สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่านบทสัมภาษณ์ ในนิตยสาร"แพรว"จาก
http://pantip.com/topic/33002987"จากเด็กเชียงรายที่ต่อสู้ชีวิตด้วยลำแข้งตัวเองมาตลอด จนวันหนึ่ง ‘สมศักดิ์ รินนายรักษ์ ’ ได้ทำฝันของตัวเองให้เป็นจริงแล้ว ด้วยการคว้าแชมป์ The Voice Season 3 มาครอง แน่นอนว่าเขาอาจไม่ใช่ผู้ชายที่หน้าตาหล่อเหลาเป็นที่น่าประทับใจของสาวๆ หากเพราะพรสวรรค์บวกความสามารถด้านการร้องเพลงที่ถูกถ่ายทอดออกมาแบบซื่อๆ มึนๆ ตามสไตล์ แต่ดูโดดเด่น จึงเอาชนะใจคนดูได้สำเร็จ
อยากให้เล่าถึงชีวิตของ ด.ช.หนุ่มสมัยอยู่เชียงรายหน่อยค่ะ“ไม่ค่อยได้เที่ยวเล่นเหมือนเด็กทั่วไปสักเท่าไหร่ จำได้ว่าเด็กๆ ผมทำงานทุกอย่างที่ได้เงินมาแบ่งเบาภาระพ่อแม่ ครอบครัวไม่เชิงว่าลำบาก แค่พออยู่พอกิน แต่ที่ผมทำงานเพราะไม่อยากขอเงินเขาใช้ เลยทำงานหาเงินเอง เริ่มจากตอนเรียนอยู่มัธยมต้นก็ไปทำงานที่โรงงานหม้อดินเผา คอยโม่ดินแล้วตักไปให้เขาปั้น ได้ค่าจ้างวันละ 120 บาท สำหรับเด็กคนหนึ่งก็ถือว่าเยอะมากแล้ว ดีใจใหญ่เลย พอขึ้นมัธยมปลายเป็นช่วงปิดเทอมพอดี น้าแถวบ้านชวนให้ไปเป็นช่างประปาขุดหลุมขุดบ่อ วางระบบท่อน้ำตามบ้านคน ตึกแถว ได้ค่าจ้างวันละ 150 บาท จนได้เข้าไปช่วยระบบกรมชลประทาน ขุดหลุมวางท่อในเหมือง ได้เงินเยอะขึ้นมาหน่อยวันละ 220 บาท ทำไปเรื่อยๆ จนเปิดเทอมก็เลิก
“ผมเริ่มกลับมาทำงานอีกทีตอนเรียนอยู่ปี 2 เป็นพนักงาน KFC คราวนี้อยู่ยาวเลยครับ เริ่มจากเก็บถ้วยเก็บช้อนแล้วก็ได้ไปเป็นกุ๊กหมักไก่อยู่ในครัว ทำอยู่นานมาก แรกเริ่มได้เงินชั่วโมงละ 27 บาท แล้วก็ปรับขึ้นมาเรื่อยๆ เป็น 40 บาท ก็ทำวันละ 8 ชั่วโมง
ฟังดูแล้วเหมือนไม่ค่อยได้ใช้ชีวิตวัยรุ่นเที่ยวเล่นกับเพื่อนเท่าไหร่นะคะ“ณ เวลานั้นพอได้ทำงานก็รู้สึกว่าไม่ค่อยอยากไปเที่ยวที่ไหนแล้วครับ เสียดายเงิน ขออยู่บ้านเฉยๆ ดีกว่า พอถึงเวลาก็ไปทำงาน บางทีได้เงินมาอยากจะซื้อเสื้อผ้า รองเท้าใหม่ๆ ใส่ ก็มีไปเดินห้างสรรพสินค้าบ้างครับ แต่นานๆ ทีเพราะผมไม่รู้ว่าจะต้องซื้อแบบไหนอย่างไร เป็นคนแต่งตัวไม่ค่อยเป็น ส่วนมากจะหมดเงินไปกับการใช้จ่ายทั่วๆ ไป มากกว่า
แล้วเริ่มชอบการร้องเพลงตั้งแต่เมื่อไหร่คะ“ตอนอยู่มหาวิทยาลัยครับ เพื่อนผมเป็นนักดนตรีเล่นเบสให้กับวงมหาวิทยาลัย เวลาเขามาซ้อมดนตรีก็ชวนผมไปร้องแจมเล่นๆ ตอนนั้นแอบฝันอยู่ลึกๆ แล้วว่าถ้าได้เป็นนักร้องนักดนตรีมีเพลงเป็นของตัวเองคงจะเท่ คือเสียงเราไม่ได้ดีมาก แต่ก็ไม่ได้แย่ ช่วงนั้นรายการ The Voice ยังไม่มีเลย เพิ่งจะมีตอนผมทำงานเคเอฟซี ก็ติดตามดูรายการนี้มาตลอด ชอบมาก ไม่เน้นหน้าตา เอาแต่เสียงอย่างเดียว
