เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 25 เมษายน 2024, 03:40:24
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ตลาดกลางซื้อขายสินค้าออนไลน์
| |-+  พระเครื่อง-วัตถุมงคล เครื่องรางของขลัง ความเชื่อ ลี้ลับ (ผู้ดูแล: NOtis, micky13)
| | |-+  ((เชิญบูชา))ไก่หยิบเงินเนื้อทองเหลืองลงยา หลวงปู่สรวง วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ ลพบุรี
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน ((เชิญบูชา))ไก่หยิบเงินเนื้อทองเหลืองลงยา หลวงปู่สรวง วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ ลพบุรี  (อ่าน 1140 ครั้ง)
sorawit2507
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13


« เมื่อ: วันที่ 16 มกราคม 2015, 16:21:10 »

ไก่บูชา หน้าตัก 4 นิ้ว สร้าง 1,200 ตัว บูชาตัวละ 3,900 บาท
สุดยอดประสบการณ์ โชคลาภ เมตตา ค้าขาย เริ่มหายากแล้ว
เก็บไว้บูชาก่อนจะแพงนะครับ
สนใจโทร 083-139-3306 ด่วน


หลวงปู่สรวง วรสุทฺโธ วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ จ.ลพบุรี พระวิปัสสนาจารย์สายป่ากรรมฐาน สายพระอาจารย์หลวงปู่มั่น
ท่านเป็นผู้ให้กำเนิดวัดถ้ำพรหมสวัสดิ์เป็นเวลานานกว่า 30 ปีแล้ว มีข้อวัตรปฏิบัติที่เคร่งครัด จริยวัตรงดงาม และปฏิปทาน่าเลื่อมใส มีเมตตาธรรมสูง อยู่อย่างเรียบง่าย เน้นสร้างสรรค์พัฒนาทั้งถาวรวัตถุ และจิตใจของญาติโยมด้วยข้อธรรมคำสอนที่ลึกซึ้งกินใจ
“หากสิ้นบุญหลวงปู่แล้วต่อไปให้ไปทำบุญสร้างวัดกับหลวงพ่อสรวง จังหวัดลพบุรีนะ เพราะท่านเป็นพระแท้และไม่ธรรมดาเลยทีเดียว”
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสระแก กล่าวกับลูกศิษย์ที่มาหา (คุณอรรถพล อมรรัตนภักดีกุล )
หลวงปู่สรวง วรสุทฺโธ วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์
หลานแท้ๆ พ่อท่านลี ธัมมธโร วัดอโศการาม พระมหาเถราจารย์ผู้ศึกษาทั้งด้านปริยัติ วิชา อาคม จนแตกฉาน ปฎิบัติวิปัสสนากัมมัฎฐาน จนเข้าถึงแก่นธรรมขั้นสูงคือ อภิญญาฌาน การรู้แจ้ง อายุกาลพรรษามาก ภูมิธรรมเอกอุ พระกัมมัฎฐานหนึ่งเดียวในจังหวัดลพบุรี เสกอะไรเป็นแรง ทำอะไรเป็นขลัง ด้วยอานุภาพพลังสมาธิจิตที่แก่กล้า เจ้าตำรับไก่ฟ้าพญาเลี้ยง ตะกรุดโทน “ไก่เถื่อน” สืบสานตำนานการสร้างตามตำราโบราณสมเด็จสังฆราช (สุก) ไก่เถื่อน ซึ่งได้รับการถ่ายทอดวิทยาอาคมจากหลวงปู่แขม วัดสำเภาล่ม จังหวัดสุพรรณบุรี ศิษย์เอกหลวงพ่อเนียม วัดน้อย ได้รับการถ่ายทอดวิชาการทำตะกรุดโทนอันลือลั่น
จากหลวงปู่โทน กันตสีโล ศิษย์หลวงปู่ใหญ่สมเด็จลุน เมืองเวินไซนครจำปาสัก ประเทศลาว

อัตตะโนชีวประวัติ (ย่อ)
พระครูสุทธิวราภรณ์ (หลวงปู่สรวง วรสุทฺโธ) นามเดิม สรวง นามสกุล พรหมสวัสดิ์ เกิดเมื่อวันพุธที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๖ ขึ้น ๓ ค่ำเดือน ๓ ปีระกา บ้านน้อยนาเวิน บ้านเลขที่ ๗ หมู่ ๑๐ ตำบลโพนเมืองน้อย อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันจังหวัดอำนาจเจริญ) บิดา นายประสาร มารดา นางสอน พรหมสวัสดิ์ มีพี่น้องทั้งหมด ๘ คน หลวงปู่สรวง วรสุทฺโธ อายุ ๗๘ ปี พรรษา ๕๔ สมถะ เรียบง่าย สงบ นิ่งบริสุทธิ์ สุขุม สาธุชนกล่าวขานถวายนามว่า “เทพเจ้าแห่งขุนเขาสาลิกา” อุปสมบทเมื่อปี 2496 เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เนื่องในวโรกาสเสด็จกลับประเทศไทย ที่วัดศรีบุรีรัตนาราม จังหวัดสระบุรี มีภิกษุอุปสมบทด้วยกันสมัยนั้นมากถึง 2,000 รูป ได้ย้ายไปจำพรรษาที่วัดสำเภาล่ม จังหวัดสุพรรณบุรี เพื่อขอถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ขอม วัดไผ่โรงวัว พระอมตะเถราจารย์ร่างไม่เน่า เปื่อย หลวงปู่แขม วัดสำเภาล่ม ศิษย์เอกหลวงพ่อเนียม วัดน้อย สหธรรมิก หลวงพ่อโหน่ง วัดคลองมะดัน ผู้เป็นอาจารย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค และหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ได้รับการถ่ายทอดวิชาเป่านะหน้าทองจากหลวงปู่อิ่ม และอาจารย์แขก วัดหัวเขา ผู้เป็นทายาทอาคมแห่งหลวงปู่สุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ได้รับการสักยันต์ และวิชาการสักยันต์ การทำวัวธนู จากอาจารย์ผาด จอมขมังเวทย์ฆราวาสที่เรียนวิชาจากหลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม เมื่อครั้งธุดงค์อยู่ตามชายฝั่งแม่น้ำโขงได้ถวายตัวเป็นศิษย์หลวงปู่ตาเดียว พระกัมมัฎฐานในป่า ผู้เรียนวิชาจากสมเด็จลุน และญาท่านกรรมฐานแพง ได้เรียนวิชาตำราโบราณตะกรุดไก่แก้ว-ไก่เถื่อน สาลิกา สีผึ้งพญาหงส์ทองจาก อาจารย์ทา ฆราวาสชาวเขมรที่จังหวัดศรีษะเกษ และอาจารย์เพ็ง จังหวัดอุบลราชธานี ศิษย์ฆราวาสสมเด็จลุน หลังจากเดินธุดงค์มาสร้างวัดที่จังหวัดลพบุรีแล้วหลวงปู่สรวง ยังได้มีโอกาสถวายตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสระแก ได้รับการถ่ายทอดวิชาการสร้างพระยันต์ นะ ครอบจักรวาลกับหลวงปู่ดู่ด้วย เมื่อเข้าใจถึงแก่นแท้แห่งวิชาอาคมที่ได้ศึกษามาแล้ว กรอป์กับต้องการศึกษาในด้านกัมมัฎฐานในปีพ.ศ.2500จึงได้เดินทางกลับอุบลราชธานี และได้มีโอกาสเจอกับพระอาจารย์คำบุ ธัมมธโร ศิษย์ในหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต จากนั้นพระอาจารย์คำบุ ได้เทศนาพร่ำสอนจนเกิดความเลื่อมใสในการปฏิบัติกัมมัฏฐานและได้พาธุดงค์ขึ้นไปหาพระอาจารย์จวน กุลเชฎฺโฐ ที่สำนักสงฆ์ถ้ำจันทร์ จังหวัดหนองคาย ได้เรียนวิชายันต์เกราะเพชร และปรอทปราบหงส์สา จากพระอาจารย์จวน ซึ่งท่านได้รับถ่ายทอดมาจากหลวงปู่มั่น ภายหลังได้ญัติเป็นพระสงฆ์ฝ่ายธรรมยุตในปีพ.ศ.2502 เพื่อศึกษาด้านจิตภาวนาวิปัสสนากัมมัฎฐานโดยมี พระครูพุฒิวราคม ศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เป็นพระอุปัชฌาย์ ที่พระอุโบสถวัดประชานิยม ตำบลคล้อใต้ อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนครในปีนั้น หลังจากอุปสมบทแล้วได้จาริกธุดงค์ไปจำพรรษากับหลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล หลวงปู่ฝั้น อาจาโร หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม หลวงปู่แหวน สุจิณโณ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี หลวงปู่จวน กุลเชฎฺโฐ หลวงปู่วัน อุตฺตโม หลวงปู่สิงห์ทอง ธัมมธโร และหลวงปู่คำบุ ธัมมธโร พ.ศ.2509 ถึง 2513 ได้จาริกธุดงค์ไปกับพระอาจารย์จวน พระอาจารย์คำบุ เพื่อสร้างสำนักสงฆ์ภูทอกดังที่ได้เห็นในปัจจุบัน พ.ศ.2518 ได้จาริกธุดงค์ไปกับพระอาจารย์คำบุ ธัมมธโร เพื่อสร้างสำนักสงฆ์สันติวนาราม จังหวัดอุบลราชธานี (ปัจจุบันเป็นจังหวัดอำนาจเจริญ) พ.ศ.2524 ได้อำลาพระอาจารย์คำบุเพื่อเดินทางไปศึกษาธรรมะกับหลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน จังหวัดนครราชสีมา จากนั้นก็ได้จาริกธุดงค์ไปเรื่อยๆ ตามชายนา ป่าเขา ลำเนาไพร ได้พักจำวัดปักกลดอยู่ที่ใต้ต้นมะเดื่อต้นหนึ่ง ริมคลองน้ำในเขตอำเภอหมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี หลังจากนั่งสมาธิ จนจิตสงบแน่นิ่งแล้วหลวงปู่ได้นิมิตเห็นเทวดาสามองค์ลอยมาจากภูเขาด้านทิศตะวันออกพอถึงก็ก้มลงกราบ พร้อมกับเอ่ยวาจาอาราธนานิมนต์หลวงปู่ไปโปรดญาติที่ถ้ำภายในภูเขาอันเป็นที่ตั้งของวัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ในปัจจุบัน หลวงปู่รับอาราธนาพร้อมกับเดินทางไปยังภูเขาที่เห็นในนิมิตภายในรุ่งเช้าหลังจากฉันภัตราหารเสร็จ เมื่อถึงก็ได้พบถ้ำใหญ่ดังที่เห็นในนิมิตหลวงปู่ได้พักปักกลดและปุรณะปฏิสังขรณ์จนเป็นวัดในปัจจุบัน


ครูอาจารย์ที่หลวงปู่เคยอยู่อบรมกัมมัฏฐานและจำพรรษาด้วยตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๐ - พ.ศ. ๒๕๒๔
๑. พระครูพุฒิวราคม วัดประชานิยม
๒. หลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกองเพล
๓. หลวงปู่ชอบ ฐานสโม วัดป่าสัมมานุสรณ์
๔. หลวงปู่เทสส์ เทสรํสี วัดหินหมากเป้ง
๕. หลวงปู่บุญ ชินวํโส วัดประชานิยม
๖. หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม วัดป่าอรัญวิเวก
๗. หลวงปู่ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร
๘. หลวงปู่คำดี ปภาโส สำนักสงฆ์ถ้ำผาปูนิมิต
๙. พระอาจารย์จวน กุลเชฏฺโฐ วัดเจติยาคิรีวิหาร ( ภูทอก )
๑๐. พระอาจารย์วัน อุตฺตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม ( ถ้ำพวง )
๑๑. พระอาจารย์คำบุ ธมฺมธโร วัดสันติวนาราม
๑๒. พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร วัดป่าแก้วชุมพล
๑๓. พระอาจารย์มหาสีทน สำนักสงฆ์ถ้ำผาปูนิมิต
๑๔. หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสระแก



* -1.JPG (43.06 KB, 448x336 - ดู 199 ครั้ง.)

