เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 มีนาคม 2024, 07:21:34
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 [33] 34 35 36 37 พิมพ์
ผู้เขียน Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย  (อ่าน 439826 ครั้ง)
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #640 เมื่อ: วันที่ 09 สิงหาคม 2013, 08:02:58 »

จีนผลักดัน “เขตการค้าชายแดน จีน-ลาว-พม่า-ไทย”         

THURSDAY, 08 AUGUST 2013 23:11
สำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ณ นครคุนหมิง รายงานว่า เมื่อเร็วๆนี้ ทางเขตปกครองตนเองสิบสองปันนาชนชาติไต ได้มีการแถลงข่าวเกี่ยวกับการเร่งผลักดัน “เขตการค้าชายแดน จีน-ลาว-พม่า-ไทย” เพื่อรองรับเขตการค้าเสรีอาเซียน-จีน และเพื่อให้มณฑลยูนนานเปิดกว้างสู่ภายนอก

 

                นางชไมพร เจือเจริญ กงสุล (ฝ่ายการพาณิชย์) ณ นครคุนหมิง กล่าวว่า เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา ตั้งอยู่ที่ทางตอนใต้ของมณฑลยูนนาน มีดินแดนติดกับประเทศอาเซียน คือ ลาว พม่าและเวียดนาม ยังตั้งอยู่ใกล้กับไทยมากที่สุด และมีความใกล้ชิดและติดต่อกับไทยมานานตั้งแต่มีความร่วมมือกันภายใต้กรอบความร่วมมือสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ แม้ว่าจะไม่มีพรมแดนติดต่อกันโดยตรง แต่สามารถใช้เส้นทางถนนเส้นทางรถยนต์ R3E โดยผ่านประเทศลาว(เชียงของ-บ่อหาน ระยะทาง 245 กิโลเมตร) (คุนหมิง – ลาว - กรุงเทพฯ ระยะทาง 1,800 กิโลเมตร)   และสามารถใช้เส้นทางการขนส่งทางแม่น้ำโขงหรือชางเจียง (สิบสองปันนา - เชียงของ) รวมทั้ง สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 (เชียงของ - ห้วยทราย) จะแล้วเสร็จในปลายปี 2556 ทำให้จีน ไทย ลาวและพม่า สามารถติดต่อค้าขายกันโดยตรงทางการค้าชายแดน

 

                ภายใต้แผนความร่วมมือการค้าข้ามแดนบ่อหาน-บ่อเต็น (จีน-ลาว) ได้มีการผลักดันก่อตั้ง “เขตการค้าชายแดน” ครอบคลุมเขตบ่อหานในสิบสองปันนา หลวงน้ำทา-บ่อแก้วในลาว เชียงของ จังหวัดเชียงรายของไทย และเชียงตุงของพม่า รวม 4 ประเทศ และยกระดับการเปิดกว้างการค้าของมณฑลยูนนาน เพื่อให้เขตสิบสองปันนาเป็นเมืองหน้าด่านหรือประตูสู่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้

 

                นายหลัว หง เจียง ผู้ว่าการเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา เปิดเผยว่า ได้กำหนดให้เขตความร่วมมือการค้าข้ามแดนบ่อหาน-บ่อเต็น เป็นจุดเปิดสำหรับความร่วมมือและการค้ากับประเทศเพื่อนบ้าน และยังมีเส้นทางขนส่งทางถนนคุนมั่นกงลู่ ที่สร้างเสร็จแล้ว หรือทางรถไฟฟ่านย่าที่กำลังจะก่อสร้างซึ่งเป็นข้อได้เปรียบสำหรับพื้นที่แห่งนี้ นอกจากนี้ จะเร่งพัฒนาอุตสาหกรรมยาแผนโบราณของชนชาติไต ชาผูเอ่อร์ และอาหารชีวภาพที่ปลอดภัยต่างๆ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนให้สิบสองปันนา “เขตการค้าชายแดน” อย่างสมบูรณ์แบบ

 

                นอกจากนี้ ยังมีการก่อสร้างและยกระดับความสามารถของท่าเรือจิ่งหง และท่าเรือกวานเหล่ย รวมทั้งเร่งโครงการ “ผักสดแลกน้ำมัน” “ดอกไม้แลกผลไม้” “ผลไม้เมืองหนาวแลกผลไม้เมืองร้อน”  ตลอดจนก่อสร้างตลาดแลกเปลี่ยนสินค้าในแนวชายแดน (จีน-ลาว-ไทย) และผลักดันเชียงตุงของพม่าเข้ามามีส่วนร่วม พร้อมเร่งแก้ปัญหา “ผ่านแต่ไม่คล่อง” ของการขนส่งสินค้าทางรถยนต์

 

                มูลค่าการค้าระหว่างประเทศของเขตปกครองตนเองสิบสองปันนาปี 2555 อยู่ที่ 1,360 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 40.5 มีบริษัทลงทุนจากต่างประเทศ 57 บริษัท ซึ่งได้เข้ามาลงทุนแล้วกว่า 63,840,000 เหรียญสหรัฐ คาดว่าภายในสองปีข้างหน้ามูลค่าการค้าระหว่างจะมีมากกว่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

Written by :

กระแสหุ้นออนไลน์

 
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #641 เมื่อ: วันที่ 10 สิงหาคม 2013, 20:07:39 »

รายการ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ พบประชาชน

วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม 2556

ออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย

และสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์

ประเด็นเกี่ยว คมนาคม

http://thainews.prd.go.th/centerweb/news/NewsDetail?NT01_NewsID=TNPOL5608100010003
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #642 เมื่อ: วันที่ 20 สิงหาคม 2013, 19:11:52 »

   

หอการค้าฯ จับมือมหาดไทย เปิดโอกาสทองการค้าสะพานเศรษฐกิจเชียงของ - ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--20 ส.ค.--หอการค้าไทย

          นายวิชัย อัศรัสกร รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากการที่กระทรวงมหาดไทยได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชน ในการพัฒนาและแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ประกอบกับหอการค้าไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และหอการค้าจังหวัด ก็ได้มีการจัดทำยุทธศาสตร์เศรษฐกิจของภาคเอกชนขึ้น เพื่อใช้ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งมีความสอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาของภาครัฐ ดังนั้น จึงมีความเห็นร่วมกันว่า ด่านชายแดนอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย บริเวณสะพานมิตรภาพไทย–ลาวแห่งที่ 4 ซึ่งกำลังจะแล้วเสร็จและมีกำหนดเปิดใช้ประมาณปลายปี 2556 มีศักยภาพในการแข่งขันทั้งทางด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว เนื่องจากสะพานดังกล่าวจะเชื่อมโยงการคมนาคมในกลุ่มประเทศอนุภาคลุ่มน้ำโขง ตามกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง (Greater Mekong Sub-Region : GMS) ถือเป็นความร่วมมือสำคัญในการเชื่อมโยงและพัฒนาเส้นทางเศรษฐกิจภายในภูมิภาคอินโดจีน โดยเฉพาะการพัฒนาเส้นทางตามแนวระเบียงเศรษฐกิจ (North – South Economic Corridor : NSEC) ที่จะนำมาซึ่งประโยชน์และก่อเกิดรายได้มหาศาลกับประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มจังหวัดภาคเหนือและกลุ่มประเทศที่อยู่บนเส้น ทาง R3A
          หอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จึงได้ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย โดยสำนักพัฒนาและส่งเสริมการบริหารราชการจังหวัด สำนักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย และจังหวัดเชียงราย จัดการสัมมนา “สะพานเศรษฐกิจเชียงของ : โอกาสทองการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว” ขึ้นในวันที่ 23 สิงหาคม 2556 ณ โรงแรมดุสิต ไอส์แลนด์ เชียงราย จังหวัดเชียงราย เพื่อเป็นการส่งเสริมและสร้างโอกาสในการแข่งขันด้านการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยวของจังหวัด 17 จังหวัดภาคเหนือ ซึ่งจะเป็นการเตรียมความพร้อมและแสวงหาช่องทางในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และประเทศในกลุ่มอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงเพิ่มมากขึ้น นอกจากนั้น ยังเป็นการระดมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะยุทธศาสตร์การพัฒนาและการแก้ไขปัญหาของพื้นที่เศรษฐกิจเชียงราย และจังหวัดภาคเหนือระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ รวมทั้งยังเป็นการสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างผู้บริหารจังหวัดภาคเหนือ หน่วยงานภาครัฐและภาคธุรกิจเอกชนที่เกี่ยวข้อง ภายใต้กระบวนการความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน ให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของภูมิภาคให้เกิดผลเป็นรูปธรรม และสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ประเทศของรัฐบาล โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมสัมมนาดังกล่าวจำนวน 400 คน
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
corolado4
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,835


บ้านสวน ดอยพระบาท11 (ธารน้ำกรณ์2)


« ตอบ #643 เมื่อ: วันที่ 23 สิงหาคม 2013, 08:22:01 »

http://www.chiangrai.net/cpoc/appointment/AppView.aspx
ตารางงานของผู้บริหารจังหวัด
ถ้าคลิกเข้าไปดูได้ จะเห็นมีกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาจังหวัดเยอะเลย



* capture-20130823-082051.jpg (104.72 KB, 571x402 - ดู 945 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

bitthailand2012
เตรียมอนุบาล
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 6


« ตอบ #644 เมื่อ: วันที่ 23 สิงหาคม 2013, 10:30:57 »

น่าสนใจน่ะ
IP : บันทึกการเข้า

boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #645 เมื่อ: วันที่ 25 สิงหาคม 2013, 10:20:11 »

เอกชน-นักวิชาการชี้จีนรุกทุกระดับรับเออีซี สะพานข้ามโขง 4

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   24 สิงหาคม 56

   
เชียงราย - ตัวแทนภาคเอกชน-นักวิชาการ ชี้กลุ่มทุนจีนเปิดเกมรุกพื้นที่ลุ่มน้ำโขงตอนบนผ่านช่องทางเชื่อมไทย-พม่า-ลาว-จีน ทุกระดับ และทุกช่องทาง แต่รัฐกลับละเลย “เชียงราย” หัวเมืองยุทธศาสตร์ ระบุแม้แต่เขตเศรษฐกิจพิเศษฯ ที่พูดกันมาร่วม 20-30 ปี วันนี้ยังไปไม่ถึงไหน
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า ในเวทีเสวนาพร้อมระดมความคิดเห็น และข้อเสนอแนะเรื่อง “สะพานเศรษฐกิจเชียงของ : โอกาสทองทางการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว” เพื่อเตรียมความพร้อมสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่กระทรวงมหาดไทย ร่วมกับหอการค้าไทย จัดขึ้นที่ห้องประชุมดอยตุง โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ท อ.เมืองเชียงราย นักวิชาการ ตลอดจนตัวแทนภาคเอกชนได้แสดงความเห็นถึงการรุกเข้าลงทุนในพื้นที่ลุ่มน้ำโขงของจีนเกิดขึ้นอย่างหนักและต่อเนื่อง
       
       นายนิยม ไวยรัชพานิช รองประธานกรรมการและประธานคณะกรรมการความร่วมมือเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ไทยมีการค้ากับประเทศจีนมหาศาล โดยเฉพาะจีนตอนใต้ ที่เชื่อมกับเชียงราย ผ่านถนนอาร์สามบี อ.แม่สาย-พม่า-จีนตอนใต้ แม่น้ำโขงจาก อ.เชียงแสน ไปยังจีนตอนใต้ และถนนอาร์สามเอ อ.เชียงของ-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ซึ่งกำลังจะมีการเปิดใช้สะพานข้ามแม่น้ำโขงไทย-สปป.ลาว แห่งที่ 4 ในปลายปีนี้ โดยปี 2555 มีการค้ากับมณฑลเสฉวน มูลค่ารวม 11,780 ล้านบาท มณฑลยูนนาน 22,878 ล้านบาท
       
       “ที่ผ่านมา จีนรุกลงมาอย่างต่อเนื่อง และไม่ได้มุ่งทำการค้าด้วยเส้นทางใดเป็นการเฉพาะ แต่เลือกหลายเส้นทาง”
       
       นายนิยม กล่าวอีกว่า สำหรับบนถนนอาร์สามเอ เชื่อมสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 นั้น เอกชนจีนได้ทำการขนสินค้าด้วยรถบรรทุกสินค้าจากจีนตอนใต้ลงมาอย่างต่อเนื่อง มีการทำข้อตกลงระหว่างจีน-สปป.ลาว ให้รถบรรทุกสินค้าของจีนมีทะเบียนรถบรรทุกของ สปป.ลาว ได้ด้วย ทำให้รถบรรทุกสินค้าจีน สามารถเดินทางผ่านด่านโมฮาน-บ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา สปป.ลาว เข้ามาได้โดยไม่ต้องตรวจสอบ และมุ่งหน้าสู่ถนนอาร์สามเอ มายังด่าน อ.เชียงของ ของไทยได้เลย และเมื่อมีการดำเนินการตามข้อตกลงกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง หรือจีเอ็มเอส ที่อนุญาตให้รถสินค้าของแต่ละฝ่ายผ่านอีกประเทศหนึ่งได้ 500 คัน เพิ่มขึ้นปีละ 100 คัน ก็ยิ่งทำให้ในอนาคตการขนส่งสินค้าผ่านถนนอาร์สามเอ จะคึกคักมากขึ้น
       
