เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 06:52:42
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 [25] 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 ... 37 พิมพ์
ผู้เขียน Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย  (อ่าน 439930 ครั้ง)
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #480 เมื่อ: วันที่ 03 กรกฎาคม 2012, 12:29:35 »

เชียงราย - การค้าไทย-เพื่อนบ้านผ่านชายแดนเชียงรายขยายตัวไม่หยุด ล่าสุดตั้งแต่มกราคม-พฤษภาคม 55 โตร่วม 20% แต่กลับพบ สป.จีนตั้งเงื่อนไขแปลก ปรับค่าขนคอนเทนเนอร์มังคุด-ทุเรียนไทยผ่านถนน R3a เข้าจีนตามข้อตกลง FTA ขึ้นอีกหลายเท่าตัวหน้าตาเฉย จนพ่อค้าไทยหลายรายต้องหันไปขนผ่าน R9 แทน




       
       สำนักงานพาณิชย์ จ.เชียงรายระบุว่า ตั้งแต่เดือน ม.ค.-พ.ค. 55 การค้าชายแดนด้าน จ.เชียงรายผ่านทางด่านพรมแดน อ.แม่สาย อ.เชียงแสน และ อ.เชียงของ มีมูลค่ารวมทั้งหมด 13,839.15 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้า 12,690.25 ล้านบาท ส่งออก 1,148.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 19.73% ส่วนใหญ่เป็นการค้ากับพม่า และ สปป.ลาว โดยนำเข้าจากพม่ามูลค่า 5,559.02 ล้านบาท ส่งออก 80.93 ล้านบาท นำเข้าจาก สปป.ลาว มูลค่า 5,617.98 ล้านบาท ส่งออก 333.02 ล้านบาท และส่งออกไปยังประเทศจีน 1,513.27 ล้านบาท นำเข้า 734.95 ล้านบาท
       
       สินค้านำเข้าส่วนใหญ่เป็นเครื่องจักรและอุปกรณ์จากจีน เสื้อผ้า ไม้แปรรูป สินแร่ สินค้ากสิกรรม ฯลฯ ส่วนสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค น้ำมันเชื้อเพลิง วัสดุก่อสร้าง ฯลฯ
       
       นายสงวน ซ้อนกลิ่นสกุล รองประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า ตอนนี้การค้าชายแดนผ่านทางด้าน จ.เชียงรายสะดวกมากขึ้นเพราะมีเส้นทางคมนาคมให้เลือกหลากหลายโดยเฉพาะถนน R3a ไทย-สปป.ลาว-จีน ระยะทางประมาณ 245 กิโลเมตร ทำให้ที่ผ่านมาเมื่อมีปัญหาการเดินเรือแม่น้ำโขงไทย-จีน ก็มีการใช้เส้นทางนี้อย่างคึกคัก แต่ล่าสุดก็มีปัญหาเช่นกัน คือ ทางการจีนเพิ่มค่าธรรมเนียมตู้คอนเทนเนอร์สินค้าประเภทผลไม้ที่ส่งไปจากประเทศไทย ทั้งมังคุด ทุเรียน ลำไย ฯลฯ ที่มีภาษี 0% ตามข้อตกลงการค้าเสรี หรือ FTA ไทย-จีน ส่วนสินค้าจีนเป็นประเภทองุ่น ดอกไม้ ฯลฯ
       
       แหล่งข่าวจากชายแดนระบุว่า สินค้าที่จะเข้าออกจีนจะต้องผ่านด่านบ่อเต็น-บ่อหาน มณฑลหยุนหนัน ชายแดน สปป.ลาว-จีนตอนใต้ บนถนน R3a นั้น จีนได้ปรับค่าธรรมเนียมเพิ่มเป็นกว่า 100,000 บาท จากเดิมเก็บตู้ละ 20,000-30,000 บาท โดยเน้นไปที่ตู้บรรทุกมังคุดและทุเรียนเป็นหลัก แต่สินค้าอื่นๆ เช่น ลำไย กล้วย ฯลฯ ยังคงส่งออกได้ในราคาปกติ ด้วยเหตุนี้ผู้ประกอบการอาจจะโยกย้ายเส้นทางส่งสินค้าผ่านทาง R9 ไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม และนำเข้าจีนทางมณฑลกวางสีที่ยังคงใช้อัตราค่าธรรมเนียมเท่าเดิมอยู่ ซึ่งกระจายสินค้าเข้าไปยังตลาดจีนได้เช่นกัน รวมทั้งส่งไปยังมณฑลหยุนหนันได้อีกด้วย
       
       อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมแล้วถือว่าการนำเข้าและส่งออกบนถนน R3a ยังคงคึกคัก แม้จะเกิดอุปสรรคบ้าง แต่บรรดาผู้ประกอบการขนส่งสินค้าบนถนนสายนี้เกือบทุกราย ต่างมีการเพิ่มรถและตู้คอนเทนเนอร์ พร้อมๆ กับการส่งออก-นำเข้าสินค้าประเภทอื่นๆ โดยเฉพาะประเภทวัตถุดิบเพื่อผลิตแคลเซียมในยาสีฟัน ซึ่งกำลังเป็นตลาดใหม่ที่มีการนำเข้าอย่างคึกคัก
       
       นอกจากนี้ การก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อม อ.เชียงของ-เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว-ถนน R3a ซึ่งสร้างมาได้นานประมาณ 1 ปีแล้ว โดยกำหนดการจะแล้วเสร็จปี 2556 ก็พบว่าคืบหน้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยจากเดิมที่คาดว่าจะล่าช้าก็มีข่าววงในว่าเอกชนจะก่อสร้างเฉพาะตัวสะพานเพื่อเปิดใช้งานได้ในวันที่ 12 ธ.ค. 55 หรือตรงกับเลขวันที่ 12 เดือน 12 ปี 2012 แต่กรณีอาคารด่านพรมแดนทั้งฝั่งไทยและ สปป.ลาว และถนนรองรับอาจจะเสร็จช้ากว่าตัวสะพาน
       
       ล่าสุดสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร กระทรวงคมนาคม (สนข.) ก็กำลังหาสถานที่เพื่อก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าเนื้อที่ 280 ไร่รองรับตัวสะพาน และบริษัทที่ปรึกษาของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ซึ่งศึกษาเส้นทางรถไฟสายเด่นชัย จ.แพร่-เชียงราย-เชียงของ ก็ได้เข้าไปดูพื้นที่อย่างละเอียด โดยมีการกำหนดสถานที่ที่เส้นทางจะผ่านตามจุดต่างๆ เอาไว้เรียบร้อย หลังจากมีการรับฟังความเห็นจากฝ่ายต่างฯ ไปแล้วในเดือนมิถุนายน 55 ที่โรงแรมริมกกรีสอร์ตเชียงราย และ 27 มิ.ย. 55 ก็เปิดเวทีรับฟังความเห็นครั้งสุดท้ายที่กรุงเทพฯ ไปแล้ว
       
       โดยจะเป็นรถไฟรางคู่กว้าง 1 เมตรไปกลับ ไม่ต้องสลับราง ขณะที่เส้นทางยังคงเป็นเหมือนเดิมจาก อ.เด่นชัย จ.แพร่ ตรงไปยังสถานีที่ อ.เวียงชัย จ.เชียงราย เวียงเชียงรุ้ง เลี้ยวขวาไป อ.เชียงของ และมีจุดเชื่อมที่สามารถต่อไปยังท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน ได้อีกด้วย
       
       แต่โครงการนี้ก็ต้องขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาล เพราะคาดการณ์กันว่าต้องใช้งบประมาณหลายหมื่นล้านบาท

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=955000008069
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #481 เมื่อ: วันที่ 04 กรกฎาคม 2012, 07:33:51 »

มรช.ร่วมมหาวิทยาลัยภูมิภาคลุ่มน้ำโขงรับอาเซียน

วันที่ 04 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ผศ.ดร.มาณพ ภาษิตวิไลธรรม อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงรายเปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย (มรช.) นอกจากจะมีบทบาทในการผลิตบัณฑิต และบริการการศึกษาเพื่อพัฒนาท้องถิ่นแล้ว ยังมีการประสานงานติดต่อกับมหา วิทยาลัยในต่างประเทศ โดยเฉพาะในเขตภูมิภาคลุ่มน้ำโขง มีการแลกเปลี่ยนนักศึกษา เปิดสอนหลักสูตรภาษาไทย-ภาษาจีน แลกเปลี่ยนอาจารย์ การทำศึกษาวิจัย การผลิตบัณฑิตระดับปริญญาตรี โท และเอกร่วมกัน เชื่อว่าจะเป็นผลดีต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์พร้อมสู่ประชาคมอาเซียน



อธิการบดี มรช. กล่าวว่า สำหรับมหาวิทยาลัยและวิทยาลัยที่มรช. ร่วมมือในการผลิตบัณฑิตสาขาต่างๆ ได้แก่ สถาบันการศึกษาในมณฑลยูนนาน จีน 9 แห่ง ประกอบด้วย สถาบันอาชีวศึกษาและเทคโนโลยีสิบสองปันนา, วิทยาลัยอาชีวศึกษาซือเหมา, มหาวิทยาลัยครุศาสตร์ซือเหมา, มหาวิทยาลัยครุศาสตร์วี่ซี, มหาวิทยาลัยต้าลี่, มหาวิทยาลัยครุศาสตร์ฉู่ฉง, วิทยาลัยทรัพยากรที่ดินแห่งมณฑลยูนนาน, มหาวิทยาลัยชนชาติแห่งมณฑลยูนนาน และมหาวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์แห่งมณฑลยูนนาน นอกจากนี้ ยังมีสถาบันการศึกษาในมณฑลกว่างซี 5 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยชนชาติแห่งมณฑลปกครองตนเองกว่างซีจ้วง, วิทยาลัยแห่งเมืองหนานหนิง, วิทยาลัยพลศึกษาแห่งมณฑลกว่างซี, วิทยาลัยศิลปะแห่งมณฑลกว่างซี และมหาวิทยาลัยเหอฉือ สถาบันการศึกษาในมณฑลเสฉวน 1 แห่ง คือมหาวิทยาลัยคมนาคมแห่งภาคตะวันตกเฉียงใต้ สถาบันการศึกษาในมณฑลเหอเป่ย 1 แห่ง คือมหาวิทยาลัยครุศาสตร์ถางชาน และสถาบันการศึกษาในกรุงปักกิ่ง 1 แห่ง คือมหาวิทยาลัยประชาชาติแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ส่วนสถาบันการศึกษาในลาว จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ วิทยาลัยครูหลวงพระบาง, วิทยาลัยครูหลวงน้ำทา และวิทยาลัยประชาบัณฑิต

หน้า 23

http://www.khaosod.co.th
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #482 เมื่อ: วันที่ 04 กรกฎาคม 2012, 18:33:30 »

ทุ่มอีก 580 ล้านสร้างแนวกั้นตลิ่งน้ำโขงเชียงแสน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   4 กรกฎาคม 2555 11:51 น.

