE ID: @KOKOMAX
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #41 เมื่อ: วันที่ 12 ตุลาคม 2015, 09:20:34 »


ไฮ-สปีด Hi-Speed สูตรน้ำ ซุปเปอร์เข้มข้น ใช้เร่งสภาพต้นโทรม ให้กลับมาดูดี แข็งแรง พร้อมออกผล ออกดอก ได้กับพืชทุกชนิด พืชไร่-พืชสวน-ไม้ดอกไม้ประดับ

ใช้ฟื้นฟูสภาพต้นโทรมได้อย่างดี สามารถใช้ได้ในพืชทุกชนิด ฟื้นฟูสภาพต้นจากการเก็บเกี่ยว สภาพต้นขาดการดูแล ไม่ได้ให้ปุ๋ย ขาดสารอาหาร สภาพต้นโทรมจากโรคพืช ศัตรูพืช ดอกผลออกน้อย นิยมใช้ใน ต้นทุเรียน ต้นลำใย ต้นพริก มะเขือ กล้วยไม้ ชวนชม ใช้ได้ดีมากในพืชทุกชนิด


ต้นโทรมเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น ผลดกมากเกินไป ต้นรับไม่ไหว หรือโดนโรคและแมลง ศัตรูพืช เข้าเร้ารุม หรือเกิดจากดินเป็นกรด ธาตุอาหารหรือสารอาหารพืชไม่เพียงพอ ต้นเหลือง โทรม อาการข้าวเหลืองหน้าหนาว ,เพลี้ยลง,โรคลง

วิธีการใช้ อัตรา 2 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นครั้งเดียวจะเขียวทันที ให้ฉีดพ่นในช่วงเช้ามีแดด จะดีมาก (ให้ใช้ตามปริมาณที่แนะนำเท่านั้น เนื่องจาก Hi-speed เป็นสูตรเข้มข้น และผ่านการทดสอบมาแล้ว)

ขนาดบรรจุ 250 ซีซี ราคา 490 บาท

เห็นผลทันที สำหรับพืชต้นโทรม เหลือง

โทร. 061-405-8899

LINE: @KOKOMAX

สินค้าเกษตรชีวภาพ http://www.kokomax.com/product-th-0-5893068-ฟื้นฟูสภาพต้น+สปีด+speed.html
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #42 เมื่อ: วันที่ 14 ตุลาคม 2015, 21:49:48 »


ปุ๋ย A+B สำหรับผักไฮโดรโปนิกส์

**โปรโมชั่น 10 แถม 2 ถุง

สารละลาย A+B เป็นธาตุอาหารสำหรับการเพาะปลูกพืช ระบบ ไฮโดรโปนิกส์ (ผักไร้ดิน)  ชนิดผง สามารถใช้ได้ทั้งพืชกินใบ และพืชผลที่เป็นพืชเมืองหนาว  (ผักนอก) ประกอบด้วยสารละลาย (สารอาหาร) A+B ใช้ผสมน้ำได้ 2 ลิตร

วิธีผสมปุ๋ย A

1. เตรียมกระบอกตวงขนาดประมาณ 1 ลิตร
2. ใส่ปุ๋ย A1 และ A2 ลงไปกระบอกตวงทั้งหมด

3. เทน้ำลงไปให้ถึงระดับ 1 ลิตร (1,000 ซีซี) แล้วคนให้ปุ๋ยละลายจนหมด จากนั้นให้เทปุ๋ย A ที่ผสมเสร็จแล้วลงไปในขวดเปล่าเก็บไว้ใช้งานได้

วิธีผสมปุ๋ย B

1. เตรียมกระบอกตวงขนาดประมาณ 1 ลิตร
2. ใส่ปุ๋ย B1 ถึง B5 ลงไปกระบอกตวงทั้งหมด

3. เทน้ำลงไปให้ถึงระดับ 1 ลิตร (1,000 ซีซี) แล้วคนให้ปุ๋ยละลายจนหมด จากนั้นให้เทปุ๋ย B ที่ผสมเสร็จแล้วลงไปในขวดเปล่าเก็บไว้ใช้งานได้

1 ชุดประกอบด้วย ปุ๋ย A 1 ถุง และ ปุ๋ย B 1 ถุง ราคา 150 บาท


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ

โทร.061-405-8899

LINE:  @KOKOMAX

เว็บไซต์  http://www.kokomax.com
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #43 เมื่อ: วันที่ 19 ตุลาคม 2015, 00:56:52 »


แคงเกอร์ >> หนอนชอนใบ

ตอนนี้มีสมาชิกและหลายๆ ท่านได้สอบถามเข้ามาเป็นจำหนวนมากเกี่ยวกับปัญหาโรคแคงเกอร์ในมะนาว และหนอนชอนใบ ซึ่งระบาดมากในตอนนี้ ทางชมรมขอชี้แจงให้ทราบดังนี้ครับ