       “ในอนาคตจีนคงต้องการเป็นแบบไทย-มาเลเซีย ที่มีรถ 2 สัญชาติ เข้าออกประเทศไทยได้เลย และที่น่าจับตาสำหรับไทยคือ การมีรถนอมินีที่มีป้ายทะเบียนรถถึง 3 สัญชาติ เข้ามาทั้งไทย และจีนได้”
       
       นอกจากนี้ จีนยังสามารถอาศัยเส้นทางอาร์สามเอใน สปป.ลาว จากแขวงหลวงน้ำทาแยกไปนาเตย-เวียดนาม ระยะทางประมาณ 400 กิโลเมตร และอีกเส้นทางลงไปทางปากแบ่ง จ.น่าน ระยะทางแค่ 144 กิโลเมตร ล่าสุด ทางลาวเองก็กำลังจะได้เงินกู้ยืมจากเอดีบี จำนวน 90 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำถนนแยกจากถนนอาร์สามเอที่แขวงหลวงน้ำทา ไปทางแขวงอุดมไชย และเชื่อมถึง จ.อุตรดิตย์ ของไทยด้วย
       
       นายนิยม กล่าวอีกว่า ส่วนถนนอาร์สามบี ก็มีความสำคัญ เพราะสามารถแยกไปทางเมืองยอง และข้ามสะพานแม่น้ำโขงพม่า-สปป.ลาว ก่อนจะเชื่อมมายัง จ.เชียงราย ห่างจากจีนตอนใต้แค่ 180 กิโลเมตร ซึ่งใกล้กว่าทุกสาย
       
       ด้านนายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ ประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า จีนตอนใต้มีประชากรร่วม 300 ล้านคน ขณะที่เชียงราย มีศักยภาพด้านการเชื่อมโยงในทุกด้าน แต่ที่ผ่านมา ยังไม่ได้รับการสนับสนุนด้านการพัฒนาอย่างเต็มที่ แม้แต่เรื่องการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดน ก็พูดกันมาร่วม 20-30 ปีแล้ว แต่ยังไปไม่ถึงไหน
       
       ทั้งที่ศักยภาพของจังหวัดถือว่าเดินตามภูมิศาสตร์ เพราะมีตลาดใหญ่ที่ท่าขี้เหล็ก ตรงกันข้าม อ.แม่สาย มีประชากรร่วม 1 ล้านคน ใช้สินค้าอุปโภคบริโภค และก่อสร้างจากไทยทั้งหมด 90% แม้แต่เกลือยังนำเข้าจากไทย 70-80% ไข่ไก่นับล้านฟองต่อวัน ส่วนทางแม่น้ำโขงก็มีโครงการของจีนไปตั้งอยู่อย่างใหญ่โตที่สามเหลี่ยมทองคำ และเป็นเส้นทางการเดินเรือ ขณะที่ อ.เชียงของ มีสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งใหม่ ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายจะต้องหันมายอมรับความจริงว่าเรายังไม่พัฒนายังขับเคลื่อนเพื่อรับผลประโยชน์เหล่านี้น้อยมาก
       
       ขณะที่ ดร.จุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวว่า เมื่อด่านพรมแดนที่ อ.เชียงของ แล้วเสร็จ รถบรรทุกสินค้าทั้งขาเข้าและออก จะได้รับการอำนวยความสะดวกทางการค้ามาก โดยรถบรรทุกที่กำหนดเป็นสีแดง จะแล่นข้ามจากฝั่งไทยข้ามสะพานไปโดยไม่ต้องตรวจ และไปตรวจที่ด่านพรมแดนฝั่งลาว ซึ่งมีการทำงานร่วมกัน เช่นเดียวกับรถบรรทุกสินค้าขาเข้า ซึ่งทางประเทศไทยกำลังจะก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าเชียงของรองรับอยู่
       
       ดร.ธงชัย ภูวนาถวิจิตร อาจารย์ประจำสาขาวิชาบ้านและชุมชน คณะมนุษศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กล่าวว่า จีนมีความพร้อมในเรื่องการท่องเที่ยวมาก โดยจัดกิจกรรมที่จีนตอนใต้ตลอดทั้งปี นอกจากนี้ ยังมาลงทุนประชิดชายแดนไทยด้านสามเหลี่ยมทองคำ เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ตรงกันข้าม อ.เชียงแสน โดยบริษัทกลุ่มดอกงิ้วคำ จำกัด ที่ได้สัมปทานเนื้อที่กว่า 60,000 ไร่ โดยเบื้องต้นเช่าก่อน 7,500 ไร่ ระยะเวลา 99 ปี มีการจัดตั้งเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่มีทั้งโรงแรมหรู สถานบันเทิง สนามกอล์ฟ สถานเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ฯลฯ ซึ่งจะเห็นได้ว่ายุทธศาสตร์ของจีนโดยเอกชนที่มีความสามารถสูงรุกลงมาอย่างอย่างหนัก
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #646 เมื่อ: วันที่ 29 สิงหาคม 2013, 14:21:37 »

ค้าปลีกชายแดนสุดคึก เทสโก้ฯ-เซเว่นฯ-เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ แห่เปิดสาขาติดเพื่อนบ้าน ตามยุทธศาสตร์เส้นทางเศรษฐกิจเชื่อมอาเซียน รับเปิดเออีซีปี 2558 ยักษ์เทสโก้ฯเพิ่มโฟกัสต่างจังหวัด-ชายแดน รับโอกาสมหาศาล ล่าสุดผุดสาขาเชียงของ ด้านบิ๊กบอสเซเว่นฯ "ปิยะวัฒน์" ชี้ตัวเลขค้าชายแดนโตต่อเนื่อง เฉพาะชายแดนใต้มีกว่า 70 สาขา เบอร์ลี่ยุคเกอร์ ชูยุทธศาสตร์ขยายค้าปลีกตามเส้นทางการค้าเชื่อมอินโดจีน

การขยายสาขาถือเป็นยุทธศาสตร์หลักที่ผลักดันการเติบโตของ "ค้าปลีก" ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มกระจายตัวไปตามต่างจังหวัดมากขึ้น จากทำเลในกรุงเทพฯ ที่เริ่มหนาแน่นและหายากขึ้น ขณะที่ตลาดต่างจังหวัดยังมีโอกาสอีกมาก จากการขยายตัวของเมืองและกำลังซื้อ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีแรงบวกจากโครงการส่งเสริมเศรษฐกิจของภาครัฐเป็นแรงหนุนให้การค้าชายแดนคึกคักยิ่งขึ้น

ถือเป็นอีกยุทธศาสตร์ของค้าปลีกแต่ละค่ายขณะนี้ ในการฉกฉวยโอกาสเข้าไปปักธงตามเส้นทางการค้าอาเซียนรับการเปิดเออีซีที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันนี้

เทสโก้ฯลุยเปิดสาขาติดเพื่อนบ้าน

นางสาวสลิลลา สีหพันธุ์ รองประธานกรรมการฝ่ายกิจการ บรรษัทเทสโก้ โลตัส บริษัท เอก-ชัย ดีสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า แม้กำลังซื้อผู้บริโภคจะชะลอตัว แต่แผนการลงทุนของบริษัทยังเป็นไปตามปกติ ทั้งในแง่การขยายสาขาใหม่ตามแผนที่วางไว้จะเปิดสาขาขนาดเล็ก 300 สาขา สาขาขนาดใหญ่ 10 สาขา โดยตั้งแต่ต้นปีได้เปิดไปกว่า 100 สาขา ปัจจุบันมี 1,500 สาขา และสิ้นปีจะเปิดเป็น 1,700 สาขา





จากแนวทางดังกล่าวบริษัทเน้นขยายสาขาในต่างจังหวัดมากขึ้น เนื่องจากทำเลในกรุงเทพฯ เริ่มแน่น จึงมองหาทำเลที่ยังมีช่องว่างและโอกาสอย่างจังหวัดที่ติดประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเริ่มเห็นภาพการขยายสาขามาตลอดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยมองว่ามีโอกาสจากกำลังซื้อของคนต่างจังหวัดและประเทศเพื่อนบ้านที่อาศัยติดชายแดน รวมทั้งไลฟ์สไตล์ความเป็นเมืองที่ขยายตัวออกไปมากขึ้น

อาทิ สาขาแม่สอดที่มีการปรับโมเดลจากไฮเปอร์มาร์เก็ตเป็น "เอ็กซ์ตร้า" และล่าสุดเพิ่งเปิดให้บริการเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา คือเชียงของ ในโมเดลไฮเปอร์มาร์เก็ต ส่วนจังหวัดอื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วคืออุดรธานี เป็นต้น

"สาขาแม่สอดปรับจากไฮเปอร์มาร์เก็ตเป็นเอ็กซ์ตร้า มีลูกค้าเยอะ ทั้งคนท้องถิ่นและคนพม่า ส่วนที่อุดรธานีก็มีลูกค้าคนลาวข้ามมาซื้อสินค้า โดยเฉพาะช่วงวันหยุดที่มีการจับจ่ายสินค้าเป็นวอลุ่มใหญ่ ทั้งซื้อไปใช้เองและซื้อไปขายต่อ จากนี้จะเดินหน้าขยายต่อเนื่องในที่ที่มีกลุ่มลูกค้า มีกำลังซื้อ การขออนุญาตในพื้นที่ หากได้รับการยินยอม เราก็พร้อมจะขยายไป"

การค้าชายแดนสุดบูม

ด้านนายกลินท์ สารสิน กรรมการเลขาธิการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า โดยภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในครึ่งปีแรกยังคงชะลอตัว แต่ก็ยังมีหลายช่องทางที่ยังมีโอกาสเติบโตคือการค้าชายแดน โดยตัวเลขการค้าชายแดนแทบทุกด่านของไทยเห็นชัดเจนว่ามีการขยายตัวทางการค้าเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน เชื่อว่าครึ่งปีหลังจะยังเป็นตัวจักรสำคัญที่จะช่วยพยุงเศรษฐกิจของไทยและทดแทนกำลังซื้อในประเทศที่ชะลอตัวลง

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายด่านที่เตรียมจะเปิดการค้าชายแดน อาทิ ด่านชายแดนอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 ซึ่งกำลังจะแล้วเสร็จและกำหนดเปิดใช้ปลายปีนี้ มีศักยภาพในการแข่งขันทั้งด้านการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว เนื่องจากสะพานดังกล่าวจะเชื่อมโยงการคมนาคมในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง

"เทสโก้ โลตัส ก็เพิ่งไปเปิดสาขาใหม่ที่เชียงของ เพราะสะพานมิตรภาพไทย-ลาวเพิ่งเปิด สมาชิกหอการค้าหลายรายก็จะเข้าไปลงทุน"

เซเว่นฯ-แม็คโครโดดร่วมวง

สอดคล้องนายปิยะวัฒน์ ฐิตะสัทธาวรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานคณะกรรมการค้าปลีกและค้าส่ง สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉายภาพค้าปลีกโดยรวมว่า แนวโน้ม 5 เดือนที่เหลือนี้ยังไม่เห็นสัญญาณบ่งบอกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ยกเว้นการค้าชายแดนและการท่องเที่ยวกำลังเติบโตและขยายตัวดี ที่ผ่านมาผู้ประกอบการค้าปลีกปรับตัวมาตลอด เพื่อตอบโจทย์ของตลาดและความต้องการของผู้บริโภค ตัวอย่างแม็คโครมีการเปิดสาขาในจังหวัดที่มีการค้าชายแดน พบว่ามียอดขายที่ดี

"ค้าปลีกไซซ์ใหญ่หันมาลงทุนไซซ์เล็ก เพราะเห็นว่าเศรษฐกิจในภาพใหญ่ยังไม่ดี ลงทุนไปก็อาจไม่ได้เป้า อย่างดิสเคานต์สโตร์ก็หันมาทำไซซ์เล็ก หันมาสนองเรื่องความรวดเร็ว จากไลฟ์สไตล์คนที่เปลี่ยนไป พร้อมสร้างสินค้าให้มีความแตกต่างและเสนอบริการที่ดีขึ้น"

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปัจจุบันแม็คโครมีสาขาที่ติดชายแดนคือหนองคาย มุกดาหาร อุบลราชธานี สระแก้ว สตูล โดยสาขาล่าสุดที่เพิ่งเปิดให้บริการก็คือมุกดาหารและสตูล