* -2.JPG (44.52 KB, 448x336 - ดู 202 ครั้ง.)

* -3.JPG (41.24 KB, 336x448 - ดู 167 ครั้ง.)

* -4.JPG (39.35 KB, 336x448 - ดู 189 ครั้ง.)

* -5.JPG (36.35 KB, 448x336 - ดู 165 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 17 มกราคม 2015, 06:24:17 โดย sorawit2507 » IP : บันทึกการเข้า
sorawit2507
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 16 มกราคม 2015, 16:21:35 »

ปฏิปทาจริยาวัตรของหลวงปู่สรวง วรสุทฺโธ (โดยย่อ)
************
พ.ศ.๒๕๒๖-ปัจจุบัน พรรษา ๒๕-๕๓ อายุ ๕๐-๗๘ ปี
จำพรรษาที่วัดถ้ำพรหมสวัสดิ์ อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี
มาอยู่ที่ถ้ำเป็นไข้มาลาเรียอยู่ ๓ ปี ไข้ป่ามันขึ้นเดินจงกรมอยู่พอรู้สึกตัวขึ้นมานอนรออยู่ เอ.......ทำไมเรามานอนอยู่อย่างนี้ ตอนแรกเราทำอะไร นึกขึ้นมา โอ้......ตอนแรกเราเดินจงกรมไข้มันขึ้นหนัก ล้มลงไปนอนเมื่อไหร่ไม่รู้สลบไป ไม่รู้เรื่องเลยพอตื่นขึ้นมาเพิ่งรู้ว่า โอ้..........มาดูตามเนื้อตามตัว ล้มลงบนหินแต่ไม่มีแผล ตามเข่าตามศอกไม่มีแผล แต่มันปวดเมื่อยไปหมด
ต่อมานั่งสมาธิเกิดนิมิตมีชีประขาวสองคน จะนวดขาให้มันปวดมันเมื่อยเพราะเส้นมันยึดเขาว่าอย่างนั้น เราเหยียดขาให้เขานวดให้ เขามาช่วยก็ดีให้เขานวดไป นวดไป ๆ เขาดัดเส้นให้มันหายจริง ๆ หายไขมาตั้ง ๓ เดือน ช่วงเขานวดให้นะพวกเทพเขามานวดให้มาจับเส้นให้หายไปเลย ๓ เดือน ฉันท์ยาก็ยารากไม้ยาอย่างทุกวันนี้ไม่มี อย่างมาก็เกลือยารากไม้ ยาแผนโบราณ ลุงสมเป็นคนหามาให้เขาเป็นหมอแผนโบราณ มีรากไม้อยู่ ๓ ชนิด เขาว่าแก้ไข้ป่าเวลาเป็นไข้ ให้ฝน ๆ ในน้ำใส่แก้วแล้วกิน พอทุเลาไป แต่ไม่อยู่ ถึงเวลามันก็ไข้ จนกระทั่งหลวงปู่ว่าไม่เห็นกินยาช่วงนี้เป็นยังไง ท่านถาม บอกผมไม่ไข้มาเดือนกว่าสองเดือนแล้ว อือ.....ไปได้ยาดีมาจากไหน ก็ตอบหลวงปู่ไปว่า.........กระผมนั่งสมาธิอยู่ได้เกิดนิมิตเห็นชีประขาวสองคนมาขอจับเส้นมานวดให้ จากนั้นก็หายมานี้เดือนกว่า ๆ สองเดือนแล้ว หลวงปู่ว่าเออ..........มันได้หมอดีนี่หว่าท่านว่าอย่างนี้
พอหลังจากนั้นมา หลวงปู่คิดว่า การปฏิบัติในศีลในธรรมแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงน้อยใหญ่นี้ เราทำอยู่ในขอบเขตพระธรรมวินัยมีคนช่วยรุกขเทวดาเขาก็ช่วย แม้แต่เป็นไข้ก็มีผู้มาช่วยทำให้เราเกิดความภาคภูมิใจ เกิดความอิ่ม ความปิติในธรรม ขยันปฏิบัติ เดินจงกรมมากกว่าเดิม ข้าวปลาไม่อยากฉันท์ถ้าฉันก็ฉันน้อย ๆ ฉันท์มากมันง่วงพอฉันท์เสร็จสองโมงหรือกี่โมงก็แล้วแต่ ท่านให้ลงเดินจงกรม โน่นสิบเอ็ดโมงตีระฆังถึงจะเลิก ทีนี้ก็บ่ายสอง ตีระฆังปฏิบัติถึงบ่ายสามเลิก ปัดกวาดวัดวาอาราม กุฏิ วิหาร ทำอยู่อย่างนี้ พอหกโมงครึ่งก็สรงน้ำครูบาอาจารย์ เสร็จเรียบร้อยก็ฉันน้ำร้อนน้ำชา ท่านพาทำวัตรสวดมนต์ เมื่อมีเทศน์มีอะไรท่านก็เทศน์ให้ฟัง ไม่มีท่านก็สั่งเลิก ต้องปฏิบัติถึงสี่ทุ่มตีระฆังสี่ทุ่มพักใครจะทำต่อก็แล้วแต่ความพากเพียรพอตีสามก็ตีระฆัง ทำอย่างนี้มาอยู่ตลอดฉันมื้อเดียว ฉันท์รวมในบาตร บิณฑบาตเป็นวัตรจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
เกิดมาเพราะกรรม