ตอนนั้นไม่คิดอยากจะสมัครบ้างเหรอคะ“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องมาสมัคร The Voice Season 3 อย่างที่โค้ชคิ้มบอกอาจจะเป็นวาสนาอะไรสักอย่าง เพราะถ้าไปสมัคร Season 2 ช่วงนั้นติดเรียนแล้วงานเยอะมาก
เห็นหนุ่มเคยบอกว่าตั้งใจจะเก็บเงินเพื่อไปประกวด The Voice จริงหรือเปล่าคะ“ใช่ครับ เหมือนตั้งใจแล้วก็อยากจะลองมาดู คือตอนนั้นผมแค่โพสต์ข้อความที่เป็นความตั้งใจของเรา อาจไม่ได้จริงจังขนาดนั้น แต่พอถึงเวลาก็ได้ไปจริงๆ ครับ ตอนเรียนอยู่ปี 4 เพื่อนจะไปสมัครพอดี เลยชวนผม
ไปออดิชั่นด้วยที่เชียงใหม่ ตื่นเต้นมาก เพราะเป็นครั้งแรกในชีวิตเลย
พอต้องเดินทางมากรุงเทพฯครั้งแรกเป็นอย่างไรบ้างคะ“วุ่นวาย มีตึกเต็มไปหมด รู้สึกแปลกตาดี รถเยอะมากครับ ติดยาวเหยียด บางทีมีนัดออดิชั่นตอน 10 โมงเช้า แต่กะเวลาไม่ถูก คือเราคุ้นชินกับตอนอยู่ต่างจังหวัด เวลาไปไหนมาไหนใช้เวลาเดินทางไม่ถึง15 นาที แต่กรุงเทพฯเจอรถติดทีเป็นชั่วโมงก็จะไปช้าตลอด จำได้ว่าตอนขึ้นรถไฟฟ้าคนเดียว งงมาก ดูไม่เป็นว่าป้ายไหนเป็นป้ายไหน แล้วต้องลงตรงไหน ขึ้นๆ ลงๆ อะไรก็ไม่รู้ อาศัยถามเขาตลอด จนไปถูก ตอนนั้นผมพักอยู่บ้านพี่โจฮันนา ก็ได้เขานี่แหละคอยพาไปไหนต่อไหน พาไปเปิดหูเปิดตา ที่แรกที่ไปคือ ถนนข้าวสาร ซึ่งพอไปจริงๆ แล้วก็รู้สึกเลยว่าตัวเองเชยสะบัด พอเขาถามว่าอยากไปไหนเป็นพิเศษหรือเปล่า เราก็ไม่รู้จะไปไหนแล้ว เอาเข้าจริงๆ กลายเป็นว่าเริ่มเบื่อ หลังๆ เริ่มคิดถึงบ้าน อยากกลับเชียงราย ไม่ได้กลับมาเกือบเดือนแล้วครับ
ตอนที่หนุ่มสมัคร The Voice ทางบ้านว่าอย่างไรบ้างคะ“ไม่ได้สนับสนุนว่าต้องเอาดีทางด้านร้องเพลง แรกๆ แกไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำว่ารายการนี้เกี่ยวกับอะไร ผมต้องอธิบายว่าเป็นรายการเกี่ยวกับการประกวดร้องเพลง แกก็เหมือนจะเข้าใจนะ (หัวเราะ) เปิดทีวีเชียร์ผมตลอด พอเข้ามาถึงรอบ knock out ก็ได้กลับมาอยู่บ้านประมาณ 1-2 เดือน คนในหมู่บ้านแห่มาให้กำลังใจผมเยอะมาก รวมถึงรอบชิงชนะเลิศ พ่อเดินทางมาเชียร์ผมถึงกรุงเทพฯ ส่วนแม่เชียร์อยู่บ้านที่เชียงรายแล้วถ่ายรูปส่งมาให้ผมดูว่าวันนั้นชาวบ้านเอาทีวีจอใหญ่มาตั้งเหมือนฉายหนังกลางแปลง เรียกว่าดูกันทั้งหมู่บ้านเลย แล้วพวกพ่ออุ้ยแม่อุ้ยคนแก่ๆ แกก็อยากจะโหวต แต่ทำไม่เป็น ก็เอาโทรศัพท์มาวางๆ ไว้เป็นกองเลย แล้วให้คนช่วยกดโหวต