เชียงราย - โยธาฯ จัดให้อีก 580 ล้านทุ่มสร้างแนวเขื่อนกันตลิ่งน้ำโขงตั้งแต่สามเหลี่ยมทองคำลงมาทางอำเภอเชียงแสน หลังนายทุนจีนสร้างแนวเขื่อนริมน้ำโขงฝั่ง สปป.ลาว จนกระแสน้ำโขงเปลี่ยนแปลง หวั่นกระทบแนวเขตไทย
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงรายแจ้งว่า ขณะนี้กรมโยธาธิการและผังเมือง และ จ.เชียงรายได้มีการระดมกำลังคนและเครื่องจักรอุปกรณ์เข้าไปก่อสร้างแนวกั้น หรือเขื่อนป้องกันตลิ่งแม่น้ำโขง ชายแดนไทย-สปป.ลาว ตั้งแต่บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ บ้านสบรวก ม.1 ต.เวียง อ.เชียงแสน ไปยังเขตเทศบาล ต.เวียงเชียงแสน เป็นระยะทางไกลหลายกิโลเมตร เนื่องจากเคยประสบปัญหาการพังทลายอันเกิดจากแม่น้ำโขงกัดเซาะโดยเฉพาะช่วงฤดูน้ำหลาก ขณะที่ในฝั่งเมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาวนั้น ก็พบทางโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษที่กลุ่มทุนเข้าไปเช่าพื้นที่พัฒนา มีการก่อสร้างเขื่อนเป็นถนนตลอดแนวตั้งแต่สามเหลี่ยมทองคำ เป็นระยะทางหลายกิโลเมตรอย่างรวดเร็วแล้ว
       
       ทั้งนี้ หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์กันมาโดยตลอดว่า หากฝั่งใดก่อสร้างเป็นเขื่อนกั้นดังกล่าว ก็จะส่งผลทำให้กระแสน้ำพัดแรงไปอีกฝั่งหนึ่ง
       
       นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย กล่าวว่า ปัญหาการพังทลายของตลิ่งแม่น้ำโขงมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยเฉพาะฤดูฝน ซึ่งระดับน้ำขึ้นสูงและเชี่ยวกราก ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพังอย่างเร่งด่วน แต่ด้วยระยะทางริมตลิ่งที่ยาวหลายกิโลเมตร จึงทำให้ต้องมีการใช้งบประมาณจำนวนมาก ทำให้ลำพังทางจังหวัด และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไม่สามารถเข้าไปดำเนินการได้ทันที
       
       นายธานินทร์กล่าวอีกว่า ล่าสุดทางกรมโยธาธิการและผังเมืองได้มีการจัดสรรงบประมาณในการจัดสร้างเขื่อนกันตลิ่งพังในพื้นที่เชียงราย จำนวนประมาณ 580 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพังรวมระยะทางประมาณ 5,800 เมตร โดยเร่งลงมือก่อสร้างมาตั้งแต่ฤดูแล้ง และปัจจุบันก็มีการทำแนวและถมดินแล้วเสร็จแล้วบางส่วน
       
       ทั้งนี้ โครงการมีกำหนดจะสร้างเสร็จในปี 2557 นี้ โดยช่วงนี้ยังคงเร่งสร้างเป็นแนวดินขึ้นมาก่อนเพื่อรองรับระดับน้ำที่กำลังจะเพิ่มขึ้นในฤดูฝนนี้ และหากโครงการแล้วเสร็จเชื่อว่านอกจากเป็นเขื่อนกันตลิ่งน้ำโขงพังแล้ว ยังจะสามารถใช้สันเขื่อนซึ่งออกแบบเป็นแนวถนนขนานไปกับแม่น้ำ เป็นจุดชมวิวและออกกำลังกายของประชาชนและนักท่องเที่ยวได้อีกด้วย

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000081724
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #483 เมื่อ: วันที่ 05 กรกฎาคม 2012, 21:34:23 »

ที่ดินริมโขงบูม ทุนท้องถิ่นตื่นผุดพลาซา-โรงแรมตรึม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   5 กรกฎาคม 2555 10:46 น.   

   


       เชียงราย - ที่ดินชายแดนเชียงแสนเริ่มบูม โดยเฉพาะพื้นที่ริมน้ำโขง นักลงทุนแห่ผุดโครงการตรึม รอรับผลจากการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมทั้งในประเทศ และเพื่อนบ้าน
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงรายแจ้งว่า ขณะนี้มีกลุ่มทุนต่างๆ ทยอยเข้าปักหลักลงทุนพัฒนาพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำโขงชายแดนไทย-สปป.ลาวมากขึ้น รองรับผลการพัฒนาระบบคมนาคมต่างๆ ทั้งกรณีที่กระทรวงคมนาคมได้ก่อสร้างถนนโครงข่ายไปสู่ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสน แห่งที่ 2 และสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ รวมทั้งถนนสี่ช่องจราจรเชียงแสน-แม่จัน และเชียงราย-เชียงของ นอกจากนี้ยังมีความร่วมมือระหว่างประเทศอื่นๆ เช่น กลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง หรือจีเอ็มเอส ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ฯลฯ



       ขณะที่กลุ่มทุนจีนยังคงเดินหน้าลงทุนในฝั่ง สปป.ลาว โดยกลุ่มดอกงิ้วคำได้ดำเนินโครงการ Kings Romans of Laos Asian & Tourism Development Zone โดยสร้างโรงแรม บ่อนกาสิโน เขตการค้า ท่าเรือ เขตพาณิชยกรรม อุตสาหกรรมแปรรูป พื้นที่การเกษตร ฯลฯ ที่เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว บริเวณสามเหลี่ยมทองคำซึ่งสามารถสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน
       
       นายชยกฤษณ์ นิสสัยสุข นายกเทศมนตรี ต.เวียงเชียงแสน กล่าวว่า แต่เดิมพื้นที่ชายแดนด้าน อ.เชียงแสน แม้จะเป็นจุดการค้าชายแดนที่สำคัญ แต่ก็เป็นเพียงธุรกิจค้าชายแดน หรือมีโรงแรมที่เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวเกรดสูงเข้าไปพัก ยังไม่มีกิจการที่บ่งชี้ถึงความเจริญทางเศรษฐกิจและการค้าในท้องถิ่นมากนัก แต่ขณะนี้มีปัจจัยหลายอย่างเอื้อให้เกิดการลงทุน
       
       ดังนั้น ในช่วง 1-2 ปีมานี้จึงเริ่มเห็นการลงทุนมากขึ้น เช่น โรงแรมสยามไทรแองเกิล ฯลฯ นอกจากนี้มีโรงแรม ห้องพัก อาคารพาณิชย์ขนาดเล็ก ฯลฯ เริ่มเกิดขึ้นทั้งในตัวเมืองเชียงแสน และพื้นที่ติดถนนสายแม่สาย-เชียงแสน, แม่สาย-แม่จัน, เชียงแสน-เชียงของ คาดว่าในอนาคตก็จะมีมากขึ้นตามการพัฒนาของบ้านเมือง



       นอกจากนี้ ในปัจจุบันได้มีโครงการโขงวิว พลาซ่า ของเอกชนไปตั้งเป็นพลาซาขนาดใหญ่อยู่บริเวณสามแยกบายพาสในเขต ต.เวียง ติดกับเทศบาล ต.เวียงเชียงแสนด้วย ซึ่งถือเป็นโครงการพลาซาขนาดใหญ่แห่งแรกของ อ.เชียงแสน และคาดว่าจะเป็นสัญญาณว่ากลุ่มทุนต่างๆ เริ่มขยายธุรกิจจากเดิมเกี่ยวข้องกับการค้าชายแดนและการบริการนักท่องเที่ยว ไปสู่ศูนย์การค้าซึ่งเชื่อมโยงกับการค้าและการท่องเที่ยวได้ด้วย โดยเฉพาะพลาซาดังกล่าวสามารถเชื่อมการพัฒนาเทศบาล ต.เวียงเชียงแสน กับเทศบาล ต.เวียง อ.เชียงแสน ได้เป็นอย่างดี
       
       ขณะเดียวกันท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 1 ที่เทศบาลเข้าไปดูแลเป็นท่าเรือท่องเที่ยว ก็มีเอกชนเข้าไปพัฒนาเป็นร้านค้าปลอดภาษี หรือดิวตี้ฟรีอีกด้วย
       