ด้านนายสุวิทย์ กิ่งแก้ว รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ในฐานะนายกสมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทยระบุว่า การขยายสาขาของเซเว่นอีเลฟเว่น

พิจารณาจากทำเลที่มีศักยภาพ ซึ่งจังหวัดที่มีเขตติดต่อกับประเทศเพื่อนบ้านก็มีฐานลูกค้าที่หลากหลาย ทั้ง 1.กลุ่มคนท้องถิ่น 2.นักท่องเที่ยวคนไทย 3.นักท่องเที่ยวต่างชาติและประชาชนในประเทศเพื่อนบ้าน

ปัจจุบันเซเว่นฯมีกว่า 7,300 สาขา มีการเปิดตามจังหวัดที่มีเขตติดต่อกับประเทศกัมพูชา พม่า มาเลเซีย จำนวนมาก อาทิ สาขาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีกว่า 70 สาขา

"ประเทศรอบบ้านพัฒนาไปมาก ปัญหาชายแดนไม่มี การคมนาคมขนส่งดีขึ้น ยิ่งกระแสเปิดเออีซีทำให้การค้าชายแดนเพิ่มความคึกคักยิ่งขึ้น ทั้งแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาทำงานในไทย ทำให้คุ้นเคยกับสินค้าไทย ดังนั้นเมื่อกลับบ้านก็จะแนะนำญาติพี่น้องให้รู้จักสินค้าไทยว่ามีคุณภาพและมีการซื้อขายกันเป็นจำนวนมาก"

บีเจซีปักธงค้าปลีกเวียดนาม-ลาว

นายพิษณุ พงษ์วัฒนา ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายธุรกิจค้าปลีก บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือบีเจซี เปิดเผยว่า หลังจากให้ความช่วยเหลือด้านการเงินกับบริษัท ภูไท กรุ๊ป จอยส์ สต็อก ซื้อคืนกิจการร้านสะดวกซื้อในเวียดนามจากอิโตชู ญี่ปุ่น เจ้าของร้านแฟมิลี่มาร์ท ซึ่งร่วมทุนกับ "ภูไท กรุ๊ป" มาก่อนหน้านี้ บริษัทได้ทำการปรับโฉมและเปลี่ยนชื่อร้านจากแฟมิลี่มาร์ททั้ง 41 สาขา เป็น "บีสมาร์ท" พร้อมเดินหน้าเปิดสาขาตั้งเป้า 3 ปี จะมี 300 สาขา และตั้งเป้าสร้างเป็น "รีจินอลแบรนด์"

เป้าหมายต่อไปคือการขยายเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน เริ่มจากลาวในสิ้นปีนี้ ซึ่งยังเป็นตลาดที่บริสุทธิ์มาก ยังไม่มีคู่แข่ง และโอกาสอีกมหาศาล ต่อด้วยกัมพูชาและพม่า เนื่องจากต้องใช้เวลาในการสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐาน ส่วนไทยคาดว่าจะเปิดภายหลังปี 2558

หลังเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) เนื่องจากต้องการสร้างระบบต่าง ๆ ที่แข็งแกร่งก่อนจะนำโมเดลเต็มรูปแบบเข้ามาเปิดในไทย ซึ่งมีการแข่งขันที่รุนแรงมาก

ทั้งนี้ การขยายค้าปลีกในภูมิภาคอินโดจีนนั้นเป็นการวางยุทธศาสตร์ตามเส้นทางการค้าชายแดนที่มีการสร้างถนนเชื่อมต่ออาเซียน เพื่อให้เอื้อต่อโลจิสติกส์ การขนส่งสินค้า และเส้นทางค้าขาย โดยสเต็ปแรกวางการขยายสาขาทางด้านตอนบน เริ่มจากเวียดนาม-ลาว ตามเส้นชายแดนของทางรัฐบาลลาวที่เรียกว่า "ไฮเวย์ 309" จุดเริ่มต้นที่ลาว ตัดผ่านเวียดนาม และเชื่อมไทยที่พิษณุโลก หลังขยายได้ครอบคลุมแล้ว ก็จะเริ่มขยายไปอีกเส้นทางโดยเชื่อมระหว่างกัมพูชากับพม่า



http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1377751207&grpid=02&catid=11&subcatid=1100

IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #647 เมื่อ: วันที่ 08 กันยายน 2013, 12:49:56 »

เชียงราย - กลุ่มทุนหลากหลายกลุ่มแห่เข้าชายแดนเชียงของ วางแผนพัฒนาสารพัดรูปแบบ รอรับสะพานข้ามโขงเปิดปลายปีนี้ ทำราคาที่ดินพุ่งขึ้นเป็นไร่ละ 5-6 ล้านบาทแล้ว
       
       วันนี้ (8 ก.ย.) นายธนิสร กระฎุมพร ประธานหอการค้าอำเภอเชียงของ จ.เชียงราย กล่าวว่า หลังกระทรวงคมนาคม กำหนดเปิดใช้สะพานข้ามแม่น้ำโขงไทย-ลาว แห่งที่ 4 ระหว่าง อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เพื่อเชื่อมถนน R3a ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ วันที่ 11 ธันวาคมนี้ ทำให้กลุ่มทุนเข้ามาลงทุนในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จนราคาที่ดินปรับเพิ่มขึ้นเป็นไร่ละ 5-6 ล้านบาทแล้ว และเชื่อว่าหลังสะพานเสร็จเมืองเชียงของจะขยายตัวอีกมาก
       
       เพราะถัดจากตัวสะพาน และตัวเมืองเชียงของ ยังมีทุ่งสามหมอนที่กว้างขวางที่ ต.ศรีดอนชัย และ ต.สถาน ติดถนนเชียงของ-เชียงราย ที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เคยเข้าไปสำรวจ และกำหนดเป็นพื้นที่สีม่วงสำหรับก่อตั้งนิคมอุตสาหกรรมเอาไว้ประมาณ 16,000 ไร่ ซึ่งมีกลุ่มทุนเข้าไปถมดิน และประกอบกิจการแปรรูปทางการเกษตรแล้วหลายแห่ง ล่าสุด กำลังเสนอให้รัฐบาลพิจารณารูปแบบการลงทุนอยู่
       
       ด้านนายกฤษฎาพงศ์ แสงสว่าง ผู้จัดการทั่วไปโครงการเชียงของเมืองใหม่ กลุ่มทุนเกรทเทสท์ โลจิสติก บริษัท อภิพัฒนกิจ จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้ลงทุนก่อสร้างอาคารพาณิชย์ 3 เฟส รวม 74 คูหา แล้วเสร็จราวปี 2557 เพื่อเปิดขายในราคา 4-4.5 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งมีผู้สนใจจองกันอย่างคึกคัก หากได้รับการตอบรับดีก็จะขยายการลงทุนเพิ่มอีก เพื่อพัฒนาให้เป็นตลาดสินค้าชายแดน พืชผัก ผลไม้ อาหารทะเล ห้องแถว โดยมีโซนตลาดที่อยู่ในอาณาบริเวณเดียวกันเปิดให้เช่าเฉลี่ยล็อกละ 3,000 บาทต่อเดือน และจะมีการบริหาร และพัฒนาตลาด และอื่นๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ผู้จับจองคุ้มทุนอย่างยั่งยืน
       
       นอกจากนี้ ยังมีความเคลื่อนไหวของกลุ่มทุนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล อาคารพาณิชย์ ที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะอพาร์ตเมนทต์และหอพัก ซึ่งเริ่มก่อสร้างกันแล้วหลายแห่ง
       
       ขณะที่พื้นที่ติดสะพานในฝั่งเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว มีบริษัท เอเอซี กรุ๊ป จำกัด เช่าพื้นที่รัฐบาลลาว 1,200 ไร่ ระยะเวลา 80 ปี ยังคงเดินหน้าก่อสร้างโครงการต่างๆ ทั้งโรงแรม อาคารพาณิชย์ ตลาดชายแดน พื้นที่เกษตร เขตปลอดภาษี หรือดิวตี้ฟรีโซน เอ็นเตอร์เทนเมนต์
       
       รายงานข่าวจากด่านศุลกากรเชียงของ ระบุว่า ปีงบประมาณ 2556 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2555 ถึงเดือนสิงหาคม 2556 มีมูลค่าการส่งออกสินค้าผ่านด่านศุลกากรเชียงของไปยัง สปป.ลาว และจีนตอนใต้ 3,056,783,986 บาท และนำเข้า 9,437,007,570.69 บาท สินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นยางพารา เศษยางพารา เนื้อสัตว์แช่แข็ง เครื่องอุปโภคบริโภค น้ำมันดีเซลหมุนเร็ว ผลไม้สด สินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นผลไม้สด พืชผัก เครื่องจักรกลและอุปกรณ์ ถ่านหิน ดอกไม้ ไม้ประดับ
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #648 เมื่อ: วันที่ 25 กันยายน 2013, 19:25:16 »

เชียงราย - มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ฉลองครบรอบ 15 ปี น้อมนำประราชปณิธานสมเด็จย่า-พระบรมราโชวาท เป็นแนวทางพัฒนาต่อเนื่อง พร้อมเตรียมเปิดสอนทัตแพทยศาสตร์ สำนักวิชาแพทย์แผนจีน ปีการศึกษา 2557
       
       วันนี้ (25 ก.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย ว่า มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (มฟล.) อ.เมือง ได้ทำพิธีเฉลิมฉลองเนื่องในโอกาสครบรอบ 15 ปี แห่งการสถาปนามหาวิทยาลัย ด้วยการทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ 160 รูป พร้อมพิธีกรรมทางศาสนาที่หอประชุมสมเด็จย่า โดยมีนายกสภามหาวิทยาลัย คณะทูตานุทูต และผู้แทนจากประเทศอินโดนีเซีย ลาว ภูฏาน ญี่ปุ่น สาธารณรัฐเช็ก และฝรั่งเศสเข้าร่วม
       
       รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดี มฟล. กล่าวว่า มฟล.ได้นำพระราชปณิธานในสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือสมเด็จย่า และพระบรมราโชวาท พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นแนวการพัฒนามาโดยตลอด โดยหวังพัฒนาคุณภาพชีวิตประชาชนให้ดีขึ้น และพร้อมก้าวไปสู่มหาวิทยาลัยต้นแบบของการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมถึงการตั้งมั่นต่อการเป็นมหาวิทยาลัยแห่งโอกาสแก่ผู้ยากไร้ ผลิตบัณฑิตให้เป็นผู้มีความรอบรู้ในวิชาที่ศึกษา มีทักษะทางภาษาต่างประเทศที่ใช้ได้ในระดับสากล มีความสามารถในการปรับเปลี่ยนความรู้ และเทคโนโลยีสู่การปฏิบัติ และมีน้ำใจ
       
       “มหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับภาษาอังกฤษ และภาษาจีนมาตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง เพื่อให้ผู้เข้าเรียนพร้อมก้าวไปทำงานในอาเซียน และสังคมโลกต่อไป ซึ่งที่ผ่านมา บัณฑิต มฟล.ที่จบออกไปประมาณ 10,000 คน สามารถทำงานในแวดวงต่างๆ ได้เป็นอย่างดี มีการต่อยอดการศึกษาระดับสูงขึ้นไปอีกเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้มีผู้เข้าเป็นนักศึกษามากขึ้นทุกปี”
       
       รศ.ดร.วันชัย กล่าวว่า มฟล.เริ่มต้นด้วยการมีนักศึกษารุ่นแรกเพียง 62 คน จากทั้งหมด 2 หลักสูตร ปัจจุบันเติบโตเป็น 11,000 คน จาก 74 หลักสูตร มีนักศึกษาจาก 17 จังหวัดภาคเหนือ 48% ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก 30% ภาคอีสาน 9% และภาคใต้ 13% นอกจากนี้ยังมีนักศึกษาต่างชาติจาก 23 ประเทศ กว่า 500 คนด้วย
       
       ทั้งนี้ มฟล.ให้ความสำคัญด้านงานวิจัย โดยส่งเสริม และผลักดันให้อาจารย์ทำงานวิจัยอย่างต่อเนื่อง มีผลงานวิจัยเชิงประยุกต์สามารถที่จะนำไปสู่การปฏิบัติได้เป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นทางด้านวัสดุศาสตร์ อุสหกรรมเกษตร ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ รวมทั้งด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งผลงานหลายชิ้นได้จดสิทธิบัตรเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ยังมีงานบริการวิชาการแก่ชุมชนปีละไม่น้อยกว่า 30 เรื่อง มูลค่าไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท
       