 หนอนชอนใบ>> หนอนชอนใบนี้สาเหตุหล...ักมาจากผีเสื้อ ลักษณะการเข้ามาวางไข่จะเป็นในช่วงพลบค่ำๆ ลักษณะไข่จะเป็นฟองเดี่ยวๆ ไข่หนอนนี้จะมีเวลา 3-5 วันจะฟักออกเป็นตัวและชอนเข้าไปกินในใบ ขับถ่ายอยู่ภายใน จะเจริญเติบโตเต็มที่ใน 14-16 วัน ถามว่าการทำลายของหนอนชนิดนี้เป็นอย่างไร ตอบดังนี้ครับหนอนจะชอนอยู่ระหว่างใบจะทำทางเดินอาศัยในระหว่างผิวใบทั้ง 2 ด้าน สังเกตได้ว่าใบที่ถูกทำลายจะเห็นทางเดินของหนอนคดเคี้ยวไปมา อันนี้ละครับ หนอนชอนใบ จะพบระบาดมากในช่วง มิถุนายน กรกฎาคม ช่วงนี้ การกำจัดในทางชีวภาพนั้นจะใช้ บีที-โกลด์ ในการควบคุม โดยใช้อัตรเข้มข้น 1 ซอง ต่อน้ำ 100 ลิตร ฉีดพ่น เน้นย้ำให้ชุ่มในบริเวณที่หนอนอยู่ ฉีดทุก 3 วัน ในอาทิตย์แรก และเว้น 10-15 วันครั้ง

**ให้ดีที่สุดคือป้องกันที่ต้นเหตุ หลายๆท่านคิดแต่กำจัดไม่ได้คิดถึงต้นเหตุ ให้ใช้โอแบค 1 ขวด ผสมน้ำ 400 ลิตร ฉีดพ่น 15 วันครั้ง เพื่อป้องกันการเข้ามาของแม่ผีเสื้อ

โรคแคงเกอร์>> แคงเกอร์นี้เป็นโรคประจำตัวของพืชในตระกูลส้ม โรคนี้จะเกิดจากแบคทีเรีย เป็นสาเหตุ ระบาดกันมากครับในตอนนี้ สังเกตอาการ ใบจะนูน เป็นสีน้ำตาลเล็ก ล้อมรอบด้วยวงเหลืองๆ ตรงกลางบุ๋มๆ เกิดได้ทั้ง 2 ด้านของใบ อันนี้ละครับ แคงเกอร์ เกิดจากแบคทีเรีย ก็ต้องกำจัดด้วย โคโค-แมกซ์ ทีนี้ การใช้โคโค-แมกซ์ ให้เกิดผลมากที่สุดทำยังไง เรียนแบบนี้ครับ หากเป็นถัง 20 ลิตร ให้ใช้อัตรา 5 ช้อนแกง หรือ 80-100 กรัม เป็นสูตรที่ใช้ในช่วงระบาดหนัก นำแช่ในน้ำที่ท่านจะฉีดสัก 3-4 ชั่วโมง แต่ถ้าพอมีเวลาให้แช่เช้า ออกไปทำงาน แล้วเย็นกลับมาฉีดก็ได้ผลดี อาทิตย์แรกฉีดได้สัก 2 ครั้งก็ได้ หลังจากนั้น 10-15 วันครั้ง ตามลำดับครับ หากใช้ถัง 200 ลิตรก็เทียบอัตราส่วนเดียวกันได้

 ขอบคุณครับ
 ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com/

 LINE ID: @KOKOMAX
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #44 เมื่อ: วันที่ 29 ตุลาคม 2015, 10:22:23 »


การดูแลพริกจินดา

พริกจินดาสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
ปลูกได้ในดินแทบทุกชนิด ดินที่เหมาะสม เป็นดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี
พันธุ์ที่แนะนำให้ปลูก
ห้วยสีทนพริกชี้ฟ้า หัวเรือ พริกสร้อย พริกจินดา และพริกนิ้วนาง เป็นต้น
วิธีการปลูกการเตรียมดินมีลักษณะแตกต่างตามสภาพดินและวิธีการใช้น้ำดังนี้การ
ปลูกพริกในสภาพไร่อาศัยน้ำฝนกำหนดแถวปลุกให้แถวคู่ห่างกัน 1.20 เมตรระยะระหว่างแถว 0.5 เมตร และระยะระหว่างต้น 0.5x0.5 เมตร