       ด้านนายวชิระ รัศมีจันทร์ กรรมการผู้จัดการบริษัท เคที พร็อพเพอร์ตี้ วัน จำกัด ตั้งอยู่ อ.เมือง จ.เชียงราย ซึ่งดำเนินโครงการโขงวิว พลาซ่า เปิดเผยว่า บริษัทจะลงทุนพัฒนาพื้นที่ 8 ไร่ 22 ตารางวา ตามโฉนดเลขที่ 18329 ริมติดสายแยกบายพาสเชียงแสน ม.8 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ติดแม่น้ำโขง ทำให้สามารถเห็นทิวทัศน์ของแม่น้ำโขงได้อย่างสวยงาม โดยสร้างเป็นอาคารพาณิชย์ เริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และให้แล้วเสร็จภายใน มิ.ย. 2556 เพื่อรองรับความเจริญทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในอีก 2-3 ปีข้างหน้า



       “โขงวิวพลาซ่า” แบ่งออกเป็น 3 ส่วน พื้นที่ส่วนในสุดติดแม่น้ำโขง เป็นอาคารพาณิชย์สูง 3 ชั้น ภายในประกอบด้วย 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ห้องครัว ห้องพักผ่อน ที่จอดรถ ทิวทัศน์แม่น้ำโขง ฯลฯ ด้านหน้าอาคารกว้าง 4 เมตร และลึกเข้าไปด้านหลังอีกถึง 12 เมตร เหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยหรือปรับปรุงเป็นธุรกิจได้ มีทั้งหมด 32 คูหา
       
       โครงการส่วนที่ 2 เป็นอาคารพาณิชย์ อยู่ถัดออกไปจากส่วนแรกเหมาะต่อการพาณิชยกรรม หรือค้าขาย มีขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และห้องโถงใหญ่เพื่อธุรกิจด้วย โดยอาคารแต่ละหลังจะสร้าง 9 คูหา และแยกออกจากกันตามที่กฎหมายกำหนดทุกประการ ด้านหน้าจะมีถนนกั้นไว้กว้างขวาง
       
       ส่วนที่ 3 เรียกว่า บูทให้เช่า จะอยู่ถัดจากถนนสายดังกล่าวขนานไปกับอาคารพาณิชย์ โดยจัดให้มีบูทขายสินค้ารองรับกว่า 110 บูท แต่ละบูทมีพื้นที่ขาย 3 ตารางเมตร โดยมีแนวทางจะเปิดให้จำหน่ายสินค้าพื้นเมือง สินค้าต่างประเทศ ของที่ระลึก ฯลฯ บริเวณโดยรอบจะมีลานจอดรถส่วนบุคคลได้กว่า 100 คัน รถบัสอีกกว่า 10 คัน
       
       นายวชิระบอกว่า ทางโครงการได้เปิดให้จองโดยกำหนดราคาอาคารพาณิชย์ส่วนที่ 1 และ 2 ซึ่งมีขนาดที่ดิน 19 ตารางวา และพื้นที่ใช้สอย 144 ตารางเมตร ในราคาขาย 3.5 ล้านบาท จอง 50,000 บาท ทำสัญญา 150,000 บาท และผ่อนดาวน์เดือนละ 200,000 บาท เป็นเวลา 5 เดือน รวมเงินดาวน์ 1,200,000 บาท ก็สามารถอยู่อาศัยหรือทำธุรกิจในทำเลทองติดกับแม่น้ำโขงได้ทันที ที่เหลือ 2,300,000 บาทสามารถใช้เงินกู้จากธนาคาร

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000082315
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #484 เมื่อ: วันที่ 05 กรกฎาคม 2012, 21:50:46 »

กสิกรไทยคาดมูลค่าจีดีพีในภาคขนส่งและโลจิสติกส์ขยายตัวร้อยละ 6.3-8.0 ในปี 2555


วันพฤหัสบดีที่ 05 กรกฏาคม 2012

บริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทย ออกบทวิเคราะห์ "ธุรกิจโลจิสติกส์ครึ่งหลังปี 2555: ปัจจัยบวกจากการพัฒนาเครือข่ายคมนาคมเชื่อมโยงภูมิภาค…รองรับ AEC" ตั้งแต่ต้นปี 2555 ที่ผ่านมา ธุรกิจโลจิสติกส์กลับมามีความคึกคักมากขึ้น เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของโรงงานที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม

ที่ได้กลับมาเร่งผลิตและเร่งกระจายสินค้าไปสู่มือผู้บริโภคอย่างรวดเร็ว เพื่อแก้ไขปัญหาสินค้าขาดแคลน นอกจากนี้ การเติบโตของธุรกิจโลจิสติกส์ยังได้รับปัจจัยหนุนเฉพาะของธุรกิจที่มาจากการพัฒนาระบบเครือข่ายคมนาคมเชื่อมโยงภูมิภาค โดยมีไทยเป็นศูนย์กลางที่สำคัญ สำหรับเส้นทางที่มีกิจกรรมการขนส่งที่คึกคักนั้น จะเป็นเส้นทางที่เชื่อมโยงออกสู่ประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เส้นทาง R3A ที่เชื่อมโยงไทย-ลาว-จีน เส้นทาง R8 R9 และ R12 ที่เชื่อมโยงไทย-ลาว-เวียดนาม-จีน เป็นต้น เห็นได้จากสถิติการค้าชายแดน และจำนวนรถยนต์ที่ผ่านชายแดนตามเส้นทางดังกล่าวเติบโตเพิ่มสูงขึ้น

 

ทั้งนี้ ภาครัฐมีแผนการขยายและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานโดยเฉพาะการคมนาคมทั่วประเทศ ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ให้มีความสะดวกสบาย รวดเร็วและรองรับปริมาณขนส่งระหว่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้านที่น่าจะขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นจากการรวมเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC (ASEAN Economic Community) ในปี 2558 ซึ่งการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานดังกล่าวจะช่วยเสริมโอกาสในการขยายตลาดของธุรกิจไทย รวมทั้งกระตุ้นการลงทุนในพื้นที่ที่มีเส้นทางคมนาคมตัดผ่าน นอกจากนี้ จะเป็นการลดปัญหาคอขวดที่มีอยู่ เช่น ศักยภาพในการให้บริการของท่าเรือและสนามบิน อันจะช่วยส่งเสริมประสิทธิภาพในการแข่งขันของธุรกิจไทยในด้านต่างๆได้อย่างมาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ได้วิเคราะห์ โอกาสของธุรกิจโลจิสติกส์ที่จะได้รับอานิสงส์จากการพัฒนาเครือข่ายระบบขนส่งสาธารณะ ดังนี้

โครงข่ายคมนาคมส่งเสริมศักยภาพธุรกิจโลจิสติกส์...เร่งพัฒนาสู่ศูนย์กลางโลจิสติกส์อาเซียน

การพัฒนาเส้นทางคมนาคมในประเทศได้นำพาความเจริญและส่งเสริมเศรษฐกิจในภาคต่างๆของไทย อีกทั้งประเทศไทยต้องการผลักดันบทบาทในการเป็นศูนย์กลาง (Hub) ด้านโลจิสติกส์ในภูมิภาคอาเซียน จากจุดแข็งในด้านทำเลที่ตั้งซึ่งที่เป็นเส้นทางผ่านที่เชื่อมไปถึงเกือบทุกประเทศในคาบสมุทรอินโดจีน

ด้วยความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้งเชิงยุทธศาสตร์นี้ ส่งผลให้ไทยมีบทบาทสูงในด้านโลจิสติกส์และการกระจายสินค้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศที่มีพรมแดนติดกับไทย ได้แก่ พม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซีย รวมทั้งสามารถส่งต่อไปยังประเทศข้างเคียง เช่น เวียดนามและมณฑลตอนใต้ของประเทศจีน ผ่านด่านชายแดนสำคัญที่กระจายตัวอยู่ตามขอบชายแดนในภาคต่างๆ ของไทย เห็นได้จากรายงานของด่านศุลกากรในหลายๆ จังหวัด พบว่า สถิติการค้าชายแดนของไทยมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยจังหวัดที่มีโครงข่ายคมนาคมเชื่อมโยงระหว่างภูมิภาคจะมีอัตราการขยายตัวที่โดดเด่น



แนวโน้มการค้าชายแดนยังมีโอกาสขยายตัวอีกมาก เนื่องจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและเส้นทางคมนาคมที่เชื่อมโยงถึงกันอย่างสะดวกรวดเร็วขึ้น โดยเฉพาะในบริเวณจังหวัดที่มีสะพานข้ามแม่น้ำ อาทิ จังหวัดนครพนม มุกดาหาร และหนองคาย อีกทั้งการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 อ. เชียงของ จังหวัดเชียงราย ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จในปีหน้า ซึ่งจังหวัดเหล่านี้เป็นประตูตามแนวเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจในภูมิภาค เช่น เส้นทาง R3A ที่เชื่อมการคมนาคมระหว่างประเทศ ไทย ลาว และจีน และเส้นทาง R1 R9 R12 ที่จะมีความสำคัญมากขึ้นในการขนส่งระหว่างประเทศอาเซียนตามแนวระเบียงเศรษฐกิจด้านตะวันออกและตะวันตก และเป็นเส้นทางเชื่อมต่อไปยังท่าเรือน้ำลึกทวายของพม่าในอนาคต

