เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 03:35:03
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 [11] 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 ... 37 พิมพ์
ผู้เขียน Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย  (อ่าน 439926 ครั้ง)
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #200 เมื่อ: วันที่ 16 มกราคม 2011, 21:47:52 »

คนแห่ซื้อเสื้อกันหนาวชายแดนแม่สายคึกคัก
 
 

บรรยากาศซื้อขายเสื้อกันหนาว ที่ตลาดอินโดจีน ชายแดน อ.แม่สาย เป็นไปอย่างคึกคัก ขณะอุณหภูมิพื้นราบ อยู่ที่ 13 องศาเซลเซียส

 










 




บรรยากาศการซื้อขายเสื้อกันหนาว บริเวณตลาดอินโดจีน ชายแดน อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย ยังคงคึกคัก มีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยว แม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ของพม่า หาซื้อเครื่องกันหนาวกันอย่างไม่ขาดสาย โดยเสื้อกันหนาวในพื้นที่ชายแดนแม่สาย เป็นเสื้อกันหนาวที่นำเข้ามาจากจีนตอนใต้ มีสีสัน และรูปแบบที่สวยงาม ประจวบกับราคาที่ถูก ซึ่งจำหน่ายกันในตัวละ 80-500 บาท โดยพ่อค้า แม่ค้า เสื้อกันหนาวชายแดนแม่สาย บอกว่า ช่วงนี้เสื้อกันหนาวกลับมาขายดีอีกครั้ง เนื่องจากสภาพอากาศในพื้นที่จังหวัดเชียงราย กลับมาหนาวเย็น จนทำให้เสื้อกันหนาวขายดีขึ้น ส่วนสภาพอากาศในพื้นราบของจังหวัดเชียงราย อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 13 องศาเซลเซียส
 
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #201 เมื่อ: วันที่ 17 มกราคม 2011, 07:18:11 »

เที่ยวเมืองเชียงแสนสัมผัสหนาวที่ดอยแม่สลอง
         
อากาศเย็นสบายในช่วงเวลานี้หลากหลายสถานที่อาจเป็นคำตอบของการพักผ่อนท่องเที่ยว เช่นเดียวกับจุดหมายปลายทางแห่งนี้ เชียงแสน อีกอำเภอหนึ่งในจังหวัดเชียงราย ซึ่งไม่เพียงมีสีสันบรรยากาศธรรมชาติ หากแต่ยังมีมนต์เสน่ห์ประวัติศาสตร์วันวาน วิถีชีวิตชุมชนให้สัมผัสใกล้ชิด
   
ด้วยระยะทางห่างจากตัวเมืองออกไปประมาณ 60 กิโลเมตรซึ่งสามารถเดินทางมาถึงได้โดยสะดวกก่อนเริ่มลัดเลาะเที่ยวชมเมืองอันมีประวัติความเป็นมายาวนาน โบราณสถานเก่าแก่ปรากฏอยู่มากมาย
   
ไม่เพียงเท่านั้น ที่อำเภอ ริมฝั่งแม่น้ำโขงแห่งนี้ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวและท่าเรือขนส่งสินค้าที่สำคัญของภาคเหนือ มีพื้นที่สามเหลี่ยมทองคำ บริเวณที่บรรจบกันของชายแดนไทย ลาว พม่าและด้วยเหตุที่เป็นเมืองเก่า ในทางประวัติศาสตร์ เมืองเชียงแสนจึงมีฐานะเป็นอาณาจักรโบราณมีเรื่องราวและพงศาวดารบันทึกไว้หลายฉบับ
   
เมืองเชียงแสนมีทั้ง ส่วนเมืองเก่าหรือเวียงเก่า และส่วนเมืองใหม่ โดยตัวเมืองเก่าจะอยู่ในเขตกำแพงเมืองเก่า ขณะที่นอกกำแพงเมืองมีโบราณสถานกระจายอยู่ทั่วไปถึงอำเภอแม่จัน ทั้งนี้เพราะมีเมืองสร้างขึ้นมาซ้อนกันหลายยุคหลายสมัย เช่น อาณาจักรสุวรรณโคมคำ อาณาจักรโยนก อาณาจักรล้านนา ฯลฯ
   
เมื่อมาถึงเชียงแสนทั้งทีคงต้องหาเวลาท่องเที่ยวพักผ่อนภายในเขตเมืองซึ่งมีอยู่หลายสถานที่ช่วยเติมต่อประสบการณ์วันหยุดพักผ่อนอย่างคุ้มค่า อย่างครั้งนี้ในเส้นทางที่ สิรีน แอท เชียงรายแนะนำให้ทำความรู้จักกับเมืองเชียงแสนใกล้ชิดขึ้นโดยตั้งต้นที่ พิพิธภัณฑสถาน แห่งชาติเชียงแสน ซึ่งตั้งอยู่ในย่านตัวเมือง
   
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้จัดเป็นพิพิธภัณฑสถานประจำแหล่งโบราณคดีเมืองเชียงแสนเมืองสำคัญเมืองหนึ่งใน  ประวัติศาสตร์ของอาณาจักรล้านนาซึ่งมีแหล่งโบราณคดีทั้งสมัยก่อนประวัติศาสตร์ และสมัยประวัติศาสตร์ปรากฏ อยู่มาก
   
การจัดแสดงจึงเน้นในเรื่องของประวัติศาสตร์และโบราณคดีที่เกี่ยวข้องกับการตั้งหลักแหล่งของชุมชน เครื่องมือเครื่องใช้ของมนุษย์ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ยุคสังคมล่าสัตว์และสังคมเกษตรกรรมเรื่อยมาจนถึงสมัยประวัติศาสตร์ จำแนกโบราณวัตถุที่ได้จากการขุดแต่งโบราณสถานในเมืองเชียงแสนออกเป็นกลุ่มต่าง ๆตามแหล่งที่ขุดพบจัดแสดงภายใน อาคารจัดแสดงหลักชั้นล่าง และภายใน อาคารส่วนขยาย เป็นต้น
   
ไม่ไกลจากกันนัก ยังสามารถแวะไหว้พระชมความงดงามสถาปัตยกรรมภายใน วัดพระธาตุเจดีย์หลวง วัดเก่าแก่ของเมืองซึ่งจากประวัติเล่าขานถึงการสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าแสนภู พระราชนัดดาในพญาเม็งรายมหาราช ด้านในสงบร่มรื่นมีพระเจดีย์องค์ใหญ่ทรงระฆังแบบล้านนาประดิษฐานอยู่ โดยเจดีย์ดังกล่าวเป็นเจดีย์ประจำเมืองเชียงแสนซึ่งสร้างขึ้นในช่วงต้นของการสร้างเมือง นอกจากนี้ยังมีพระวิหารเก่าแก่ พระเจดีย์รูปแบบต่าง ๆ ให้เที่ยวชม
   
ส่วนทางฝั่งนอกกำแพงเมืองออกไปไม่ไกลโดยตลอดถนนร่มรื่นไปด้วยต้นไม้เป็นที่ตั้งของ วัดป่าสัก ซึ่งกล่าวถึงการสร้างวัดขึ้นในสมัยเดียวกันเจดีย์ประธานเป็นทรงปราสาทห้ายอดศิลปะล้านนาซึ่งนอกจากความงดงามของรูปทรงยังมีลวดลายปูนปั้นประดับปรากฏให้ชมด้วย ภายในวัดเก่าแก่แห่งนี้สงบเงียบร่มรื่นมีต้นสักรายล้อมรอบวัดซึ่งก็เป็นที่มาของชื่อวัดป่าสัก นั่นเอง
   
ในบรรยากาศของการเที่ยววัดไหว้พระยังไม่หมดเท่านี้ ด้วยเหตุที่เมืองเชียงแสนมีประวัติความเป็นมายาวนาน ไม่เพียงโบราณสถานที่ปรากฏ หากแต่ยังมีกำแพงเมือง คูเมืองเก่าแก่ซึ่งหลายภาคส่วนได้ร่วมกันอนุรักษ์ไว้และห่างจากวัดป่าสักไปอีกไม่ไกลนัก ยังอาจสามารถเดินทางไปเที่ยวต่อได้ที่ วัดพระธาตุจอมกิตติ อีกหนึ่งสถานที่ที่มีพระธาตุเก่าแก่ งดงามลักษณะเป็นเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสองสมัยเชียงแสนภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ นอกจากนี้บริเวณด้านทิศตะวันออกยังมีโบสถ์ศิลปะล้านนางดงามให้เที่ยวชม อีกทั้งด้านหน้าของโบสถ์ยังเป็นจุดชมวิวมองเห็นแม่น้ำโขงและ ทิวทัศน์งดงามกว้างไกลสุดลูกหูลูกตา
   
อีกมนต์เสน่ห์หนึ่งของเมืองเชียงแสน ด้วยความที่มีที่ตั้งทำเลอยู่ใกล้ชิดติดแม่น้ำโขง ยังทำให้นักท่องเที่ยวสามารถล่องเรือข้ามฝั่งไปยังบ้านต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้วเยือนฝั่งลาวเที่ยวเมืองสุวรรณโคมคำในอดีตได้ซึ่งในเส้นทางยังมีร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของนครเก่าแก่มีโบราณสถานสร้างโดยการก่ออิฐถือปูนปรากฏให้ชม อย่างที่วัดดอนสวรรค์ ซึ่งเก็บรักษาโบราณวัตถุที่พบในดินแดนนี้
   
อีกทั้งในเส้นทางสองฟากฝั่งยังมีสีสันของแปลงข้าวโพดที่กำลังผลิใบเขียวชวนให้ได้พักผ่อนสายตา มีร่องรอยของสถูปเจดีย์ ความงดงามของพระพุทธรูปปางสมาธิถ่ายทอดให้เห็นถึงความรุ่งเรืองในวันวาน พร้อมสัมผัสบรรยากาศยามเย็นก่อนพระอาทิตย์จะลาลับฟ้าที่บริเวณริมฝั่งโขง ซึ่ง จุดนี้แหละ...ที่นักท่องเที่ยวทั้งหลายมักไม่พลาดที่จะหยิบกล้องขึ้นมาเก็บภาพความประทับใจกลับบ้านไว้ดูเป็นที่ระลึก
   
รุ่งเช้าของวันใหม่ หากใครชื่นชอบสีสันของพืช  ผักสด ผลไม้สดจากไร่ รวมถึงอาหารพื้นถิ่น ต้องไม่พลาดแวะเที่ยวชมตลาดเช้าเมืองเชียงแสนซึ่งมีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร โดยสารพันทั้ง สิ่งของเครื่องใช้ และอาหารต่างมีให้เลือกซื้อเลือกหากันหลากหลาย
   
จากเมืองเชียงแสนเดินทางต่อไปยัง ดอยแม่สลอง ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง โดยที่นี่เป็นที่ตั้งของ หมู่บ้านสันติคีรี หรือเดิมชื่อบ้านแม่สลองนอก บนดอยแม่สลอง มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่งให้เที่ยวชม โดยเฉพาะช่วงเดือนนี้จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ หากใครมีโอกาสขึ้นไปก็จะได้เห็นสีสันความงาม ของดอกนางพญาเสือโคร่ง ซึ่งมีสีชมพูอมขาว และดอกบัวตองสีเหลืองสด ซึ่งผลิดอกต้อนรับผู้มาเยือนตลอดสอง ข้างทาง
   
นอกจากนี้ที่แม่สลองยังมีการทำไร่ปลูกชาหลากหลายชนิด ซึ่งระหว่างเส้นทางก็จะได้เห็น อีกทั้งยังสามารถเที่ยวชมไร่ดูขั้นตอนการปลูก การเก็บใบชาซึ่งกว่าจะได้ใบชามารับประทานเป็นเครื่องดื่มรสชาติดีนั้นมีหลายขั้นตอนในการควบคุมคุณภาพของใบชา ตั้งแต่การเก็บใบชา การอบ การบรรจุถุง ฯลฯ
   
ด้วยที่ลักษณะภูมิประเทศ เป็นภูเขาสูง อากาศที่นี่จึงค่อนข้างเย็นสบายและไม่เพียงเฉพาะชาจีนที่ดอยแม่สลองจะเป็นผลผลิตที่ขึ้นชื่อ ณ ดอยแห่งนี้ยังเป็นแหล่งผลิตสินค้าทางการเกษตรอีกหลายอย่างทั้งพืชผัก ผลไม้ฤดูหนาวหลากชนิดซึ่งนอกจากผลสดที่ได้รับความนิยม ในส่วนของผลไม้แปรรูปก็มีรสชาติติดอกติดใจนักท่องเที่ยวมามากมายนักต่อนัก
   
นอกจากการเพลิดเพลินธรรมชาติ การท่องเที่ยวเชิงเกษตรสัมผัสอากาศหนาวเย็นกันแล้ว มาถึงดอยแม่สลองยังสามารถแวะเที่ยวชมวัฒนธรรมประเพณีชาวเขา ชาวจีนยูนนานและที่ไม่ควรพลาดก็คือ การลิ้มรสอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ขาหมูยูน นานกับหมั่นโถว เมนูเลื่องชื่อของดอยแม่สลอง หรือจะทดลองความหอม กลมกล่อมของรสชาติชาซึ่งก็มีให้เลือกหามากมาย นับเป็นอีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวหลากสีสัน ปิดท้ายการพักผ่อนเติมต่อประสบการณ์วันหยุดอย่างคุ้มค่า ที่คุณจะประทับใจไปอีกนานแสนนานทีเดียว.

..............
สีสันรายทาง

การเดินทาง : การเดินทางสู่จังหวัดเชียงรายไปได้โดยสะดวกทั้ง ทางรถยนต์ส่วนตัว รถประจำทาง เครื่องบินและรถไฟ โดยในเส้นทางรถไฟจากสถานีรถไฟหัวลำโพงไปลงที่จังหวัดลำปางหรือเชียงใหม่ แล้วเดินทางต่อโดยรถยนต์ ไปยังจังหวัดเชียงราย
   
อำเภอเชียงแสนอยู่ห่างจากตัวเมือง 60 กิโลเมตร  และถ้าจะเดินทางต่อไปยังดอยแม่สลอง สามารถไปได้หลายเส้นทาง อาทิ เส้นเชียงราย-แม่จัน จาก อ.เมืองใช้ทางหลวงหมายเลข 10 มายัง อ.แม่จัน จากนั้นเลี้ยวซ้ายไปตามทางหลวงหมายเลข 1089 (แม่จัน-ท่าตอน) บริเวณหลัก กม.856 ก่อนถึงทางเข้าตัวอำเภอ ผ่านน้ำพุร้อนป่าตึง กม. 55 ให้เลี้ยวขวา ไปตามเส้นทางขึ้นดอย หรือตามเส้นทางหมายเลข 1338 เลี้ยวซ้ายตามทางหลวง 1234 ผ่านบ้านอีก้อ ถึงสามแยกตรงหลัก กม. 9 เลี้ยวซ้ายไปอีก 16 กม. ก็จะถึงดอยแม่สลอง นอกจากนี้ยัง  สามารถใช้บริการรถสองแถวประจำทางเพื่อขึ้นดอยได้อีกด้วย
   
สถานที่ท่องเที่ยวใกล้เคียง : พระบรมธาตุเจดีย์ศรีนครินทร์สถิตมหาสันติคีรี ตั้งอยู่บนยอดดอยแม่สลองภายในสถานที่นี้นอกจากจะได้ชมความงดงามของพระบรมธาตุฯ แล้วยังสามารถชมทิวทัศน์มุมสูงได้กว้างไกลสุดสายตา 
   
ของฝาก : ผลไม้สด ผลไม้แปรรูป งานหัตถกรรมเครื่องประดับจากชาวเขา

http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=486&contentId=115442
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #202 เมื่อ: วันที่ 21 มกราคม 2011, 10:50:03 »

 
โครงข่ายทางรถไฟ‘จีน’ออกสู่โลกภายนอกโดยผ่าน‘พม่า’ (ตอนแรก)
 
โดย ไบรอัน แมคคาร์แทน 20 มกราคม 2554 21:39 น.
 