ออกจากถ้ำจันทร์ พอฉันท์แล้วไปเที่ยวดง ไปกับ ท่านวงศ์ อาจารย์พัน พระชาลี เณรทัน เณรเตย ไปเที่ยว พอไปแล้วน้ำหมด เดินหาน้ำ ต่างต่างไปหาเกิดหลงกัน เรียกหากันไม่เจอพอไปถึงน้ำซับเห็นรอยช้างน้ำยังขุ่น ๆ อยู่ช้างมันหลายเชือก พอดีโยมจันทร์ เขามาบอกว่า ไม่รู้ว่าบ้านโคกกระแจเขายิงช้างมันพากันหนีมาทางนี้เขาตามมันอยู่ คงเป็นรอยน้ำขุ่น ๆ นั่นละมั้ง รีบไปเถอะอย่าอยู่แถวนี้เลย เดี๋ยวมันมาเจอเข้า เราก็หลบเข้าไปในซอกหิน สักพักมันมาจริง ๆ ตัวเจ็บอยู่ตรงกลาง สองตัวประคองอยู่ข้าง ๆ ตัวเจ็บมันเดินไม่ไหวประคองกันลงมาทางบ้านเหล่าหญ้าคา บ้านกลางใหญ่มันก็อยู่ไม่ได้หรอกเพราะนายพรานเขายิงมันทำนองฆ่าช้างเอางานั่นแหละ เขายิงเอางามันไปขายตอนที่หลบอยู่ในซอกหินเกิดความรู้สึกเมตตาสงสารมันมาก อย่างบอกไม่ถูกทำให้นึกถึงคำสอนของอุปัชฌาคือหลวงปู่พุฒ ที่ท่านบอกว่าสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงมันเกิดมาเพราะกรรมเหมือนเรานี่แหละอย่าไปเบียดเบียนทำอะไรมันเลยสัตว์ตัวเล็กตัวน้อย มันก็อยากอยู่อย่างเรา ไม่อยากเจ็บอยากป่วยอยากตายเหมือนกับเราดูเอาสิ เราเดินไป หนามทิ่มตีนนิด ๆ หน่อย ๆ เรารู้สึกเจ็บถ้าใครเขามาฆ่าเรา มันก็เหมือนกันกับเขานั่นแหละ
ญาติในอดีตชาติ
พอค่ำลงคืนแรกแทบไม่ได้นอนทั้งคืน มีคนเต็มไปหมดในถ้ำผู้หญิงผู้ชายผู้เฒ่าผู้แก่ เด็กเล็กเข้ามานั่งกันเป็นแถว มากราบบางคนก็บ่นว่าคิดถึง บางคนก็บ่นว่าปล่อยปละละเลย เอามาทิ้งไว้แล้วหนีเอาตัวรอดคนเดียวไม่กลับมาเยี่ยมมามองเขาว่าอย่างนี้หลวงปู่เลยบอกเขาว่า “โยม.........อาตมาไม่เคยรู้จักใครนะไม่เคยมาแถวนี้ไม่มีญาติมีโยมรู้จัก อาตมาเพิ่งมาทำไมญาติถึงว่า อาตมาเอาตัวรอดคนเดียวทิ้งไปไม่เหลียวกัลป์ปัปมาหมอง อาตมาไม่รู้นะเนี่ย” เขาบอกว่า “ ก็ปู่มาอยู่ที่นี่แล้วหนีไปปล่อยให้พวกข้าพเจ้าคอยอยู่จนไปไม่ได้” สุดท้ายเขาบอกว่าเป็นญาติทีนี้มันก็เกิดความสงสัยขึ้นมาในจิต แต่ละวัน ๆ ก็มีมาทีละ ๙ คน ๑๐ คน มากราบมารับศีลรับพรทำวัตรสวดมนต์ ฟังเทศน์เสร็จแล้วก็กลับไป แล้วพวกใหม่ก็มาทำให้หลวงปู่สงสารอยากจะโปรดกลุ่มที่อาตมาสงสารมากที่สุดมีอยู่ ๔ คน ผู้ชายบอกว่าหิวข้าว หลวงปู่ก็นึกสงสารดูอิดโรยหน้าตาซีดเซียว สังขารร่างกายผอม เลยคิดว่าจะทำยังไง ข้าวปลาอาหารเราไม่มี บิณฑบาตได้ไม่มาก เลยอธิฐานบารมีขึ้นว่า ถ้าอานิสงส์ที่เราได้ถวายข้าวน้ำโภชนาหารแก่พระภิกษุสามเณรครูบาอาจารย์ ขอจงเป็นโภชนาหารอันเป็นทิพย์ให้ญาติเหล่านี้ได้บริโภคได้อิ่มหนำสำราญทุก ๆ คนญาติโยมจงอนุโมทนารับเอาส่วนบุญส่วนกุศลที่อาตมาได้ทำมานี้เขาก็สาธุขึ้นพร้อมกัน
รุ่งขึ้นอีกวันเขามาหาหลวงปู่คราวนี้หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสสดชื่นข้าวปลาอาหารได้บริโภคอิ่มหนำสำราญแล้วทำให้อาตมาสลดสังเวชในจิตว่าญาติมาทนทุกข์ทรมานอยู่นี้ไม่รู้กี่ภพกี่กัปที่เขามารอเราอยู่เพราะแถวนี้มันเป็นป่าดงดิบเป็นป่าดงพญาเย็น ดงพญาไฟ อยู่ปฏิบัติธรรมมาเรื่อย ๆ ญาติทั้งหลายเหล่านั้นก็มาหาอยู่เรื่อย ๆ
วิญญาณนายพันธุ์
เมื่อปี ๒๕๒๕ มีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อนายพันธ์ ถูกฟ้าผ่าตายแล้วเอามาเผาที่นี่ กลางคืนมันชอบมาเล่นมาแหย่ บางทีนอนอยู่มันก็มาคลำขา มือมันเย็นนิ้วมือใหญ่เท่ากล้วยหอม มันบอก “ผมชื่อพันธ์ ผมอยู่แถวนี้แหละ” บางทีนึกครึ้มก็นวดให้ ความรู้สึกเหมือนมีคนนวดให้จริง ๆ พอนวดไปสักหน่อยเริ่มเย็นขึ้น ๆ ก็บอก....โอย.........พันธ์ มันหนาวมันก็หัวเราะอึก ๆ แล้วก็หายไป
พออกพรรษปี ๒๕๒๕ วันนั้นเป็นวันพระ ญาติโยมมาทำบุญ เลยถามญาติโยมที่มาทำบุญว่า แถวนี้มีคนชื่อพันธ์ คนหนุ่ม ๆ อายุ ๒๐ กว่าไหม โยมเวียนเล่าให้ฟังว่า “นายพันธ์เป็นหลานของผมถูกฟ้าผ่าตายแล้วเอามาเผาตรงนี้ หลวงพ่อเห็นหรอ” ก็บอกว่าเขาว่าจะว่าเห็นก็ใช่ จะว่าเขายังอยู่ยังอยู่ยังไปไม่ได้ก็ใช่ เขาอยู่นี่โยม มาหาอาตมาอยู่ทุกวันอาตมาก็เมตตา ช่วยเขา ต่อมานายพันธ์นี่หายไปเลยนาน ๆ จะมาปรากฏที ถ้าเป็นธรรมดาอยู่ไม่ได้หรอกมันหรอกเก่ง วิญญาณสาวเปลือย