นอกจากโครงสร้างพื้นฐานด้านกายภาพแล้ว การผ่อนคลายกฎระเบียบด้านการคมนาคมขนส่งข้ามพรมแดน ภายใต้กรอบ AEC ก็จะยิ่งเอื้ออำนวยให้การไหลเวียนของโลจิสติกส์ในภูมิภาคมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ในช่วงครึ่งทศวรรษที่ผ่านมาธุรกิจขนส่งทางถนนเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีปริมาณการขนส่งระหว่างประเทศเติบโตเกือบสองเท่าในช่วงเวลาเพียง 2 ปี (จาก 11.2 ล้านตัน ในปี 2550 เป็น 21.3 ล้านตัน ในปี 2552) ซึ่งปัจจัยหลักมาจากการค้าชายแดนที่ปรับตัวสูงขึ้นตามโครงสร้างพื้นฐานที่อำนวยความสะดวกในการขนส่งสินค้าข้ามชายแดน

สำหรับโอกาสของธุรกิจโลจิสติกส์ของไทย จะได้รับผลดีจากความต้องการใช้บริการโลจิสติกส์ผ่านเส้นทางทางบกที่เพิ่มมากขึ้นตามการเติบโตของการค้าและการลงทุนภายใต้ AEC แต่ขณะเดียวกัน ธุรกิจโลจิสติกส์ไทยก็จำเป็นต้องเร่งปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นจากหลายๆด้าน โดยเฉพาะแรงกดดันจากการแข่งขันที่จะสูงขึ้น เมื่อต้องเผชิญคู่แข่งที่เป็นธุรกิจต่างชาติที่มีเงินทุนและเทคโนโลยีที่เพรียบพร้อม ซึ่งกลยุทธ์ในการปรับตัวอาจมีหลายแนวทาง ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับเป้าหมายทางธุรกิจและทรัพยากรของผู้ประกอบการแต่ละราย โดยแนวทางที่เป็นไปได้ เช่น การหาพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อที่จะเติมเต็มช่องว่างในการบริการให้สามารถให้บริการธุรกิจได้อย่างครบวงจรในระดับเดียวกับบริษัทต่างชาติ หรืออาจวางตำแหน่งการตลาดสร้างความชำนาญเฉพาะด้าน เพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการการบริการเฉพาะด้าน เช่น การขนส่งและจัดเก็บเคมีภัณฑ์ หรือสินค้ามีมูลค่าสูง รวมไปถึงการรับช่วงให้บริการกับบริษัทโลจิสติกส์รายใหญ่หรือบริษัทต่างชาติ

แนวโน้มธุรกิจโลจิสติกส์ในครึ่งหลัง ปี 2555

 
ธุรกิจโลจิสติกส์ในครึ่งปีหลังน่าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีแรงหนุนจากความต้องการใช้บริการขนส่งในภาคการเกษตร ก่อสร้าง และค้าปลีก ขณะเดียวกัน แม้ว่าอุปสงค์ในต่างประเทศมีแนวโน้มอ่อนแรงลง แต่ในแง่อัตราการขยายตัวก็อาจยังอยู่ในระดับที่ดี เมื่อเปรียบเทียบกับฐานที่ต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งธุรกิจประสบปัญหาอุทกภัยรุนแรง นอกจากนี้ ธุรกิจโลจิสติสก์ยังได้รับปัจจัยเสริมจากราคาน้ำมันที่อ่อนตัวลง แต่อย่างไรก็ดีธุรกิจโลจิสติกส์ก็ยังต้องเผชิญกับปัญหาค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับตัวสูงขึ้นประมาณร้อยละ 40 และการบริหารจัดการคนขับรถ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดว่า มูลค่าจีดีพีในภาคขนส่งและโลจิสติกส์ ณ ราคาปีปัจจุบัน จะมีแนวโน้มเติบโตได้ดีขึ้น โดยคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 6.3-8.0 ในปี 2555 (สูงขึ้นจากร้อยละ 4.7 ในปี 2554) และจากการที่ภาครัฐที่มีนโยบายการลงทุนในระบบคมนาคมขนส่งในภูมิภาคต่างๆ อาทิ การจัดตั้งศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า และการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำเพื่อเชื่อมต่อเส้นทางระหว่างประเทศตามแนวชายแดนที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น สะพานข้ามแม่น้ำโขง เป็นต้น ซึ่งเมื่อดำเนินการแล้วเสร็จและเปิดใช้การได้ตามแผนการที่ภาครัฐวางไว้จะสามารถช่วยประหยัดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการได้มากขึ้น

จากแผนยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ ด้านการพัฒนาลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานในปี 2555-2559 ได้เน้นลงทุนในด้านสาขาการขนส่งกว่าร้อยละ 70 และส่วนใหญ่จะเป็นในด้านการขนส่งทางบก ซึ่งจะส่งเสริมการขนส่งทางบก ที่มีอัตราส่วนกว่าร้อยละ 80 ของปริมาณการขนส่งสินค้าในประเทศทั้งหมด ประกอบกับโดยส่วนใหญ่แล้วผู้ประกอบธุรกิจโลจิสติกส์ในไทยที่เป็น SMEs เป็นสัดส่วนสูงถึง 99.9 (และเป็นขนาดเล็กถึง 99.5 ของผู้ประกอบการทั้งหมด) ซึ่งอยู่ในธุรกิจขนส่งทางรถยนต์กว่าร้อยละ 80 โดยการขนส่งผู้โดยสารทางถนนมีสัดส่วนรวมร้อยละ 59.4 และการขนส่งสินค้าทางถนนมีสัดส่วนร้อยละ 20.5 ของผู้ประกอบการในธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ทั้งหมด

หากแผนพัฒนาด้านลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศเป็นไปตามนโยบายจะมีผลต่อการปรับเปลี่ยนรูปแบบของการขนส่ง จากการใช้วิธีการขนส่งรูปแบบเดียว เช่น ใช้รถยนต์ขนส่งไปยังท่าเรือเพื่อส่งออก เปลี่ยนมาเป็นการใช้หลายรูปแบบในการขนส่ง (Intermodal Transportation) เช่น การขนส่งโดยใช้รถยนต์แล้วเปลี่ยนเป็นทางรถไฟ ซึ่งมีต้นทุนที่ต่ำกว่าไปยังท่าเรือ ซึ่งในปัจจุบันการส่งด้วยวิธีทางรถไฟยังไม่มีประสิทธิภาพพอ แต่หากได้มีการปรับปรุงและก่อสร้างเส้นทางรถไฟรางคู่และรถไฟความเร็วสูง อาจทำให้คนหันมาใช้บริการมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ต้นทุนการขนส่งต่ำลงกว่าเดิมมาก และผู้ให้บริการโลจิสติกส์ที่มีความสามารถให้บริการหลายรูปแบบดังกล่าวจะเป็นที่ต้องการมากขึ้น เพื่อตอบสนองการลดต้นทุนและปรับปรุงประสิทธิภาพในการขนส่งของภาคธุรกิจต่างๆ

เพิ่มศูนย์กระจายสินค้าในภูมิภาคต่างๆมากขึ้น ซึ่งเป็นส่วนที่สำคัญในการใช้เพื่อลดต้นทุนในการเก็บสินค้าและขนส่งสินค้า และยังช่วยตอบสนองต่อการขยายตัวของความต้องการในภูมิภาคต่างๆ ยิ่งไปกว่านั้น การขยายตัวของการค้าชายแดนจะทำให้ความต้องการสินค้าที่สูงขึ้น ซึ่งถ้ามีศูนย์กระจายสินค้าย่อยในการกระจายสินค้าในภาคต่างๆ จะช่วยให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าและความต้องการจากประเทศเพื่อนบ้านได้ แม้ว่าธุรกิจคลังสินค้าในบริเวณที่ประสบอุทกภัยชะลอตัวลง แต่โดยรวมธุรกิจให้บริการคลังสินค้ามีแนวโน้มเติบโตสูงขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่ที่ปลอดภัยจากอุทกภัย อาทิ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก

บทสรุปและข้อเสนอแนะ

ธุรกิจโลจิสติกส์มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยสนับสนุนทั้งในและต่างประเทศ โดยปัจจัยภายในประเทศ ได้รับผลบวกจากการลงทุนจากต่างประเทศ การขยายฐานการผลิตและศูนย์กระจายสินค้าสู่ภูมิภาคต่างๆ รวมทั้งการขยายตัวของความเป็นเมือง และการท่องเที่ยวที่มีความคึกคักมากขึ้น ทำให้ความต้องการใช้บริการธุรกิจโลจิสติกส์ปรับตัวสูงขึ้น อีกทั้งการสนับสนุนจากภาครัฐที่มีแผนการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานเพื่อพัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์ จะช่วยเสริมให้ระบบโลจิสติกส์มีประสิทธิภาพและช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศมากยิ่งขึ้นในอนาคต ซึ่งภาครัฐวางแผนที่จะลดต้นทุนโลจิสติกส์ลงให้เหลือร้อยละ 13 ภายในปี 2560 จากร้อยละ 15.2 ในปี 2553
 
สำหรับปัจจัยภายนอกประเทศ คาดว่ามีแรงสนับสนุนมาจากผลของการรวมตัวเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน และความร่วมมือในกรอบ ASEAN Plus กับประเทศพันธมิตรนอกอาเซียน เช่น ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน ซึ่งจะส่งเสริมการค้า การลงทุน การท่องเที่ยว ตลอดจนความร่วมมือในด้านอื่นๆ ระหว่างกันภายในภูมิภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าชายแดนที่จะเติบโตขึ้นอย่างมาก
 