 (เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์www.atimes.com)
       
       China outward bound through Myanmar
       By Brian McCartan
       07/01/2011
       
       ประเทศพม่าอยู่ในฐานะที่ทรงความสำคัญเป็นอย่างมาก ในแผนการอันใหญ่โตมโหฬารของปักกิ่งที่จะสร้างโครงข่ายทางรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมต่อระหว่างจีนกับบรรดาชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และดินแดนที่อยู่ถัดออกไปอีก ถ้าหากแผนการนี้เสร็จสมบูรณ์ได้ตามที่วาดวางเอาไว้ มันก็จะเป็นโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีขนาดใหญ่โตที่สุดในประวัติศาสตร์ทีเดียว อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญประการหนึ่งของโครงการนี้ ก็คือการที่ระบบรางรถไฟของพม่าและประเทศอื่นๆ ใช้ช่วงกว้างระหว่างรางที่แตกต่างกันอยู่
       
       *รายงานชิ้นนี้แบ่งเป็น 2 ตอน นี่คือตอนแรก *
       
       เชียงใหม่ - พม่ากำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมด้วยระบบรางรถไฟแห่งสำคัญแห่งหนึ่งในระดับภูมิภาค โดยจะเป็นจุดเชื่อมต่อจีนและอินเดียเข้ากับตลาดต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และดินแดนที่อยู่ถัดออกไปอีก ทั้งนี้ถ้าหากแผนการลงทุนต่างๆ ที่กำลังเสนอกันอยู่ในเวลานี้จักบังเกิดผลขึ้นมาได้จริง และก็เฉกเช่นเดียวกับการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ จำนวนมากมายในภูมิภาคแถบนี้ ผู้ที่เป็นพลังขับดันอยู่เบื้องหลังการออกแบบอันใหญ่โตมโหฬารในเรื่องนี้ก็คือปักกิ่งเจ้าเก่า
       
       จีนกำลังวางแผนการที่จะก่อสร้างเส้นทางรถไฟจำนวนมาก ซึ่งจะเชื่อมต่อภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้อันห่างไกลของตน เข้ากับเมืองท่าต่างๆ ในพม่า แล้วต่อไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีการวางแผนกำหนดให้มีเส้นทางรถไฟสายสำคัญสายหนึ่งโยงต่อเมืองคุนหมิง (เมืองหลวงของมณฑลหยุนหนัน ที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของแดนมังกร) เข้ากับท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่รวมทั้งพื้นที่เขตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมพิเศษ ซึ่งกำลังก่อสร้างกันอยู่ที่เมืองจ๊อกเปียว (Kyaukpyu) บนชายฝั่งด้านตะวันตกของพม่า
       
       แผนการสร้างเส้นทางรถไฟสายนี้ได้รับการกระจายข่าวเป็นครั้งแรกในนิตยสารรายสัปดาห์ “วีกลี อีเลฟเวน นิวส์” (Weekly Eleven News) ของพม่าเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมปีที่แล้ว โดยเป็นที่คาดหมายกันว่าจะสร้างแล้วเสร็จในปี 2015 นอกจากนั้นจีนยังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและเขตอุตสาหกรรมที่จ๊อกเปียวด้วย ทั้งเส้นทางรถไฟ, ท่าเรือน้ำลึก, และเขตอุตสาหกรรมดังที่กล่าวมา ถือเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของแดนมังกรที่จะพัฒนาช่องทางทางการค้าให้แก่ภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่ไร้ทางออกทางทะเลของตน รวมทั้งยังจะใช้เป็นจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าน้ำมันและก๊าซ โดยจะมีการเชื่อมต่อไปยังสายท่อส่งน้ำมันและก๊าซซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง
       
       นอกจากทางรถไฟคุนหมิง-จ๊อกเปียว ยังมีการวางแผนสร้างเส้นทางรางรถไฟอีกเส้นหนึ่งเชื่อมต่อเมืองคุนหมิงเข้ากับเมืองย่างกุ้ง อดีตเมืองหลวงเก่าและเมืองท่าใหญ่ของพม่า คิดเป็นระยะทาง 1,920 กิโลเมตร การก่อสร้างน่าที่จะอาศัยเส้นทางรถไฟสายเหนือ-ใต้ที่มีอยู่แล้วของพม่า แทนที่จะต้องวางรางวางเส้นทางกันใหม่หมด
       
       ทางรถไฟเส้นนี้ยังจะต่อเข้ากับเส้นทางรถไฟสายซึ่งเชื่อมโยงไปสู่โครงการท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ที่เมืองทวาย (Dawei) บนชายฝั่งด้านใต้ของพม่า ทั้งนี้ส่วนประกอบสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของโครงการท่าเรือแห่งนี้ตามที่ได้มีการแถลงกันไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ก็คือจะมีการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ระหว่างทวายกับกรุงเทพฯ
       
       ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังมีการวางแผนการสร้างทางรถไฟติดต่อระหว่างภาคตะวันตกเฉียงใต้ของแดนมังกรกับดินแดนพม่าเส้นที่สาม โดยรางรถไฟของสายนี้จะทอดผ่านรัฐฉาน (Shan State) ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของพม่า ทั้งนี้จากจุดเริ่มต้นที่เมืองคุนหมิง ทางรถไฟสายนี้เมื่อผ่านรัฐฉานแล้วก็จะมาจนถึงจังหวัดเชียงรายทางภาคเหนือของประเทศไทย และจากเชียงรายก็จะโยงเข้าสู่โครงข่ายรางรถไฟของไทยได้ เส้นทางคุนหมิง-เชียงรายสายนี้เมื่อบวกเข้ากับอีกเส้นหนึ่งที่ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการสำรวจวางแนวทางในประเทศลาว ก็จะทำให้สามารถขนส่งสินค้าด้วยรางรถไฟระหว่างจีน, กัมพูชา, พม่า, ไทย, ลาว, มาเลเซีย, และสิงคโปร์
       
       หวัง เมิ่งซู (Wang Mengshu) นักวิชาการของบัณฑิตยสถานทางวิศวกรรมศาสตร์แห่งประเทศจีน (Chinese Academy of Engineering) ได้กล่าวกับสื่อมวลชนจีนในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่า “คณะผู้แทนที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงการรถไฟ (Ministry of Railroads) ได้ไปเยือน (พม่า) และลาวในกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อดำเนินการสำรวจ และทันทีที่มีการกำหนดแนวเส้นทางรถไฟระหว่างจีน-พม่าแล้ว การก่อสร้างก็สามารถเริ่มต้นได้อย่างเร็วที่สุดคือภายในเวลา 2 เดือน โดยที่เส้นทางสายนี้น่าที่จะกลายเป็นเส้นทางขนส่งสายหลักที่ทำให้จีนเชื่อมต่อด้วยทางรถไฟกับประเทศทั้งหลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
       
       นอกเหนือจากพวกเส้นทางรถไฟซึ่งออกมาจากเมืองคุนมิงดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีแผนการทำทางรถไฟเพิ่มเติมอีก 2 เส้นที่จะโยงภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนเข้ากับโครงข่ายรางรถไฟของพม่า โดยเป็นเส้นทางจากเมืองตาหลี่ ของจีน ไปยังเมืองมีตจีนา (Myitkyina) และเมืองลาเฉียว (Lashio) ของพม่า เมืองทั้ง 2 แห่งนี้ของพม่าต่างก็เป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่และเป็นปลายทางของทางรถไฟ
       
       ไม่เฉพาะแต่เรื่องเส้นทางรางรถไฟผ่านพม่า แดนมังกรยังกำลังให้ความช่วยเหลือเพื่อยกระดับอุปกรณ์เครื่องจักรเครื่องมือเกี่ยวกับรถไฟของแดนหม่องให้ทันสมัยยิ่งขึ้นด้วย เป็นต้นว่า ในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ปักกิ่งได้บริจาคหัวรถจักร 30 หัวจากกรมการขนส่งทางรถไฟของจีน เพื่อเป็น “ของขวัญแห่งมิตรภาพ” ให้แก่พม่า ทั้งนี้ตามรายงานของสำนักข่าวซินหวาของทางการจีน
       
       เมื่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ เส้นทางรถไฟใหม่ๆ เหล่านี้ก็จะยิ่งกระชับสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่จีนมีอยู่กับพม่าให้แข็งแกร่งขึ้นอีกมาก อีกทั้งยังจะร่วมส่วนในการบูรณาการเศรษฐกิจของภูมิภาคแถบนี้ด้วย ประเทศจีนเองก็กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินโครงการที่ประมาณการกันว่ามีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อขยายระบบทางรถไฟภายในประเทศ จากที่มีระยะทางรวมทั้งสิ้น 78,000 กิโลเมตรในปัจจุบัน ให้เป็น 110,000 กิโลเมตรภายในปี 2012 และเป็น 120,000 กิโลเมตรภายในปี 2020 โครงการอันมหึมานี้ยังตั้งจุดมุ่งหมายเอาไว้ว่า จะต้องทำให้เมืองใหญ่เมืองสำคัญทั้งหมดในแดนมังกรสามารถติดต่อเชื่อมโยงกันด้วยทางรถไฟความเร็วสูง (high-speed line) ซึ่งสามารถรองรับขบวนรถไฟที่แล่นด้วยความเร็วเกินกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
       
       เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมก็จะเห็นได้ว่า พม่าอยู่ในฐานะที่ทรงความสำคัญเป็นพิเศษในแผนการอันใหญ่โตมโหฬารของปักกิ่งที่จะก่อสร้างโครงข่ายทางรถไฟความเร็วสูงซึ่งเชื่อมโยงจีนเข้ากับบรรดาชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียใต้, ตะวันออกกลาง, และยุโรป อันที่จริงหลายๆ ส่วนของโครงข่ายนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ผ่านประเทศพม่านั้น สอดคล้องต้องกันกับแผนการริเริ่มจัดทำเส้นทางรถไฟสายทรานส์เอเชีย (Trans-Asian Railway initiative) รวมระยะทางทั้งสิ้นราว 14,000 กิโลเมตร ซึ่งสำนักงานคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ สำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (United Nations Economic and Social Commission for Asia and the Pacific ใช้อักษรย่อว่า UNESCAP หรือย่อกันยิ่งกว่านั้นว่า ESCAP) ได้เสนอกันขึ้นมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 ถ้าหากเสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามแผนการได้เมื่อใด มันก็จะกลายเป็นโครงการทางด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ทีเดียว
       
       เส้นทางรถไฟสายทรานส์เอเชีย จะมีแนวเส้นทางอย่างไรแน่ๆ เวลานี้ยังคงไม่เป็นที่กระจ่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ย่อมหนีไม่พ้นว่าโครงข่ายนี้จะต้องไปตามทิศทางใหญ่ๆ รวม 3 ทิศทาง กล่าวคือ แนวเส้นทางสายเหนือจะแผ่ขยายผ่านมองโกเลีย, คาซัคสถาน, รัสเซีย, ยูเครน และต่อออกไปเชื่อมโยงกับโครงข่ายทางรถไฟของยุโรป สำหรับแนวเส้นทางสายกลางจะผ่านพม่า, บังกลาเทศ, อินเดีย, ปากีสถาน, อิหร่าน, ไปจนถึงตุรกี ส่วนแนวเส้นทางสายใต้จะออกจากจีนไปจนถึงสิงคโปร์ โดยผ่านพม่า, ลาว, เวียดนาม, และไทย ในปัจจุบันจีนมีเส้นทางรถไฟที่สามารถเชื่อมต่อกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็คือผ่านไปทางเวียดนามเท่านั้น
       
       ไบรอัน แมคคาร์แทน เป็นนักหนังสือพิมพ์อิสระที่พำนักอยู่ในกรุงเทพฯ สามารถติดต่อเขาได้ทางอีเมล์ที่ brianpm@comcast.net
       (อ่านต่อตอน 2 ซึ่งเป็นตอนจบ)
 
 http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000008512
 
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #203 เมื่อ: วันที่ 21 มกราคม 2011, 10:54:31 »

โครงข่ายทางรถไฟ‘จีน’ออกสู่โลกภายนอกโดยผ่าน‘พม่า’ (ตอนแรก)

โดย ไบรอัน แมคคาร์แทน 20 มกราคม 2554 21:39 น.


(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์www.atimes.com)

China outward bound through Myanmar
By Brian McCartan
07/01/2011

ประเทศพม่าอยู่ในฐานะที่ทรงความสำคัญเป็นอย่างมาก ในแผนการอันใหญ่โตมโหฬารของปักกิ่งที่จะสร้างโครงข่ายทางรถไฟความเร็วสูงเพื่อเชื่อมต่อระหว่างจีนกับบรรดาชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และดินแดนที่อยู่ถัดออกไปอีก ถ้าหากแผนการนี้เสร็จสมบูรณ์ได้ตามที่วาดวางเอาไว้ มันก็จะเป็นโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีขนาดใหญ่โตที่สุดในประวัติศาสตร์ทีเดียว อย่างไรก็ตาม อุปสรรคสำคัญประการหนึ่งของโครงการนี้ ก็คือการที่ระบบรางรถไฟของพม่าและประเทศอื่นๆ ใช้ช่วงกว้างระหว่างรางที่แตกต่างกันอยู่

*รายงานชิ้นนี้แบ่งเป็น 2 ตอน นี่คือตอนแรก *

เชียงใหม่ - พม่ากำลังจะกลายเป็นศูนย์กลางการคมนาคมด้วยระบบรางรถไฟแห่งสำคัญแห่งหนึ่งในระดับภูมิภาค โดยจะเป็นจุดเชื่อมต่อจีนและอินเดียเข้ากับตลาดต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และดินแดนที่อยู่ถัดออกไปอีก ทั้งนี้ถ้าหากแผนการลงทุนต่างๆ ที่กำลังเสนอกันอยู่ในเวลานี้จักบังเกิดผลขึ้นมาได้จริง และก็เฉกเช่นเดียวกับการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ จำนวนมากมายในภูมิภาคแถบนี้ ผู้ที่เป็นพลังขับดันอยู่เบื้องหลังการออกแบบอันใหญ่โตมโหฬารในเรื่องนี้ก็คือปักกิ่งเจ้าเก่า

จีนกำลังวางแผนการที่จะก่อสร้างเส้นทางรถไฟจำนวนมาก ซึ่งจะเชื่อมต่อภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้อันห่างไกลของตน เข้ากับเมืองท่าต่างๆ ในพม่า แล้วต่อไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มีการวางแผนกำหนดให้มีเส้นทางรถไฟสายสำคัญสายหนึ่งโยงต่อเมืองคุนหมิง (เมืองหลวงของมณฑลหยุนหนัน ที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของแดนมังกร) เข้ากับท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่รวมทั้งพื้นที่เขตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมพิเศษ ซึ่งกำลังก่อสร้างกันอยู่ที่เมืองจ๊อกเปียว (Kyaukpyu) บนชายฝั่งด้านตะวันตกของพม่า