การปลูกพริกในเขตชลประทานมีการยกแปลงปลูก แปลงกว้าง 0.8 เมตร ร่องน้ำ 0.25 เมตร ยาว 10 - 20 เมตร
การปลูกในสภาพดินเหนียวเขตภาคกลางเป็นการปลูกพริกแบบสวนยกร่องขนาดแปลงกว้าง 4 - 6 เมตร ร่องน้ำกว้าง 1 เมตร ลึก 0.5 - 1 เมตร
การเตรียมเมล็ดพันธุ์และการเพาะกล้าก่อนเพาะกล้า ควรนำเมล็ดพันธุ์แช่น้ำไว้ 1 คืนแล้วใช้ผ้าขาวบางห่อเมล็ดเก็บไว้ในที่ชุ่มชื้น 2 - 3 วันจึงนำไปเพาะในแปลงหรือกระบะเพาะต่อไป เมื่อต้นกล้าพริกอายุ 30 วันหรือมีใบจริงประมาณ 5 ใบให้ย้ายกล้าพริกลงแปลงที่เตรียมไว้โดยใช้ระยะปลูกดังนี้
การปลูกพริกในสภาพไร่อาศัยน้ำฝนใช้ระยะปลูกระหว่างต้น 50 เซนติเมตรระหว่างแถว 100 เซนติเมตร
การปลูกพริกในสภาพเขตชลประทานหรือที่ลุ่มแบบยกร่องใช้ระยะปลูกระหว่างต้น 50 เซนติเมตร ระหว่างแถว 75 เซนติเมตร

การบำรุงรักษา
การให้น้ำพริกไม่ต้องการน้ำมากนัก กรณีดินแห้งเกินไปและไม่อาจให้น้ำได้ก็ควรใช้วัสดุคลุมดิน เช่น ฟางข้าว เปลือกถั่ว
การใส่ปุ๋ยรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก 1 กำมือ ใส่ปุ๋ย 15-15-15 อัตรา 50 กิโลกรัม/ ไร่ หว่านหรือรองก้นหลุมก่อนปลูกหลังจากปลูก 7-15 วัน ใส่ปุ๋ยครั้งที่ 2 ใส่ปุ๋ย 46-0-0 อัตรา 10 กิโลกรัม/ ไร่ และใส่ปุ๋ย ครั้งที่ 3 สูตร 12-24-12 อัตรา 50 กิโลกรัม/ ไร่ ใส่หลังปลูก 45 วัน
ทางใบฉีด พ่นด้วยฮอร์โมนช้อนเงิน และฮอร์โมนช้อนทอง จะทำให้พริกดก สมบูรณ์ เพิ่มธาตุอินทรีย์ในดิน ได้ผลผลิตมากยิ่งขึ้น

โรคแมลงศัตรู

โรคเหี่ยว
เชื้อแบคทีเรียต้นพริกจะเหี่ยว ฟื้นตัวในเวลากลางคืน แสดงอาการ 2 - 3 วัน แล้วจะเหี่ยวตาย การป้องกันกำจัดพ่นด้วยโคโค-แม็กซ์ อัตรา 5 ช้อนแกง ผสมน้ำ 20 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง แล้วนำไปฉีดพ่นในตอนเย็น
เชื้อราพริกเริ่มมีอาการใบเหลืองบนใบที่อยู่ด้านล่างแล้วต่อมาใบที่อยู่ถัดขึ้นมาค่อย ๆ มะเขือเปราะเหลืองมากขึ้น ทำให้ดอกและผลอ่อนร่วงหล่นต้นพริกจะยืนต้นตาย

โรคแอนแทรคโนสผลพริกเป็นจุดสีน้ำตาล เนื้อเยื่อบุ๋ม ทำให้ผลผลิตเน่าเสียหาย ป้องกันกำจัดพ่นโคโค-แม็กซ์ อัตรา 5 ช้อนแกง ผสมน้ำ 20 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 2-3 ชั่วโมง แล้วนำไปฉีดพ่นในตอนเย็น

เพลี้ยไฟระบาดมากฤดูแล้งทำลายใบอ่อน ยอดอ่อน ออกดอกขอบใบม้วนขึ้นด้านบน ป้องกันกำจัด พ่นด้วย ลาเซียน่า อัตรา 3 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตรผสมสารจับใบ 1 ช้อนชา

ไรขาวระบาดมากช่วงฝนตกชุกทำลายใบพริก ยอดอ่อน ตาดอกขอบใบจะม้วนลงด้านล่าง ยอดหยิกเป็นฝอย ป้องกันกำจัด พ่นลาเซียน่า อัตรา 3 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตร ผสมสารจับใบ 1 ช้อนชา

อายุการเก็บเกี่ยวพริกจะออกดอกหลังจากปลูกย้ายกล้า 60 - 70 วัน เริ่มเก็บผลสุก 90 - 100 วันเก็บเกี่ยวได้ทุก 5 - 7 วัน หรือเดือนละ 4 - 6 รุ่น


รายละเอียดเยอะมากที่ http://www.kokomax.com
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #45 เมื่อ: วันที่ 01 พฤศจิกายน 2015, 13:57:33 »


เทคนิคบังคับให้กล้วย “ออกกลางต้น”