หลวงปู่ไปเที่ยวที่ถ้ำมากักถ้ำนี้เป็นถ้ำเล็กพอเข้าไปจะเป็นรูเล็ก ๆ ต้องนอนคว่ำแล้วค่อย ๆ ให้มันไหลลงไป ไปงัดหินข้างในออกพอคลานขึ้นลงได้ ก็ลงไปนั่งสมาธิวันที่ ๓ ปรากฏว่ามีผู้หญิง ๔ – ๕ คนเห็นแต่คอ ผมยาวๆ ลอยอยู่ไปแต่ละวันก็เห็นอยู่แค่นั้นอาตมาก็เกิดความสงสัยขึ้นมาว่าญาติโยมเหล่านี้คงจะไม่มีอะไรสักอย่างหนึ่งถึงให้เราเห็นแค่หน้าแค่หัวอาตมาก็ตั้งจิตเพ่งพินิจพิจารณาในภาพที่เห็นนั้น ปรากฏเห็นว่าหญิง ๔ – ๕ คนนั้นไม่มีเสื้อผ้านุ่งเขาให้เห็นแต่คอพอรู้แค่นั้นก็ตั้งสัจจะอธิษฐาน เดชะด้วยบารมีที่ข้าพเจ้าได้ถวายไตรจีวรแก่ครูบาอาจารย์พระภิกษุสงฆ์สามเณร ขอจงเป็นผ้านุ่งอันเป็นทิพย์ให้ญาติทั้ง ๔ – ๕ คน ของข้าพเจ้านี้จงได้บริโภคใช้สอยได้นุ่งห่มได้ปกปิดสรรพางค์ร่างกาย พวกเธอจงอนุโมทนาเอาส่วนบุญส่วนกุศลนี้เขาก็สาธุพร้อมกันพออกจากสมาธิเป็นเวลาเกือบ ๕ โมงเย็น ตั้งแต่เวลา ๑๐ โมงเช้าก็ออกมาจากถ้ำ จะมีแอ่งหินอยู่ตรงทางเข้าปล่องถ้ำพระ สังกัจจายน์ แอ่งหินตรงนี้มันเป็นดิน อาตมาไปคุ้ยดินออกแล้วเอาหินมากั้นไว้ให้น้ำมันไหลลงมาขังลึกประมาณ ๑ เมตร ยาวประมาณ ๒ เมตรเศษ ๆ พออาศัยน้ำนั้นล้างบาตร เป็นสถานที่สรงน้ำแต่ก็น่าเสียดายที่มาสร้างพระสังกัจจายน์ทับตรงนั้นทำให้ไม่มีหลักฐาน ก็ไปปัดกวาดทำอะไรเสร็จเรียบร้อยก็มาอาบน้ำพอ ๖ โมง จะเข้า ๖ โมงครึ่งก็ทำวัตรสวดมนต์ เสร็จทุ่มกว่า ๆ แล้วหลวงปู่ก็ขึ้นหลังเขาไปนั่งที่โคนต้นไทร หลังเขามีต้นไทรอยู่ต้นหนึ่ง หลวงปู่เอาหินไปเรียงรอบ ๆ กลางคืนไปนั่งที่นั่น ตีสี่ก็ลงจากเขาเข้าไปในถ้ำทำวัตรสวดมนต์แผ่เมตตา
ในคืนวันหนึ่งเห็นญาติผู้หญิง ๔ – ๕ คนมาจากถ้ำมะกักบอกว่าที่ตอนแรกไม่มากราบเอาบุญกุศลเพราะกลัวบาป ทั้งอาย ไม่มีเสื้อผ้าใส่พอหลังจากที่ได้รับโมทนาจากหลวงปู่แล้วเขาก็มีเสื้อผ้าปิดสรรพางค์ร่างกายมาอันนี้เป็นเหตุให้หลวงปู่สงสารญาติ สังเวชสลดจิตน้ำตาไหลเลย เสื้อผ้าจะนุ่งก็ไม่มีจะไปที่ไหนก็ไปไม่ได้ทนทุกข์ทรมานอยู่ที่นี่ไม่รู้กี่พันปี เป็นกัปกัลป์ เพราะคนอื่นช่วยเหลือเขาไม่ได้นอกจากหลวงปู่ เขาถึงได้คอยอยู่ ทั้งพวกหิวข้าว ทั้งพวกที่ไม่มีผ้านุ่งห่ม และพวกเขามีอยู่มีกินที่อานิสงส์เขาก็เข้าไปอยู่ในถ้ำ
ธรรมะคือยาดีมีฝากญาติ
เขาบอกว่าสมัยก่อนนี้หลวงปู่อยู่เวียงจันทร์ เป็นนายทหารเป็นขุนพลนำทับต้อนพี่น้องประชาชนหนีออกจากเวียงจันทร์ พอมาถึงเกิดอหิวาตกโรค เลยพาพวกเขามาหลบหนีเข้าไปอยู่ในถ้ำนี้แล้วบอกว่าจะไปหายา ให้คอยอยู่ที่นี่แต่พอไปแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย อันนี้แหละที่เขาต่อว่าหลวงปู่เอามาทิ้งมาปล่อยไว้แล้วไม่กลับมาเหลียวแล หลวงปู่บอกว่าไม่ได้ปล่อยได้ทิ้ง ไปหายาแต่ยังไม่ได้เจอยาดี บัดนี้อาตมาได้เจอยาดีมาแล้วพร้อมที่จะนำมาโปรดญาติพี่น้อง ยานี้คือ ยาพุทโธ ยาธัมโม ยาสังโฆ เป็นบุญเป็นกุศล เป็นสิ่งประเสริฐ เป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ท่านทรงบัญญัติเอาไว้แก่เวไนยสัตว์ทั้งหลายให้ประพฤติปฏิบัติตามได้เป็นบุญเป็นกุศลเป็นที่พึ่งทั้งในปัจจุบันและอนาคต จนกระทั่งหลุดพ้นจากภพจากชาติ น้อยใหญ่ ให้ญาติพี่น้องทั้งหลายประพฤติปฏิบัติเอารักษาเอา รักษาศีลห้า ศีลอุโบสถ วันพระให้ปฏิบัติเอารักษาเอา อย่ามาติดภพติดชาติอย่ามาคิดติดถ้ำติดเหว ติดหิน ติดเขาอยู่ที่แถวนี้พวกนี้มันเกิดพร้อมโลกมันก็เป็นไปอยู่อย่างนี้