แผนการสร้างเส้นทางรถไฟสายนี้ได้รับการกระจายข่าวเป็นครั้งแรกในนิตยสารรายสัปดาห์ “วีกลี อีเลฟเวน นิวส์” (Weekly Eleven News) ของพม่าเมื่อวันที่ 16 ตุลาคมปีที่แล้ว โดยเป็นที่คาดหมายกันว่าจะสร้างแล้วเสร็จในปี 2015 นอกจากนั้นจีนยังเกี่ยวข้องกับการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกและเขตอุตสาหกรรมที่จ๊อกเปียวด้วย ทั้งเส้นทางรถไฟ, ท่าเรือน้ำลึก, และเขตอุตสาหกรรมดังที่กล่าวมา ถือเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของแดนมังกรที่จะพัฒนาช่องทางทางการค้าให้แก่ภูมิภาคตะวันตกเฉียงใต้ที่ไร้ทางออกทางทะเลของตน รวมทั้งยังจะใช้เป็นจุดเปลี่ยนถ่ายสินค้าน้ำมันและก๊าซ โดยจะมีการเชื่อมต่อไปยังสายท่อส่งน้ำมันและก๊าซซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง

นอกจากทางรถไฟคุนหมิง-จ๊อกเปียว ยังมีการวางแผนสร้างเส้นทางรางรถไฟอีกเส้นหนึ่งเชื่อมต่อเมืองคุนหมิงเข้ากับเมืองย่างกุ้ง อดีตเมืองหลวงเก่าและเมืองท่าใหญ่ของพม่า คิดเป็นระยะทาง 1,920 กิโลเมตร การก่อสร้างน่าที่จะอาศัยเส้นทางรถไฟสายเหนือ-ใต้ที่มีอยู่แล้วของพม่า แทนที่จะต้องวางรางวางเส้นทางกันใหม่หมด

ทางรถไฟเส้นนี้ยังจะต่อเข้ากับเส้นทางรถไฟสายซึ่งเชื่อมโยงไปสู่โครงการท่าเรือน้ำลึกแห่งใหม่ที่เมืองทวาย (Dawei) บนชายฝั่งด้านใต้ของพม่า ทั้งนี้ส่วนประกอบสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของโครงการท่าเรือแห่งนี้ตามที่ได้มีการแถลงกันไปเมื่อปลายปีที่แล้ว ก็คือจะมีการก่อสร้างทางรถไฟสายใหม่ระหว่างทวายกับกรุงเทพฯ

ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ ยังมีการวางแผนการสร้างทางรถไฟติดต่อระหว่างภาคตะวันตกเฉียงใต้ของแดนมังกรกับดินแดนพม่าเส้นที่สาม โดยรางรถไฟของสายนี้จะทอดผ่านรัฐฉาน (Shan State) ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของพม่า ทั้งนี้จากจุดเริ่มต้นที่เมืองคุนหมิง ทางรถไฟสายนี้เมื่อผ่านรัฐฉานแล้วก็จะมาจนถึงจังหวัดเชียงรายทางภาคเหนือของประเทศไทย และจากเชียงรายก็จะโยงเข้าสู่โครงข่ายรางรถไฟของไทยได้ เส้นทางคุนหมิง-เชียงรายสายนี้เมื่อบวกเข้ากับอีกเส้นหนึ่งที่ปัจจุบันกำลังอยู่ระหว่างการสำรวจวางแนวทางในประเทศลาว ก็จะทำให้สามารถขนส่งสินค้าด้วยรางรถไฟระหว่างจีน, กัมพูชา, พม่า, ไทย, ลาว, มาเลเซีย, และสิงคโปร์

หวัง เมิ่งซู (Wang Mengshu) นักวิชาการของบัณฑิตยสถานทางวิศวกรรมศาสตร์แห่งประเทศจีน (Chinese Academy of Engineering) ได้กล่าวกับสื่อมวลชนจีนในเดือนธันวาคมที่ผ่านมาว่า “คณะผู้แทนที่ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงการรถไฟ (Ministry of Railroads) ได้ไปเยือน (พม่า) และลาวในกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา เพื่อดำเนินการสำรวจ และทันทีที่มีการกำหนดแนวเส้นทางรถไฟระหว่างจีน-พม่าแล้ว การก่อสร้างก็สามารถเริ่มต้นได้อย่างเร็วที่สุดคือภายในเวลา 2 เดือน โดยที่เส้นทางสายนี้น่าที่จะกลายเป็นเส้นทางขนส่งสายหลักที่ทำให้จีนเชื่อมต่อด้วยทางรถไฟกับประเทศทั้งหลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

นอกเหนือจากพวกเส้นทางรถไฟซึ่งออกมาจากเมืองคุนมิงดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีแผนการทำทางรถไฟเพิ่มเติมอีก 2 เส้นที่จะโยงภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีนเข้ากับโครงข่ายรางรถไฟของพม่า โดยเป็นเส้นทางจากเมืองตาหลี่ ของจีน ไปยังเมืองมีตจีนา (Myitkyina) และเมืองลาเฉียว (Lashio) ของพม่า เมืองทั้ง 2 แห่งนี้ของพม่าต่างก็เป็นศูนย์กลางการค้าขนาดใหญ่และเป็นปลายทางของทางรถไฟ

ไม่เฉพาะแต่เรื่องเส้นทางรางรถไฟผ่านพม่า แดนมังกรยังกำลังให้ความช่วยเหลือเพื่อยกระดับอุปกรณ์เครื่องจักรเครื่องมือเกี่ยวกับรถไฟของแดนหม่องให้ทันสมัยยิ่งขึ้นด้วย เป็นต้นว่า ในเดือนตุลาคมปีที่แล้ว ปักกิ่งได้บริจาคหัวรถจักร 30 หัวจากกรมการขนส่งทางรถไฟของจีน เพื่อเป็น “ของขวัญแห่งมิตรภาพ” ให้แก่พม่า ทั้งนี้ตามรายงานของสำนักข่าวซินหวาของทางการจีน

เมื่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ เส้นทางรถไฟใหม่ๆ เหล่านี้ก็จะยิ่งกระชับสายสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่จีนมีอยู่กับพม่าให้แข็งแกร่งขึ้นอีกมาก อีกทั้งยังจะร่วมส่วนในการบูรณาการเศรษฐกิจของภูมิภาคแถบนี้ด้วย ประเทศจีนเองก็กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินโครงการที่ประมาณการกันว่ามีมูลค่าถึง 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพื่อขยายระบบทางรถไฟภายในประเทศ จากที่มีระยะทางรวมทั้งสิ้น 78,000 กิโลเมตรในปัจจุบัน ให้เป็น 110,000 กิโลเมตรภายในปี 2012 และเป็น 120,000 กิโลเมตรภายในปี 2020 โครงการอันมหึมานี้ยังตั้งจุดมุ่งหมายเอาไว้ว่า จะต้องทำให้เมืองใหญ่เมืองสำคัญทั้งหมดในแดนมังกรสามารถติดต่อเชื่อมโยงกันด้วยทางรถไฟความเร็วสูง (high-speed line) ซึ่งสามารถรองรับขบวนรถไฟที่แล่นด้วยความเร็วเกินกว่า 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมก็จะเห็นได้ว่า พม่าอยู่ในฐานะที่ทรงความสำคัญเป็นพิเศษในแผนการอันใหญ่โตมโหฬารของปักกิ่งที่จะก่อสร้างโครงข่ายทางรถไฟความเร็วสูงซึ่งเชื่อมโยงจีนเข้ากับบรรดาชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, เอเชียใต้, ตะวันออกกลาง, และยุโรป อันที่จริงหลายๆ ส่วนของโครงข่ายนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงที่ผ่านประเทศพม่านั้น สอดคล้องต้องกันกับแผนการริเริ่มจัดทำเส้นทางรถไฟสายทรานส์เอเชีย (Trans-Asian Railway initiative) รวมระยะทางทั้งสิ้นราว 14,000 กิโลเมตร ซึ่งสำนักงานคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจและสังคมแห่งสหประชาชาติ สำหรับภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก (United Nations Economic and Social Commission for Asia and the Pacific ใช้อักษรย่อว่า UNESCAP หรือย่อกันยิ่งกว่านั้นว่า ESCAP) ได้เสนอกันขึ้นมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1960 ถ้าหากเสร็จสิ้นสมบูรณ์ตามแผนการได้เมื่อใด มันก็จะกลายเป็นโครงการทางด้านโครงสร้างพื้นฐานที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ทีเดียว

เส้นทางรถไฟสายทรานส์เอเชีย จะมีแนวเส้นทางอย่างไรแน่ๆ เวลานี้ยังคงไม่เป็นที่กระจ่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม ย่อมหนีไม่พ้นว่าโครงข่ายนี้จะต้องไปตามทิศทางใหญ่ๆ รวม 3 ทิศทาง กล่าวคือ แนวเส้นทางสายเหนือจะแผ่ขยายผ่านมองโกเลีย, คาซัคสถาน, รัสเซีย, ยูเครน และต่อออกไปเชื่อมโยงกับโครงข่ายทางรถไฟของยุโรป สำหรับแนวเส้นทางสายกลางจะผ่านพม่า, บังกลาเทศ, อินเดีย, ปากีสถาน, อิหร่าน, ไปจนถึงตุรกี ส่วนแนวเส้นทางสายใต้จะออกจากจีนไปจนถึงสิงคโปร์ โดยผ่านพม่า, ลาว, เวียดนาม, และไทย ในปัจจุบันจีนมีเส้นทางรถไฟที่สามารถเชื่อมต่อกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็คือผ่านไปทางเวียดนามเท่านั้น

ไบรอัน แมคคาร์แทน เป็นนักหนังสือพิมพ์อิสระที่พำนักอยู่ในกรุงเทพฯ สามารถติดต่อเขาได้ทางอีเมล์ที่ brianpm@comcast.net
(อ่านต่อตอน 2 ซึ่งเป็นตอนจบ)

http://www.manager.co.th/Around/View...=9540000008512

///////////////

ขอเมืองเชียงราย เราเป็นปลายทาง เพราะไม่ค่อยคาดหวังกับรัฐบาลไทย ในความจริงจังเรื่องนี้
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #204 เมื่อ: วันที่ 23 มกราคม 2011, 12:22:40 »

-นิทรรศการศิลปะ Beautifu-life ของ สุดรัก อุทโยภาศ วันนี้ถึง 10 ก.พ. ที่ 9 Art Gallery จ.เชียงราย โทร.0-5371-911
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #205 เมื่อ: วันที่ 24 มกราคม 2011, 11:49:28 »


วันที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4282 ประชาชาติธุรกิจ


เขตเศรษฐกิจพิเศษ"ต้นผึ้ง"โตฉลุย-รัฐบาลลาวตั้งทีมดูแลการลงทุน



นักลงทุนจีน-ไทยแห่ร่วมลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษเมืองต้นผึ้ง สปป.ลาว กลุ่ม "ดอกงิ้วคำ" เจ้าของโปรเจ็กต์เร่งพัฒนาถนนเชื่อมอาร์สามเอรองรับการเติบโต ตั้งเป้าเนรมิตเป็นเมืองใหม่รับคลื่นการลงทุน การท่องเที่ยวโยงจีนตอนใต้-กรุงเทพฯ-เชียงใหม่-หลวงพระบาง


นางสาวนงเยาว์ ปาสามลีย์ หัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์ฝั่งไทย โครงการคิงส์โรมันส์ ออฟ ลาว เอเชี่ยน แอนด์ ทัวริส ดิเวลลอปเม้นท์ โซน ซึ่งประกอบกิจการเขตเศรษฐกิจพิเศษเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ในนามกลุ่มดอกงิ้วคำ เปิดเผยว่า ขณะนี้โครงการคืบหน้าไปอย่างต่อเนื่อง มีการก่อสร้างถนนจากโครงการไปจนถึงเมืองห้วยทรายติดถนนอาร์สามเอเชื่อมไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ รวมทั้งลงทุนระบบสาธารณูปโภค อาคารพาณิชย์ พื้นที่เกษตร กาสิโนแห่งใหม่ที่เปิดไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา และโรงแรมขนาด 700 ห้อง นอกจากนี้ยังมีแผนพัฒนากิจการด้านการท่องเที่ยวด้วย

ปัจจุบันมีกลุ่มทุนจากประเทศจีนหลายรายเข้าไปร่วมลงทุนในพื้นที่ทั้งด้านการค้าขาย สถานบันเทิง เขตการค้าปลอดภาษี ฯลฯ ขณะที่กลุ่มทุนจากประเทศไทยก็เข้าไปเช่าพื้นที่อาคารพาณิชย์ รวมทั้งห้างสรรพสินค้าเอดิสัน (ทุนท้องถิ่นเชียงราย) ก็เตรียมจะเข้าไปเปิดกิจการในเร็ว ๆ นี้ด้วย ทั้งนี้ตั้งเป้าหมายว่าภายใน 10 ปีจะมีผู้เข้าไปอยู่อาศัยในโครงการประมาณ 2 แสนคน

สำหรับพื้นที่ภายในโครงการทั้งหมด 7,500 ไร่ ระยะเวลาเช่าจากรัฐบาล สปป.ลาว 99 ปีนั้นแบ่งออกเป็น 5 โซน ได้แก่ โซนเอ ซึ่งมองเห็นได้อย่างชัดเจนจากสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย กำลังพัฒนาเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ มีการสร้างแหล่ง พาณิชยกรรม การค้า กาสิโน โรงแรม ขนาด 700 ห้อง, โซนบี เป็นตลาด เมืองมอม และท่าเรือเมืองมอม, โซนซี พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรม

พื้นที่โซนดี จะพัฒนาเป็นแหล่ง ท่องเที่ยวโบราณสถาน เพราะมีโบราณสถานนครสุวรรณโคมคำมีอายุเก่าแก่มาก และโซนอี มีสภาพเป็นป่าไม้อุดมสมบูรณ์ เตรียมพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ โดยมุ่งสู่การเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวของภูมิภาคด้วยการเชื่อมโยงจีนตอนใต้-กรุงเทพฯ-เชียงใหม่-หลวงพระบาง

ด้านนายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือกล่าวว่า เขตเศรษฐกิจเมืองต้นผึ้งเติบโตอย่างรวดเร็ว ล่าสุดรัฐบาล สปป.ลาวได้จัดตั้งคณะกรรมาธิการเขตเศรษฐกิจพิเศษและเฉพาะขึ้นมากำกับดูแลแล้ว โดยมีท่านบัวรา ขัติยะ เป็นประธานคณะกรรมาธิการ

ทั้งนี้ นักธุรกิจไทย-สปป.ลาวตั้งข้อสังเกตว่า การจัดตั้งคณะกรรมาธิการดังกล่าวอาจเกิดจากการเติบโตของเอกชนจีนที่รุกเข้าไปยัง สปป.ลาวอย่างต่อเนื่อง และมีการเปิดกิจการต่าง ๆ มากมายทั้งโรงแรม กาสิโน ฯลฯ รัฐบาล สปป.ลาวต้องการเข้าไปดูแลหลายปัญหา เช่น สิ่งแวดล้อม แรงงาน ซึ่งการดำเนินงานของกลุ่มดอกงิ้วคำจะต้องได้รับอนุมัติจากคณะกรรมาธิการชุดนี้ด้วย