1. เลือกกล้วยที่มีอายุไม่เกิน 7 เดือน

2. เมื่อต้นกล้วยมีอายุ 9-10 เดือน ให้สังเกตใบที่ม้วนเหมือนธงตรงกลางด้านบนของต้นกล้วย ซึ่งใบจะม้วนห้อยลงมาด้านล่างประมาณ 3 ใน 4 ส่วน หรืออาจจะสังเกตจาการนับการเจริญเติบโตของใบกล้วย เมื่อนับใบกล้วยจนถึง 33 ใบ จากนั้นจะสังเกตเห็นใบกล้วยเพิ่มขึ้นมาอีกประมาณ 6-8 ใบ แต่มีขนาดเล็กลงจากใบทั้ง 33 ใบ และจะเห็นปลีหรือดอกของกล้วยเริ่มโผล่ออกมา

3. วัดระยะจากพื้นดินขึ้นไปยังต้นกล้วยประมาณ 1.50 เมตร แล้วเจาะลำต้นกล้วยใ...ห้กว้าง 10 เซนติเมตร สูง 15 เซนติเมตร ให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมพื้นผ้า โดยใช้มีดขว้านเข้าไปในเนื้อลำต้นกล้วยเรื่อยๆ จนถึงชั้นหยวกกล้วย แล้วให้ตัดหยวกกล้วยทิ้ง นำแผ่นกระดาษลูกฟูกหรือฟิวเจอร์บอร์ดที่มีขนาดใหญ่กว่าแผลเล็กน้อยเจาะเข้าไปด้านบนของช่องที่เจาะไว้ เพื่อการป้องกันไม่ให้หน่อกล้วยที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่แทงขึ้นไปด้านบนยอดต้นกล้วย

4. สำหรับการเจาะด้วยฟิวเจอร์บอร์ดลงไปในแผลกล้วย เราจะพ่นยากันเชื้อราเข้าไปที่แผลทันที เพื่อกันเชื้อราที่เป็นสาเหตุของโรคและเกิดขึ้นได้ง่ายในกล้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากในวิธีบังคับกล้วยให้ออกกลางต้น และหลังจากนั้นให้พ่นยาฆ่าเชื้อราทุกสัปดาห์ จนเกิดกล้วยหน่อใหม่โผล่ขึ้นมาได้ ประมาณ 1 เดือน

5. มีการดูแลรักษา ให้น้ำกล้วยแบบปกติเหมือนกล้วยทั่วไป ซึ่งผลผลิตกล้วยไข่จะใช้เวลาโดยเฉลี่ยประมาณ 60 วัน ออกผลเฉลี่ย 140 ผล/เครือ กล้วยหอมใช้เวลาเฉลี่ย 70 วัน ออกผลประมาณ 105 ผล/เครือ ส่วนกล้วยน้ำว้าใช้เวลา 97 วัน ออกผลทั้งหมด 140 ผล/เครือ

 ผู้สนใจติดต่อสอบถาม คุณนิคม วงศ์นันตา นักวิชาการเกษตรชำนาญการพิเศษ ฝ่ายนวัตกรรมและถ่ายทอดเทคโนโลยี สำนักวิจัยและส่งเสริมวิชาการการเกษตร มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เชียงใหม่ (โทร. 08-1951-5287)

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com
ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน LINE ID: @KOKOMAX
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #46 เมื่อ: วันที่ 03 พฤศจิกายน 2015, 08:07:45 »


โรคราน้ำค้าง(Downy mildew)

โรคราน้ำค้างจัดว่าเป็นโรคที่สำคัญของแตงโมทุกพันธุ์รวมทั้งพืชในตระกูลนี้อีกหลายชนิดเช่น แตงกวา แตงร้าน มะระ ฯลฯ ส่วนพวกตำลึง บวบ ฟักทอง ฟักข้าว ไม่ค่อยพบโรคนี้ระบาด

ลักษณะอาการของโรค

ใบแตงโมมีแผลสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลอ่อนประปรายทั่วใบ  ทำให้ใบแห้งและเหี่ยวอาการจะปรากฎบนใบแก่โคนเถาก่อน  โรคระบาดรวดเร็วมากจะทำให้เถาแตงเหี่ยวตายหมดทั้งเถาได้ในเวลาที่อากาศชื้น  ด้านท้องใบจะมีกระจุกของราสีขาวหม่นขึ้นบนแผลคล้ายผงแป้ง โรคมักจะระบาดรุนแรงและรวดเร็ว  เมื่อแตงกำลังให้ผล  ทำให้เถาแตงตายไปก่อนที่แตงโมจะสุก

สาเหตุของโรค

โรคนี้เกิดจากเชื้อรา Pseudoperonospora cubensis ซึ่งเป็นเชื้อราที่แพร่ระบาดไปในอากาศ

การป้องกันกำจัด

1.  คลุกเมล็ดพันธุ์ด้วย โคโค-แมกซ์ แช่ทิ้งไว้ 1 คืนก่อนนำไปเพาะ

2.  ใช้โคโค-แมกซ์ อัตรา 5 ช้อนแกง ต่อน้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่น 7-10 วันครั้ง


เว็บเกษตรอันดับ 1 ที่  http://www.kokomax.com
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #47 เมื่อ: วันที่ 05 พฤศจิกายน 2015, 15:22:28 »