ทั้งนี้ แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2555 นี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากอุปสงค์ในตลาดโลกอ่อนแรงลง จากปัญหาวิกฤตหนี้ในยูโรโซน ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและอินเดีย แต่จากอุปสงค์ภายในประเทศที่ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการผลิตในประเทศ การปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันในตลาดโลก รวมทั้งปัจจัยบวกที่มีต่อธุรกิจโลจิสติกส์ดังที่กล่าวมาข้างต้น อาจช่วยผลักดันธุรกิจโลจิสติกส์ให้เติบโตขึ้นได้อย่างต่อเนื่องในปี 2555 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ประเมินว่า มูลค่าจีดีพีในภาคขนส่งและโลจิสติกส์ในปี 2555 จะเพิ่มขึ้นเป็น 569,774-578,732 ล้านบาท หรือเติบโตร้อยละ 6.3-8.0 จาก 536,059 ล้านบาท ในปี 2554

นอกจากนี้ ในปี 2556 จะมีการเปิดเสรีสาขาบริการด้านโลจิสติกส์ ซึ่งเป็นหนึ่งในสาขาบริการที่มีการเร่งรัดเปิดเสรีภายในกรอบ AEC จากการที่จะมีการลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น เนื่องจากประเทศไทยอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่เป็นศูนย์กลางอาเซียน ดังนั้น นอกเหนือการขนส่งสินค้าระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านแล้ว ยังจะมีการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศในภูมิภาคโดยใช้เส้นทางผ่านไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะทำให้การค้าชายแดนและการค้าผ่านแดนมีแนวโน้มขยายตัวสูงนับจากนี้และหลังการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ทั้งนี้ ความร่วมมือระหว่างกันในภูมิภาคที่จะพัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์ของประเทศต่างๆ ในอาเซียน จะไม่เพียงแต่สนับสนุนการเชื่อมโยงภายในภูมิภาคในด้านการค้าเท่านั้น แต่ยังจะสนับสนุนการเชื่อมโยงของแหล่งอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว และการลงทุนในอนาคต

 
ที่มา : http://www.thanonline.com
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #485 เมื่อ: วันที่ 09 กรกฎาคม 2012, 00:15:18 »

รองอธิบดีกรมการปกครอง ชื่นชม อ.เชียงแสน - อ.เชียงของ จ.เชียงราย ที่เตรียมความพร้อมรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเต็มที่

รองอธิบดีกรมการปกครอง ชื่นชมอำเภอเชียงแสน - อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ที่เตรียมความพร้อมรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างเต็มที่ ขณะที่โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงตามแนวเศรษฐกิจเหนือ- ใต้ ขณะนี้มีความคืบหน้าไปเกือบร้อยละ 50
นายอภิชาติ เทียวพานิช รองอธิบดีกรมการปกครอง กล่าวภายหลังนำคณะสื่อมวลชนเดินทางมาศึกษาดูงานบทบาทภารกิจของฝ่ายปกครองในการส่งเสริมการค้า ชายแดน และการเตรียมความพร้อมในการรองรับประชาคมอาเซียน ในปี 2558 ในพื้นที่อำเภอเชียงแสน - อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ระหว่างวันที่ 6-8 กรกฎาคมนี้ โดยกล่าวชื่นชมทั้ง 2 อำเภอ ที่ได้เตรียมความพร้อมในหลายด้านเป็นอย่างดี ภายใต้ 3 เสาหลัก คือ ด้านสังคมและวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และความมั่นคง โดยได้บูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วนในพื้นที่ พร้อมเห็นว่าการเตรียมความพร้อมรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปี 2558 ถือเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ทั้งการทำความเข้าใจกับประชาชน การเตรียมความด้านภาษาให้กับเด็ก เยาวชน ผู้ประกอบการต่างๆ รวมทั้งข้าราชการ ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ขณะที่ ผู้ประกอบการในพื้นที่ อาทิ ผู้ประกอบการโรงแรม ต่างเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่ประชาคม อาเซียนกันอย่างเต็มที่ ส่วนเส้นทางคมนาคมขนส่งต่าง ๆ ได้เร่งดำเนินการกันอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงตามแนวเศรษฐกิจเหนือ- ใต้ (ห้วยทราย-เชียงของ ) หรือโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 ระหว่างห้วยทราย-เชียงของ เชื่อมต่อเชียงราย-คุณหมิง ผ่านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งมีความยาวรวม 630 เมตร โดยนายสันติสุข สูตรสุวรรณ วิศวกรวัสดุประจำโครงการก่อสร้างสะพานมิตรภาพแห่งที่ 4 กล่าวว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าไปเกือบร้อยละ 50 โดยโครงการดังกล่าวเป็นโครงการเพื่อเชื่อมโยงโครงข่ายคมนาคมขนส่งระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และไทย ซึ่งคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จประมาณวันที่ 12 ธันวาคมนี้ และจะเปิดอย่างเป็นทางการประมาณวันที่ 1 กรกฎาคม 2556 หากดำเนินการแล้วเสร็จจะช่วยส่งเสริมการค้าขายและการคมนาคม และช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของประชาชนได้อย่างมากมาย

    
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : ขนิษฐา ลือสัตย์ / สวท.   Rewriter : รัชฎา ตรงดี / สวท.
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th


 วันที่ข่าว : 08 กรกฎาคม 2555
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #486 เมื่อ: วันที่ 09 กรกฎาคม 2012, 07:42:20 »

ไทยพร้อมเปิด‘เอฟทีเอ’กับอียู พาณิชย์เสนอรัฐสภาอนุมัติ ตาม‘มาตรา190’เดือนสค.

วันจันทร์ ที่ 09 กรกฎาคม พ.ศ. 2555, 06.00 น.


 

กรอบการเจรจาเปิดเสรี “เอฟทีเอ” ระหว่าง “ไทย-อียู” คืบหน้า “บุญทรง”ยันเปิดเจรจาได้ก่อนสิ้นปีนี้ พร้อมเผยความพร้อมในการจัดประชุมเศรษฐกิจอาเซียน ที่เชียงราย กลางเดือนนี้

นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลไทยเตรียมเร่งรัด การเปิดการเจรจาข้อตกลงเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างประเทศไทย กับสหภาพยุโรป (อียู) โดยขณะนี้อยู่ระหว่างจัดทำกรอบการเจรจา ในเบื้องต้นได้มีการหารือกับทางอียูไปแล้ว ซึ่งทางกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จะไปหารือถึงขอบเขตในการเจรจา คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนนี้ น่าจะตกลงได้ และน่าจะเริ่มเปิดการเจรจาได้ภายในปีนี้

“การทำเอฟทีเอไทย-อียู จะทำให้ ไทยสามารถหยิบยกปัญหาด้านการค้าต่างๆ ขึ้นมาหารือในเวทีนี้ได้ เช่น กรณีที่อียูมีแนวโน้มจะยกเลิกการให้จีเอสพีกับสินค้าไทย จำนวน 57 รายการ ก็สามารถที่จะนำเจรจาได้ในกรอบเอฟทีเอ”

ด้านนางศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวว่าที่ผ่านมาไทยได้มีการหารือกับผู้แทนอียูมาแล้วหลายรอบเกี่ยวกับกรอบการเจรจาทั้งหมด ซึ่งตามขั้นตอน กระทรวงพาณิชย์ คงจะต้องเสนอ กรอบการเจรจาเอฟทีเอไทย-อียู เข้ารัฐสภา เพื่อขอความเห็นชอบตามมาตรา 190 ของกม.รัฐธรรมนูญ โดยคาดว่าน่าจะเสนอเข้าที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรที่จะเปิดสมัยประชุมได้ภายในเดือนสิงหาคมนี้ ซึ่งหากผ่านสภาฯแล้ว ก็สามารถกำหนดวัน การเปิดเจรจาได้เลย

สำหรับกรอบการเจรจาดังกล่าวได้มีการหารือร่วมกันมา 2 ปีแล้ว ซึ่ง การจะเริ่มเปิดเจรจาในปีนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากทางอียูต้องการเพิ่มความร่วมมือด้านการค้าการลงทุนในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ซึ่งเอฟทีเอสามารถเป็นเครื่องมือในการเจรจาการค้า ปัญหาทางการค้าต่างๆ ซึ่งรัฐบาลเองก็มีความตระหนักดีในเรื่องการเจรจาที่จะต้องดูแลให้ประชาชนและธุรกิจขนาดลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่จะต้องได้รับประโยชน์

สำหรับอียู ถือว่ามีความสำคัญ เพราะเป็นนักลงทุนจากต่างประเทศอันดับ 2 ของไทยและเป็นผู้ลงทุนอันดับ 1 ของอาเซียน ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า การเจรจาเอฟทีเอ อียู –สิงคโปร์ อาจจะสรุปได้ภายในปีนี้ และมาเลเซียปีหน้า ส่วนเวียดนามเพิ่งกำหนดการเจรจาไปรอบแรก

นางศรีรัตน์กล่าวเพิ่มเติมถึงการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียน (3th Meeting of the ASEAN Senior Economic Officials หรือ SEOM) ว่าไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ระหว่างวันที่ 15-20 กรกฎาคม 2555 ณ โรงแรมดุสิต ไอส์แลนด์ รีสอร์ท จ.เชียงราย โดยการประชุมจะหาข้อ สรุปในประเด็นสำคัญต่างๆ เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 44  และการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 21 ซึ่งกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพในช่วงปลายเดือนสิงหาคม และพฤศจิกายนนี้ตามลำดับ

“การประชุมในครั้งนี้จะมีการหารือทั้งประเด็นระหว่างประเทศอาเซียนเอง, อาเซียนกับประเทศที่มีความตกลงการค้าเสรีระหว่างกัน (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์) และอาเซียนกับประเทศที่มีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับอาเซียน (สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป) รวมทั้งสิ้น 18 ประเทศ และการพบหารือกับภาคธุรกิจและองค์กรอื่น (สภาธุรกิจเอเชียหรือ ADB) ด้วย

http://www.naewna.com/business/13408
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #487 เมื่อ: วันที่ 09 กรกฎาคม 2012, 23:14:32 »