หน้า 15



http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02inv10240154&sectionid=0203&day=2011-01-24
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #206 เมื่อ: วันที่ 24 มกราคม 2011, 13:40:06 »

เชียงราย - รมว.กต.เตือน “วีระ-ราตรี” ดูตัวอย่าง 5 คนไทยที่ได้กลับไทย ก่อนตัดสินใจสู้คดีให้ถึงที่สุด หรือทำอย่างไรต่อ แถมระบุ “หากทั้ง 2 คนคิดเป็นอย่างอื่น ก็คงช่วยอะไรไม่ได้”
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า ระหว่างที่นายกษิต ภิรมย์ รมว.กระทรวงการต่างประเทศ เดินทางด้วยเครื่องบินไปยังท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย อ.เมือง จ.เชียงราย เพื่อไปร่วมการประชุมคระรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียน ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 23-24 ม.ค.54 ณ โรงแรมอนันตรารีสอร์ทแอนด์สปาโกลเด้นไทรแองเกิ้ล สามเหลี่ยมทองคำ ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย
       
       นายกษิตได้กล่าวถึงกรณีการช่วยเหลือคนไทยอีก 2 คนที่ยังถูกดำเนินคดีและรอการพิพากษาของศาลประเทศกัมพูชาว่า คงจะไม่มีสิ่งใดมากไปกว่านี้ เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวนายวีระ และคุณราตรี เองว่าจะสู้คดีให้ถึงที่สุดหรือไม่ หรือจะดำเนินการอย่างไรต่อไป โดยสามารถปรึกษากับทนายความได้ และสามารถดูตัวอย่างการถูกปล่อยตัวกลับประเทศไทยของคนไทยจำนวน 5 คนก่อนหน้านี้ได้เช่นกัน
       
       “แต่ถ้าทั้งสองคนคิดเป็นอย่างอื่นก็คงจะช่วยอะไรไม่ได้ จึงขอให้คิดดูให้ดีเพราะไม่มีใครอยากอยู่ในคุกและญาติๆ ของแต่ละคนก็คงอยากจะให้กลับประเทศไทยโดยเร็ว จากนั้นจึงค่อยมาเริ่มการต่อสู้และเริ่มต้นชีวิตกันใหม่” นายกษิตกล่าวก่อนจะเดินทางไปยังสามเหลี่ยมทองคำเพื่อร่วมการประชุม และคณะ รมว.ต่างประเทศทั้งหมดจะมีการประชุมโดยมีนายสุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการอาเซียน เดินทางไปร่วมด้วย
       
       จากนั้นวันที่ 24 ม.ค.ทั้งหมดมีกำหนดเดินทางด้วยเรือในแม่น้ำโขงไปขึ้นฝั่งที่เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงกันข้าม อ.เชียงของ เพื่อดูความคืบหน้าในการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 และสำรวจถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ และเดินทางไปทางเครื่องบินไปเยือนเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน ต่อไป


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000009784
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #207 เมื่อ: วันที่ 26 มกราคม 2011, 13:10:10 »

ตรุษจีนเงินสะพัด4หมื่นล.
 
วันพุธ ที่ 26 มกราคม 2554 เวลา 9:50 น
 

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลตรุษจีน และทรรศนะเกี่ยวกับเศรษฐกิจและมาตรการปัจจุบันว่า การจับจ่ายใช้สอยในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี  54 ประเมินมีเงินสะพัดกว่า 39,141 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่เม็ดเงินสะพัด 36,263 ล้านบาท ประมาณ 7.94% เป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 6 ปี นับตั้งแต่มีการสำรวจมาในปี 49 ซึ่งสะท้อนถึงการฟื้นตัวของกำลังซื้อผู้บริโภคและความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจที่เริ่มกลับเข้าสู่ปกติ
   
“การใช้จ่ายในเทศกาลตรุษจีนปีนี้ คึกคักมากสุดเมื่อเทียบกับหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา โดยมียอดใช้จ่ายสูงใกล้เคียงกับการเติบโตของจีดีพี ซึ่งเป็นผลจากประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงราคาพืชผลการเกษตรสูงขึ้น ส่งผลให้การจับจ่ายใช้คึกคัก แต่ก็ยังระมัดระวังการใช้จ่ายอยู่”
   
สำหรับการใช้จ่ายแยกรายบุคคลพบประชาชนส่วนใหญ่ยังใช้จ่ายเพื่อซื้อของเซ่นไหว้มากที่สุด 69.1% ตกเฉลี่ยคนละ 2,853 บาท รองลงมาเป็นทำบุญ 66.3% เฉลี่ย 1,838 บาท ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภค 41.7% เฉลี่ย 3,294 บาท ให้แต๊ะเอีย 30.5% เฉลี่ย 3,028 บาท ใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว 30.5% เฉลี่ย 6,853 บาท ส่วนที่เหลือเป็นการใช้จ่ายในการเดินห้าง จัดเลี้ยงสังสรรค์ ซื้อเสื้อผ้า สินค้าคงทน ดูหนัง โดยมีรูปแบบการใช้จ่ายใกล้เคียงกับปีที่แล้ว
   
ส่วนทรรศนะเกี่ยวกับราคาสินค้าในช่วงเทศกาลตรุษจีนปี 54 กลุ่มตัวอย่างกว่า 80% เห็นว่าราคาสินค้าแพงขึ้น และผู้บริโภคกว่า 49.8% เป็นห่วงเรื่องราคาสินค้าแพงมากที่สุด โดยเมื่อเทียบค่าใช้จ่ายกับปีก่อนกลุ่มตัวอย่าง 42.6% เห็นว่าปีนี้จะใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพราะมีสาเหตุมาจากราคาสินค้าแพง มากกว่าการเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ส่วนกลุ่มผู้ตอบใช้จ่ายลดลง 22.4% เพราะต้องการลดค่าใช้จ่าย เนื่องจากเห็นว่าภาวะเศรษฐกิจ และรายได้แย่ลง
   
ด้านการวางแผนเดินทางท่องเที่ยวปีนี้ คนส่วนใหญ่ 69.5% ไม่มีการวางแผนท่องเที่ยว และอีก 30.5% มีแผนท่องเที่ยว แบ่งเป็นเที่ยวในประเทศ 81.3% และเที่ยวต่างประเทศ 18.7% โดยปีนี้คนมีการเดินทางเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย เพราะช่วงตรุษจีนไม่ได้ตรงกับวันหยุดสุดสัปดาห์ สำหรับแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในประเทศ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย พระนคร ศรีอยุธยา ส่วนต่างประเทศ ได้แก่ จีน ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น ฮ่องกง มาเลเซีย
   
นายธนวรรธน์ กล่าวว่า ทรรศนะเกี่ยวกับเศรษฐกิจและมาตรการของภาครัฐในปัจจุบัน กลุ่มตัวอย่าง 28.8% เห็นว่ามาตรการควบคุมราคาสินค้าของรัฐบาลไม่ได้ผลเลย เพราะราคาสินค้ายังเพิ่มขึ้นมาก และคนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าในอีก 6 เดือนข้างหน้า ราคาสินค้าจะแพงขึ้น ซึ่งมีสาเหตุจากราคาน้ำมันปรับตัวสูง วัตถุดิบผลิตสินค้าแพงขึ้น รัฐบาลไม่ควบคุม และยังมีประชาชนมากถึง 38% ไม่สามารถแบกรับภาระสินค้าแพงได้ ต้องหันมากู้ยืมเงินนอกระบบแทน 
   
ขณะที่มาตรการ 9 ข้อที่รัฐบาลให้เป็นของขวัญปีใหม่ มาตรการที่คนชื่นชอบมากที่สุด ได้แก่ มาตรการให้ผู้ที่ใช้ไฟต่ำกว่า 90 หน่วยใช้ไฟฟรีถาวร มาตรการให้ผู้ที่ไม่ได้อยู่ระบบประกันสังคมเข้ามาอยู่ในระบบ และมาตรการตรึงราคาแอลพีจีภาคครัวเรือน และภาคขนส่ง ส่วนมาตรการที่ไม่เห็นด้วยเลยคือการขายไข่แบบชั่งกิโลกรัมติดลบถึง 9.2 คะแนนจากเต็ม 10 รวมทั้งยังไม่เห็นด้วยที่รัฐบาลปรับเพิ่มราคาน้ำมันปาล์มถึงลิตรละ 9 บาท เพราะเพิ่มสูงเกินไป
   
“ธปท. ควรชะลอการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงไตรมาส 2 ออกไปก่อนเพื่อลดต้นทุนสินค้า เนื่องจากเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในตอนนี้มาจากการที่ข้าวของราคาแพง ไม่ได้มาจากกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น และเห็นด้วยให้รัฐบาลตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตร ไปถึงเดือน มี.ค.แต่หลังจากนั้นควรทยอยขึ้นเป็น 31-32 บาทต่อลิตร เพื่อไม่ใช้งบประมาณแทรกแซงมากเกินไป”.


http://dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=310&contentID=117611
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
miyoko
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,252



« ตอบ #208 เมื่อ: วันที่ 28 มกราคม 2011, 12:27:54 »

โชคดีที่เกิดเป็นชาว เชียงราย
IP : บันทึกการเข้า

boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #209 เมื่อ: วันที่ 02 กุมภาพันธ์ 2011, 10:16:35 »

ส่งสินค้าไปจีนคล่องตัว

นายธีระ วงศ์สมุทร รมว.เกษตรและสหกรณ์ เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทย และกระทรวงควบคุมคุณภาพตรวจสอบและกักกันโรค (AQSIQ) สาธารณรัฐประชาชนจีนได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกันว่าด้วยความร่วมมือด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชตั้งแต่ปี ཫ และต่อมาทั้งสองฝ่ายยังได้เห็นพ้องกันที่จะทำความร่วมมือในด้านการขนส่งสินค้าทางบกเส้นทาง R3 และให้ครอบคลุมสินค้าผลไม้ โดยเส้นทางสาย R3 มีระยะทาง 1,104 กิโลเมตร เริ่มต้นจากชายแดนไทยที่อ.เชียงของ จ.เชียงราย ไปสู่เมือง คุนหมิงของจีน เป็นการลดระยะเวลาในการขนส่งเหลือเพียง 2-3 วัน (ทางเรือใช้เวลา 5-7 วัน) ซึ่งไทยส่งออกผลไม้คุณภาพดีไปจีนได้ปีละกว่า 5,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี และช่วงเดือนม.ค.-ต.ค.53 ส่งออกรวม 5,988 ล้านบาท

หน้า 8
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #210 เมื่อ: วันที่ 07 กุมภาพันธ์ 2011, 19:18:29 »

เชียงราย - จังหวัดเชียงรายเตรียมจัดงานต้อนรับ “วันแห่งความรัก” ด้วยงาน “จาวดอยสัมพันธ์ มหัศจรรย์หุบเขาแห่งความรัก ครั้งที่ 24” เน้นขายความสวยงามด้วยขุนเขาและน้ำตกห้วยแม่ซ้ายรวมทั้งวิถีชีวิตชนเผ่าและนั่งชมไพร
       
       นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นายภวัติ เลิศมุกดา นายอำเภอเมืองเชียงราย และ ร.อ.ประจัญ สาคร นายกเทศมนตรีตำบลแม่ยาว ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงาน “จาวดอยสัมพันธ์ มหัศจรรย์หุบเขาแห่งความรัก ครั้งที่ 24” โดยมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 14 ก.พ.นี้ ณ หุบเขาหมู่บ้านแห่งความรัก หมู่บ้านห้วยแม่ซ้าย ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีความสวยงามด้วยขุนเขาและน้ำตกห้วยแม่ซ้ายรวมทั้งวิถีชีวิตชนเผ่าและนั่งช้างชมไพร
       
       นายสมชัยกล่าวว่า วัตถุประสงค์ในการจัดงานครั้งนี้ก็เพื่อส่งเสริมวัฒนธรรม ประเพณีของชนเผ่า เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี วิถีชีวิตความเป็นอยู่เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขในสังคมที่มีความ หลากหลายในท้องถิ่น เพิ่มศักยภาพทางด้านการท่องเที่ยวของเชียงราย
       
       โดยในงานมีกิจกรรการแสดงแสงสีเสียงจากพี่น้องชนเผ่าต่างๆ ได้แก่ เมี่ยน อาข่า ลาหู่ และกะเหรี่ยง การแสดงศิลปวัฒนธรรมชนเผ่าต่างๆ อันยิ่งใหญ่ตระการตา การจำลองวิถีชีวิตชนเผ่าและร่วมสัมผัสวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่แท้จริงพร้อม ทั้งเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สินค้าชนเผ่าจากกาดชาวดอย รวมทั้งมีการแสดงของศิลปินเพลงรับเชิญ “ไม้เมือง” นอกจากนี้ ในวันงานหากมีนักท่องเที่ยวคู่ใดที่แต่งงานอยู่กินนานที่สุดจะได้รับรางวัลด้วย
       
       ด้าน ร.อ.ประจัญ สาคร นายกเทศมนตรี ต.แม่ยาว กล่าวว่า นอกจากนี้ใน งานได้มีการจัดอาหารแบบขันโตก อาหารพื้นบ้านของชนเผ่าต่างๆ ที่สามารถเลือกซื้อได้ตามต้องการ ภายใต้บรรยากาศของหุบเขาแห่งความรัก ท่ามกลางแสงเทียนระยิบระยับ พร้อมชมการแสดงศิลปวัฒนธรรมของพี่น้องชนเผ่าต่างๆ และกิจกรรมการแสดงอื่นๆ ที่น่าสนใจอีกมากมาย


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000016320
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #211 เมื่อ: วันที่ 08 กุมภาพันธ์ 2011, 20:46:48 »

ททท.ดึงเอกชนทำแผนการตลาด เตรียมชงของบ 8.5 พัน ล.ปี 55

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   7 กุมภาพันธ์ 2554


       ททท.ดึงเอกชนร่วมทำแผนการตลาดปี 55 ชูกลยุทธ์ ดิจิตอลมาร์เก็ตติ้ง เผยตั้งของบปีหน้า 8.3 พันล้านบาท ด้านตลาดจีน ตื๊อขอยกเลิกค่าวีซ่า คาดโกยนักท่องเที่ยวจียได้ 1.5 ล้านคน เงินสะพัด 4 หมื่นล้านบาท
       
       วานนี้ (7 ก.พ.) การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จัดประชุมเพื่อระดมความคิดกับภาคเอกชนเรื่องแผนการตลาดท่องเที่ยวประจำปีงบประมาณ 2555 นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ในฐานะประธานเปิดการประชุม กล่าวว่า เป็นครั้งแรก ที่ ททท.เชิญภาคเอกชนมาร่วมให้ข้อมูล ก่อนการทำโฟกัสกรุ๊ป เพื่อนำไปสู่การจัดทำแผนการทำงาน และประกาศอย่างเป็นทางการราวเดือน ก.ค.ศกนี้
       