       และสิ่งที่น่าภาคภูมิใจคือ โครงการด้านการพัฒนาคุณภาพครูชนบท โดยจัดตั้งมูลนิธิมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงขึ้น เพื่อการพัฒนาครูชนบท ส่งเสริมสนับสนุนการยกระดับคุณภาพครูผู้สอน สังกัดสำนักงานคณะกรรมการศึกษาข้นพื้นฐาน (สพฐ.) ทุกกลุ่มสาระใน จ.เชียงราย จาก 22 โรงเรียน และจะเพิ่มเป็น 43 โรงเรียน ในปี 2557 พัฒนาครูสอนภาษาจีนให้แก่ครูสังกัด สพฐ.ต่อเนื่องมาเป็นเวลา 6 ปี และโครงการต้นแบบศูนย์ทางไกลเพื่อการศึกษาและพัฒนาชนบทมา 4 ปี เป็นผลให้การศึกษาของโรงเรียนในโครงการพัฒนาดีขึ้น
       
       ในปี 2557 มฟล.เตรียมที่จะเปิดสำนักวิชาทันตแพทยศาสตร์ โดยตั้งเป้าหมายจะรับนักศึกษารุ่นแรกประมาณ 30 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างการรออนุมัติหลักสูตรจากทันตแพทยสภา ทั้งยังมีเป้าหมายที่จะรวมศาสตร์ด้านวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์สุขภาพ ทั้งแพทย์แผนไทยปัจจุบัน แพทย์แผนจีน กายภาพบำบัด สาธารณสุข พยาบาล แพทยศาสตร์ และทันตแพทยศาสตร์ พัฒนาให้เป็นศูนย์การแพทย์ในอีก 5 ปีข้างหน้าด้วย
       
       นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดสำนักวิชาแพทย์แผนจีน หลักสูตร 5 ปี ร่วมกับมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีน ของประเทศจีนด้วย
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #649 เมื่อ: วันที่ 06 ตุลาคม 2013, 17:25:23 »

วันที่ 06 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ปีที่ 23 ฉบับที่ 8347 ข่าวสดรายวัน


"ชัชชาติ"ลั่นฆ้อง2ล้านล้าน นำร่องถนน4เลน-รถไฟทางคู่

คอลัมน์ รายงานพิเศษ



หลังจากร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงิน 2 ล้านล้านบาท เพื่อลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งประเทศผ่านสภาผู้แทนราษฎรแล้ว

ขณะนี้กำลังเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา รัฐบาลคาดว่ากระบวนการพิจารณาจะแล้วเสร็จภายใน 2 เดือน และมั่นใจว่าจะสามารถผ่านออกมาเป็นกฎหมายบังคับใช้ได้

ล่าสุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จึงเปิดตัวโครงการ "สร้างอนาคตไทย 2020" อย่างเป็นทางการเมื่อ วันที่ 26 ก.ย. 2556 ที่ผ่านมา พร้อมเดินหน้าชี้แจงให้ประชาชนรับรู้และเข้าใจวัตถุ ประสงค์ของโครงการ

นายกฯ ย้ำชัดว่างานนี้จัดขึ้นเพราะรัฐบาลต้องการนำเสนอข้อมูลรายละเอียดโครงสร้างพื้นฐาน ไปยังประชาชนในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ ให้คนไทยทุกคนรวมพลังวาดภาพอนาคตประเทศไทยปี 2020 ว่า อยากจะเห็นประเทศไทยเป็นอย่างไร ขณะที่รัฐบาลก็พร้อมจะนำโครงสร้างพื้นฐานไปเชื่อมโยงกับภาคประชาชนไม่เฉพาะเรื่องเศรษฐกิจเท่านั้น แต่จะรวมไปถึงการเชื่อมโยงทางสังคม ที่จะสามารถเชื่อมโยงความอบอุ่น ความสุขของคนไทย

ที่สำคัญคือการเชื่อมโยงความรู้สึก ระหว่างคนรุ่นปัจจุบันที่จะวางอนาคตให้กับลูกหลานในอนาคตอีก 7 ปีข้างหน้า ว่าลูกหลานจะมีสิ่งที่ดีเกิดขึ้นได้อย่างไร รัฐบาลจะทำให้โครงสร้างพื้นฐานเป็นอนาคตของประเทศที่ทุกคนจับต้องได้

สำหรับการโรดโชว์นโยบาย ได้มอบหมายให้สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กระทรวงการคลัง และกระทรวงคมนาคม เป็นหน่วยงานหลักรับผิดชอบจัดเสวนาและนิทรรศการ รวมถึงชี้แจงที่มา ที่ไป กับประชาชนใน 12 จังหวัดทั่วประเทศ

โดยเริ่มนำร่องที่ จ.หนองคาย เป็นแห่งแรก ระหว่างวันที่ 4-6 ต.ค.นี้ ตามมาด้วย จ.นครราชสีมา วันที่ 11-13 ต.ค.2556 จ.ชลบุรี วันที่ 15-17 ต.ค.2556 จ.อุบลราชธานี วันที่ 18-20 ต.ค.2556 จ.ขอนแก่น วันที่ 25-27 ต.ค.2556 จ.นครสวรรค์ วันที่ 1-3 พ.ย.2556

จ.ฉะเชิงเทรา วันที่ 1-3 พ.ย.2556 จ.เพชรบุรี วันที่ 8-10 พ.ย.2556 จ.พระนครศรีอยุธยา วันที่ 8-11 พ.ย.2556 จ.เชียงใหม่ วันที่ 15-17 พ.ย.2556 จ.นคร ศรีธรรมราช วันที่ 22-24 พ.ย.2556 และ ปิดท้ายที่ จ.สงขลา วันที่ 29 พ.ย.-1 ธ.ค.2556

ด้าน นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ระบุว่า การชี้แจงข้อมูลให้ภาคประชาชนได้รับรู้ และเข้าใจถือเป็นหัวใจสำคัญในความสำเร็จของโครงการ ที่ผ่านมารัฐบาลได้รับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย เพื่อให้การดำเนินนโยบายมีประสิทธิภาพ และโปร่งใส

หลายๆ ข้อเสนอแนะมีประโยชน์ ซึ่งรัฐบาลก็พร้อมปฏิบัติ เช่น การจัดทำกระบวน การตรวจสอบจากภาคเอกชน การคัดเลือกบริษัทที่ปรึกษาการก่อสร้างที่เหมาะสม การประเมินราคากลางการก่อสร้างให้สอดคล้องกับต้นทุนที่แท้จริง รวมไปถึงการพิจารณาความคุ้มค่าของโครงการก่อสร้างต่างๆ

ขณะนี้ร่างพ.ร.บ.ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร และมีแนวโน้มที่จะเป็น รูปธรรมมากขึ้น ซึ่งถือเป็นแค่ก้าวแรกในการทำงานของรัฐบาล ยังมีอีกหมื่นก้าวที่ต้องเดินต่อไปกว่าจะถึงจุดหมาย ต้องเดินให้ตรง หนักแน่น ถึงจุดหมายให้ตรงเวลา ต้องไม่ทำให้คนไทยทุกคนผิดหวัง

และเชื่อว่าความตั้งใจดีของรัฐบาลจะทำให้ร่างพ.ร.บ.กำลังเข้าสู่การพิจารณาของวุฒิสภา จะผ่านการพิจารณาได้ภายใน 2 เดือน จากนั้นเป็นขั้นตอนการตีความของศาลรัฐธรรมนูญ คาดว่ากระบวนการพิจารณาจะเสร็จปลายปีนี้

นายชัชชาติกล่าวว่า ตนได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัดเตรียมความพร้อม โดยเร่งจัดทำแผนการก่อสร้างและแผนประชาพิจารณ์ ระบบขนส่งทั้งทางบกและทางน้ำ คู่ขนานไปกับการรอผ่านกฎหมาย เนื่องจากประชาพิจารณ์ต้องใช้เวลานาน

รวมทั้งทุกโครงการยังจะต้องนำเสนอ เข้าสู่การพิจารณาของสำนักงานคณะกรรม การพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ตามนโยบายรัฐบาลที่เน้นย้ำเรื่องความโปร่งใส ถูกต้องและเป็นธรรม

นอกจากนี้ ยังสั่งให้จัดตั้งสำนักงานพิเศษขึ้นมาทำหน้าที่ติดตามและประเมินผล ความคืบหน้าโครงการ โดยมอบหมายให้นายสมชัย ศิริวัฒนโชค ปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นเจ้าภาพ จัดทำดัชนีชี้วัดความสำเร็จของโครงการ 2 ส่วนคือ 1.การดำเนินโครงการตามเป้าหมาย และ 2.ผลการดำเนินงาน ของโครงการ โดยจะเชิญผู้เชี่ยวชาญจากธนาคารโลกและธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย ร่วมเป็นคณะทำงานด้วย

"ผมสั่งให้ทุกหน่วยเตรียมพร้อม หากกฎหมายผ่านเราจะเดินหน้าเปิดประมูลก่อสร้างทันที เพราะโครงการเหล่านี้มีความสำคัญกับการสร้างอนาคตประเทศไทย ช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและอำนวยความสะดวกด้านการคมนาคมแก่ประชาชนทั้งในชนบท พื้นที่เมือง และพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญรวมไปถึงรอบภูมิภาคด้วย"

ส่วนการเบิกจ่ายงบประมาณถือเป็นหัวใจสำคัญ ดังนั้นเพื่อให้โครงการเดินหน้าไม่สะดุด กระทรวงคมนาคมได้จัดทำแผนการเบิกจ่ายเงินงบประมาณไว้ชัดเจนแล้ว โดยแบ่งการใช้เงินเป็น 7 ปี (2557-2563) ปีที่ 1 วงเงิน 1.5 แสนล้านบาท ปีที่ 2 วงเงิน 2.9 แสนล้านบาท ปีที่ 3 วงเงิน 4.2 แสนล้านบาท ปีที่ 4 วงเงิน 4.7 แสนล้านบาท ปีที่ 5 วงเงิน 3.7 แสนล้านบาท ปีที่ 6 วงเงิน 1.7 แสนล้านบาท และปีที่ 7 วงเงิน 1 แสนล้านบาท

นายชัชชาติกล่าวว่า สำหรับโครงการเร่งด่วนในปีแรก จะเน้นการก่อสร้างทางบกก่อนตามมาด้วยทางน้ำ โดยในปี 2557 ตั้งเป้า 4 โครงการ คือ 1.โครงการขยายถนน 4 เลน และซ่อมแซมถนนที่ชำรุดทั่วประเทศ 2.โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-โคราช วงเงิน 84,600 ล้านบาท

3.โครงการรถไฟทางคู่ 5 เส้นทาง คือ สายมาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ ระยะทาง 132 กิโลเมตร, นครปฐม-หนองปลาดุก-หัวหิน ระยะทาง 165 กิโลเมตร, สายลพบุรี-ปากน้ำโพ ระยะทาง 118 กิโลเมตร, นครราชสีมา-ขอนแก่น ระยะทาง 185 กิโลเมตร และ ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร ระยะทาง 167 กิโลเมตร รวมระยะทาง 767 กิโลเมตร

และ 4.โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เช่น รถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม ช่วงแบริ่ง-สมุทร ปราการ เป็นต้น ส่วนการก่อสร้างระบบขนส่ง ทางน้ำจะเร่งรัดในปีถัดไปและจะทยอยก่อสร้างให้ครบ 53 โครงการ รวม 533 สัญญา ให้แล้วเสร็จทันตามเป้าหมายในปี 2563

ขณะที่ นายพ้อง ชีวานันท์ รมช.คมนาคม ซึ่งรับผิดชอบโครงการก่อสร้างทางน้ำทั้งระบบ ประกาศเร่งเดินหน้าเต็มสูบ ซึ่งโครงการที่ต้องเร่งดำเนินการคือ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพขนส่งในแม่น้ำป่าสัก เพื่อสนับสนุนการพัฒนาการเดินทางและขนส่งสินค้าภายในและต่างประเทศ โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือน้ำลึกปากบารา จ.สตูล เพื่อเป็นประตูการค้าทางทะเลฝั่งอันดามันเชื่อมโยงการขนส่งไปยังฝั่งเอเชียใต้ ตะวันออก กลางและทวีปยุโรป

โครงการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกสงขลา แห่งที่ 2 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถของท่าเรือน้ำลึกฝั่งอ่าวไทยตอนล่าง

โครงการก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน แห่งที่ 2 จ.เชียงราย และโครงการก่อสร้างท่าเรือที่จ.ชุมพร

"รัฐบาลใช้งบประมาณ 2 หมื่นล้านปฏิวัติการคมนาคมทางน้ำครั้งใหญ่ เพื่อให้ประชาชน และผู้ประกอบการเอกชน มั่นใจว่ารัฐบาลต้องการส่งเสริมให้เกิดความสะดวกใน การเดินทางและขนส่งของประชาชนและ ผู้ประกอบการ รวมทั้งสร้างความมั่นใจในความสามารถแข่งขันด้านต้นทุนโลจิสติกส์ ให้กับนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ" นายพ้องกล่าว

จากนี้เป็นหน้าที่ของคนไทยต้องช่วยกันลุ้นว่าภาพอนาคตประเทศไทยจะสวยงามมากน้อยแค่ไหน

หน้า 8
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #650 เมื่อ: วันที่ 12 ตุลาคม 2013, 08:00:14 »

แสนสิริแจง 9 เดือนยอดขาย 37,000 ล. เล็งผุด 7 โครงการ Q4 มูลค่า 8,700 ล้านบาท

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   11 ตุลาคม 2556 13:57 น.        