เว็บช็อปปิ้งด้านเกษตรอินทรีย์อันดับ 1 ที่ http://www.kokomax.com

โทร.061-405-8899 LINE: @KOKOMAX
Facebook: kokomaxthailand
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 พฤศจิกายน 2015, 03:22:50 โดย srithanaagro » IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #48 เมื่อ: วันที่ 06 พฤศจิกายน 2015, 10:46:12 »



เว็บช็อปปิ้งด้านเกษตรอินทรีย์อันดับ 1 ที่ http://www.kokomax.com

 โทร.061-405-8899 LINE: @KOKOMAX
 Facebook: kokomaxthailand
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 พฤศจิกายน 2015, 03:23:10 โดย srithanaagro » IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #49 เมื่อ: วันที่ 07 พฤศจิกายน 2015, 18:21:25 »


เว็บช็อปปิ้งด้านเกษตรอินทรีย์อันดับ 1 ที่ http://www.kokomax.com

โทร.061-405-8899 LINE: @KOKOMAX
 Facebook: kokomaxthailand

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 พฤศจิกายน 2015, 03:23:28 โดย srithanaagro » IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #50 เมื่อ: วันที่ 08 พฤศจิกายน 2015, 23:33:47 »


เว็บช็อปปิ้งด้านเกษตรอินทรีย์อันดับ 1 ที่ http://www.kokomax.com

โทร.061-405-8899 LINE: @KOKOMAX
 Facebook: kokomaxthailand

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 พฤศจิกายน 2015, 03:23:51 โดย srithanaagro » IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #51 เมื่อ: วันที่ 29 พฤศจิกายน 2015, 22:41:01 »


ปลูกผักบุ้งไม่ต้องรอก้านอวบ ใบเขียว แค่ 7-12 วันเก็บทานได้ มาดูวิธีปลูกกัน

ทุกวันนี้กระแสการรับประทานต้นอ่อนกำลังมาแรงมาก เพราะการรับประทานต้นอ่อนของพืชนั้นจะได้ทั้งความอร่อยและประโยชน์มากมายสูงสุดยิ่งกว่าตอนที่มันเติบใหญ่จนต้องกลายเป็นพืชที่โตเต็มวัยเสียอีกทั้งนี้ก็เพราะต้นอ่อนของพืชชนิดต่างๆจะมีรสชาติที่ดีและมีความหวานแบบกรุบกรอบอีกทั้งยังไม่ต้องใช้สารเคมีในการปลูกก็สามารถนำมาบริโภคได้ดังนั้นมันจึงไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภคแม้แต่น้อย เพราะฉะนั้นเรื่องราวที่เราจะนำม...าเล่าต่อกันฟังในวันนี้จึงเป็นเรื่องราวของ ต้นอ่อนผักบุ้ง นั่นเอง

ต้นอ่อนผักบุ้ง นั้นเป็นพืชที่ปลูกง่ายไม่ยุ่งยาก อีกทั้งยังใช้เวลาในการปลูกไม่นานก็สามารถนำมาใช้บริโภคได้แล้ว โดยการนำมาประกอบอาหารก็ไม่ต่างจากการบริโภคผักบุ่งโตเต็มวัย เช่นสามารถนำไปผัดผักบุ้งไฟแดง นำไปยำผักบุ้งกรอบ หรือนำไปประกอบอาหารชนิดอื่นๆ ได้ตามใจชอบ ที่สำคัญมันจะมีความอร่อยและมีสารอาหารที่มากกว่าผักบุ้งต้นใหญ่เป็นอย่างมากเลยทีเดียว

วิธีการปลูกต้นอ่อนผักบุ้ง
สำหรับการปลูกต้นอ่อนผักบุ้งนั้นมีอุปกรณ์ที่ต้องเตรียมก็คือเมล็ดพันธุ์ผักบุ้งดินละเอียดที่ผสมขุยมะพร้าวและแกลบดำ โดยดินดังกล่าวต้องไม่เค็มและไม่เปรี้ยว ซึ่งจะใส่ปุ๋ยมูลไส้เดือนก็ยิ่งดี หรือจะไม่ใส่เลยก็ยังได้ นอกจากนี้ก็ต้องมีกระบะเพาะหรือตะกร้า ฝักบัวรดน้ำ โดยวิธีการปลูกก็ไม่ยุ่งยาก นั่นก็คือจะต้องนำเอาเมล็ดพันธุ์ไปแช่น้ำไปประมาณ 1 คืน หรือ 8 ชั่วโมง หลังจากนั้นนำมาใส่ตะแกรงให้เสด็ดน้ำโดยใช้เวลา 10-20 นาที แล้วจึงให้ทำการบ่มเมล็ดโดยนำไปห่อในผ้าขาวบางทิ้งไว้ประมาณ 20 ชั่วโมง มันจะมีตุ่มเล็กๆ งอกออกมา ต่อจากนั้นให้นำดินมาใส่กระบะเพาะแล้วนำเมล็ดพันธุ์มาโรยในกระบะให้สม่ำเสมอ อย่าให้แน่นให้บางจนเกินไป และโรยดินบางๆ กลบ