วัตถุพวกนี้ไม่มีใครที่จะสามารถนำติดตนตามตัวไปสู่ภพน้อยภพใหญ่ได้ จะเอาไปได้แต่ศีลธรรม คือ คุณงามความดี ประพฤติปฏิบัติละชั่ว กระทำดี ละกาย วาจา ใจ ให้อยู่ในขอบในเขต ในศีลในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เห็นเป็นของอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นของไม่เที่ยงเป็นอนัตตาดับสูญไป เราจะมายึดมาถือสิ่งเหล่านี้ไม่สมควร ให้ปฏิบัติรักษาเอา สิ้นจากภพชาติเหล่านี้จะได้ไปสู่สุคติภูมิภพใหม่อย่างเช่นได้มาเกิดเป็นมนุษย์อย่างอาตมานี้ จะได้ออกบวช จะได้บำเพ็ญประพฤติปฏิบัติในศีลในธรรม จะได้มีความสุขความเจริญสร้างบารมีต่อไปสู่ภพน้อยภพใหญ่จะมีโภคสมบัติ มีบริวารสมบัติ หรือมีสติมีปัญญาเฉลียวฉลาดสามารถรู้เหตุรู้ผล รู้ดีรู้ชั่ว รู้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอามาชำระกาย วาจาใจของเรา กิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ตัณหา อุปาทานที่เราถือมั่นยึดมั่นในสิ่งต่าง ๆ เราติดภพติดชาติ รูป เสียง กลิ่น รส โภชนาหารเห็นว่ามันดี เห็นรูปเราว่ามันสวยมันงามเราก็ติด ฟังเสียงเราก็ว่าเสียงเราก็ว่าเสียงมันดีเพระเสนาะโสตเราก็ติดเมื่อจมูกได้กลิ่นเราว่ากลิ่นมันหอมมันดีเราก็ติด ลิ้นได้สัมผัสรสเราก็ว่ารสอร่อยรสดีเราก็ติด สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเราติดมันก็ขัด ก็ข้องมันยึด มันข้อง มันติด จิตใจมันก็ติด เสร็จแล้วเมื่อมรณะมาถึงคือตายก็จะไปไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้มันติด มันขัด มันข้อง มันก็ต้องกลับมาเกิดอีก
ผลสุดท้ายก็เวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ หาที่สิ้นสุดไม่ได้เพราะเราติดในภพ ในชาติ ชาติคือความเกิด ภพภูมิคือที่อยู่ ชาติปิทุกขา ชาติ ความเกิดมันเป็นทุกข์ นี่พระพุทธองค์ท่านทรงบัญญัติเอาไว้ ชี้แจงเอาไว้ ชราปิทุกขา ความแก่ชราคร่ำคร่าก็เป็นทุกข์ มรณัฌปิทุกขัง ความตายก็เป็นทุกข์ ฉะนั้นการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฎเป็นบ่อเกิดแห่งความทุกข์ของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงผู้จมอยู่ในกิเลส ตัณหา ราคะ มานะ ทิฐิ ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ไม่มีเหตุไม่มีผลไม่เป็นความจริง เพราะโมหะคือความหลงใหล หลงในสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นของดี มีสาระเป็นประโยชน์ ที่จริงแล้วสิ่งเหล่านี้ไม่มีสาระ ไม่เป็นประโยชน์ เป็นแต่ทุกข์ขึ้นชื่อว่าเกิดแล้วจะไม่มีทุกข์ไม่มี ภพใดชาติใดที่เราไปเกิดภพภูมินั้นก็เป็นทุกข์แม้แต่พืชต้นไม้ เมื่อมันเกิดแล้ว ก็ยังมีศัตรูไปเบียดเบียนมันพอมันแก่ชราคร่ำคร่าผลสุดท้ายมันก็ตายเหมือนกัน แม้อายุมันจะยืนยาวนาน แต่ความแก่ความชราคร่ำคร่าความเศร้าความหมองมันมี เพราะมันมีสังขาร มันมีร่างกาย มีตนมีตัวเหมือนกับเรานี่เป็นธรรมย่อ ๆ ที่อาตมาแสดงเทศน์โปรดให้ญาติพวกนั้นฟังเขาเหล่านั้นเมื่อได้ยินได้ฟังก็เกิดความปีติ ความยินดีในศีลในธรรม รับเอาธรรมะอันนั้นไปประพฤติปฏิบัติ เดี๋ยวนี้รู้สึกว่าเขาจะไปหมดแล้วพวกเก่า ๆ ไม่ค่อยมีหรอกประวัติการก่อสร้างวัดถ้ำพรหมสวัสดิ์