   

       แสนสิริโชว์ยอดขาย 9 ทะลุ 37,000 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 80% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 48,000 ล้านบาท พร้อมเผยแผนธุรกิจไตรมาสสุดท้าย เตรียมเปิดอีก 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 8,700 ล้านบาท จ่อเปิด 2 โครงการในเชียงราย และบ้านเดี่ยวเชียงใหม่
       
       นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงผลการดำเนินธุรกิจในช่วง 9 เดือนของปี 2556 ว่า บริษัทสามารถสร้างยอดขาย(พรีเซล) ได้ 37,000 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นการสร้างยอดขายที่สูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในขณะนี้ และคิดเป็นประมาณ 80% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่ตั้งไว้ 48,000 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มียอดขายในช่วง 9 เดือน ที่ประมาณ 26,000 ล้านบาท
       
       โดยแบ่งเป็นยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาสแรก มูลค่ารวมกว่า 21,000 ล้านบาท และยอดขายในช่วงไตรมาส 2 จำนวน 8,000 ล้านบาท รวมทั้งยอดขายในช่วงไตรมาส 3 ที่บริษัทสามารถปิดการขายได้อีก 8,000 ล้านบาท ขณะที่ปัจจุบันบริษัทยังคงครองยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ ที่อยู่ระหว่างรอรับรู้รายได้ (Presale backlog) ในอีก 5 ปีข้างหน้าสูงถึงประมาณ 65,457 ล้านบาทแล้ว ซึ่งนับเป็นยอดขายล่วงหน้าที่สูงที่สุดในระบบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในขณะนี้เช่นเดียวกัน รวมทั้งยังนับเป็นยอดรอรับรู้รายได้ที่สูงที่สุดที่บริษัทเคยทำได้ตั้งแต่ดำเนินธุรกิจ
       
       สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2556 บริษัทจะมีการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่อีกประมาณ 7 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 8,700 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 5,700 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยว 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2,200 ล้านบาท รวมทั้งการพัฒนาทาวน์เฮาส์อีก 1 โครงการ มูลค่ารวม 800 ล้านบาท โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายในช่วงไตรมาสสุดท้ายไว้ 11,000 ล้านบาท
       
       นอกจากนี้ บริษัทได้วางแผนพัฒนาธุรกิจในตลาดต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่อง โดยได้เตรียมเปิดตัว “ดีคอนโด ฮาย” ซึ่งนับเป็นการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดเชียงรายเป็นครั้งแรก รวมทั้งแผนการพัฒนาที่อยู่อาศัยในแนวราบ ซึ่งนับเป็นการพัฒนาบ้านเดี่ยวโครงการแรกที่จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้แบรนด์เศรษฐสิริ ในชื่อโครงการ “เศรษฐสิริ สันทราย” หลังจากที่ผ่านมา บริษัทประสบความสำเร็จกับการพัฒนาคอนโดมิเนียมในโครงการ ดีคอนโด แคมปัส รีสอร์ท และดีเวียง สันติธรรม จังหวัดเชียงใหม่มาแล้ว โดยได้เตรียมเปิดการขายทั้ง 2 โครงการใหม่ในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนนี้
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #651 เมื่อ: วันที่ 21 พฤศจิกายน 2013, 21:27:33 »

แหล่งที่มา : สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยเชียงใหม่
    วันที่ข่าว : 21 พฤศจิกายน 2556
จังหวัดเชียงรายเตรียมความพร้อมอย่างเต็มที่ในการเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 ในเดือนธันวาคมนี้
นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวถึงความคืบหน้าของโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 ของจังหวัดเชียงรายว่า ขณะนี้เสร็จสมบูรณ์เกือบร้อยเปอร์เซ็นแล้ว และได้จัดเตรียมการทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 11 ธันวาคมนี้ ทั้งนี้สะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 นี้ เป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างประเทศไทย กับ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และสาธารณรัฐประชาชนจีน โดยหวังว่าภายหลังการเปิดสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแล้ว ซึ่งการมีความสะดวกในการเดินทางมากขึ้นนี้ จะทำให้มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งการขนถ่ายสินค้า ก็จะมีปริมาณเพิ่มมากขึ้นด้วยเช่นกัน จึงต้องเตรียมความพร้อมในด้านการตรวจคนเข้าเมือง การเสียภาษีศุลกากร และการขนถ่ายสินค้าด้วย
สำหรับประโยชน์ที่ชาวจังหวัดเชียงรายจะได้รับนั้น นอกจากความสะดวกด้านการท่องเที่ยว และการขนส่งสินค้าแล้ว ยังจะช่วยสร้างรายได้จากการจำหน่ายสินค้าท้องถิ่น ซึ่งจังหวัดเชียงรายจะเปิดเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ และศูนย์กระจายสินค้า ที่อำเภอแม่สาย อำเภอเชียงแสน และอำเภอเชียงของด้วย
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #652 เมื่อ: วันที่ 22 พฤศจิกายน 2013, 22:05:59 »

แหล่งที่มา : สำนักงานประชาสัมพันธ์จังหวัดเชียงราย
    วันที่ข่าว : 22 พฤศจิกายน 2556
นายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานร่วมกับคณะผู้บริหารบริษัท โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด(มหาชน) ในการเปิดโฮมโปรสาขาที่ 63 ที่เชียงราย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และรองรับการพัฒนาและการขยายตัวในธุรกิจการการสร้างบ้านและที่อยู่อาศัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย รวมถึงรองรับการขยายตัวธุรกิจดังกล่าวในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้ง พม่าและลาว ภายหลังการเปิดใช้งานสะพานข้ามน้ำโขงแห้งที่ 4 อย่างเป็นทางการในเดือน ธันวาคมที่จะถึงนี้ อีกทั้งการเตรียมความพร้องการขยายตัวทางเศรษฐกิจในภูมิถาคภายหลังการก้วเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558
นายวีระพันธ์ อังสุมาลี ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกลุ่มปฏิบัติการ บริษัท โฮมโปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ลงทุนกว่า 500 ล้านบาท ในการเปิดดำเนินการ โฮมโปร สาขาเชียงราย ซึ่งเป็นสาขาที่ 63 ใช้พื้นที่กว่า 25 ไร่ บนเส้นทางถนน เชียงราย เทิง ห่างจากตัวเมืองเชียงรายประมาณ 4 กิโลเมตร เพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าที่เกี่ยวกับบ้าน คลอมคลุมทั้งการซ่อมแซม ปรับปรุง ตกแต่ง รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อความบันเทิงด้วยสินค้าคุณภาพมาตรฐานและบริการที่ครบวงจร
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #653 เมื่อ: วันที่ 27 พฤศจิกายน 2013, 15:29:23 »

แหล่งที่มา : สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยเชียงใหม่
    วันที่ข่าว : 27 พฤศจิกายน 2556
ด่านศุลกากรเชียงแสนนำเข้าส่งออกพุ่ง 2.6 หมื่นล้านบาท คาดสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 เปิดใช้ส่งผลกระทบส่งออกทันที
นายเมธา ภมรานนท์ นายด่านศุลกากรเชียงแสน กล่าวว่า ภาพรวมการค้าชายแดนทั่วประเทศ ปี 2555 พบว่ามีมูลค่า 1 ล้านล้านบาท มาเลเซีย 7 แสนล้านบาท, สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา 2 แสนล้านบาท, สปป.ลาว 1 แสนล้านบาทและกัมพูชา 9 หมื่นล้านบาท เชียงรายมีด่านศุลกากร 3 แห่ง ได้แก่ ด่านศุลกากรแม่สาย, ด่านศุลกากรเชียงแสนและด่านศุลกากรเชียงของ ภาพรวมการค่าขายชายแดนของจังหวัดเชียงราย ปี 2555 มูลค่า 36,000 ล้านบาท แบ่งเป็นของด่านเชียงของ 12,000 ล้านบาท ด่านศุลกากรแม่สาย 10,000 ล้านบาท และด่านเชียงแสน 14,000 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าค้าขายชายแดนตลอด 3 ปี ที่เปิดใช้ท่าเรือแห่งที่สอง พบว่ามีมูลค่าการค้าชายแดนเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดโดยในปี 2554 มีมูลค่า 12,000 ล้านบาท ปี 2555 มูลค่า 14,000 บาทและปี 2556 มีมูลค่า 26,000 บาททีเดียว
สินค้านำเข้าได้แก่ผักผลไม้ กระเทียม ปี 2554 มูลค่า 1,000 ล้านบาท ปี 2555 มูลค่า 512 ล้านบาทและปี 2556 มูลค่า 615 ล้านบาท มูลค่าการนำเข้ามีตัวเลขลดลงเกิดจากเหตุการณ์ความไม่สงบในแม่น้ำโขงที่ผ่านมา ทำให้การขนส่งสินค่าที่ใช้เส้นทางในแม่น้ำโขงเปลี่ยนเส้นทางไปทางด่านเชียงของผ่านถนน R3A ใน สปป.ลาวเข้าจีน เมื่อเหตุการณ์ความไม่สงบในแม่น้ำโขงคลี่คลายลง ทำให้การขนส่งสินค้าทางน้ำผ่านแม่น้ำโขงเพิ่มขึ้น ซึ่งเรือส่วนใหญ่ที่วิ่งให้บริการขนส่งสินค้าในแม่น้ำโขงเป็นของลาวถึง 200 ลำ เป็นเรือขนาดเล็ก สามารถบรรทุกตู้คอนเทรนเนอร์ได้ครั้งละ 2 ตู้เท่านั้น เรือจีนขนาด 150-50 ตัน จำนวน 180 ลำ ในขณะที่เป็นเรือสัญชาติไทยเพียง 2 ลำ ซึ่งเป็นเรือท่องเที่ยวในแม่น้ำโขง ส่วนการส่งออก ปี 2554 มูลค่า 8,900 ล้านบาท ปี 2555 มูลค่า 11,000 ล้านบาท ปี 2556 มูลค่า 19,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 800 ล้านบาท
สินค้าส่งออก 3 อันดับที่เป็นสินค้าข้ามแดน ประกอบด้วยอาหารแช่แข็ง ได้แก่ เนื้อไก่ โค กระบือและอาหารทะเล อันดับที่ 2 รถยนต์ อันดับที่ 3 คือ ไม้ข้ามแดนที่มาจากลาวผ่านแดนไปยังประเทศที่พม่า สินค้านำเข้า 3 อันดับแรกได้แก่ผลไม้สด อันดับที่สอง เครื่องอุปโภคบริโภคและอันดับที่ 3 คือ กระเทียม ปริมาณเที่ยวเรือปี 2554 จำนวน 3,900 เที่ยวเรือ ปี 2555 จำนวน 5,800 เที่ยวเรือและ ปี 2556 จำนวน 9,900 เที่ยวเรือ ในปี 2557 คาดว่าจะทะลุ 10,000 เที่ยวเรือและน่าจะมีมูลค่านำเข้าส่งออกเส้นทางแม่น้ำโขงทางด่านศุลกากรเชียงแสน ไม่น้อยกว่า 28,000 ล้านบาท ปัจจัยสำคัญน่าจะเกิดจากค่าระวางการบรรทุกสินค้าทางเรือกับสินค้าที่ไม่เร่งด่วนและส่งไปมายัง 4 ประเทศ จีน เมียนมา ลาว และไทย ผ่านด่านศุลกากรเชียงแสนเพิ่มขึ้น
นายเมธา กล่าวอีกว่า สิ่งที่น่าเป็นห่วงและน่าจะส่งกระทบต่อการค้าขายชายแดนผ่านด่านศุลกากรเชียงแสน ก็คือ เหตุการณ์ที่ผู้ประกอบการเรือลาวที่มีการรวมตัวเป็นชมรมและไม่เกี่ยวข้องกับทางการลาว ได้มีการยื่นข้อเสนอผ่านมาว่าอยากจะขอจัดระเบียบการขนส่งสินค้าด้วยเรือลาวไปยังเมียนมา, จีน และลาว ด้วยอัตราค่าขนส่งที่สูงกว่าเดิมจากตู้คอนเทรนเนอร์ละ 30,000-40,000 บาทต่อเที่ยว เป็น 52,000 -55,000 บาทต่อเที่ยว ซึ่งทางผู้ประกอบการนำเข้าและส่งออกฝ่ายไทยยังไม่ยินยอม เพราะจะทำให้ต้นทุนด้านขนส่งเพิ่มมากขึ้นและมีราคาใกล้เคียงกับการขนส่งทางบก ผ่านด่านศุลกากรเชียงของและหากสะพานมิตรภาพไทย-ลาวแห่งที่ 4 เปิดใช้ก็จะทำให้ผู้ประกอบการไทยหันไปใช้เส้นทางดังกล่าวอย่างแน่นอน แต่ในทางกลับกันหากสะพานเปิดจะส่งผลให้แพขนานยนต์ขนาดใหญ่ที่เคยให้บริการที่บริเวณท่าเรือเชียงของหันมาให้บริการที่เชียงแสน เพราะขณะนี้ถนนที่เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เชื่อมไปยังถนน R3A สร้างเสร็จสมบรูณ์แล้ว ก็จะทำให้มีผู้ประกอบการหันมาใช้เส้นทางนี้เพิ่มขึ้นเช่นกัน
จักรภัทร ข่าว/ภาพ
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #654 เมื่อ: วันที่ 03 ธันวาคม 2013, 14:46:38 »