เมื่อปลูกในกระบะเพาะเรียบร้อยแล้วให้ทำการรดน้ำให้ชุ่ม แต่ต้องรดน้ำโดยฉีดเป็นละอองฝอยและอย่าให้น้ำแรงจนเกินไปเพราะจะทำให้เมล็ดกระเด็น ซึ่งในช่วงการปลูกแรกๆ จะต้องดูแลใกล้ชิดอยู่สักหน่อยโดยจะต้องไม่ให้ดินแฉะหรือแห้งจนเกินไป ประมาณ 7-12 วัน ก็สามารถนำไปขายหรือสามารถนำไปบริโภคได้

ต้นอ่อนผักบุ้งนั้นมีรสชาติดีจึงทำให้เมื่อใครต่อใครได้รับประทานต่างติดใจในรสชาติเพราะถึงแม่ว่าผักบุ้งต้นใหญ่จะมีความอร่อยแต่ต้นอ่อนผักบุ้งกลับมีความอร่อยยิ่งกว่ายิ่งการปลูกก็ยิ่งง่ายดายยิ่งกว่าการปลูกต้นอ่อนอีกหลายๆชนิดที่สำคัญมันสามารถขายได้ราคาดีและมีต้นทุนในการปลูกน้อยจึงทำให้การปลูกต้นอ่อนผักบุ้งเป็นอีกหนึ่งอาชีพที่น่าสนใจสุดๆ ไปเลย

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก มติชนออนไลน์ นะคะ

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com

ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน LINE ID: @KOKOMAX
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #52 เมื่อ: วันที่ 04 ธันวาคม 2015, 21:06:13 »

โรคแคงเกอร์ในมะนาว แก้ไขอย่างไร



สาเหตุของโรค เชื้อแบคทีเรีย Xanthomonas campestris pv.citri ( Hasse )Dye. ลักษณะอาการ ใบส้มแสดงอาการจุดนูนสีน้ำตาลเล็ก ๆ ล้อมรอบด้วยวงเหลือง พบทั้งสองด้านของใบ จุดเกิดกระจัดกระจายหรืออาจรวมกันทำให้เป็นแผลกว้าง เนื้อเยื่อกลางจุดนูนสีน้ำตาลจะหยาย และมักบุ๋มตรงกลาง อาการที่ผลเห็นจุดสีน้ำตาล เนื้อเยื่อกลางจุดมักแตกเป็นแอ่ง จุดแคงเกอร์บนผลที่เป็นโรคมากจะเชื่อมตัวกันเป็นแผลกว้างบนผล เชื้อแบคทีเรียเข้าทำลายกิ่งและลำต้น

ทำให้เป็นจุดแตกนูนสีน้ำตาลบนกิ่ง ต้นส้มที่เป็นโรคแคงเกอร์มากผลผลิตจะลดลง ส้มที่เป็นโรครุนแรงได้แก่ มะนาว มะกรูด ส้มเขียวหวาน และส้มโอ การแพร่ระบาด เชื้อแบคทีเรียกระเซ็นทางน้ำ และลมฝนจากเนื้อเยื่อที่เป็นโรคไปยังส่วนอื่นของลำต้น สภาพที่มีฝนตกชุกทำให้โรคระบาดมาก วิธีการให้น้ำโดยการฉีดเข้าทางทรงพุ่มก็จะแพร่โรคให้ระบาดมาก แหล่งแพร่ระบาดคือ ส่วนของต้นที่เป็นโรคที่ตกค้างภายในสวนและกิ่งพันธุ์ที่เป็นโรค การระบาดของหนอนชอนใบจะช่วยแพร่โรคบนใบด้วย การป้องกันกำจัด ใช้กิ่งพันธุ์ที่ปลอดโรค ตัดแต่งกิ่ง ลำต้น ใบ ผล ที่เป็นโรคเผาทำลายและฉีดพ่นป้องกันด้วยสารชีวภาพกำจัดโรคพืช โคโค-แม็กซ์ KOKOMAX อัตรา 5 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตร แช่น้ำทิ้งไว้ 3-5 ชั่วโมงแล้วนำมาฉีดพ่นในตอนเย็น ทุก 3-5 วัน *กรณีระบาด หรือ 7-15 วันครั้ง *กรณีป้องกัน ไม่ควรใช้ร่วมกับสารเคมีเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com


* HjeUxn6.jpg (40.8 KB, 546x155 - ดู 339 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #53 เมื่อ: วันที่ 13 ธันวาคม 2015, 22:50:38 »