       *****คู่แข่งเก่า-ใหม่รุมชิงเค้กก้อนโต****
       เบื้องต้น ททท.ได้ประเมินตลาด ว่า มีแนวโน้มการแข่งขันสูง ทุกประเทศรอบด้านต่างมุ่งให้ความสำคัญกับการส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เป็นอุตสาหกรรมที่สร้างรายได้เข้าประเทศ ด้วยกลยุทธ์การนำเสนอสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดตลอดเวลา รวมทั้งการเร่งสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ ขณะที่จีนก็มุ่งเปิดประเทศด้วยการเป็นเจ้าภาพจัดงานอีเวนต์ระดับโลก อาทิ เวิลด์เอ็กซ์โป เอเชียนเกมส์ โอลิมปิก นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มประเทศคู่แข่งใหม่ที่เกิดขึ้นในพื้นที่เอเชีย ได้แก่ ภูฏาน เนปาล ศรีลังกา มองโกเลีย สำหรับคู่แข่งขัน นอกพื้นที่ ได้แก่ ดูไบ อาบูดาบี โอมานน์ และอิรัก
       
       อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ คือ การเตรียมความพร้อมรับการแข่งขันภายหลังเปิดเสรีอาเซียนในกลุ่มสินค้าบริการ ซึ่งเป็นจุดที่ประเทศไทย ต้องเร่งพัฒนาขีดความสามารถขอบุคลากร เร่งศึกษาใช้ประโยชน์จากเส้นทางคมนาคมทางบกที่เชื่อมโยงประเทศต่างๆ โดยมีไทยเป็นศูนย์กลาง
       
       กลยุทธ์ของ ททท.จะเน้นทำเทคโนโลยีสารสนเทศ เข้ามาใช้ในเรื่องการตลาดเพิ่มขึ้น ให้ความสำคัญกับช่องทางการตลาดแบบออนไลน์ โชเซียลมีเดีย
       
       สำหรับปีงบประมาณ 2555 ททท.เสนอของบต่อสำนักงบประมาณไปทั้งสิ้น 8.3 พันล้านบาท เพิ่มจากปี 2554 ที่ได้รับจัดสรรมาทั้งสิ้น 5.3 พันล้านบาท โดยมีเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ปีนี้ 15.5 ล้านคน ส่วนปีหน้า เพิ่มตามสัดส่วนการเติบโตของ จีดีพีประเทศ สำหรับปี 55 จะเพิ่มงบดิจิตอลมาร์เก็ตติ้งเป็น 35% จากงบรวมที่จะใช้เพื่อการตลาด เพิ่มจากปีนี้ที่ใช้ในสัดส่วน 30% ซึ่งเพิ่มจากปี 2552 ที่มีสัดส่วน 20%
       
       ***จี้นักวิชาการอบรมจริยธรรมให้ อบต.-อบจ.******
       ทางด้าน นายอภิชาติ สังฆอารี ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) กล่าวว่า การเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นของ ททท.ในครั้งนี้ เป็นนิมิตหมายที่ดี หลังจากที่เอกชนได้ผลักดันรูปแบบการทำงานแบบนี้มา 4-5 ปีแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการจัดตั้งคณะทำงานร่วมภาครัฐและเอกชน
       
       สำหรับประเด็นที่เอกชนเสนอแนะ ในการประชุมครั้งนี้ คือ เรื่องของ สร้างจริยธรรม และสร้างการรับรู้ให้คนไทยรู้วิธีการดูแลนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามา และการดูแลแหล่งท่องเที่ยว
       
       นายวิชิต ประกอบโกศล นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวสัมพันธ์ไทย-จีน กล่าวว่า ได้เสนอ 3 ประเด็นหลัก ให้ ททท.นำไปช่วยผลักดัน เพื่อส่งเสริมนักท่องเที่ยวจากตลาดจีน ได้แก่ 1. ผลักดันให้รัฐบาลยกเลิกค่าธรรมเนียมการขอตรวจลงตรา (วีซ่า) เข้าไทย กับคนจีนโดยให้ปฏิบัติเหมือนตลาด ญี่ปุ่น และ เกาหลี ซึ่งไม่ต้องขอวีซ่าหากมาประเทศไทย
       
       2.สนับสนุนงบการตลาดสำหรับตลาดจีนเพิ่มจากปกติอีก 200 ล้านบาท ใช้สนับสนุนโฆษณาและการตลาดให้บริษัทนำเที่ยวในจีน และเครื่องบินเช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟลต์) จากเมืองที่ยังไม่มีเส้นทางบินมาไทย หรือมีเส้นทางอยู่แล้ว แต่เพิ่มเส้นทางใหม่ๆ
       
       และ 3.นำเสนอเดสติเนชั่นใหม่ๆ ให้ตลาดจีน เช่น กระบี่ เชียงราย เชียงใหม่ หัวหิน และเกาะเสม็ด ด้วยการทำฮาร์ดเซล นำเสนอแหล่งท่องเที่ยว สร้างการรับรู้ หากทำได้ทั้ง 3 ข้อดังกล่าว เชื่อมั่นปีนี้นักท่องเที่ยวจีนจะเดินทางมาไทยได้ถึง 1.5 ล้านคนเกิดรายได้ กว่า 4 หมื่นล้านบาท เพิ่มจากแผนเดิมที่ว่าจะได้ 1.3 ล้านคน
       
       อย่างไรก็ตาม ต้องการให้ภาครัฐในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดระเบียบผู้ประกอบการท่องเที่ยวในแต่ละแขนงธุรกิจ เช่น ธุรกิจโรงแรม อย่าปล่อยสร้าง จนเกิดโอเวอร์ซัปพลาย ส่งผลเกิดสงครามราคา

http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9540000016787
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #212 เมื่อ: วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2011, 21:11:03 »

“มาร์ค” เจอศึกรอบด้าน ชาวบ้านต้านโรงไฟฟ้า-ปากมูลกดดันเร่งเจรจา

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   19 กุมภาพันธ์ 2554 14:05 น.



คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น

นางสดใส สร่างโศก แกนนำต่อต้านโรงไฟฟ้าพลังชีวมวลใช้แกลบเป็นพลังงานของบริษัทบัวสมหมายไบโอแมส จำกัด ซึ่งมีโครงการก่อสร้างที่บ้านคำสร้างไชย ต.ท่าช้าง อ.สว่างวีระวงศ์ จ.อุบลราชธานี




   
อุบลราชธานี-สารพัดม็อบจากทั่วประเทศ จับมือร่วมขบวน จี้ "อภิสิทธิ์" หยุดลอยตัวซื้อเวลา หันมาแก้ปัญหาชาวบ้านจริงใจ เผยผลการเจรจารอบแรกกลุ่มต้านโรงไฟฟ้าชีวมวล ยังไม่ได้ข้อสรุป ขณะที่ปัญหาสมัชชาคนจนปากมูลได้ผลน่าพอใจ แต่ชาวบ้านไม่เชื่อน้ำยานายกฯ ยันชุมนุมต่อจนกว่าเห็นการลงมือปฏิบัติอย่างแท้จริง
       
       จากกรณีเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวล เข้าร่วมกับประชาชนอีกหลายกลุ่มรวมตัวประท้วงการดำเนินงานของรัฐบาลภายใต้ชื่อ “ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือพีมูฟ (P Move)” ยื่นเรื่องเจรจาฝ่ายการเมืองสั่งระงับการก่อสร้างโรงไฟฟ้า เพราะทำคนทั่วประเทศเดือนร้อนกว่า 6,000 คน การเจรจารอบแรกกรมอุตสาหกรรมยืนกรานไม่มีสิทธิ์ระงับการก่อสร้าง ทำได้เพียงซื้อเวลาตั้งกรรมการตรวจสอบพื้นที่ก่อสร้าง
       
       ล่าสุดวันนี้(19 ก.พ.) นางสดใส สร่างโศก แกนนำต่อต้านโรงไฟฟ้าพลังชีวมวลใช้แกลบเป็นพลังงานของบริษัทบัวสมหมายไบโอแมส จำกัด ซึ่งมีโครงการก่อสร้างที่บ้านคำสร้างไชย ต.ท่าช้าง อ.สว่างวีระวงศ์ จ.อุบลราชธานี แต่ถูกชาวบ้านต่อต้านคัดค้านมาตั้งแต่ปี 2550 กล่าวว่า การชุมนุมของชาวบ้านจากหลายกรณีปัญหาจากทั่วประเทศ ซึ่งมารวมตัวอยู่บริเวณลานพระบรมรูปทรงม้ารัฐกาลที่ 5ได้จับมือร่วมเป็นเครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากบริษัทโรงไฟฟ้าชีวมวล ประกอบด้วยชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าของบริษัทพลังงานสะอาดดี 2 จำกัด บ้านไตรแก้ว ต.เวียงเหนือ อ.เวียงชัย จ.เชียงราย
       
       บริษัทจัสมิน กรีน เพาเวอร์ แอนด์ เอ็นเนอร์จี จำกัด บ้านน้อยสนาม ต.รัตนบุรี อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ บริษัทสหโคเจนกรีนจำกัด บ้านหนองปลาขอ ต.ป่าสัก อ.เมือง จ.ลำพูน บริษัทโรงไฟฟ้าบ้านตากจำกัด บ้านวังไม้สร้าง ต.ตากออก อ.บ้านตาก จ.ตาก บริษัทพลังงานสะอาดทับสะแกจำกัด บ้านทุ่งยาว ต.ห้วยยาง อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ และบริษัทบัวสมหมายไบโอแมส จำกัด บ้านคำสร้างไชย ต.ท่าช้าง อ.สว่างวีระวงศ์ จ.อุบลราชธานี
       
       พร้อมใจทำหนังสือยื่นต่อนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เพื่อสั่งยกเลิกใบอนุญาตสร้างโรงไฟฟ้า และเร่งแก้ไขปัญหาการทำประชาคมที่ไม่โปร่งใส การข่มขู่เอาชีวิตแกนนำชาวบ้าน การปะทะกันระหว่างชาวบ้านและเจ้าหน้าที่รัฐ ผลกระทบเรื่องฝุ่นละออง และการแย่งชิงน้ำกับประชาชน ซึ่งที่ผ่านมา แม้ชาวบ้านจะรวมตัวต่อต้าน แต่หน่วยงานของรัฐที่กำกับดูแลไม่รับฟัง แต่เดินหน้าสนับสนุนให้มีการก่อสร้างเพียงอย่างเดียว
       
       “การปล่อยให้ก่อสร้างโรงไฟฟ้า โดยไม่ดูความเหมาะสมของสถานที่ตั้ง จะนำปัญหามาให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ก่อนมีโรงไฟฟ้า ต้องรับกรรมจากมลภาวะเป็นพิษด้านเสียง ฝุ่นละออง เขม่า และน้ำกินน้ำใช้ที่ต้องแย่งกัน” ชาวบ้านจึงเข้าร่วมกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม หรือพีมูฟ (P Move) เพื่อกดดันให้รัฐบาลเปิดเวทีเจรจาหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม
       
       น.ส.สดใสกล่าวต่อว่า ล่าสุดเมื่อเย็นวันที่ 17 ก.พ. รัฐบาลได้เปิดเวทีเจรจากับตัวแทนกลุ่มผู้เดือดร้อนจากนโยบายการพัฒนาของรัฐ ตามข้อเรียกร้องของกลุ่มพีมูฟ โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธานในการพูดคุยก่อนจะแยกกลุ่มคุยตามประเด็นความเดือดร้อน โดยประเด็นโรงไฟฟ้าชีวมวลมีนายชัยวุฒิ บรรณวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และนายสมศักดิ์ จันทรรวงทอง ผู้อำนวยการสำนักงานโรงงานอุตสาหกรรมรายสาขา 5 กรมโรงงานอุตสาหกรรม ใช้เวลาเจรจาร่วมกันประมาณ 4 ชั่วโมง
       
       ข้อเสนอในการเจรจาของเครือข่ายฯ คือ ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีคำสั่งระงับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเอาไว้ก่อน พร้อมขอให้มีการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน รวมทั้งเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลางเพื่อตรวจสอบและหาแนวทางแก้ไขปัญหา ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมและกรมโรงงานอุตสาหกรรมให้คำตอบจะลงไปตรวจสอบพื้นที่ภายใน 2 อาทิตย์ แต่ทางเครือข่ายขอให้ดำเนินการภายใน 1 อาทิตย์
       
       ส่วนการตั้งคณะกรรมการที่เป็นกลางขึ้นมาตรวจสอบโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าต่างๆ กรมโรงงานอุตสาหกรรมระว่า ไม่สามารถตั้งได้จนกว่าจะมีการลงตรวจสอบในพื้นที่ ส่วนการระงับการก่อสร้างนั้น กรมโรงงานอุตสาหกรรมกล่าวว่า ไม่สามารถทำได้ เมื่อผลการเจรจาไม่ได้ข้อยุติ เครือข่ายผู้ได้รับผลกระทบจากบริษัทโรงไฟฟ้าชีวมวล จึงตัดสินใจยื่นหนังสือขอคุยกับนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง เพื่อให้ฝ่ายการเมืองมีคำสั่งระงับการก่อสร้างโรงไฟฟ้าไว้ก่อน เพราะขณะนี้ ประชาชนกว่า 6,000 คน ใน 6 จังหวัด กำลังได้รับผลกระทบจากการสร้างโรงไฟฟ้าชีวมวลอย่างหนัก น.ส.สดใสแกนนำชาวบ้านกล่าวถึงผลการเจรจารอบแรกที่ยังไม่เป็นคุณกับชาวบ้าน
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ขณะเดียวกันการชุมนุมของชาวบ้านสมัชชาคนจนเขื่อนปากมูล เริ่มมีความคืบหน้า โดย น.ส.สมภาร คืนดี แกนนำชาวบ้านปากมูลเผยว่า ได้เปิดเวทีเจรจากับรัฐบาล โดยมีนายสาทิต วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายรัฐมนตรี เป็นประธานในการพูดคุย โดยชาวบ้านเสนอให้รัฐบาลเร่งนำข้อสรุปของอนุกรรมการแก้ไขปัญหา 2 ชุด เข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีทันที พร้อมให้ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 พ.ค.2550
       
       รายงานข่าวแจ้งว่า หลังใช้เวลาเจรจาร่วมกันนานประมาณ 4 ชั่วโมง ได้ข้อสรุปว่ารัฐบาลจะนำข้อสรุปของอนุกรรมการแก้ไขปัญหาชาวบ้านสมัชชาคนจนเขื่อนปากมูลทั้ง 2 ชุดเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีภายในสัปดาห์หน้า ส่วนการยกเลิกมติ ครม.เมื่อวันที่ 17 พ.ค.2550 หาก ครม.มีมติใหม่ มติเดิมก็จะถูกยกเลิกโดยอัตโนมัติ
       
       น.ส.สมภาร กล่าวอีกว่า “แม้การเจรจาจะได้ผลเป็นที่น่าพอใจ แต่ชาวบ้านปากมูลยังคงปักหลักชุมนุมที่บริเวณหน้าลานพระบรมรูปทรงม้ารัชกาลที่ 5 ต่อไป เพื่อติดตามว่าจะรัฐบาลจะดำเนินการตามที่รับปากไว้หรือไม่ และชาวบ้านสมัชชาคนจนจะชุมนุมอย่างต่อเนื่อง จนกว่า ครม.จะมีมติแก้ไขปัญหาของชาวบ้านสมัชชาคนจนเขื่อนปากมูลออกมาอย่างเป็นทางการด้วย
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
unna
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #213 เมื่อ: วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2011, 23:04:32 »

แจ้งข่าวจ้า 23 ก.พ.54   8.30-16.30 
มีการประชุมเชิงปฎิบัติการ เพื่อระดมความคิดเห็นเกีี่ยวกับ
หลักเกณฑ์ วิธีการ กระบวนการ
และข้อเสนอในการกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยวภาคเหนือ ครั้งที่ 1
ณ รร.ทีค การ์เด้นค่ะ จากสถาบันวิจัยสังคม ม.ช.