10 เดือนแรก ของปี 2556 มี 69 โครงการ ที่ได้รับอนุมัติให้การส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ภาคเหนือ

แหล่งที่มา : สถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยเชียงใหม่
    วันที่ข่าว : 2 ธันวาคม 2556
10 เดือนแรก ของปี 2556 มีจำนวนโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ส่งเสริมการลงทุน ของ BOI ภาคเหนือ จำนวน 69 โครงการ โดยอุตสาหกรรมการเกษตรและผลิตผลจากการเกษตร ได้รับการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด
นายศักดิ์ชัย เหลืองสถิตกุล ผู้อำนวยการศูนย์เศรษฐกิจการลงทุนภาคที่ 1 (BOI ภาคเหนือ) เปิดเผยถึงภาวะการลงทุนภาคเหนือ 10 เดือนแรก ของปี 2556 มีจำนวนโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุน 77 โครงการ ลดลงจากปี 2555 ที่มีจำนวนโครงการ 91 โครงการ เป็นโครงการที่ได้รับอนุมัติให้ส่งเสริมการลงทุนแล้ว จำนวน 69 โครงการ มูลค่าการลงทุนกว่า 11,500 ล้านบาท เกิดการจ้างงาน 8,138 คน อุตสาหกรรมที่ได้รับการอนุมัติให้ส่งเสริมการลงทุนใน 3 อันดับแรก ได้แก่ อุตสาหกรรมการเกษตรและผลิตผลจากการเกษตร จำนวน 26 โครงการ มีมูลค่าการลงทุนกว่า 4,700 ล้านบาท เช่น ผลิตภัณฑ์น้ำมันรำข้าว กิจการผลิตยางแท่ง กิจการผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ และกิจการผลิตสารปรับปรุงดิน เป็นต้น สถานที่ตั้งโครงการที่มีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุด อยู่ที่ จังหวัดเชียงราย พิจิตร พิษณุโลก นครสวรรค์ เชียงใหม่ สุโขทัย ลำปาง พะเยา อุทัยธานีและจังหวัดแพร่ ตามลำดับ
รองลงมา คือ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า จำนวน 17 โครงการ มีมูลค่าการลงทุนกว่า 2,800 ล้านบาท ได้แก่ กิจการ Electronic Parts กิจการผลิตซอฟต์แวร์ สถานที่ตั้งโครงการที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด คือ จังหวัดลำพูน เชียงใหม่ และเชียงราย ตามลำดับ และมีการลงทุนในกิจการบริการและสาธารณูปโภค จำนวน 9 โครงการ มีมูลค่าการลงทุนกว่า 3,100 ล้านบาท ได้แก่ กิจการผลิตไฟฟ้าจากไบโอแมสและพลังงานแสงอาทิตย์ กิจการศูนย์แสดงศิลปวัฒนธรรมหรือศูนย์ศิลปวัฒนธรรมและกิจการ call center สถานที่ตั้งโครงการที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดอยู่ที่ จังหวัดพิจิตร ตาก กำแพงเพชร เชียงใหม่ นครสวรรค์ และสุโขทัย ตามลำดับ นักลงทุนต่างชาติที่ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริม เช่น ญี่ปุ่น ฮ่องกง เกาหลี เยอรมัน สหรัฐอเมริกา โดยโครงการที่ได้รับการอนุมัติส่วนใหญ่เป็นการลงทุนขนาดไม่เกิน 200 ล้านบาท
สำหรับการลงทุนของต่างชาติที่ได้รับการอนุมัติ ส่งเสริม เป็นอันดับหนึ่งในภาคเหนือตอนบน คือ การลงทุนจากญี่ปุ่น จำนวน 11 โครงการ เป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมผลิตโลหะและชิ้นส่วนโลหะ อุตสาหกรรมการผลิตพลาสติก รองลงมา เป็นการลงทุนจากฮ่องกง และเกาหลี ประเทศละ 3 โครงการ
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #655 เมื่อ: วันที่ 04 ธันวาคม 2013, 19:00:54 »

จังหวัดมุกดาหาร ประชุมคณะกรรมการเตรียมความพร้อมจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ
วันนี้ (4 ธ.ค. 56) เวลา 13.30 น. นายสรสิทธิ์ ฤทธิ์สรไกร รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ โดยมี นายธวัชชัย ธรรมรักษ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร และหัวหน้าส่วนราชการผู้แทนองค์กรภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมประชุม
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2556 เห็นชอบแนวทางการศึกษาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษในพื้นที่ที่มีศักยภาพ โดยมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ดำเนินการจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาทำการศึกษาวิจัยความเหมาะสมในการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งได้ดำเนินการศึกษามาตั้งแต่วันที่ 9 กันยายน 2556 โดยของเขตพื้นที่การศึกษาประกอบด้วย ภาคเหนือ ได้แก่ อำเภอแม่สาย, เชียงแสน, เชียงของ จังหวัดเชียงราย และอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ส่วนภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้แก่ จังหวัดมุกดาหาร, นครพนม และหนองคาย ภาคตะวันออก ได้แก่ จังหวัดสระแก้ว และจังหวัดตราด ภาคตะวันตก จังหวัดกาญจนบุรี และภาคใต้ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา และจังหวัดนราธิวาส ประกอบกับรัฐบาลได้ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ.2556 ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 25 กรกฎาคม 2556
สำหรับการประชุมในครั้งนี้ ที่ประชุมได้พิจารณาถึงความเหมาะสม ด้านองค์ประกอบในการแต่งตั้งคณะทำงานเตรียมความพร้อมในการจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษจังหวัดมุกดาหาร เพื่อให้การเตรียมการมีความพร้อม มีประสิทธิภาพและเป็นไปตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วย พัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ พ.ศ.2556
นายแสงทอง อนันตภักดิ์ ส.ปชส.มุกดาหาร รายงาน
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #656 เมื่อ: วันที่ 04 ธันวาคม 2013, 19:02:57 »

ค้าชายแดนเชียงรายพุ่ง2หมื่นล. ขนส่งทางน้ำกลับมาคึกคัก-หลังไร้เหตุรุนแรง



เชียงราย - นายเมธา ภมรานนท์ นายด่านศุลกากรเชียงแสน จ.เชียงราย เผยว่า เชียงรายมีด่านศุลกากร 3 แห่ง ได้แก่ ด่านศุลกากรแม่สาย, ด่านศุลกากรเชียงแสน และด่านศุลกากรเชียงของ ภาพรวมการค้าชายแดนของเชียงราย ปี 2555 มูลค่า 36,000 ล้านบาท แบ่งเป็นด่านเชียงของ 12,000 ล้านบาท ด่านศุลกากรแม่สาย 10,000 ล้านบาท และด่านเชียงแสน 14,000 ล้านบาท



นายเมธากล่าวว่า มูลค่าค้าขายชายแดนตลอด 3 ปี ที่เปิดใช้ท่าเรือแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 ทำให้มูลค่าการค้าชายแดนเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดโดยในปี 2554 มีมูลค่า 12,000 ล้านบาท ปี 2555 มูลค่า 14,000 ล้านบาท และปีนี้ 2556 มีมูลค่า 26,000 ล้านบาท สินค้านำเข้า ได้แก่ ผักผลไม้ กระเทียม ปี 2554 มูลค่า 1,000 ล้านบาท ปี 2555 มูลค่า 512 ล้านบาท และ ปี 2556 มูลค่า 615 ล้านบาท



"สำหรับมูลค่าการนำเข้ามีตัวเลขลด เนื่องจากเคยเกิดเหตุการณ์ความไม่สงบในแม่น้ำโขงเมื่อปี 2554 โดยกระทบต่อภาคการขนส่งสินค้าทางเรือในแม่น้ำโขง แต่ผู้ประกอบการเปลี่ยนไปใช้ถนนอาร์สามเอในประเทศลาว เข้าสู่จีนแทน ปริมาณเที่ยวเรือปี 2554 จำนวน 3,900 เที่ยวเรือ ปี 2555 จำนวน 5,800 เที่ยวเรือ และปี 2556 จำนวน 9,900 เที่ยวเรือ ในปี 2557 คาดว่าจะทะลุ 10,000 เที่ยวเรือ" นายด่านศุลกากรเชียงแสนกล่าว



นายเมธากล่าวอีกว่า ปัจจัยสำคัญน่าจะเกิดจากค่าระวางการบรรทุกสินค้าทางเรือ กับสินค้าที่ไม่เร่งด่วนและส่งไปมายัง 4 ประเทศ จีนพม่า ลาว และไทย ผ่านด่านศุลกากรเชียงแสนเพิ่มขึ้น ส่วนการส่งออก ปี 2554 มูลค่า 8,900 ล้านบาท ปี 2555 มูลค่า 11,000 ล้านบาท ปี 2556 มูลค่า 19,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 800 ล้านบาท สินค้าส่งออก 3 อันดับที่เป็นสินค้าข้ามแดนประกอบด้วยอาหารแช่แข็งได้แก่เนื้อไก่ โค กระบือและอาหารทะเล อันดับที่ 2 รถยนต์ อันดับที่ 3 คือไม้ข้ามแดนที่มาจากลาวผ่านแดนไปยังประเทศพม่า

หน้า 29
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #657 เมื่อ: วันที่ 11 ธันวาคม 2013, 22:38:12 »


Prev1 of 2Next
คลิกภาพเพื่อขยาย
updated: 11 ธ.ค. 2556 เวลา 14:00:14 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

เปิดสะพานข้ามโขงเชียงของ 11 ธ.ค. "ลงทุน-ค้าชายแดน-ท่องเที่ยว" รับอานิสงส์เต็มร้อย ทุนไทย-จีนแห่ยึดทำเลถนนอาร์สามเอ

หลังจากใช้เวลาก่อสร้างมานานกว่า 3 ปีครึ่ง "สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4" เชื่อม อ.เชียงของ จ.เชียงราย กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว และเชื่อมกับถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ มีกำหนดการเปิดใช้อย่างเป็นทางการในวันที่ 11 ธันวาคม 2556 นี้แล้ว ภายใต้งบประมาณก่อสร้าง 1,486.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นการลงทุนของไทยและจีนฝ่ายละ 50%

ดีเดย์เปิดสะพาน 11 ธ.ค.นี้

พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ขณะนี้ตัวสะพาน ถนนเชื่อมไปยังสะพาน และอาคารด่านพรมแดนเสร็จสมบูรณ์ 100% แล้ว ส่วนโครงการก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้าในบริเวณติดกับด่านพรมแดนเชียงของต้องใช้พื้นที่ประมาณ 280 ไร่ งบประมาณ 2,000 ล้านบาทนั้น ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการเจรจาขอเวนคืนที่ดินจากชาวบ้านในพื้นที่ คาดว่าในปี 2559 จะแล้วเสร็จ โดยจะสามารถรองรับได้ทั้งรถบรรทุกสินค้าและระบบรางรถไฟที่จะเชื่อมต่อไปถึงในอนาคต ส่วนกรณีที่มีชาวบ้านขึ้นป้ายคัดค้านไม่ยอมให้มีการเวนคืนที่ดินนั้นก็ถือเป็นเรื่องปกติ ต้องมีการเจรจากันต่อไป

ด้าน นายชัชวาลย์ บุญเจริญกิจ อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวยืนยันว่า สะพานแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 จะเปิดในวันที่ 11 ธ.ค.นี้แน่นอน โดยมีกำหนดการตั้งแต่เวลา 10.00 น.