หลังจากที่ชนะการประกวดแล้วมีกระแสตามมาว่าเราไม่เหมาะสมกับตำแหน่งแชมป์ หนุ่มรู้สึกอย่างไรบ้างคะ“ผมไม่ได้อะไรกับกระแสมาก ผมว่าทุกคนมีโอกาสได้หมด ไม่ใช่แค่เฉพาะผม หรืออิมเมจ ผมมองว่าบิวนี่ตัวเต็งเลย ต้องได้แน่ๆ ส่วนบอมก็สุดๆ โชว์ได้ดีมากๆ จนผมรู้สึกว่าโชว์ตัวเองสู้คนอื่นไม่ได้เลย ผมไม่คิดว่าตัวเองจะได้ แต่พอประกาศชื่อว่าเป็นผม วินาทีแรกทั้งมึนและเหวอ อยู่ๆ เราก็ได้เป็นแชมป์ คิดอยู่ว่านี่ซ้อมหรือว่าเอาจริง เพราะทุกทีก่อนออนแอร์จะซ้อมบ่อยมากจนงงไปหมด
เรียกว่าเอกลักษณ์ตลกหน้าตายสามารถเอาชนะใจคนดูได้“จริงๆ ผมไม่ได้ตลกแล้วทำหน้านิ่งนะ ผมแค่ทำหน้าเฉยๆ ตามแบบของผม แล้วพูดอะไรสักอย่างหนึ่ง เขาก็หัวเราะเอง ไม่รู้ว่าเขาฮาผมตรงไหน ก็รู้สึกดีนะครับ เหมือนเป็นกำลังใจอย่างหนึ่งที่มีคนสนใจในตัวเรา มีความสุขกับเรา เชื่อไหมตั้งแต่ประกวด The Voice ผมไม่เคยเครียดกดดัน หรือรู้สึกดราม่าอะไรเลย เพราะพี่ๆ ทุกคนน่ารักมาก ดูแลเราอย่างดี จนให้ความรู้สึกเหมือนเป็นครอบครัวใหญ่
ตอนนี้เริ่มมีแฟนคลับบ้างหรือยังคะ“ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน หวังว่าคงจะมีบ้าง (หัวเราะ) แต่ที่พีคสุดๆ เลยคือรอบแสดงสด ตอนร้องเพลง ‘หลงตัวเอง’ โชว์นั้นคือคนจำได้เลยครับ ไปไหนมาไหนมีแต่คนเดินเข้ามาทักตลอด มีคนรู้จักมากขึ้น เพราะทรงผมม้าเต่อ หรือบ็อบเอียงเสี่ยงตีน อย่างที่พี่โจอี้บอก
ถามถึงเรื่องหัวใจบ้างดีกว่า ดูเป็นคนนิ่งๆ คิดภาพไม่ออกเลยว่าเวลาหนุ่มจีบสาวสักคนจะเป็นแบบไหน
“ตอนนี้เรื่องหัวใจผมดีมาก มีแฟนคบหาดูใจกันมาได้สักพักแล้ว เป็นคนเชียงราย เพิ่งมาเจอกันตอนช่วงที่ผมประกวด The Voice ผมเป็นฝ่ายไปจีบเขาเอง เขาเป็นคนน่ารัก รั่วๆ ดีครับ ผมชอบ แรกๆ ผมก็เขินอาย ไม่รู้ว่าจะต้องจีบอย่างไร แต่ก็มีเพื่อนๆ พี่ๆ คอยบอกว่าถ้าชอบใครก็บอกไปเลย ผมก็เชื่อ เดินไปบอกเขาตรงๆ เลยว่าชอบ จีบได้ไหม กลายเป็นว่าเขาก็ตกลง เลยคุยกันมาเรื่อยๆ อนาคตจะเป็นอย่างไรค่อยว่ากันอีกทีสุดท้ายแล้วอยากทราบชีวิตหลังจากนี้หนุ่มแพลนไว้อย่างไรบ้างคะ“อยากจะมีเพลงของตัวเอง 1-2 เพลง ที่คนฟังๆ แล้วคุ้นหู เป็นเพลงหากินเลยก็ว่าได้ ผมคิดว่าคงจะทำงานด้านการร้องเพลงไปเรื่อยๆ ไหนๆ ก็มาทางนี้แล้ว แต่จะไม่สูญเสียความเป็นตัวเองแน่นอน ผมก็เป็นผมแบบนี้แหละครับ อาจมีสิ่งที่ต้องปรับบ้างโดยเฉพาะเรื่องการพูดอาจต้องพูดให้เยอะขึ้น และรู้เรื่องมากกว่านี้ คงต้องค่อยๆ ปรับ ตอนนี้หลายคนบอกฟังผมพูดแล้วรู้เรื่องกว่าตอนแรกๆ เยอะนะ (หัวเราะ) ชีวิตตอนนี้ถือว่ายังไม่ได้เปลี่ยนอะไรมากนะ ผมว่าน่าจะค่อยๆ เปลี่ยนมากกว่า
“แต่เชื่อว่าอย่างน้อยชีวิตคงจะดีขึ้น พ่อกับแม่ไม่ต้องลำบากแล้วครับ”เรื่อง : apinya
ภาพ : ธนายุทธ สร้อยสุวรรณ "