เชิญผู้สนใจเจ๊า อย่ามาถามรายละเอียดเราเน้อ
เราแค่ได้รับหนังสือเชิญ จึงมาป่าวประกาศต่อนะเจ๊า
IP : บันทึกการเข้า
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #214 เมื่อ: วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 10:55:18 »

 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4290  ประชาชาติธุรกิจ


"ม่วนใจ๋" กาแฟหัวใจไทย ยุทธศาสตร์สตาร์บัคส์ผูกใจ "ท้องถิ่น"




 
"กาแฟสตาร์บัคส์ ม่วนใจ๋ เบลนด์" กาแฟคั่วบดจากการผสมผสานระหว่างเมล็ดกาแฟพันธุ์อราบิก้าของไทย กับ หมู่เกาะอื่น ๆ ในเอเชีย-แปซิฟิกที่มีความโดดเด่นเรื่องรสชาติที่หนักแน่น นุ่มลึก ด้วยความหมายจากภาษาคำเมืองที่หมายถึง "ความสุขอย่างเต็มเปี่ยม" ถือว่าวันนี้ได้ทำหน้าที่สะท้อนความหมายดังกล่าวได้อย่างน่าศึกษาติดตาม

ย้อนกลับไป 8 ปีที่แล้ว ม่วนใจ๋ เปิดตัวครั้งแรกเมื่อกันยายน 2546 จาก นโยบายสตาร์บัคส์ทั่วโลกที่ต้องการ สร้างสัมพันธภาพที่ยั่งยืนกับชาวไร่ผู้ปลูกกาแฟ โดยให้การสนับสนุนโครงการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมหลากหลายโครงการ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของชาวไร่กาแฟและครอบครัว รวมไปถึงชุมชนของพวกเขาเพื่อความสามารถในการพึ่งตนเองได้อย่างยั่งยืนและมั่นคง

"สุมนพินท์ โชติกะพุกกุณะ"ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ ประเทศไทย จำกัดระบุว่า ตั้งแต่จุดแรกเราทำงานร่วมกับเอ็นจีโอ "โครงการพัฒนาชาวเขาแบบผสมผสาน" ที่เข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านครอบคลุมพื้นที่ในเชียงใหม่, เชียงราย, แม่ฮ่องสอน, น่าน และลำปาง เพื่อเข้าไปพัฒนาความรู้ทักษะให้กับชาวบ้านในการปลูกกาแฟ
 


จนปัจจุบันสตาร์บัคส์ได้ทำสัญญาสั่งซื้อเมล็ดกาแฟจากหลาย ๆ หมู่บ้านทั้งจากหมู่บ้านห้วยห้อม จ.แม่ฮ่องสอน, ใน 2 หมู่บ้านดอยช้าง จ.เชียงราย และบ้านหนองหล่ม จ.เชียงใหม่

"ผ่านมา 8 ปีเราซื้อกาแฟจากชาวบ้านไปแล้ว 150 ตัน จากจุดแรกที่รับซื้อเพียง 2 ตัน และในอนาคตก็คาดว่าจะมากขึ้น ขณะนี้ก็มีการขยายพื้นที่ปลูกไปเรื่อย ๆ แต่ก็ทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพราะต้องอาศัยเวลา ปัจจุบันนอกจากขายในร้านสตาร์บัคส์ในไทย ก็ยังส่งออกไปหลายประเทศ แต่ยังจำหน่ายเฉพาะฤดูกาล เนื่องจากวัตถุดิบยังไม่เพียงพอ"

ปัจจุบันสตาร์บัคส์ ม่วนใจ๋ เบลนด์วางจำหน่ายในประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย-แปซิฟิก อาทิ สิงคโปร์, ฟิลิปปินส์, ไต้หวัน และฮ่องกง

เธอชี้ว่าอนาคตหากจะขยายม่วนใจ๋ เบลนด์ไปในวงกว้างมากขึ้นก็จำเป็นต้องมีซัพพลายที่มากกว่านี้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทก็มีการพูดคุยกับพันธมิตร เอ็นจีโอ ในการหาพื้นที่ปลูกมากขึ้น รวมถึงการเข้าไปให้ความรู้กับชาวบ้านมากขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ด้วยเงื่อนไขกาแฟที่สตาร์บัคส์รับซื้อคือ จะต้องเป็นกาแฟที่ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีเพื่อรักษาสภาพแวดล้อมให้อุดมสมบูรณ์, รักษาแหล่งน้ำใต้ดินให้สะอาด ขณะเดียวกันก็ต้องไม่มีการตัดไม้ทำลายป่า โดยเป็นกาแฟที่ปลูกใต้ร่มเงาไม้ใหญ่ตามธรรมชาติ

เป้าหมายของสตาร์บัคส์นอกจากการเข้าไปช่วยเหลือชาวไร่บนภูเขาให้มีอาชีพแล้ว ส่วนหนึ่งก็เป็นการโปรโมต กาแฟที่ได้จากแหล่งเพาะปลูกในประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักของต่างประเทศ

"สุมนพินท์" ชี้ว่า ที่ผ่านมาถือว่า ม่วนใจ๋ได้รับการตอบรับอย่างดีจากลูกค้า และมีการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี

นอกจาก "ม่วนใจ๋" สตาร์บัคส์ ยังดำเนินนโยบายลักษณะนี้กับชาวไร่ ผู้ปลูกกาแฟในอีกหลายๆ ประเทศ

หลักการคือ รายได้ 5% ที่ได้จากการจัดจำหน่ายกาแฟม่วนใจ๋ เบลนด์ในไทย และอีกหลายประเทศในเอเชีย นำไปใช้ปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของชาวไร่กาแฟทางภาคเหนือของไทย อาทิ ด้านระบบชลประทาน หรือการศึกษา

ขณะเดียวกัน สตาร์บัคส์ ประเทศไทย รวมทั้งอีกหลาย ๆ ประเทศก็ถือโอกาสนี้สร้าง "ทริป" แบบเอ็กซ์คลูซีฟ โดยพา "สตาร์บัคส์ พาร์ตเนอร์" ผู้ที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะพนักงานของบริษัท ได้มีโอกาสเดินทางไปสัมผัสวิถีชีวิตชาวไร่กาแฟ พบปะแลกเปลี่ยนประสบการณ์กับชาวไร่ผู้ปลูกกาแฟ เพื่อรู้ลึกถึงต้นกำเนิดที่มาและกรรมวิธีก่อนที่จะมาเป็นกาแฟคั่วบดที่ขายให้กับลูกค้า

ในแง่การบริหารบุคลากร ถือเป็นการเพิ่มพูนประสบการณ์ความรู้ และสร้างแรงบันดาลใจให้กับพนักงานว่า ทุกถุงกาแฟม่วนใจ๋ที่ขายให้กับลูกค้า สามารถแปรเป็นเงินกลับมาช่วยเหลือชาวเขาได้อย่างเป็นรูปธรรม ล่าสุดกับการมอบเงินสนับสนุนภายใต้โครงการ Youth Action Grant เพื่อก่อสร้างศูนย์การเรียนรู้ของชุมชนให้กับชุมชนชาวไร่บ้านกองกาย อ.แม่แจ่ม จ.เชียงใหม่

ในแง่กลยุทธ์ "ม่วนใจ๋" ถือเป็นตัวแทนกาแฟไทยที่สามารถออกไปอวดโฉมยังต่างประเทศ สร้างเอกลักษณ์และความแตกต่างให้กับแบรนด์สตาร์บัคส์ จากบรรดาคู่แข่ง

ขณะเดียวกัน ก็ตอบโจทย์นโยบายความรับผิดชอบต่อสังคม ที่สตาร์บัคส์หมายมั่นปั้นมือได้อีกด้วย

อนาคต "ม่วนใจ๋" สามารถพัฒนาไปไกลได้แค่ไหน ต้องติดตาม

หน้า 24
 
 
 
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #215 เมื่อ: วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 10:57:35 »

ค้าไทย-จีนผ่าน R3a บูมรับโขงแห้ง
 
โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 20 กุมภาพันธ์ 2554 22:01 น.
 
 
 
 
 
   
ธนาพันธ์ ลิ่ววัฒนากรณ์
 
 
       เชียงราย - น้ำโขงแห้งนำเข้าส่งออกเชียงของเพิ่มเกือบ 100%รับถนนR3a ที่หนุนการขนส่งสินค้าที่เสียหายง่าย เผยเฉพาะตุลาฯ 2553-13 กุมภาฯ2554 มียอดการค้าเกิดขึ้นแล้วกว่า 2.5 พันล้านบาท โดยมีผักจากจีน ครองแชมป์นำเข้ามากสุด ขณะที่ธุรกิจต่อเนื่องทยอยผุดรอรับสะพานข้ามโขง 4
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากระดับน้ำในแม่น้ำโขงแห้งลง ทำให้การขนส่งสินค้าของผู้ค้ารายใหญ่ระหว่างไทย-จีนตอนใต้ หันมาใช้การขนส่งทางรถบรรทุกคอนเทนเนอร์ผ่านชายแดน อ.เชียงของ จ.เชียงราย เข้าถนน R3aไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ระยะทางประมาณ 258 กิโลเมตรแทน อย่างคึกคัก มีเอกชนรายใหญ่ๆ หลายรายขนส่งสินค้านำเข้าและส่งออก เช่น ดอยตุงขนส่ง ธนาธร สปีดอินเตอร์เนชั่นแนลแอร์พอร์ต ฯลฯ โดยเฉพาะการขนส่งด้วยคอนเทนเนอร์เครื่องเย็น มีขึ้นเป็นประจำทุกวัน
       
       ส่งผลให้มูลค่าการค้าผ่านด่านฯเชียงของ เพิ่มจากช่วงก่อนหน้านี้เป็นอย่างมาก จากเดิมที่มีมูลค่าการค้าเกิดขึ้นไม่มากนัก คือ ปี 2546 มีมูลค่าการค้ารวมแค่ 716.765 ล้านบาท แยกเป็นการส่งออก 184.558 ล้านบาท นำเข้า 532.207 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นการส่งออกสินค้าอุปโภคบริโภคเข้าไปยัง สปป.ลาว จากนั้นในแต่ละปีก็มีมูลค่าการค้าใกล้เคียงกัน คือ ปี 2552 มีมูลค่าการค้ารวม 2,899.371 ล้าบาท แยกเป็นการนำเข้า 986.331 ล้านบาท ส่งออก 1,913.040 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 27.51% กระทั่งปี 2553 มีการค้ารวมมากถึง 4,938.118 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้า 1,731.283 ล้านบาท ส่งออก 3,206.835 ล้านบาท พิ่มมากขึ้นถึง 70.31%
       
       สำหรับสินค้านำเข้ามากที่สุดคือพืชผักจีนมีการนำเข้ากว่า 199,317,767.96 บาท ถ่านหินลิกไนต์ มูลค่า 111,988,800 บาท ดอกไม้และไม้ประดับมูลค่า 95,679,039.34 บาท ผลไม้สดมูลค่า 49,734,267.68 บาท ส่วนการส่งออกมากที่สุดคือน้ำมันดีเซล มูลค่า 612,855,838.97 บาท น้ำมันเบนซิน 203,261,066.29 บาท ผลไม้สด 150,675,395.17 บาท วัสดุก่อสร้าง 101,679,541.55 บาท เนื้อสัตว์แช่แข็งมูลค่า 71,807,457.23 บาท ฯลฯ
       
       ในปีงบประมาณ 2554 ตั้งแต่เดือน ต.ค.2553 - 13 ก.พ.2554 มีการนำเข้ารวมแล้วกว่า 2,583.292 ล้านบาท โดยแยกเป็นการนำเข้า 628.363 ล้านบาท ส่งออก 1,951.933 ล้านบาท โดยแต่ละเดือนมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นประมาณ 25-50%
       
       นายธนาพันธ์ ลิ่ววัฒนากรณ์ ผู้ช่วยนายด่านศุลกากร อ.เชียงของ กล่าวว่า สาเหตุที่การค้าด้านเชียงของคึกคักเช่นนี้เพราะถนน R3a สะดวกขึ้น และมีแนวโน้มว่ามูลค่าการค้าจะเพิ่มมากขึ้นอีกเรื่อยๆ หากสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมเชียงของ-ห้วยทราย แล้วเสร็จ ทั้งนี้สินค้าส่งออกที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการไทย คือ ลำไยจากภาคตะวันออก เช่น จันทบุรี ฯลฯ ส่งออกวันละกว่า 5 คอนเทนเนอร์ ติดต่อกันมา 1-2 สัปดาห์แล้ว ส่วนสินค้านำเข้ามากๆ ยังคงเป็นประเภทพืชผักเป็นส่วนใหญ่
       
       ด้านนายสงวน ซ้อนกลิ่นสกุล รองเลขาธิการหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า จากอดีตแทบไม่อยากเชื่อว่าการค้าที่ อ.เชียงของ จะคึกคักเช่นนี้ แต่คงเป็นเพราะถนนเชื่อมกับจีนตอนใต้ดีและผู้ประกอบการต้องการขนส่งสินค้าที่อ่อนไหวง่าย เช่น ผัก ผลไม้ ฯลฯ สามารถทำได้สะดวกบนถนน R3a จึงมีการขนส่งกันอย่างคึกคัก โดยสินค้าอ่อนไหวหลายชนิดเมื่อนำมากับรถบรรทุกคอนเทนเนอร์จะเก็บรักษาได้ดีกว่าและไม่บอบช้ำ เมื่อเทียบกับการขนส่งทางเรือในแม่น้ำโขงเข้าทางท่าเรือ อ.เชียงแสน
       
       นายสงวน กล่าวอีกว่า ปัจจุบันเอกชนที่ประกอบกิจการบรรทุกสินค้าด้วยตู้คอนเทนเนอร์ ยังคงเป็นเอกชนไทยเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีมาก เพราะการแลกเปลี่ยนคอนเทนเนอร์จากรถบรรทุกไทย-จีน ยังคงมีการดำเนินการแค่จุดเดียว คือ ที่เมืองบ่อเต็น-โม่ฮาน ชายแดน สปป.ลาว-จีนตอนใต้ โดยรถบรรทุกไทยจะนำสินค้าไทย เช่น ไก่แช่แข็ง ฯลฯ ที่ขายดีมากจนไม่พอต่อความต้องการของตลาดจีนไปส่ง และนำพืชผัก ผลไม้ ฯลฯ กลับมายังเชียงของด้วยการข้ามฝั่งแม่น้ำโขงด้วยแพขนานยนต์
       