วิธีกระตุ้นให้มะลิออกดอกและเก็บจำหน่ายได้ในช่วงฤดูหนาว

 มะลิ ไม้ดอกหอมที่มีความสำคัญต่อวัฒนธรรมไทยแต่โบราณนานมา ด้วยความหอมเย็นอันเป็นเอกลักษณ์ คนไทยแต่โบราณจึงนิยมนำมาลอยน้ำเย็นและใช้แต่งกลิ่นอาหารคาวหวาน เพื่อเพิ่มความหอมสดชื่นชวนทาน รวมทั้งยังมีการนำไปใช้ในการตกแต่งอาคารบ้านเรือน และด้วยสีขาวและกลิ่นหอมอันบริสุทธิ์ของดอกมะลินี่เอง ที่คนไทยนิยมนำมาร้อยเป็นพวงมาลัยไว้ใช้บูชาพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จนกลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ทำสืบต่อกันมา นอกจากนี้ยังมีการใช้ดอกมะลิ เป็นสื่อสัญลักษณ์แทนความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกอีกด้วย มะลิจึงกลายมาเป็นไม้ดอกสำคัญที่มีความต้องการใช้ตลอดปี จนมีการขยายพื้นที่ปลูกมะลิเชิงการค้าเพื่อเก็บดอกจำหน่ายกันมากขึ้นในปัจจุบัน

 ตามธรรมชาติแล้วมะลิจะออกดอกได้ตลอดทั้งปี แต่จะมีดอกดกมากในฤดูร้อนและฤดูฝน ยกเว้นในฤดูหนาวหรือช่วงเดือนพฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ที่มะลิจะออกดอกน้อย เนื่องจากกระทบหนาวทำให้ชะงักการเจริญเติบโต ดอกที่ออกมาจึงเล็กแกร็น ส่งผลให้มีผลผลิตออกสู่ตลาดน้อย ราคามะลิจึงแพงขึ้น จากผลผลิตที่ลดลง แต่ความต้องการใช้ยังคงมีเท่าเดิม ดอกมะลิที่ออกสู่ตลาดในช่วงนี้ จึงมีราคาค่อนข้างสูง

 โดยราคาเฉลี่ยที่เกษตรกรขายได้ ณ ช่วงเวลานี้ คือ 400-600 บาทต่อกิโลกรัม หากเกษตรกรมีการวางแผนการผลิตให้ดีและมีเทคนิควิธีกระตุ้นให้เกิดดอกได้ ก็จะกลายเป็นช่วงนาทีทองของชาวสวนมะลิเลยทีเดียว

 วิธีกระตุ้นมะลิให้ออกดอกในฤดูหนาว

1.วางแผนการผลิต
การวางแผนเป็นการเตรียมการว่าต้องการให้มะลิออกดอกช่วงเวลาไหน เดือนอะไร หากกำหนดเวลาได้แล้ว ให้ทำการบำรุงต้นมะลิให้สมบูรณ์และตัดแต่งกิ่ง เช่น ถ้าต้องการให้มะลิเก็บดอกได้ในช่วงเดือนพฤศจิกายน จำเป็นต้องบำรุงต้นมะลิให้สมบูรณ์ในช่วงเดือนกันยายนโดยรดน้ำ ใส่ปุ๋ยหมัก-ปุ๋ยเคมี เพื่อให้ต้นมะลิสมบูรณ์มีอาหารสะสมเพียงพอ และ ทำการตัดแต่งกิ่งในเดือนตุลาคม เป็นต้น

2. ตัดแต่งกิ่ง
การตัดแต่งกิ่งต้นมะลิจะสามารถกระตุ้นให้แตกกิ่งใหม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ และสามารถเก็บดอกมะลิจำหน่ายได้หลังการตัดแต่งกิ่ง 30 วัน โดยการตัดแต่งกิ่งจะเน้นตัดแต่งกิ่งแห้ง กิ่งเป็นโรค กิ่งที่ถูกแมลงทำลาย กิ่งไขว้ล้มเอนไม่เป็นระเบียบ และ กิ่งเลื้อย ซึ่งการตัดแต่งกิ่งมะลิที่ทำแล้วได้ผลดีในการกระตุ้นดอก มี 2 วิธี คือ

 วิธีที่ 1 ตัดแต่งแบบเหลือกิ่งไว้กับต้นยาว เหมาะสำหรับต้นมะลิที่ยังมีอายุน้อย โดยตัดแต่งกิ่งออกเพียงเล็กน้อยให้เหลือกิ่งสมบูรณ์ไว้กับต้นให้มากที่สุด

 วิธีที่ 2 แบบเหลือกิ่งไว้กับต้นสั้น เหมาะสำหรับมะลิที่มีอายุ 2 ปีขึ้นไป โดยตัดแต่งกิ่งให้เหลือเพียง 3-4 กิ่ง แต่ละกิ่งยาวประมาณ 1-1.5 ฟุต