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๔ มีคนกลุ่มหนึ่งมาจากสกลนคร บอกว่า เพิ่งรู้ว่าหลวงปู่อยู่ที่นี่ อาตมาบอกว่าจะปรับพื้นที่ให้เสมอกันให้สวย เหมาะสมกับพระประธานใหญ่ที่เรากำลังจะสร้าง เขาก็ช่วยถึงญาติโยมผู้มีศรัทธามีปัจจัยมาจากรุงเทพฯ มีโยมธเนศ โยมกฤษฏา โยมนพ อาจารย์มานิตย์ สอนอยู่รามคำแหง มาช่วยสร้างบอกว่าจะปรับพื้นที่ให้มันสวยงามเหมาะสมตอนปรับพื้นถ้ำได้ ๒ วัน มีผู้หญิง ๒ คนมาคุ้ยดินอยู่ข้างนอกเขาบอกว่าเขาเอายังขึ้นไม่หมดเขาก็หาของเขา พอรุ่งขึ้นมาอีกวันอาตมาก็เดินไปรอบ ๆ พระประธานแล้วบอกว่า มาติดมาขัดมาข้องกับข้าวเงินทองอยู่ ถ้าใครมีเงินทองข้าวของก็เอามาอาตมาจะพาสร้างพระประธานเอาบุญเอากุศล จะได้หลุดได้พ้นจากภพจากชาติ ตะมาติดกับข้าวของวัตถุเงินทองต่าง ๆ เฝ้าอยู่ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันปีกี่กัปแล้ว มันได้ดีอะไรขึ้นมา ก็เป็นทุกข์อยู่อย่างนี้แหละ อย่ามัวขี้เหนียว มัวห่วงอยู่เลยโยม ญาติพี่น้องทั้งหลายถึงกาลถึงเวลาที่อาตมาจะพาสร้างแล้วสร้างเอาบุญเอากุศลเราจะได้เลิกกันเสียทีข้าวของเงินทองและวัตถุต่าง ๆ ก็ไม่เห็นเขาว่าไงบางคนก็เอามาให้ดูบางคนก็เงียบทั้งที่อาตมาเห็นอยู่ที่เขาเก็บนะมีคนหนึ่งซึ่งพ่อใหญ่เสนเอาเงินเป็นแท่งมาให้ดูกำมาสองกำมือ อาตมาก็เฉย เห็นแล้วก็ไม่ว่า อีกพวกหนึ่งมันอยู่ในไหเอาหลงไวในเหวหลังพระประธานใหญ่ ตรงระหว่างฤษีทั้งสององค์เป็นเหวลึก ก่อนที่จะถมอาตมาจะเอาไว้ที่นี่หรือจะเอาขึ้น ถ้าเอาขึ้นก็เอาขึ้นนะ พรุ่งนี้จะเทปูนปิดเขาไม่ว่าอะไร ถึงเวลาช่างเขาเทปูนปิด จนกระทั่งทุกวันนี้ เขายังหวงยังห่วงอยู่ พ่อใหญ่เสนนี่อายุมากนะร้อยกว่าปี แต่ยังแข็งแรงอยู่ อาตมาคิดว่าจะอยู่ที่นี่สัก ๗ วัน ผลสุดท้ายมาติดมาขัด สงสารพวกญาติเลยอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้
ผลสุดท้ายหลวงปู่มาสร้างวัดก็เป็นภาระ ทั้งที่ตัวเองลงมาจากถ้ำจันทร์ภูทอก บึงกาฬกับหลวงปู่คำบุ พ.ศ. ๒๕๑๓ มาอยู่อำเภอหัวตะพานจังหวัดอำนาจเจริญมาสร้างวัดอยู่ที่นั่นเป็นวัดป่าตั้งชื่อวัดป่าสันติวนาราม บ้านเหล่าขาว ตำบลโพนเมืองน้อย อำเภอหัวตะพาน จังหวัดอำนาจเจริญ ที่ ๖๕ ไร่ มาสร้างอยู่ที่นั่นปี พ.ศ. ๒๕๑๔ อยู่กับหลวงปู่คำบุ ธมฺมธโร อาจารย์ใหญ่พอฝังลูกนิมิตฉลองโบสถ์เสร็จแล้วปี พ.ศ. ๒๕๒๔ หลวงปู่ถึงได้เดินทางมาที่นี่ คิดว่าการก่อสร้างนี้เราสร้างมานานแล้วมันเหนื่อยว่าจะหยุดพักก็ได้แค่ ๓ ปี จาก ๗ วัน เป็น ๒๐ ปี ด้วยมีเหตุ
พ.ศ. ๒๕๒๗ เริ่มมีปัญหาขึ้นมาหลวงปู่มองดูญาติโยมมาหามั่ง ลูกหลานสานุศิษย์พระเณร เขาก็มาเขารู้ว่าอยู่ที่นี่ เอ.....มาแล้วท่านจะพักที่ไหนถ้าไม่สร้างเราจะมีภาระอีกแล้ว ก็มีจริง ๆ จำเป็นต้องสร้างถ้าจะอยู่ตั้งเป็นวัดทางป่าไม้เขาไม่ให้สร้างบนหลังเขา ยกเว้นมีที่ข้างล่าง ๘ ไร่ ขึ้นไป ขออนุญาตสร้างวัดแล้วอนุรักษ์ป่าไม้พวกนี้หลวงปู่มาซื้อที่แล้วขออนุญาตสร้างวัด ไปเชิญป่าไม้อำเภอป่าไม้ จังหวัดที่ดินอำเภอที่ดินจังหวัดมาขออนุรักษ์ถ้ำนี้ ป่า สัตว์ป่า พอเขามาเห็นถ้ำเขาให้เลย บอกว่าเอาเลยหลวงพ่อ ถ้ำสวย ๆ อย่างนี้เอาไว้เป็นสมบัติของลูกของหลาน ต้นไม้ กระรอก กระแต ไก่ป่ามันจะได้มีที่พึ่งพาอาศัย นิมนต์หลวงพ่อเลยตอนนี้เราได้ที่แล้วเรื่องที่อาตมาเล่าให้ฟังนี้เป็นประวัติโดยย่อๆ ที่มาอยู่ที่นี้ว่าจะอยู่แค่ ๗ วัน กลายเป็น ๒๐ ปี เพราะสงสารญาติโยม ญาติในอดีตที่คอยอยู่มีจริง ๆ หลายพวกหลายหมู่ที่อยู่ในนั้น รู้สึกพวกเก่า ๆ จะไป พวกใหม่ก็มาพวกที่ยังค้างอยู่ยังไม่ได้ไปเกิดก็มี
ด้วยผลแห่งศีลทานความดี