       "เมื่อการขนส่งสินค้าคึกคัก ทำให้ที่เชียงของมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นกิจการไซโลเพื่อรองรับสินค้าทั้งขาเข้าและออกรวมกันถึง 5 แห่งแล้ว แพลนต์ปูนเพิ่มขึ้นเป็น 2 แห่ง ลานสำหรับให้จอดรถบรรทุก 3 แห่ง ที่ท่าเรือยังให้บริการชาร์จไฟแก่คอนเทนเนอร์ตู้เย็นวันละ 700 บาท เพื่อความสะดวกของผู้ประกอบการ ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตกิจการประเภทเหล่านี้จะมีเพิ่มมากขึ้น" นายสงวน กล่าว
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สำหรับการก่อสร้างสะพานแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เป็นไปตามข้อตกลงไทย-สปป.ลาว-จีน โดยมีเอกชนที่ร่วมทุนกันคือกลุ่ม CR5-KT จากจีนและบริษัทกรุงธนเอ็นจิเนียร์ริ่งของไทย ถือว่าคืบหน้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยฝ่ายจีนจะรับก่อสร้างตัวสะพานทำให้เราเห็นเครื่องอุปกรณ์ต่างๆ จำนวนมาก ส่วนเอกชนไทยจะรับก่อสร้างถนนทั้งฝั่งไทยและ สปป.ลาว รวม 11 กิโลเมตร โดยเกิดจากความร่วมมือของรัฐบาลไทย-สปป.ลาว-จีน เพื่อเชื่อมแนวเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ โดยมีมูลค่าการก่อสร้างรวม 44,815,322.13 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าจ้างที่ปรึกษารวม 2,540,366.10 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1,400 ล้านบาทโดยรัฐบาลไทยและจีนเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายประเทศละ 50% กำหนดเริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธ.ค.2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน
 
 
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #216 เมื่อ: วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 20:57:51 »

รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ระบุ โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือเชียงแสน 2 เป็นไปตามแผน

รองอธิบดีกรมเจ้าท่า ระบุ โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือเชียงแสน 2 เป็นไปตามแผน คาด พร้อมเปิดให้บริการได้ในเดือนเมษายน ปี 2555
นายพงษ์วรรณ จารุเดชา รองอธิบดีกรมเจ้าท่า เปิดเผยถึงความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการท่าเทียบเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 จังหวัดเชียงราย ว่า ขณะนี้มีความคืบหน้ากว่าร้อยละ 65 โดยการก่อสร้างเป็นไปตามแผนที่กำหนด คาดว่าจะเสร็จตามเป้าหมายคือภายในวันที่ 28 ธันวาคม 2554 สำหรับโครงการก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน 2 มีบริษัท พอร์ท แอนด์ มารีน คอร์ปอเรชั่น (พี.เอ.เอ็ม.) จำกัด เป็นผู้ก่อสร้าง วงเงินลงทุนก่อสร้าง 1,546,400,000 บาท เริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 13 พฤษภาคม 2552 โดยจะสิ้นสุดสัญญาในวันที่ 28 ธันวาคม นี้รวมระยะเวลาก่อสร้าง 960 วัน เมื่อการก่อสร้างแล้วเสร็จ ประเทศไทย ลาว และจีน จะได้รับผลประโยชน์ทั้งการขนส่งสินค้า และการท่องเที่ยวด้วย สำหรับขีดความสามารถของท่าเทียบเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 จะสามารถรองรับจำนวนเรือสินค้าได้ในเวลาพร้อมกันถึง 10 ลำ โดยเรือแต่ละลำสามารถบรรทุกสินค้าได้ประมาณ 350 ตัน ต่อลำ
อย่างไรก็ตามล่าสุดที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้การท่าเรือแห่งประเทศไทยเป็นผู้บริหารประกอบการท่าเรือเชียงแสน 2 คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ในเดือนเมษายน 2555

  ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : นภสร แก้วคำ    Rewriter : วีระพันธ์ วุฒิบุญญะ
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #217 เมื่อ: วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 21:34:43 »

เชียงราย เหนือสุดแดนสยาม งดงามประเพณีและวัฒนธรรม
 
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 กุมภาพันธ์ 2554 16:24 น.
 
 
 
 

 
       เชียงรายจังหวัดที่อยู่เหนือสุดของประเทศไทย และเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีผู้คนจากทั่วประเทศให้ความสนใจ เดินทางมาสัมผัสกับบรรยากาศของธรรมชาติ ป่าเขา ดอยสูง กับอากาศหนาว จนบางครั้งอุณภูมิลดต่ำลงจนเกิดเป็นน้ำค้างแข็ง หรือที่รู้จักกันว่าแม่ขนิ้ง ก็สร้างความตื่นเต้นให้กับหลายคนๆ แต่เราอาจยังไม่ทราบคำขวัญของจังหวัดเชียงรายที่ว่า "เหนือสุดในสยาม ชายแดนสามแผ่นดิน ถิ่นวัฒนธรรมล้านนา ล้ำค่าพระธาตุดอยตุง" ซึ่งรายละเอียดที่อยู่ในคำขวัญนี้เป็นของดีที่เป็นเอกลักษณ์ของจังหวัด เราจะลองมาเที่ยวตามรอยคำขวัญ ว่ามีความน่าสนใจอย่างไร
       
       "เหนือสุดแดนสยาม" เป็นที่ทราบกันดีว่าเชียงรายเป็นจังหวัดด้านบนสุดของประเทศไทย แต่สิ่งที่น่าสนใจว่านั้นคือภูมิประเทศและภูมิอากาศของจังหวัดเชียงรายเอง เป็นจุดดึงดูดให้นักท่องเที่ยวในภาคอื่นๆ ให้เดินทางไกลมาท่องเที่ยว ทั้งด้วยมีภูเขาสูง อุณหภูมิต่ำในช่วงหน้าหนาว ทำให้ดอยต่างๆ เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ อาทิ ภูชี้ฟ้า ดอยผาตั้ง ดอยแม่สลอง ดอยตุง แต่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวก็ต้องมาดูทะเลหมอกที่ ภูชี้ฟ้า ซึ่งเป็นภูเขาที่อยู่ระหว่างรอยตะเข็บชายแดนไทยและลาว หน้าผาสูงที่ยื่นออกไปในอากาศ ปรากฏเป็นรูปร่างลักษณะคล้ายกับท่าทางที่กำลังชี้ขึ้นไปบนฟ้า กลายมาเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ ภายถ่ายท่องเที่ยวตามเวปไซต์ต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวแต่ละคนได้โพสต์ความสวยงามของที่นี่เอาไว้ ทำให้กระแสะการท่องเที่ยวของภูชี้ฟ้าไม่เคยจางหายไปไหน

 
 
 
       ยิ่งในช่วงวันหยุดยาวๆ ที่อากาศลดต่ำลงสูงสุด ด้านบนภูชี้ฟ้าก็จะคลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกสารทิศ ไม่ว่าจะมาพักกันแบบรีสอร์ท ห้องพักพักต่างๆ และที่ได้รับความนิยมที่สุดก็คือกางเต็นท์ โดยมากันเป็นกลุ่มแบบครอบครัว เพื่อนฝูง หรือแบบคู่รัก ซึ่งบนยอดภูชี้ฟ้าเองก็เคยเป็นที่สารภาพรักของหนุ่มสาวหลายคู่มาแล้ว
       
       วันที่ฟ้าเปิดช่วงเวลาประมาณ 04.30 ถ้าใครได้มีโอกาสได้ขึ้นไปจับจองที่ด้านบนเพื่อดูทะเลหมอกแล้วละก็ จะสามารถพบกับความสวยงามของกลุ่มดาวนับร้อย นับพันดวง วันที่ไหนโชคดียิ่งกว่า ก็จะมีโอกาสได้เห็นกับทางช้างเผือกที่ทอดตัวยาว ส่องแสงระยิบระยับเป็นประกาย อากาศหนาวๆ และได้นั่งดูดาวแบบนี้ก็โรแมนติกดี ไปอีกแบบ และพลาดไม่ได้คือช่วงที่พระอาทิตย์ค่อยๆ โผล่พ้นทะเลหมอกยามเช้า ซึ่งแสงสีของธรรมชาตินั้นสวยงามเกินกว่าคำบรรยายใดๆ

 
 
 
       "ชายแดนสามแผ่นดิน" เนื่องจากเชียงรายเองนั้นมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ประเทศลาวและประเทศพม่า ทำให้ทั้ง 3 ประเทศกลายมาเป็นบ้านพี่เมืองน้องที่ไปมาหาสู่กันอยู่ประจำ ผลจากการท่องเที่ยวของไทยจึงเชื่อมต่อไปยัง 2 ประเทศนี้ ทำให้มีคนในบ้านเราเดินทางท่องเที่ยวไปยังพม่าและลาว (ไม่นับรวมผู้ซึ่งชื่นชอบในการพนันที่บ่อนตามชายแดนต่างๆ)
       
       และอำเภอแม่สายก็เป็นแหล่งช็อบปิ้งขนาดใหญ่ที่หลายคนรู้จัก และเป็นด่านผ่านแดนเข้าไปยังท่าขี้เหล็กของพม่า ขึ้นชื่อในเรื่องสินค้าราคาถูก และมีหลายสิ่งให้เลือกซื้อ และของส่วนใหญ่ก็จะนำเข้ามาจากประเทศจีนอีกต่อหนึ่ง จนที่นี่กลายเป็นที่ถูกอกถูกใจของขาช็อปบ้านเราไปแล้ว
       
       ลงจากแม่สายมาดูกันที่สามเหลี่ยมทองคำ อำเภอเชียงแสนกันบ้าง โดยเป็นพื้นที่รอยต่อระหว่างจังหวัดเชียงรายของประเทศไทย แขวงบ่อแก้วประเทศลาว และจังหวัดท่าขี้เหล็กประเทศพม่า มีลักษณะเป็นพื้นที่สามเหลี่ยมบรรจบกัน โดยมีแม่น้ำโขงเป็นตัวกั้นกลาง ถ้าเราย้อนไปในอดีตนั้นในระแวกนี้มีการค้าขายฝิ่นเป็นจำนวนมาก เรียกว่ามีมูลค่ามากขนาดที่ใช้ทองคำเป็นตัวกลางซื้อขายกันเลยทีเดียว ปัจจุบันสิ่งเลวร้ายในอดีตนั้นได้หมดไปแล้ว และสามเหลี่ยมทองคำเองก็กลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวและศูนย์กลางการขนส่งสินค้าไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านที่สำคัญ ซึ่งทิวทัศน์ที่งดงามโดยเฉพาะยามเช้าบริเวณองค์พระเจ้าล้านตื้อ พระพุทธรูปองค์ใหญ่สัญลักษณ์ของสามเหลี่ยมทองคำ นอกจากนั้นยังสามารถเที่ยวพร้อมเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของสามเหลี่ยมทองคำได้ที่หอฝิ่น อุทยานสามเหลี่ยมทองคำ หรือจะนั่งเรือข้ามฟากไปตลาดชาวบ้านฝั่งลาวก็ได้

 

 
 
       "ถิ่นวัฒนธรรมล้านนา" นอกจากเมืองเชียงใหม่ ที่ถูกถ่ายทอดวิถีชีวิตชาวล้านนาออกมาให้เราเห็นตามสื่อต่างๆ แล้ว หลายจังหวัดทางภาคเหนือเองก็มีความสวยงามของศิลปวัฒนธรรม และวิถีชีวิตแบบล้านนาที่สวยงามไม่แพ้กันและจังหวัดเชียงรายเองก็มีประเพณีที่น่าสนใจ แต่ไม่ค่อยมีใครทราบ อย่างเช่นงานจุลกฐิน ที่วัดพระธาตุผาเงาซึ่งเป็นงานบุญซึ่งจะจัดขึ้นในทุกปีก่อนช่วงออกพรรษา ซึ่งจะต่างจากการถวายผ้ากฐินทั่วไป เพราะจุลกฐินคือประเพณีที่รวมเอาความสมัครสมานสามัคคีของชาวบ้านเข้าไว้ด้วยกัน โดยต่างคนต่างช่วยกันทอผ้า เริ่มกระบวนการตั้งแต่เก็บฝ้ายและนำมาปั่นเป็นเส้นด้าย แล้วนำเส้นด้ายมาย้อม ถัดทอให้เป็นผืนผ้าและตัดเย็บให้แล้วเสร็จภายในวันเดียว แล้วนำผ้ากฐินนั้นไปทอดถวายพระภิกษุในรุ่งขึ้น
       
       ประเพณีตักบาตรเที่ยงคืน หรือประเพณีเพ็งพุทธ (เรียกว่า เป็งปุ๊ด ในภาษาเหนือ) อีกประเพณีเก่าแก่ของชาวล้านนาที่คาดว่าน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากทางประเทศพม่า โดยพระภิกษุสามเณรจะออกบิณฑบาตรในช่วงเวลาเที่ยงคืน ในทุกปีที่มีวันขึ้น 15 ค่ำที่ตรงกับวันพุธ โดยไม่จำเพาะเจาะจงต้องอยู่ในเดือนใดบางปีอาจมีแค่ครั้งเดียว สองครั้ง หรือบางปีก็อาจไม่มีเลยก็เป็นได้ โดยจังหวัดเชียงรายเองได้มีการสืบสานประเพณีเอาไว้ ปัจจุบันจึงมีทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยวนิยมมาตักบาตรกันตอนเที่ยงคืนอย่างสม่ำเสมอ
       
       "ล้ำค่าพระธาตุดอยตุง" อีกแหล่งท่องเที่ยวที่เมื่อมาเชียงรายแล้วไม่ควรพลาดที่จะขึ้นมาเยี่ยมชม พร้อมสักการะพระธาตุที่วัดพระมหาชินธาตุเจ้า โดยชาวบ้านมักเรียกกันติดปากว่าพระธาตุดอยตุง ซึ่งองค์พระธาตุเองนั้นมีสีทองอร่าม สูงประมาณ 5 เมตร อายุหลายร้อยปี และเป็นพระธาตุประจำปีนักษัตรกุนอีกด้วย

 
 
       บริเวณวัดพระมหาชินธาตุเจ้าเองนั้นยังเป็นจุดชมวิวทิวทัศน์ที่นักท่องเที่ยวนิยมนั่งทอดสายตาชมความงามของธรรมชาติและขุนเขา หลังจากที่สักการะพระธาตุเสร็จแล้วก็ยังสามารถขึ้นมาชมความงามของพระตำหนักดอยตุง ที่ประทับแปรพระราชฐานเพื่อทรงงานของสมเด็จย่า รูปแบบการสร้างเป็นการผสมผสานสถาปัตยกรรมล้านนากับบ้านพื้นเมืองสวิตเซอร์แลนด์ที่ลงตัว นอกจากนั้น สวนไม้ดอกนานาพันธุ์ภายในระแวกพระตำหนักนั้นก็มีความสวยงาม ยิ่งในช่วงฤดูหนาวแล้วละก็ ทั้งหมอกทั้งสีสันของดอกไม้ ช่วยทำให้บรรยากาศบอนดอยตุงนี้เหมาะสำหรับการมาท่องเที่ยวพักผ่อนเป็นที่สุด
       
       ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องมาเที่ยวเชียงรายเฉพาะในช่วงฤดูหนาวก็ได้ เพราะว่าความสวยงามของแต่ละสถานที่ก็จะแตกต่างกันออกไป อย่างในช่วงฤดูฝนเอง เป็นช่วงที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยออกเดินทางท่องเที่ยว แต่ที่ภูชี้ฟ้านั้นอากาศก็จะเย็นสบาย บางครั้งอาจหนาวไม่ต่างจะฤดูหนาวเลยก็ได้ ส่วนทะเลหมอกหน้าฝนก็สวยงามไปอีกแบบ ซึ่งความน่าสนใจของจังหวัดนี้ไม่ได้มี้พียงแค่ในคำขวัญ แต่หากได้มีโอกาสมาเที่ยวดูสักครั้ง รับรองว่าไม่ผิดหวัง อย่างแน่นอน

 
 
http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000022786
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #218 เมื่อ: วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2011, 23:00:33 »

ทางหลวงเล็งตัดถนนเส้นใหม่-ผ่านพะเยาเชื่อมเชียงราย-R3a

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 กุมภาพันธ์ 2554 11:21 น.