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด และทางฝ่าย สปป.ลาวจะมีรองประธาน สปป.ลาว ไปเป็นประธานฝ่ายลาว

สำหรับแนวทางการบริหารจัดการการใช้สะพานนั้น ได้มีการตกลงกันว่าจะมีการตั้งคณะกรรมาธิการบริหารและบำรุงรักษาสะพานมิตรภาพ 4 ร่วมไทย-สปป.ลาว โดยประชาชนสามารถใช้บริการข้ามสะพานได้ตั้งแต่เวลา 06.00 น.-22.00 น. อนุญาตให้เฉพาะยานพาหนะทุกประเภทที่ใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อน ยกเว้นรถสองแถวทุกประเภท รถสามล้อเครื่อง รถจักรยานยนต์ รวมทั้งรถที่ใช้เพื่อการเกษตรและรถดัดแปลงต่าง ๆ ใช้ความเร็วไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ในส่วนของค่าธรรมเนียมนั้น ประเภทรถยนต์นั่งชนิดไม่เกิน 7 คน และรถบรรทุก 4 ล้อ เก็บค่าธรรมเนียมคันละ 50 บาท หรือ 13,000 กีบ รถโดยสารขนาดกลาง ขนาดเกิน 12 ที่นั่งแต่ไม่เกิน 24 ที่นั่ง เก็บค่าธรรมเนียม 150 บาท หรือ 40,000 กีบ และรถโดยสารขนาดใหญ่ที่เกิน 24 ที่นั่งขึ้นไป เก็บค่าธรรมเนียม 200 บาท หรือ 54,000 กีบ รถโดยสารขนาดเล็กที่เกิน 7 ที่นั่งแต่ไม่เกิน 12 ที่นั่ง เก็บค่าธรรมเนียม 100 บาท หรือ 27,000 กีบ

รถบรรทุก 6 ล้อ เก็บค่าธรรมเนียม 250 บาท หรือ 67,000 กีบ รถบรรทุกสิบล้อเก็บค่าธรรมเนียม 350 บาท หรือ 94,000 กีบ และรถบรรทุกเกินสิบล้อขึ้นไปเก็บค่าธรรมเนียม 500 บาท หรือ 135,000 กีบ ทั้งนี้ การเรียกเก็บค่าธรรมเนียมให้เก็บเป็นเงินบาทไทยกรณีขึ้นสะพานในฝั่งไทย และให้เก็บเป็นเงินกีบลาวเมื่อขึ้นสะพานทางฝั่ง สปป.ลาว



ทุนไทย-จีนแห่จับจองอาร์สามเอ

นายสุรนาถ ทวีทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีบี ทราเวล เอเจนซี่ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทดำเนินกิจการนำเที่ยวในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงมานาน ล่าสุดได้ขยายกิจการไปสู่การเปิดร้านอาหาร กาแฟ และเครื่องดื่ม ติดกับถนนอาร์สามเอเชื่อม อ.เชียงของ จ.เชียงราย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ตั้งอยู่ที่บ้านนาลือ เมืองหลวงน้ำทา แขวงหลวงน้ำทา ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 12 ไร่ ใช้เงินลงทุน 2,000 ล้านกีบ หรือประมาณ 8 ล้านบาท โดยเป็นกิจการร้านอาหารแห่งที่ 2 ในแขวงหลวงน้ำทา หลังจากเปิดร้านเฮือนลาวเมื่อ 5 ปีก่อนซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี

การเข้าไปลงทุนบนถนนอาร์สามเอในแขวงหลวงน้ำทา เพราะเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างไทย-สปป.ลาว-จีน และเชื่อมไปยังบ้านนาเตย-เดียนเบียนฟู ประเทศเวียดนามได้อีกด้วย ซึ่งเส้นทางนี้เป็นทางผ่านที่สำคัญ โดยมีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและจีนตอนใต้ หรือเขตปกครองสิบสองปันนา มณฑลยูนนาน แวะพักก่อนเดินทางไปมาระหว่างสองประเทศ และที่สำคัญ เพื่อรองรับการเปิดใช้สะพานข้ามแม่น้ำโขงเชียงของอีกด้วย

นักท่องเที่ยวจีนทะลักเชียงราย

นางเฉิน หวินย่า ประธาน บริษัท หยิ้นต๋า จำกัด เอเย่นต์ทัวร์จีนผ่านถนนอาร์สามเอ กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา นักท่องเที่ยวจีนนิยมเดินทางผ่านถนนอาร์สามเอมายัง จ.เชียงราย ปีละกว่า 25,000 คน แต่ถือว่ายังมีปริมาณน้อย เพราะทางการจีนต้องการให้คนจีนเดินทางลงมาท่องเที่ยวตามเส้นทางนี้ให้มากขึ้น สาเหตุสำคัญเพราะปัญหาเรื่องการเดินทางที่ไม่มีสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อมไทย-สปป.ลาว ทำให้ต้องนำรถยนต์ข้ามแพขนานยนต์เข้าสู่ อ.เชียงของ ดังนั้น หากสะพานเปิดใช้อย่างเป็นทางการก็จะทำให้การเดินทางสะดวกมากขึ้น คาดว่านักท่องเที่ยวจะทะลักลงมาเป็นจำนวนมากแน่นอน โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อยปีละ 10%

"นักท่องเที่ยวจีนที่เดินทางผ่านเส้นทางนี้ นิยมไปเที่ยวทั้งใน จ.เชียงราย และเดินทางต่อไปยัง จ.เชียงใหม่ ภูเก็ต หรือชายทะเลภาคตะวันออกของไทย เช่น ระยอง จันทบุรี ฯลฯ โดยมีทั้งการนำรถเดินทางมาเอง และใช้บริการบริษัททัวร์" นางเฉินกล่าว

ค้าชายแดนพุ่ง 1.2 หมื่นล้าน

นอกจากธุรกิจการท่องเที่ยวจะได้รับอานิสงส์จากการเปิดใช้สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 นี้แล้ว การค้าชายแดนก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน ข้อมูลจากด่านศุลกากรเชียงของระบุว่า ในปี 2554 มีการนำเข้า 2,268 ล้านบาท ส่งออก 5,931 ล้านบาท ปี 2555 มูลค่าการนำเข้า 3,071 ล้านบาท ส่งออก 9,453 ล้านบาท ในช่วงปีงบประมาณ 2556 (ตุลาคม 2555-มิถุนายน 2556) มีมูลค่าการค้ารวมมากกว่า 12,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 30% สินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าพืชผัก เครื่องจักร รถยนต์ ฯลฯ ส่วนสินค้าส่งออก ส่วนใหญ่เป็นน้ำมันเชื้อเพลิง สินค้าอุปโภคบริโภค ฯลฯ

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในส่วนของการลงทุนใหม่นั้น มีทั้งเอกชนไทยและต่างชาติหลายรายเข้าไปลงทุนอย่างคึกคักที่ อ.เชียงของ อาทิ เทสโก้ โลตัส โครงการเชียงของเมืองใหม่ของกลุ่มทุนบริษัท

เกรทเทสท์ โลจิสติกส์ และบริษัท อภิพัฒนกิจ จำกัด ซึ่งได้เข้าไปลงทุนอาคารพาณิชย์และตลาดการค้าครบวงจร บนเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่ ติดถนนทางไปสะพานหน้าอาคารด่านพรมแดนฝั่งไทย และยังมีนักลงทุนรายย่อยเข้าไปจับจองที่ดินสร้างอาคารพาณิชย์ อพาร์ตเมนต์ หอพัก ฯลฯ

สำหรับการลงทุนภาครัฐนั้น การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ได้เข้าไปสำรวจพื้นที่ อ.เชียงของ เพื่อเตรียมก่อตั้งนิคมอุตสาหกรรมบริเวณตำบลศรีดอนชัย ห่างจากสะพานประมาณ 5 กิโลเมตรติดถนนสายเชียงของ-เชียงราย พื้นที่ประมาณ 16,000 ไร่

นอกจากนี้ อำเภอเชียงของได้เสนอของบประมาณปี 2557 วงเงิน 170 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างศูนย์ราชการแห่งใหม่ ที่บ้านตอง ตำบลครึ่ง เนื้อที่ประมาณ 200 ไร่

ขณะที่บิ๊กโปรเจ็กต์ในฝั่งเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว กลุ่มทุนไทยนำโดย ดร.สิชา สิงห์สมบุญ ในนามบริษัทเอเอซี กรุ๊ป เจ้าของโครงการนาคราชนคร ซึ่งได้เข้าไปเช่าพื้นที่จากรัฐบาล สปป.ลาว ระยะเวลา 80 ปี เนื้อที่ 1,200 ไร่ติดกับคอสะพาน ยังคงเดินหน้าก่อสร้างโครงการอย่างคึกคัก ทั้งโรงแรม รีสอร์ต พื้นที่เกษตร อาคารพาณิชย์ เขตปลอดภาษีหรือดิวตี้ฟรีโซน สถานเอ็นเตอร์เทนเมนต์ รวมทั้งระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ การเปิดใช้สะพานข้ามโขงเชียงของ จะเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของเศรษฐกิจเมืองเชียงรายและประเทศไทยในเร็ววันนี้
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #658 เมื่อ: วันที่ 24 ธันวาคม 2013, 19:59:38 »

"โกลบอลเฮ้าส์"ลับ-ลวง-พรางธุรกิจค้าวัสดุ ปีหน้าบุก12ทำเลเหนือจดใต้-ปั๊มยอด2หมื่นล.

Prev1 of 1Next
คลิกภาพเพื่อขยาย
updated: 24 ธ.ค. 2556 เวลา 18:16:41 น.
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ฟ้าฝนไม่เป็นใจ "โกลบอลเฮ้าส์" เลื่อนเปิดสาขา 5 แห่ง ขยับไปตัดริบบิ้นไตรมาส 1/57 แทน ปีหน้าทุ่มเม็ดเงิน 3.6 พันล้าน ขยายพรึ่บพรั่บ 12 สาขาทั่วไทย ประเดิมบุกภาคใต้ 2 สาขา "สุราษฎร์ฯ-เมืองคอน" ตั้งศูนย์กระจายสินค้า อ.วังน้อย พระนครศรีอยุธยา แผนธุรกิจขอโตเบาะ ๆ 30% ทะลุ 2 หมื่นล้านบาท ควบคู่งัดแผนลงทุนประกบคู่แข่งตามตะเข็บจังหวัดชายแดนรอดักกำลังซื้อเออีซี

นายวิทูร สุริยวนากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบธุรกิจโมเดิร์นเทรดค้าวัสดุ "โกลบอลเฮ้าส์" เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า บริษัทตัดสินใจเลื่อนเปิดสาขาใหม่ 5 แห่ง จากกำหนดเดิมจะเปิดปลายปีนี้เลื่อนเป็นไตรมาสแรกปี 2557 ได้แก่ สาขาบ้านตาด จ.อุดรธานี, สาขาใน จ.ลพบุรี เพชรบูรณ์ จันทบุรี และตราด เนื่องจากการก่อสร้างล่าช้า เพราะก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบจากพายุเข้า มีฝนตกหนักต่อเนื่องในพื้นที่ก่อสร้าง



การปรับแผนธุรกิจดังกล่าว ส่งผลให้การเปิดสาขาใหม่ปีนี้ลดลงเหลือ 8 แห่ง จากแผนเดิม 13 แห่ง ล่าสุดเพิ่งเปิดบริการสาขาที่ 8 จ.อุบลราชธานี วันที่ 21 ธันวาคม 2556

สำหรับแผนธุรกิจปี 2557 บริษัทเตรียมขยายสาขาเพิ่มอีก 12 แห่งทั่วประเทศ ใช้เงินลงทุนรวมกว่า 3,600 ล้านบาท ขณะนี้จัดซื้อที่ดินครบหมดแล้ว คาดว่าจะเริ่มทยอยเปิดบริการได้ในช่วงต้นไตรมาส 2 สาขาแรกอยู่ใน จ.บุรีรัมย์ ตามด้วย จ.หนองบัวลำภู

"ไฮไลต์แผนลงทุนปีหน้าคือการขยายสาขาลงภาคใต้เป็นครั้งแรก ได้แก่ สุราษฎร์ธานีกับนครศรีธรรมราช จะก่อสร้างไปพร้อมกัน นอกจากนี้ บริษัทใช้งบฯลงทุนกว่า 300 ล้านบาท เปิดศูนย์กระจายสินค้าที่ อ.วังน้อย พระนครศรีอยุธยา ช่วงปลายไตรมาส 2 หรืออย่างช้าต้นไตรมาส 3 เพื่อเสริมศักยภาพการกระจายสินค้าและระบบโลจิสติกส์ไปยังสาขาต่างจังหวัดทั่วประเทศ"

นายวิทูรกล่าวต่อว่า ปีนี้คาดว่าจะมียอดขายกว่า 15,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 40% ส่วนปี 2557 บริษัทยังลงทุนต่อเนื่อง มีเป้าหมายเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% คิดเป็นยอดขายกว่า 20,000 ล้านบาท มาจากการเปิดสาขาใหม่ และเพิ่มยอดขายในสาขาเดิมอีก 6-7%