ทัพเศรษฐกิจอาเซียนมุ่งสู่เชียงรายประชุมรมต.สิงหาคมนี้         

MONDAY, 09 JULY 2012 10:22
ไทยจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียน ครั้งที่ 3 ของปีนี้ รวมทั้งการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ณ จังหวัดเชียงราย  เตรียมถกหลายประเด็นสำคัญก่อนนำเสนอที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียนปลายเดือนสิงหาคม 2555 ณ ประเทศกัมพูชา

 

นางศรีรัตน์ รัษฐปานะ  อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ หัวหน้าผู้แทนไทย เปิดเผยว่า ไทยโดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจอาเซียน   (3th Meeting of the ASEAN Senior Economic Officials หรือ SEOM) ระหว่างวันที่ 15-20 กรกฎาคม 2555 ณ โรงแรมดุสิต ไอร์แลนด์ รีสอร์ท จังหวัดเชียงราย โดยการประชุมในครั้งนี้นับเป็นการประชุมครั้งสำคัญในการแก้ปัญหาและหาข้อสรุปในประเด็นสำคัญต่างๆ เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน (AEM) ครั้งที่ 44  และการประชุมผู้นำอาเซียน ครั้งที่ 21 ซึ่งกัมพูชาจะเป็นเจ้าภาพในช่วงปลายเดือนสิงหาคม และพฤศจิกายน ศกนี้ ตามลำดับ

 

การประชุมในครั้งนี้จะมีการหารือทั้งประเด็นระหว่างประเทศอาเซียนเอง  อาเซียนกับประเทศที่มีความตกลงการค้าเสรีระหว่างกัน (จีน เกาหลี ญี่ปุ่น อินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์) และอาเซียนกับประเทศที่มีแผนงานความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับอาเซียน (สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป) รวมทั้งสิ้น 18 ประเทศ และการพบหารือกับภาคธุรกิจและองค์กรอื่น (สภาธุรกิจเอเชียตะวันออก หรือ EABC กลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ในภูมิภาคอาเซียน และธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย หรือ ADB) ด้วย

 

สำหรับประเด็นหารือภายในกลุ่มอาเซียน  จะมีการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่อาวุโสด้านเศรษฐกิจของอาเซียน (SEOM) กับคณะกรรมการสาขาเศรษฐกิจต่างๆ ทุกคณะของอาเซียน (รวม 15 คณะ) ที่เกี่ยวข้องกับ 12 กระทรวงของไทยและมีผู้แทนไทยจากกระทรวงดังกล่าว  เพื่อพิจารณาหารือในภาพรวมแบบบูรณาการเกี่ยวกับแนวทางผลักดันให้เกิดความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนการจัดตั้งประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC Blueprint)  โดยพิจารณาจากรายงานการประเมินผลการดำเนินการไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในระยะครึ่งทาง (AEC Blueprint Mid-Term Review)  ซึ่งจัดทำโดยสถาบันวิจัยทางเศรษฐกิจเพื่ออาเซียนและเอเชียตะวันออก (Economic Research Institute for ASEAN and East Asia: ERIA) เพื่อประเมินความคืบหน้าและผลของการดำเนินมาตรการภายใต้แผนงาน AEC Blueprint ต่อเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก ตลอดจนเสนอแนะแนวทางสำหรับการปรับปรุงการดำเนินการไปสู่ AEC   นอกจากนี้ จะมีการหารือประเด็นอื่นๆที่สำคัญซึ่งเป็นแรงผลักดันให้การดำเนินการสู่ AEC เดินหน้าไปได้เร็วยิ่งขึ้น เช่น การพิจารณาแนวทางการปฏิรูปกฎหมายและกฎระเบียบในอาเซียน (Regulatory Reform) เพื่อให้กฎหมายของประเทศสมาชิกสอดคล้องกับสิ่งที่ผูกพันไว้  การดำเนินการเพื่อให้เกิดการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น การจัดทำความตกลงยอมรับร่วม (MRA) สำหรับสินค้าอุตสาหกรรมรายสาขา และการรับรองถิ่นกำเนิดสินค้าด้วยตนเอง (Self-certification) เป็นต้น

 

ในการหารือกับคู่เจรจาที่มี FTA กับอาเซียน  มีประเด็นสำคัญที่กำลังเป็นที่จับตามองของประชาคมโลกอยู่ในขณะนี้ คือ การขยายการรวมตัวทางเศรษฐกิจในภูมิภาค (Regional Comprehensive Economic Partnership) ซึ่งอาเซียนกำลังพิจารณาการจัดทำความตกลงการค้าเสรีฉบับใหม่ที่รวมเอาประเทศที่เคยจัดทำ FTA กับอาเซียนในลักษณะอาเซียน +1 มาร่วมกันจัดทำ FTA ฉบับใหม่   เรื่องอื่นๆที่สำคัญ ได้แก่ แนวทางการสรุปการเจรจาเปิดเสรีการค้าบริการและการลงทุนกับญี่ปุ่นและอินเดีย  การจัดทำแผนงานยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอาเซียน-ญี่ปุ่น 10 ปี   ซึ่งเป็นกรอบในการดำเนินการทางเศรษฐกิจที่สำคัญระหว่างอาเซียนและญี่ปุ่นในอีก 10 ปีข้างหน้า  และผลการศึกษาถึงผลกระทบที่มีต่ออาเซียนจากการที่ฮ่องกงขอเข้าเป็นสมาชิกความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-จีน นอกจากนี้ สำหรับคู่เจรจาที่อาเซียนไม่มี FTA ด้วย ก็จะได้มีการพิจารณาแผนงานความร่วมมือด้านการค้าและการลงทุนกับสหรัฐและสหภาพยุโรป ซึ่งครอบคลุมถึงความร่วมมือด้านวิชาการและเงินทุนด้วย

 

ในช่วงการประชุมนี้จะมีประชุมสำคัญกับประเทศนอกกลุ่มอาเซียน คือ จะมีการพบหารือกันของเจ้าหน้าที่อาวุโสทางเศรษฐกิจของอาเซียนกับเจ้าหน้าที่อาวุโสของกลุ่มประเทศสมาชิกเวทีการประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก (EAS)  ซึ่งประกอบด้วย จีน ญี่ปุ่น เกาหลี ออสเตรเลีย อินเดีย นิวซีแลนด์ รัสเซีย และสหรัฐอเมริกา  โดยเป็นครั้งแรกที่รัสเซียกับสหรัฐฯเข้าร่วมการประชุมนี้ เพื่อเตรียมแนวทางในการริเริ่มความร่วมมือระหว่างกัน และเตรียมการสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีระหว่าง AEM กับ EAS ในเดือนสิงหาคม ศกนี้  โดยอาเซียนจะหารือสองฝ่ายกับสหรัฐฯเพื่อเตรียมการจัดการประชุม ASEAN-US Business Summit ในช่วงการประชุม AEM ครั้งที่ 44 ด้วย

 

ทั้งนี้ ก่อนหน้าการประชุม SEOM กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศจะจัดการประชุมหารือโต๊ะกลม (Roundtable Discussion) กับ ERIA ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2555  เพื่อร่วมหารือเรื่องการดำเนินการในด้านต่างๆ สู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนทั้งของอาเซียนและของไทย  และร่วมกันให้ข้อเสนอแนะเพื่อให้การดำเนินการสู่ AEC เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ  โดยจะเชิญผู้แทนทั้งจากภาครัฐ เอกชน และนักวิชาการที่เชี่ยวชาญในเรื่องประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเข้าร่วมการหารือในครั้งนี้   และในช่วงบ่ายของวันเดียวกัน กรมฯจะจัดการประชุมเพื่อระดมความเห็นในเรื่องการดำเนินการตามมาตรา 190 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ซึ่งจะมีผลต่อการจัดทำความตกลง/ข้อผูกพันของไทยภายใต้กรอบอาเซียนและเวทีระหว่างประเทศอื่นๆด้วย

http://www.stockwave.in.th/hot-news/25839-2012-07-09-03-23-28.html
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #488 เมื่อ: วันที่ 09 กรกฎาคม 2012, 23:17:28 »

“R3” ถนนแห่งความมั่งคั่งของ SMEs ไทยสู่แดนมังกร"

09 ก.ค. 2555 เวลา 23:57:04 น.

ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีเอ็มบี หรือ  TMB Analytics แนะ ใช้ถนนสายยุทธ์ศาสตร์ R3 เป็นสายพานลำเลียงสินค้าผ่านด่านเชียงราย เจาะตลาดจีนตอนใต้ถึงนครคุนหมิง  กระตุ้นส่งออก SMEs ไทยไปจีน
 
ในขณะที่ตัวเลขส่งออกไทยแสดงถึงการพึ่งพาตลาดจีนเพิ่มขึ้นทุกปี แต่การบุกตลาดจีนสำหรับ SMEs ไทยนั้นกลับไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งที่การส่งออกไปจีนฟื้นตัวอย่างรวดเร็วท่ามกลางสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักของไทย โดยในช่วง 5 เดือนแรกปีนี้ มูลค่าการส่งออกไทยไปยุโรปและญี่ปุ่น ลดลงร้อยละ 9.4 และร้อยละ 2.4 แต่มูลค่าการส่งออกไปจีนกลับเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 10.9 โดยล่าสุดเดือนพฤษภาคมเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25.7 เป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 8 เดือน แสดงให้เห็นว่า เศรษฐกิจจีนแค่ชะลอตัวลงอย่างช้าๆ (Soft Landing) ตามเศรษฐกิจโลก และ น่าจะฟื้นตัวเร็ว (Quick Recovery) ได้ด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ รวมถึง
การวางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระยะยาวในภูมิภาคต่างๆ ของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายพัฒนาเมืองคุนหมิง มณฑลหยุนหนาน เป็น “หัวสะพาน” เชื่อมการค้า-คมนาคม ระหว่างจีนตอนใต้ (มณฑลหยุนหนานและกวางสี) กับเอเชียใต้(อินเดีย) และอาเซียน (ไทย เวียดนาม ลาว พม่า) โดยเปิดใช้สนามบินนานาชาติฉางสุ่ยในนครคุนหมิงที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศด้วยงบลงทุนกว่า 1.1 แสนล้านบาท รองรับผู้โดยสารกว่า 68 ล้านคนต่อปี (สุวรรณภูมิรองรับเพียง 45 ล้านคนต่อปี) พร้อมแผนก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 3 เส้นทางเชื่อมต่อเมืองคุนหมิงกับไทย พม่า และเวียดนาม และโครงข่ายถนนเชื่อมต่อจีนตอนใต้กับอาเซียน (ถนนสาย R3) โดยเข้าสู่ประเทศไทยที่จังหวัดเชียงราย
ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญสำหรับ SMEs ไทยจะสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์จากการเชื่อมโยงการค้าสู่ตลาดขนาดใหญ่และมีการเติบโตสูงในปัจจุบันและอนาคต โดย TMB Analytics เห็นว่า SMEs ไทยจะได้รับประโยชน์อย่างยิ่งจากถนนสาย R3 ทั้ง SMEs ในภาคเหนือและทั่วประเทศ
 
1. SMEs ในภาคเหนือ สามารถค้าขายกับจีนตอนใต้โดยตรง แม้ว่าปัจจุบันมูลค่าส่งออกจากไทยไปจีนตอนใต้เพียง 3.7 พันล้านบาท ซึ่งมูลค่าไม่สูงนักเมื่อเทียบกับ

มูลค่าส่งออกของไทยไปพม่าและลาวที่สูงถึง 33.5 และ 11.4 พันล้านบาท หาก SMEs ไทยสามารถใช้ประโยชน์จากถนนสาย R3 เชื่อมโยงการค้า ก็จะเพิ่มมูลค่า

ส่งออกได้อีกมหาศาล เพราะจีนตอนใต้มีประชากรถึง 92.8 ล้านคน ซึ่งมากกว่าคนไทยทั้งประเทศ โดยเฉพาะสินค้าที่ SMEs ไทยได้เปรียบในการผลิตและขายดี

ในตลาดจีน เช่น ผลิตภัณฑ์จากไม้ ผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหารแปรรูป(ข้าว ธัญพืช ผลไม้ พืชผัก และเมล็ดธัญพืช)  ซึ่ง SMEs มีความพร้อมด้านวัตถุดิบและถนัดใน

ธุรกิจด้านนี้ นอกจากถนนสาย R3 เป็นสายพานลำเลียงสินค้าสู่ตลาดที่ใหญ่ขึ้นแล้ว ยังช่วยลดต้นทุนการส่งออก โดยเฉพาะค่าขนส่ง เนื่องจากย่นระยะทางการส่งสินค้า

สู่ตลาดจีนตอนใต้ (จากเดิมต้องส่งผ่านเมืองท่าฝั่งตะวันออกของจีนก่อนแล้วจึงส่งต่อไปตลาดจีนตอนใต้) และลดระยะเวลาการขนส่งซึ่งเปิดโอกาสให้การส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของธุรกิจ SMEs ภาคเหนือง่ายขึ้น ต้นทุนบริหารจัดการลดลง ในทางกลับกัน SMEs ภาคเหนือที่นำเข้าวัตถุดิบหรือสินค้าสำเร็จรูปจากจีน ยังสามารถนำเข้าได้ง่าย เร็ว ทำให้ต้นทุนของธุรกิจต่ำลง เพิ่มกำไรและความสามารถในการแข่งขันอีกด้วย
 
2. SMEs ทั่วประเทศ ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าส่งออกไปจีนสูง คือ อุตสาหกรรมอุปกรณ์และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ (SMEs ภาคกลาง) ผลิตภัณฑ์เคมีและผลิตภัณฑ์พลาสติก (SMEs ภาคตะวันออก) มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมูลค่าส่งออก เดือนพฤษภาคมปีนี้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.2 ขณะที่ภาคการเกษตร เช่น ผลิตภัณฑ์ยางพารา (SMEs ภาคใต้) ผลิตภัณฑ์แป้งและมันสำปะหลัง (SMEs ภาคเหนือและอีสาน) ก็มีการมูลค่าส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยในเดือนพฤษภาคมปีนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.1 ดังนั้นเมื่อถนนสาย R3 แล้วเสร็จ จะทำให้ SMEs ไทยได้เปรียบคู่แข่งด้านต้นทุน-ระยะเวลาขนส่ง และสามารถส่งออกไปยังตลาดขนาดใหญ่ที่มีการเติบโตสูง ซึ่งเห็นได้จากมูลค่าสัญญาธุรกิจการค้าที่เกิดขึ้นกว่า 2.4 แสนล้านบาทจากการจัดงาน ส่งออก-นำเข้านครคุนหมิงครั้งที่ 20 (20th Kunming Fair) เมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา อีกทั้งพื้นที่จีนตอนใต้ได้เริ่มพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเข้มข้นในระยะเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทำให้การแข่งขันในตลาดยังไม่รุนแรงเท่ากับพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออกของจีน เช่น เซี่ยงไฮ้ ปักกิ่ง เทียนสิน เป็นต้น ถนนสาย R3 จึงถือเป็นสะพานลำเลียงสินค้าของ SMEs ไทยสู่ตลาดจีนตอนใต้อย่างแท้จริง และน่าจะสร้างมูลค่าส่งออกแก่ SMEs ไทยเพิ่มขึ้นได้อีกมากในอนาคต
 
ดังนั้น หากเรามีการวางกลยุทธ์ในการใช้ถนนสาย R3 รุกตลาดจีนตอนใต้ที่ชัดเจนแล้ว SMEs ไทยจะได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจากถนนสายนี้ ในฐานะของ”สะพานลำเลียงสินค้า”อย่างแท้จริง เมื่อประเทศเศรษฐกิจอันดับสองของโลกกลับมาเร่งเครื่องอีกครั้ง เพราะเศรษฐกิจแดนมังกรยังคงเติบโตต่อเนื่องไปอีกนาน
 

IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #489 เมื่อ: วันที่ 10 กรกฎาคม 2012, 20:38:42 »

กนอ.การันตีน้ำไม่ท่วมโชว์ศักยภาพดึงทุนยุ่น

นางศรีวณิก หัสดิน รองผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า กนอ.ได้ร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เดินทางไปโรดโชว์ ณ ประเทศญี่ปุ่น เพื่อฟื้นฟูความเชื่อมั่นการลงทุน โดยได้ชี้แจงถึงแผนการเตรียมพร้อมรับมืออุทกภัยปี 2555 ของนิคมอุตสาหกรรม เอกชนที่ประสบภาวะน้ำท่วม และนิคมฯ ของ กนอ.ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วม ได้มีแผนสร้างคันกันน้ำถาวรและแผนรับมือฉุกเฉินไว้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งไทย ยังได้มีการยกระดับนิคมฯ สู่เมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ และวางยุทธศาสตร์การพัฒนานิคมฯ ชายแดนเพื่อที่จะทำให้ไทยเป็นฐานการผลิตสำคัญในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในปี 2558

ทั้งนี้ กนอ.ได้นำเสนอให้นักลงทุนเล็งเห็นถึงความพร้อม ของพื้นที่การลงทุนที่มีศักยภาพ ทั้งที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวม 48 นิคมฯ และพื้นที่การพัฒนาในอนาคต ซึ่ง กนอ.อยู่ระหว่าง การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการจัดตั้งนิคมฯ ในพื้นที่ดังนี้ ด่านพุน้ำร้อน จังหวัดกาญจนบุรี อำภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย จังหวัดขอนแก่น จังหวัดอุดรธานี จังหวัดนครพนม จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดเพชรบุรี ซึ่งนิคมฯ ดังกล่าว จะเชื่อมโยงการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างมีศักยภาพเพื่อรองรับตลาด AEC

“การเดินทางไปโรดโชว์ในครั้งนี้ ได้รับเสียงตอบรับจากนักลงทุนญี่ปุ่นค่อนข้างดี โดยนักลงทุนส่วนใหญ่ยังให้ความสนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทย เนื่องจากปัจจัยทั้งในด้านความพร้อมของพื้นที่ในการเป็นประตูสู่ภูมิภาคเอเชีย เส้นทางคมนาคมขนส่งสินค้าทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ วัตถุดิบ และแรงงานที่มีฝีมือเป็นต้น” รองผู้ว่าฯ กนอ. กล่าว


http://www.siamturakij.com/home/news...s_id=413362953
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #490 เมื่อ: วันที่ 13 กรกฎาคม 2012, 18:46:41 »

ท่องเที่ยวเชียงรายเสนอทัวร์ เน้นตื่นเต้น-เร้นลับสนองทัวร์ยูนนาน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   13 กรกฎาคม 2555