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๓ ที่ผ่านมานี้หลวงปู่ยังงงอยู่เหมือนกันเขาลงมาจากถ้ำ บอกว่า.........ลาก่อนเด้อ.....ปู่ เป็นผู้หญิง และที่ตามมาก็มีหลายคน ที่แปลกที่สุดมีช้าง ๔ - ๕ เชือก เข้ามาแห่รับเอาผู้หญิงคนนั้นไป บอก......ไปก่อนไปคอยอยู่เปลือยใหญ่เด้อ.......หลวงปู่ยังไม่รู้เหมือนกันว่าเปลือยใหญ่อยู่ที่ไหนแต่ในนิมิตเขาบอกอย่างนั้น เมื่อก่อนเขาอยู่ที่นี่เป็นหัวหน้า หลวงปู่ถึงว่า ผลศีล ผลทาน ผลธรรม อำนาจศีลธรรมคุณงามความดีเราอยู่ ณ สถานที่ใดก็อยู่ได้ ถ้าเราประพฤติปฏิบัติดีทำดีปกติแล้วถ้ำตรงนี้ญาติโยมแถวนี้เล่าให้ฟังว่าพระมาอยู่ไม่ได้ มาจากไหนก็อยู่ไม่ได้จนกระทั้งหลวงปู่มา ๆ องค์เดียวเขายังพูดอยู่ออกพรรษาเขาก็เล่าให้ฟังบอกหลวงพ่อรูปนี้มาอยู่รูปเดียว ลองดูจะอยู่ได้สักกี่วันถ้าสามวันไม่เห็นไปบิณฑบาตเตรียมเก็บศพเพราะพระมาอยู่ที่นี้มาเช้าเย็นหายมาเย็นหายเช้าขืนอยู่ก็ป่วยตายอยู่ที่นี้ก็มี คงใช่เพราะอาตมาเห็นพฤติการณ์แล้วมีส่วน แต่หลวงปู่มันเกี่ยวเนื่องว่า เป็นญาติกับพวกเทพ รุกขเทวดาที่เคยอยู่มาก่อน อีกอย่างหนึ่งเราปฏิบัติในศีลในธรรม เราไม่เคยละเคยเว้น เราไม่ประมาทแผ่เมตตา อุทิศบุญกุศลชักนำแนะทาง ชี้ช่องบอกทางให้เขาละชั่ว กระทำดีให้ละจากภพจากชาติจากรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ มีหู ตา จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่รู้ที่เห็นแล้วให้ถอดให้ถอนออก เขาก็ได้รับศีล รับพร รับคุณงามความดีที่เรา บำเพ็ญให้เขาได้ไปสู่ซึ่งภพภูมิที่ดีขึ้น ส่วนเรายังติดยังข้องอยู่ กับการก่อการสร้างวัตถุอะไรทำนองนี้ยังสร้างไม่เสร็จก็อยู่ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะสร้างถึงจะไป.......
อานิสงส์ของการปฏิบัติ
พอหลังจากนั้นมา หลวงปู่คิดว่า การปฏิบัติในศีลในธรรมแผ่เมตตาแก่สรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงน้อยใหญ่นี้ เราทำอยู่ในขอบเขตพระธรรมวินัยมีคนช่วยรุกขเทวดาเขาก็ช่วย แม้แต่เป็นไข้ก็มีผู้มาช่วยทำให้เราเกิดความภาคภูมิใจ เกิดความอิ่ม ความปิติในธรรม ขยันปฏิบัติ เดินจงกรมมากกว่าเดิม ข้าวปลาไม่อยากฉันท์ถ้าฉันก็ฉันน้อย ๆ ฉันมากมันง่วงพอฉันเสร็จสองโมงหรือกี่โมงก็แล้วแต่ ท่านให้ลงเดินจงกรม โน่นสิบเอ็ดโมงตีระฆังถึงจะเลิก ทีนี้ก็บ่ายสอง ตีระฆังปฏิบัติถึงบ่ายสามเลิก ปัดกวาดวัดวาอาราม กุฏิ วิหาร ทำอยู่อย่างนี้ พอหกโมงครึ่งก็สรงน้ำครูบาอาจารย์ เสร็จเรียบร้อยก็ฉันน้ำร้อนน้ำชา ท่านพาทำวัตรสวดมนต์ เมื่อมีเทศน์มีอะไรท่านก็เทศน์ให้ฟัง ไม่มีท่านก็สั่งเลิก ต้องปฏิบัติถึงสี่ทุ่มตีระฆังสี่ทุ่มพักใครจะทำต่อก็แล้วแต่ความพากเพียรพอตีสามก็ตีระฆัง ทำอย่างนี้มาอยู่ตลอดฉันมื้อเดียว ฉันรวมในบาตร บิณฑบาตเป็นวัตรจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
การประพฤติปฏิบัติหลวงปู่ก็ได้ดำเนินมาโดยตลอดจนกระทั่งปัจจุบันนี้อายุก็มากแล้ว ขอฝากลูกบอกหลาน ในสมัยปัจจุบันที่โลกกำลังเจริญ ทั้งด้านวัตถุต่างๆ ก็แตกต่างมีมากมายหลากหลายจนไม่รู้อะไรเป็นอะไรทันสมัยไปหมด ให้พากันหมั่นบำเพ็ญบุญกุศล ให้เกิดให้มีขึ้นแก่ตนให้มากๆ ล่ะ ปล่อยวาง ในสิ่งที่ไม่ดี พยายามขวานขวายเอาคุณงามความดีให้เกิดมีขึ้นในจิตใจให้มากๆ จะได้ไม่เสียทีที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์พบพระพุทธศาสนา เพราะกาลเวลา ล่วงเลยผ่านไปทุกคืนวันอย่าปล่อยให้เวลาอันมีค่าเช่นนี้ผ่ามาและผ่านไปเฉยๆ เพราะความตายมันมา มันมี และเกิดขึ้นได้ทุกขณะ เมื่อความตายมาเยือนครั้นจะทำอะไร ก็สายไปเสีย...ถึงเขาจะอุทิศอะไรให้ก็ไม่เท่ากับเราหาเอาเองในขณะที่มีชีวิตอยู่หรอก...
IP : บันทึกการเข้า
sorawit2507
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 13


« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 17 มกราคม 2015, 06:26:58 »

เชิญบูชาได้ครับ
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!