ขณะที่แผนธุรกิจระยะกลาง 2-3 ปี บริษัทจะเพิ่มสัดส่วนสินค้าเฮ้าส์แบรนด์หรือสินค้าที่ผลิตภายใต้แบรนด์ตัวเองมากขึ้น เช่น อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ เครื่องมือช่าง อุปกรณ์ประกอบ จากปัจจุบันมีสัดส่วน 10% ตั้งเป้าภายใน 2-3 ปีนับจากนี้จะเพิ่มสัดส่วนเป็น 15% โดยปีหน้าการแข่งขันน่าจะรุนแรงขึ้น เนื่องจากผู้เล่นรายอื่นๆ เช่น ไทวัสดุ เมกาโฮม ฯลฯ เร่งขยายสาขากันหมด บริษัทจึงเริ่มศึกษาโมเดลการขยายสาขาในรูปแบบอื่นๆ ทั้งร้านที่มีขนาดเล็ก-ใหญ่ขึ้น จากปัจจุบันร้านโกลบอลเฮ้าส์มีพื้นที่ประมาณ 2 หมื่นตารางเมตร บนที่ดิน 25-30 ไร่

ส่วนการลงทุนในต่างประเทศเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558 ขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาโอกาสและลู่ทางในการลงทุน โดยสนใจประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งสหภาพเมียนมาร์ เวียดนาม สปป.ลาว กัมพูชา และอินโดนีเซีย

ทั้งนี้ มองว่าตลาดการค้าชายแดนน่าสนใจมาก โดยเฉพาะ สปป.ลาวและกัมพูชา เนื่องจากมีกำลังซื้อหลักมาจากกลุ่มผู้ประกอบการส่งออกสินค้าเกษตรมาประเทศไทย ประกอบกับทั้ง 2 ประเทศอยู่ระหว่างการพัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐาน ส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่าขณะนี้จะยังไม่เห็นปริมาณการซื้อสินค้าลอตใหญ่ แต่แนวโน้มในอนาคตมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ปัจจุบันโกลบอลเฮ้าส์มีสาขาในจังหวัดชายแดน 3 แห่ง ได้แก่ มุกดาหาร นครพนม และหนองคาย รวมถึงมีที่ดินในจังหวัดเชียงรายที่เพิ่งซื้อเข้ามาปีนี้ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างอาคารภายในปี 2557 แล้วเสร็จช่วงปลายปีหรือต้นปี 2558 กลุ่มลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ยังเป็นลูกค้ารายย่อยที่ข้ามฝั่งมาซื้อสินค้าไปใช้เอง ส่วนกลุ่มร้านค้าช่วง (ยี่ปั๊ว-ซาปั๊ว)พอมีบ้าง

นายวิทูรกล่าวเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ขณะนี้ภาคธุรกิจมีความกังวลเรื่องความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีแรก 2557 จากยุบสภา แต่มองว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ยังมีแรงเหวี่ยงที่เป็นปัจจัยบวกส่งผลไปถึงปีหน้า รวมทั้งถึงแม้จะไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ หรือยังไม่มีการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ภาครัฐก็ตาม แต่ยังมีงบประมาณประจำปีสำหรับพัฒนาประเทศอีก 3-4 แสนล้านบาท ซึ่งคาดว่าไหลเข้าสู่ระบบในช่วงไตรมาส 2/57 ส่วนทิศทางเศรษฐกิจครึ่งปีหลังยังต้องจับตาดูในหลายส่วน เช่น การส่งออก อัตราจ้างงาน ฯลฯ
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #659 เมื่อ: วันที่ 24 ธันวาคม 2013, 20:00:01 »

   

ประเทศไทยในช่วงก่อนการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน - ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--24 ธ.ค.--คอลลิเออร์ส

          ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในช่วงปลายปีพ.ศ.2558 ซึ่งรัฐบาลและเอกชนต่างคาดว่าประเทศไทยจะได้รับประโยชน์จากการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในครั้งนี้เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ในตำแหน่งศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียนตอนบน (ลาวกัมพูชาเมียนมาร์และเวียดนาม)ซึ่งน่าจะมีความสำคัญมากขึ้นหลังจากเข้าสู่AEC ในปีพ.ศ.2558 โดยเฉพาะเรื่องของการทำธุรกิจการค้าการท่องเที่ยวและธุรกิจอื่นๆที่เกี่ยวข้องกันจังหวัดตามแนวชายแดนสำคัญและจังหวัดเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในทุกภาคของประเทศไทยขยายตัวมากขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยก็มีการขยายตัวอย่างเห็นได้ชัดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

          สุรเชษฐกองชีพรองผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยคอลลิเออร์สอินเตอร์เนชั่นแนลประเทศไทยได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า“กรุงเทพมหานครและจังหวัดข้างเคียงจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องต่อไปในอนาคตเพราะว่ากรุงเทพฯเป็นศูนย์กลางการลงทุนและการทำธุรกิจส่วนใหญ่ของประเทศไทย”

          ตลาดอาคารสำนักงานกลับมามีความน่าสนใจมากขึ้นหลังจากที่มีการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากในช่วงระหว่างปีพ.ศ.2554 - 2556
          “อัตราการเช่าเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง1 – 2 ปีที่ผ่านมาค่าเช่าเองก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะอาคารสำนักงานเกรดA ในพื้นที่ศูนย์กลางเขตธุรกิจ (CBD) โดยบางอาคารมีค่าเช่ามากกว่า800 บาทต่อตารางเมตรเพราะว่าในพื้นที่ศูนย์กลางเขตธุรกิจ (CBD) อุปทานพื้นที่อาคารสำนักงานมีจำกัดในขณะที่ความต้องการจากบริษัทในประเทศไทยและต่างชาติมีมากขึ้นอัตราการเช่าเฉลี่ยของอาคารสำนักงานเกรดA เพพิ่มขึ้นมากกว่า12% จากปีพ.ศ.2553” สุรเชษฐกล่าว

          แบรนด์สินค้าต่างชาติต่างก็มองหาลู่ทางในการเปิดร้านหรือขยายสาขาในศูนย์การค้าในกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่นๆดังนั้นตลาดพื้นที่ค้าปลีกมีความน่าสนใจและน่าดึงดูดมากกว่าช่วงหลายปีก่อนหน้านี้
          “แม้ว่าคอมมูนิตี้มอลล์จะยังคงเป็นรูปแบบพื้นที่ค้าปลีกที่มีความเคลื่อนไหวมากที่สุดในธุรกิจพื้นที่ค้าปลีกแต่ยังมีศูนย์การค้าหลายแห่งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและบางแห่งจะมีผลกระทบต่อตลาดพื้นที่ค้าปลีกเมื่อเปิดให้บริการพื้นที่ที่มีที่อยู่อาศัยหนาแน่นมากได้กลายเป็นทำเลที่มีการพัฒนาโครงการพื้นที่ค้าปลีกมากขึ้นโครงการศูนย์การค้าขนาดใหญ่หลายโครงการเริ่มการพัฒนาโครงการใมนพื้นที่เหล่านี้แล้วเช่นโครงการเซ็นทรัลเวสต์เกทเมกาบางใหญ่และเมการังสิตนอกจากนี้จังหวัดตามแนวชายแดนและจังหวัดท่องเที่ยวบางจังหวัดทั่วประเทศไทยก็ได้กลายเป็นเป้าหมายใหม่ในการพัฒนาโครงการพื้นที่ค้าปลีก”เขากล่าว

          ผู้ประกอบการโครงการที่อยู่อาศัยหลายรายมีการเปิดขายโครงการใหม่ในบางจังหวัดทั่วประเทศไทยโดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งนอกจากจังหวัดท่องเที่ยวและจังหวัดชายทะเลแล้วจังหวัดเชียงใหม่ขอนแก่นอุดรธานีก็ได้กลายเป็นเป้าหมายใหม่ในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม“โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายในกรุงเทพมหานครจะเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยมากขึ้นนอกจากนี้ในอีกหลายจังหวัดและโดยเฉพาะจังหวัดเศรษฐกิจสำคัญของแต่ละภาคมีโครงการคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและมีกำหนดแล้วเสร็จในช่วงระหว่างปีพ.ศ.2556 - 2558” สุรเชษฐกล่าวเพิ่มเติม
          จังหวัดขนาดใหญ่ทั่วประเทศไทยมีการขยายตัวค่อนข้างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดของแต่ละจังหวัดเพิ่มสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจากหลายปีก่อนหน้านี้รายได้ขององค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นและรายได้ต่อหัวของประชากรในพื้นที่รวมทั้งจำนวนประชากรในแต่ละจังหวัดก็เพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะในจังหวัดเศรษฐกิขนาดใหญ่นอกจากนี้รัฐบาลก็มีแผนที่จะพัฒนาระบบสาธารณูปโภคเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันของประเทศและตลาดให้มีความน่าสนใจมากขึ้น

          “หลายจังหวัดตามแนวชายแดนของประเทศไทยได้กลายเป็นเป้าหมายในการลงทุนใหม่ของนักลงทุนชาวไทยและชาวต่างชาติเพราะว่าอยู่ไม่ไกลจากเขตเศรษฐกิจพิเศษในประเทศเพื่อนบ้านที่มีชายแดนติดกันเพราะว่าระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆในประเทศอื่นๆยังคงไม่มีความพร้อมดังนั้นชาวต่างชาติจำนวนมากเลือกที่จะพักอาศัยในประเทศไทยและข้ามชายแดนไปทำงานในประเทศเพื่อนบ้านมูลค่าการค้าชายแดนระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเพิ่มสูงขึ้นโดยสถิตสูงที่สุดคือในปีพ.ศ.2555 ที่มีมูลค่าเกือบ 1 ล้านล้านบาทและอาจจะมากกว่านั้นในปีพ.ศ.2556 โดยเฉพาะในจังหวัดที่มีเส้นทางติดต่อโดยตรงกับกับประเทศเพื่อนบ้านผ่านทางสะพานมิตรภาพ”สุรเชษฐกล่าว

          “ในการเตรียมตัวเพื่อเข้าสูงAEC นั้นทุกประเทศได้มีการเปลี่ยนกฎหมายและกำระเบียบข้อบังคับต่างๆรวมทั้งมีการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานในช่วงหลายปีที่ผ่านมาหลายประเทศมีการประกาสเขตเศรษฐกิจพิเศษตามแนวชายแดนเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติซึ่งประเทศเหล่านี้ต่างก็ต้องการการลงทุนจากต่างชาติเพื่อพัฒนาและยกระดับรายได้ของประเทศตนเองซึ่งบางความเปลี่ยนแปลงนี้ได้ส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นเขตเศรษฐกิจพิเศษในลาวและเมียนมาร์รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเช่นถนนในแต่ละประเทศให้มีการเชื่อมต่อกันทั้งภูมิภาคนั้นได้ส่งผลบวกต่อประเทศไทยโดยเฉพาะจังหวัดตามแนวชายแดน”เขากล่าว

          การที่รัฐบาลมีแผนจะพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษและพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานจะช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับจังหวัดตามแนวชายแดนบางจังหวัดและจังหวัดที่อยู่ในแนวเส้นทางการพัฒนาซึ่งสุรเชษฐได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า“จังหวัดเชียงใหม่ขอนแก่นอุดรธานีนครราชสีมาอุบลราชธานีชลบุรีระยองเพชรบุรีปรจวบคีรีขันธ์นครศรีธรรมราชและสงขลาเป็นจังหวัดที่จัดอยู่ในกลุ่มที่ 1 ที่จะมีการขยายตัวต่อเนื่องต่อไปในอนาคตซึ่งการขยายตัวของจังหวัดเหล่านี้จะส่งผลให้จังหวัดขนาดเล็กที่อยู่รอบๆและจังหวัดชายแดนบางจังหวัดเช่นเชียงรายตากลำพูนราชบุรีกาญจนบุรีและหนองคายขยายตัวมากขึ้นนอกจากนี้บางจังหวัดอย่างเช่นพิษณุโลกจะมีความสำคัญมากขึ้นเพราะว่าตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ดีตามแนวเส้นทางการพัฒนาจังหวัดตามแนวชายแดนและจังหวัดเศรษฐกิจสำคัญมีความน่าสนใจมากขึ้นในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมาและจะคงความน่าสนใจต่อเนื่องไปในอนาคตแม้ว่าโครงการพัฒนาต่างๆของจากภาครัฐจะเลื่อนออกไปหรือว่าไม่เกิดขึ้นก็ตามเพราะว่าปัจจัยภายนอกประเทศอีกหลายอย่างจากประเทศเพื่อนบ้านเช่นเขตเศรษฐกิจพิเศษในลาวเมียนมาร์และกัมพูชารวมทั้งการที่บางประเทศรอบๆประเทศมีการเปิดประเทศต้อนรับนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น”

          ปัญหาทางการเมืองเป็นปัจจัยภายในเพียงอย่างเดียวที่มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศไทยและการพัฒนาของประเทศนักลงทุนชาวไทยและชาวต่างชาติรวมทั้งคนไทยต่างก็หวังว่าจะมีทางออกที่นุ่มนวลต่อทุกฝ่ายในเร็ววันนี้
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
หน้า: 1 ... 23 24 25 26 27 28 29 30 31 32 [33] 34 35 36 37 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!