3. บำรุงต้นกระตุ้นดอก
บำรุงต้นด้วยอาหารทางใบ สูตรโพแทสเซียมไนเตรท (13-0-46) ความเข้มข้น 2.5 % ในอัตรา 500 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ฉีดพ่นให้ทั่วทรงพุ่ม และให้ปุ๋ยทางดินเดือนละครั้งด้วยสูตร 15-15-15 อัตรา 1-2 ช้อนแกง/ต้น พร้อมกับใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตรา 1 กิโลกรัม/ต้น หรือมากกว่าตามความเหมาะสม

การดูแลมะลิในช่วงฤดูหนาวนั้น จะเน้นที่การบำรุงต้น เพื่อให้มะลิมีดอกใหญ่ไม่แคระแกร็น และในฤดูหนาวเป็นช่วงเวลาที่พืชไม่ค่อยเจริญอาหาร (สภาพหนาวเย็นทำให้เกิดกระบวนการสังเคราะห์แสงน้อย) จึงจำเป็นต้องมีการให้ปุ๋ยทางใบชนิดที่มีธาตุฟอสฟอรัสสูงเสริม เช่น สูตร 10-45-10 ฉีดพ่นทุกๆ 10 วัน ในอัตรา 3 ช้อนแกง/น้ำ 20 ลิตร เพื่อให้พืชสามารถดึงไปใช้ได้ทันที

เพียงแค่มีการวางแผนและการจัดการแปลงปลูกที่ดีพอ ก็สามารถผลิตดอกมะลิให้มีออกมาจำหน่ายในช่วงฤดูหนาว ซึ่งเป็นช่วงนาทีทองของชาวสวนมะลิได้แล้ว

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com

ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน LINE ID: @KOKOMAX
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #54 เมื่อ: วันที่ 20 ธันวาคม 2015, 18:50:57 »


ภาพบรรยากาศวิทยาการ เสริมความรู้การดูแลต้นทุเรียน ณ ชมรมชาวสวนทุเรียน ต.บางไผ่ อ.เมือง จ.นนทบุรี โดย ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ KOKOMAX
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #55 เมื่อ: วันที่ 22 ธันวาคม 2015, 22:52:26 »


ที่ http://www.kokomax.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 มกราคม 2016, 23:24:21 โดย srithanaagro » IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #56 เมื่อ: วันที่ 24 ธันวาคม 2015, 10:49:08 »


การขยายพันธ์ชมพู่ซื้อมาปลูกแค่2ต้นเล้วเอามาขยายพันธ์ุ

โดยมีวิธีการดังนี้

1ตัดยอดชมพู่(เลือกเอาที่ใบแก่ๆสีเขียวเข้ม)
2แช่น้ำยาเร่งราก
3เสียบใส่ก้อนโอเอซีส ถ้าไม่มีใช้เปลือกมะพร้าวแทนได้ค่ะ
4รดน้ำนำไปชำในที่ร่มหรือเรือนเพาะชำจนออกราก
5นำไปปลูกลงกระถางหรือถุงเพราะชำรอจนโตได้ที่
แล้วค่อยนำไปปลูก(วิธีนี้ใช้ขยายพันธ์มะนาวก็ได้ค่ะ)

ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก เฟสบุ๊ค คุณ Suparwadee Pummarin ค่ะ ^^

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
http://www.kokomax.com
ติดตามข่าวสารวงการเกษตร โดยเพิ่มเราเป็นเพื่อน LINE ID: @KOKOMAX
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #57 เมื่อ: วันที่ 27 ธันวาคม 2015, 21:06:49 »


เริ่มแล้วนะคะ ปุ๋ย+ยา ลดหนักมาก ที่ http://www.kokomax.com ด่วนเลยนะคะ คุ้มมากๆ
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #58 เมื่อ: วันที่ 29 ธันวาคม 2015, 08:32:46 »


ลดหนักมาก!!! ปุ๋ย+ยา ชีวภาพ  วันที่ 2 แล้ว ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจเป็นอย่างมาก มียอดจำหน่ายวันแรกแล้วกว่า 1,189 ชิ้น/Unit และวันนี้เป็นวันลดราคาวันที่ 2 ท่านใดที่สนใจแจ้งได้ทุกช่องทางนะคะ ราคาวันนี้ถูกมากๆ จริงคะ คุ้มมากๆ สินค้ารับประกันจาก KOKOMAX เลือกซื้อได้เลยที่ http://www.kokomax.com

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
 โทร. 061-405-8899
ไลน์ @KOKOMAX
IP : บันทึกการเข้า
srithanaagro
ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ ผู้นำด้านเกษตรอินทรีย์
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 338


ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ


« ตอบ #59 เมื่อ: วันที่ 30 ธันวาคม 2015, 09:45:18 »


คุ้มมากๆ สินค้ารับประกันจาก KOKOMAX เลือกซื้อได้เลยที่ http://www.kokomax.com

ชมรมส่งเสริมเกษตรชีวภาพ
โทร. 061-405-8899
ไลน์ @KOKOMAX
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 11 มกราคม 2016, 23:24:46 โดย srithanaagro » IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 ... 17 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!