พะเยา - กรมทางหลวงชนบทเปิดผังก่อสร้างเส้นทางสายใหม่ค่า 500 ล้าน เชื่อมพะเยาถึงชายแดนเชียงราย เข้า R3a หนุนท่องเที่ยว-การค้าร่วมพม่า จีน และลาว

รายงานข่าวจากจังหวัดพะเยา แจ้งว่า หลังจากกรมทางหลวงชนบท ได้ว่าจ้าง บ.เชนีเอนจิเนียริ่ง คอนซัลแตนท์ จำกัด, บ.บุญปัญญาเทคโนโลยี จำกัด และเอ็นทิค จำกัด สำรวจออกแบบโครงการก่อสร้างถนนตามผังเมืองรวมถนนสาย จ.1 (ตอนที่ 1) ผังเมืองรวมเมืองพะเยา ล่าสุดได้มีการจัดประชุมชี้แจง และรับฟังความคิดเห็นของประชาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพะเยากว่า 200 คน ที่ห้องประชุมสหกรณ์การเกษตรเมืองพะเยา (จำกัด) โดยมีนายกาจพล เอิบสุขสิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เป็นประธาน

นายสุพร เตไชยา วิศวกรระดับเชี่ยวชาญ กรมทางหลวงชนบท กล่าวว่า โครงการนี้จะมีการก่อสร้างถนนใหม่ ทั้งเส้นขนาดกว้าง 40 เมตร 6 ช่องจราจร ระยะทาง 8 กิโลเมตร คาดว่าจะต้องใช้ประมาณ 400-500 ล้านบาท โดยจุดเริ่มต้นอยู่บริเวณที่ กม.ที่ 600+200 ของทางหลวงหมายเลข 1202 (บ้านดอกบัว) ต.ท่าวังทอง อ.เมือง จ.พะเยา แนวถนนไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 800 เมตร เลี้ยวขวาตัดผ่านถนนหมู่บ้าน และแม่น้ำอิง ตัดผ่านถนนลาดยางของ อบจ.สาย พย.3014 บ้านศาลา-บ้านศรีชุม

จากนั้นมุ่งทางทิศใต้ระยะประมาณ 3,100 เมตร แล้วตัดผ่านถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 1021 บริเวณบ้านสั้นป่าเป้า ต.ดอกคำใต้ อ.ดอกคำใต้ ก่อนจะตัดไปทิศตะวันตกเฉียงใต้ บรรจบกับถนนลาดยางของ อบจ. สาย พย.3201 บ้านสันจกปก-บ้างปาง

กรมทางหลวงชนบทได้มอบหมายบริษัทเอกชนเปิดรับฟังความคิดเห็น รวมไปถึงการชี้แจงโครงการแก่ประชาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ครอบคลุม 4 ตำบล ใน 2 อำเภอได้แก่ ต.ท่าวังทอง ต.จำป่าหวาย อ.เมืองพะเยา และ ต.ดอกคำใต้ ต.สว่างอารมณ์ อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนงานสำรวจออกแบบเบื้องต้น-การคัดเลือกรูปแบบ และส่วนงานสำรวจออกแบบรายละเอียดและศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น เพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ ชี้แจงทำความเข้าใจ และขอความร่วมมือในการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการฯ

นายกาจพล เอิบสุขสิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา กล่าว่า ถนนดังกล่าวจะเป็นประโยชน์กับจังหวัด พะเยาอย่างมาก เพราะจะสามารถรองรับด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดที่ขยายตัวต่อเนื่อง รวมไปถึงการค้าจากพม่า จีน และสปป.ลาว เนื่องจากเป็นเส้นทางที่จะเชื่อมต่อกับถนน R3A ผ่านชายแดน อ.เชียงของ และ อ.จุน อ.ภูกามยาว จ.พะเยา แล้วเชื่อมต่อกับเส้นทางหลักที่ อ.ดอกคำใต้ และ อ.เมืองพะเยา นอกจากนี้จะทำให้สินค้าด้านการเกษตร เช่น ข้าว และยางพารา ที่ขยับราคาขึ้นสูงต่อเนื่องในปัจจุบัน ได้รับประโยชน์ สามารถขนส่งสะดวกรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างถนนตามผังเมืองรวมฯ เมืองพะเยา ขนาด 6 ช่องจราจร ระยะทาง 8 กิโลเมตร นี้หากดำเนินการตามกระบวนการในการรับฟังความคิดเห็น การทำประชาคม และการเวนคืนที่ดินเรียบร้อยแล้ว จะสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ราวปี พ.ศ. 2557 ที่จะถึงนี้


http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9540000022737 
     
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #219 เมื่อ: วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2011, 01:02:39 »

เปิด 'บ้านดำ' ถวัลย์ ดัชนี แหล่งเรียนรู้รากแก้วโลกตะวันออก
ศิลปวัฒนธรรม 23 กุมภาพันธ์ 2554 - 00:00

     35 ปีที่แล้ว หากบทสรุปคำตอบคือความย่อท้อในการเป็นช่างวาดรูป วันนี้เราคงไม่ได้เห็นภาพความอลังการตระการตาของ บ้านดำ จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นทั้งบ้าน ที่ทำงาน พิพิธภัณฑ์ และที่สำคัญคือเป็นจิตวิญญาณของจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ ถวัลย์ ดัชนี ศิลปินผู้ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (จิตรกรรม)
     บ้าน 35 หลังที่อาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ และทุนทรัพย์ส่วนตัวรังสรรค์ขึ้น โดยมีปรัชญาตะวันออกและศิลปะพื้นบ้านเป็นแรงบันดาลใจ ที่นี่ไม่เคยล้อมรั้วและเปิดบ้านต้อนรับผู้คนที่สนใจผลงานศิลปะไทยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และด้วยความพร้อมของพิพิธภัณฑ์บ้านดำ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม โดยกองทุนส่งเสริมงานวัฒนธรรม จึงขอนำโครงการเปิดบ้านศิลปินแห่งชาติมาที่นี่ เพื่อเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ทางวัฒนธรรมและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของชาวไทยและชาวต่างประเทศ ซึ่งบ้านดำถือเป็นบ้านหลังที่ 11 ในโครงการนี้
     ในพิธีเปิดบ้านดำของอาจารย์ถวัลย์ที่นางแลคับคั่งไปด้วยศิลปินแห่งชาติที่มาแสดงความยินดีมากที่สุดถึง 10 คน ตั้งแต่ ศ.เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ, ดร.กมล ทัศนาญชลี, อาจารย์ประเทือง เอมเจริญ, ศ.อิทธิพล ตั้งโฉลก, ศ.ปรีชา เถาทอง, ยรรยง โอฬาระชิน, ดร.นนทิวรรธน์ จันทนะผะลิน, ศ.เดชา วรชุน, วรนันทน์ ชัชวาลทิพากร และศิลปินแห่งชาติหมาดๆ ธงชัย รักปทุม แล้วยังมีชวน หลีกภัย อดีตนายกรัฐมนตรี ที่มาร่วมเป็นประจักษ์พยานในวันประวัติศาสตร์นี้
     "ผมทำบ้านเพื่อดำรงชีวิต เป็นภาชนะใส่ร่างกาย เมื่อเติบโตและผ่านพ้นการดำรงชีวิต กลายเป็นผู้ดำเนินชีวิต ช่วงอายุ 36 ปีจึงทำภาชนะใส่จิตวิญญาณ ถ้าไข่มุกคือเทวาลัยอันเจ็บปวดจากน้ำตาหอย สิ่งที่ผมสร้างและทำขึ้นเป็นเทวาลัยแห่งความรักปรากฏรูป ซึ่งมีทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม และวรรณกรรม บ้านดำเปิดมาเป็นที่ 35 ไม่มีรั้ว ไม่มีวันปิด ตั้งใจจะคืนศิลปะทั้งหมดให้แผ่นดินและมวลมนุษยชาติ ชีวิตของผมตั้งมั่นทำงานศิลปะ ไม่ได้หวังผลเพื่อชื่อเสียงเกียรติยศ ตลอดเวลาผ่านมาผมดำเนินชีวิตอย่างและเยี่ยงจิตรกรอาชีพ" อาจารย์ถวัลย์ ศิลปินแห่งชาติ เล่าถึงจุดเริ่มต้นการสร้างบ้านดำ
     พื้นที่บ้านดำบนเนื้อที่ 65 ไร่ มีทั้งวิหารเล็ก มหาวิหารที่เป็นอาคารพิพิธภัณฑ์ บ้านลาวจัดแสดงเครื่องเงินโบราณ บ้านสามเหลี่ยม บ้านสามหลังจัดแสดงเครื่องตกแต่ง เครื่องเขินราชสำนัก ห้องจิตวิญญาณหรืออูปปรภพ อูบเปลวส่องฟ้า สถานที่จัดแสดงเก้าอี้ เขาควาย จระเข้ หอย เพื่อศึกษาอนาโตโครงสร้างสิ่งมีชีวิต อูบหัวนกเงือก บ้านเรือ นอกจากนี้ยังมีศาลาพระทองไสยาสน์ หอไตร บ้านแหวน ห้องเขียนรูปส่วนตัวจิตรกร โรงแกะไม้สำหรับลูกศิษย์ลูกหาของท่านทำงาน กระทั่งห้องน้ำยังเป็นห้องน้ำนก ห้องน้ำหอย มีเอกลักษณ์ ทุกตารางนิ้วในเขตบ้านดำเป็นความตั้งใจสอดแทรกปรัชญาพุทธศิลป์ของศิลปิน
     "ไม่ว่าผมจะพูดอะไร ผมจะย้อนมาที่ไตรภูมิ รามเกียรติ์ พุทธภูมิ พุทธศาสนา คิดว่านี่คือเสียงของขลุ่ยที่กลับมาหากอไผ่ ในงานศิลปะทางตะวันออก ถ้าไม่รู้จักสิ่งเหล่านี้ ไม่รู้จักภูมิจักรวาลทั้งหมดแล้ว คุณจะเป็นต้นไม้ที่ไร้ราก ไม่มีวันเติบโต กลายเป็นหมาจรจัดที่ดูจากฝรั่งตรงนั้นตรงนี้ ผมไม่อยากพูดถึงหนังกำพร้าของความคิด ผมอยากจะหยั่งรากอาณาจักรที่ผมทำทั้งหมด ผมนำล้านช้าง อยุธยาตอนต้น-ปลาย รัตนโกสินทร์ต้น-กลาง-ปลาย นำแนวคิดของระบบสุริยจักรวาลที่เรารับจากอินเดีย ลังกา แล้วผ่านเข้ามาทั้งพุทธศาสนาหินยาน มหายาน สิ่งเหล่านี้หลับรอในใจผม ผมแปลเป็นรูปธรรมในบ้านดำ" จิตรกรแห่งแผ่นดินกล่าว
     อาจารย์ถวัลย์เป็นจิตรกรอันดับหนึ่งของไทยที่มีฝีแปรงฉับไว นอกจากนั้นยังมีเอกลักษณ์ที่การพูดจาด้วยภาษาสละสลวย คมคายด้วยปรัชญาและบทกวี ท่านก็บอกการอ้างอิงบทกวีหรือวาทะที่คมคายของนักปราชญ์ ด้วยอยากให้คมคำและคมความคิด แล้วก็รู้สึกภาคภูมิใจในความเป็นชนชาติ เป็นเจ้าของภาษามาจากเหล่ากอของคนที่มีรากแก้ว และสงบสุขร่มเย็นอยู่ในแผ่นดินที่มีพระมหากษัตริย์ปกครองมายาวนานกว่า 60 ปี
     ทุกวันนี้บ้านดำกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ของเอกชนขนาดใหญ่ในจังหวัดเชียงราย และเป็นแหล่งเรียนรู้วัฒนธรรมความเป็นไทย มีประชาชน นิสิต นักศึกษา และนักท่องเที่ยวแดนไกลปรารถนามาดูความอลังการของศิลปะที่นี่
     ศ.เกียรติคุณประหยัด พงษ์ดำ ศิลปินแห่งชาติที่ได้ชื่อว่าเป็นกัลยาณมิตรของอาจารย์ถวัลย์ บอกว่า ทุกตารางนิ้วของบ้านดำ อาจารย์ถวัลย์สร้างสรรค์เป็นงานศิลปะ อย่างมหาวิหารก็แสดงความกล้าหาญ เพราะเป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่โชว์โครงสร้าง ใช้ไม้ธรรมดาสร้างงานศิลปะให้เกิดคุณค่าใหม่ นี่คือคุณค่าที่หาสิ่งเทียบไม่ได้ บวกกับใจรักศิลปะ ทำให้ความงามของวัตถุปรากฏขึ้น ล้วนมาจากความมานะพากเพียร
     "บ้านดำเป็นเรื่องอัศจรรย์ มาเมื่อปีที่แล้วก็ตื่นเต้น เดินย่างก้าวเข้ามาในวันนี้ยังตื่นเต้น เป็นงานศิลปะและสถาปัตยกรรมที่หนักแน่น ทุกอณูเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจ มีคนคนหนึ่งคิดสร้างสรรค์ออกมาเป็นรูปธรรม" อาจารย์ประหยัดกล่าว
     ด้าน ดร.กมล ทัศนาญชลี กล่าวว่า นอกจากการเขียนรูป อาจารย์ถวัลย์ต้องการสร้างสถาปัตยกรรมเป็นสมบัติของประเทศชาติ ทุกครั้งที่มาบ้านดำจะมีสิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา เพราะความคิดสร้างสรรค์ของศิลปินท่านนี้ไม่เคยสิ้นสุด บ้านดำถือเป็นคลังสมบัติของชาติ แล้วยังมีชาวต่างชาติที่สนใจผลงานของอาจารย์ถวัลย์ เห็นคุณค่านำผลงานจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ศิลปะต่างๆ ทั้งสหรัฐ, ยุโรป, เยอรมนี ฯลฯ การเปิดบ้านดำวันนี้ตนจึงมาร่วมแสดงยินดีจากใจ เพราะศิลปินสร้างที่นี่จากพลังใจจริงๆ
     "บ้านดำ" หรือ "พิพิธภัณฑ์บ้านดำ" ตั้งอยู่เลขที่ 414 หมู่ 13 ต.นางแล อ.เมืองฯ จ.เชียงราย เปิดให้เยี่ยมชมทุกวันโดยไม่ต้องเสียบัตรค่าผ่านประตู สนใจสามารถแวะชมบ้านทุกหลังได้ ทุกหลังเต็มไปด้วยศิลปะ.

http://www.thaipost.net/x-cite/230211/34745
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 [11] 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 ... 37 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!