เชียงราย - สมาคมท่องเที่ยวเชียงรายระดมความคิดเห็นแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวไทย-จีน-เชียงราย-ยูนนาน เน้นหาตลาดใหม่เสนอนักท่องเที่ยว ได้มติเป็นแพกเกจรูปแบบใหม่เน้นตื่นเต้น เร้นลับ แปลกประหลาด ระบุเตรียมนำเสนอให้บริษัททัวร์ยูนนาน พร้อมเชิญชวนเข้ามาทดสอบแพกเกจใหม่

เมื่อเร็วๆ นี้ สมาคมท่องเที่ยวเชียงรายได้จัดประชุมระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับ “โครงการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวไทย-จีน : เชียงราย-ยูนนาน” ณ โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์ รีสอร์ท เชียงราย โดยมี นายสรรเสริญ เงารังษี รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ด้านตลาดเอเชียและแปซิฟิกใต้ เป็นประธานในการประชุม มีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วย ผู้อำนวยการ ททท.สำนักงานคุนหมิง นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย นายกสมาคมสหพันธ์ท่องเที่ยวภาคเหนือ จ.เชียงราย เลขาธิการหอการค้า จ.เชียงราย ซึ่งทางสมาคมท่องเที่ยวเชียงรายได้นำเสนอแนวทางการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวไทยระหว่าง จ.เชียงราย-ยูนนาน

เพื่อเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวและรายได้จากการท่องเที่ยวจากจีน โดยเข้ามาทางเส้นทาง RBA ผ่าน อ.เชียงของ จ.เชียงราย และกระจายไปยังแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ทั่วประเทศไทย รวมถึงเพื่อหาแนวทางกำหนดมาตรการและมาตรฐานบริการท่องเที่ยว ในการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพและเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย

ทั้งนี้ โครงการฯ เน้นการตอบสนองความต้องการของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งสนใจการท่องเที่ยวที่ตื่นตาตื่นใจ แปลกประหลาด เร้นลับ เพื่อแสวงหาประสบการณ์ที่แปลกใหม่ สมาคมท่องเที่ยวเชียงรายได้จัดทำแพกเกจทัวร์ที่อยู่ในความสนใจของนักท่องเที่ยวจีน จำนวน 5 รายการ ซึ่งที่ประชุมมีความเห็นร่วมกันว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย

นายสรรเสริญได้มอบหมายให้ ผอ.ททท. สำนักงานคุนหมิง นำแพกเกจทัวร์ดังกล่าวไปนำเสนอและขอความคิดเห็นจากบริษัทนำเที่ยวของมณฑลยูนนานที่คุนหมิงและสิบสองปันนา เพื่อปรับปรุงให้ตรงความต้องการ พร้อมกับจะเชิญบริษัทเหล่านั้นเดินทางมาทดสอบแพกเกจที่เชียงรายต่อไป โดยคาดว่าโครงการนี้จะส่งผลให้มีการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซันนี้เป็นต้นไป

ด้านนายอภิชา ตระสินธุ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่า หากโครงการนี้ประสบความสำเร็จ จะเป็นการตอบโจทย์ที่ว่า จ.เชียงรายและประเทศไทยจะได้อะไรจากเส้นทาง R3a ได้หนึ่งข้อ ซึ่งถือว่าเป็นการเพิ่มช่องทางการตลาดและเป็นการกระจายรายได้จากการท่องเที่ยวในท้องถิ่นและในประเทศตามนโยบายของรัฐบาล รวมถึงเป็นการสร้างมาตรการและมาตรฐานการท่องเที่ยวที่มีประสิทธิภาพ และคุณภาพ
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #491 เมื่อ: วันที่ 14 กรกฎาคม 2012, 20:32:03 »

'R3'ถนนเจาะตลาดจีน

วันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2555 ปีที่ 22 ฉบับที่ 7898 ข่าวสดรายวัน


ในขณะที่ตัวเลขส่งออกไทยแสดงถึงการพึ่งพาตลาดจีนเพิ่มขึ้นทุกปี แต่การบุกตลาดจีนสำหรับเอสเอ็มอีไทยนั้นกลับไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งที่การส่งออกไปจีนฟื้นตัวอย่างรวดเร็วท่ามกลางสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าหลักของไทย



รวมถึงการวางยุทธศาสตร์เศรษฐกิจระยะยาวในภูมิภาคต่างๆ ของจีน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายพัฒนาเมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน เป็น'หัวสะพาน'เชื่อมการค้า-คมนาคม ระหว่างจีนตอนใต้ กับเอเชียใต้ (อินเดีย) และอาเซียน (ไทย เวียดนาม ลาว พม่า) โดยเปิดใช้สนามบินนานาชาติฉางสุ่ยในนครคุนหมิงที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของประเทศด้วยงบลงทุนกว่า 1.1 แสนล้านบาท รองรับผู้โดยสารกว่า 68 ล้านคนต่อปี



พร้อมแผนก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง 3 เส้นทางเชื่อมต่อเมืองคุนหมิงกับไทย พม่า และเวียดนาม และโครงข่ายถนนเชื่อมต่อจีนตอนใต้กับอาเซียน (ถนนสาย R3) เข้าสู่ประเทศไทยที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งนับเป็นก้าวสำคัญสำหรับเอสเอ็มอีไทยจะสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์



สำหรับเอสเอ็มอีในภาคเหนือ แม้ว่าปัจจุบันมูลค่าส่งออกจากไทยไปจีนตอนใต้เพียง 3,700 ล้านบาท แต่หากสามารถใช้ประโยชน์จากถนนสาย R3 เชื่อมโยงการค้า ก็จะเพิ่มมูลค่า ส่งออกได้อีกมหาศาล เพราะจีนตอนใต้มีประชากรถึง 92.8 ล้านคน โดยเฉพาะสินค้าที่เอสเอ็มอีไทยได้เปรียบในการผลิตและ ขายดีในตลาดจีน เช่น ผลิตภัณฑ์จากไม้ ผลิตภัณฑ์เกษตรและอาหารแปรรูป



นอกจากนี้ ถนนสาย R3 ยังช่วยลดต้นทุนการส่งออก โดยเฉพาะค่าขนส่ง เนื่องจากย่นระยะทางการส่งสินค้าสู่ตลาดจีนตอนใต้ จากเดิมต้องส่งผ่านเมืองท่าฝั่งตะวันออกของจีนก่อนแล้วจึงส่งต่อไปตลาดจีนตอนใต้ ในทางกลับกันการนำเข้าวัตถุดิบหรือ สินค้าสำเร็จรูปจากจีนยังนำเข้าได้ง่ายเร็ว ทำให้ต้นทุนของธุรกิจต่ำลงเพิ่มกำไรและความสามารถในการแข่งขันอีกด้วย



ส่วนเอสเอ็มอีทั่วประเทศ ซึ่งอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าส่งออกไปจีนสูง คืออุตสาหกรรมอุปกรณ์และชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ (เอสเอ็มอีภาคกลาง) ผลิตภัณฑ์เคมีและผลิตภัณฑ์พลาสติก (เอสเอ็มอีภาคตะวันออก) มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมูลค่าส่งออกเดือนพ.ค.ปีนี้ เพิ่มขึ้น 22.2%



ขณะที่ภาคการเกษตร เช่น ผลิตภัณฑ์ยางพารา (เอสเอ็มอีภาคใต้) ผลิตภัณฑ์แป้งและมันสำปะหลัง (เอสเอ็มอีภาคเหนือและอีสาน) ก็มีมูลค่าส่งออกไปจีนเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยในเดือนพ.ค.ปีนี้เพิ่มขึ้น 10.1%



ดังนั้น หากเรามีการวางกลยุทธ์ในการใช้ถนนสาย R3 รุกตลาดจีนตอนใต้ที่ชัดเจนแล้วเอสเอ็มอีไทยจะได้ประโยชน์อย่างมหาศาลจากถนนสายนี้ ในฐานะของ'สะพานลำเลียงสินค้า'อย่างแท้จริง

หน้า 9
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #492 เมื่อ: วันที่ 16 กรกฎาคม 2012, 18:59:16 »

ไฮเทคฯผุดนิคมกบันทร์บุรีหนีน้ำ


วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฏาคม 2012

นิคมฯไฮเทค หนีน้ำท่วมกำทุนกว่าพันล้าน  เปิดตัว"ไฮเทค กบินทร์ อินดัสเตรียล ปาร์ค"เขตอุตสาหกรรมแห่งใหม่ที่ปราจีนบุรี ต้นสิงหาคมนี้   พัฒนาเฟสแรก 1,100 ไร่ ต้อนนักลงทุน 50 รายลงพื้นที่ด่วน ก่อนสิทธิประโยชน์ทางภาษีจะลดลงปีหน้า   เผยส้มหล่นพื้นที่ศึกษาอีไอเอแล้ว หลังรับช่วงต่อจากกลุ่ม"เอบิโก้แลนด์"ที่เลิกกิจการไป จึงเริ่มก่อสร้างได้ทันทีปีนี้
           นายทวิช เตชะนาวากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอินดัสเตรียล เอสเตท  จำกัด ผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมไฮเทค(บ้านหว้า) จ.พระนครศรีอยุธยา  ให้สัมภาษณ์"ฐานเศรษฐกิจ"ว่าในต้นเดือนสิงหาคม2555 นี้ บริษัทจะเปิดตัวเขตอุตสาหกรรมแห่งใหม่ เป็นการลงทุนพัฒนาพื้นที่ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมแห่งที่ 2 ซึ่งตั้งอยู่ที่อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ขนาดพื้นที่เฟสแรก 1,100 ไร่ ลงทุนเป็นเงินกว่า 1,000 ล้านบาท เป็นพื้นที่ดอน ไม่มีปัญหาน้ำท่วม   โดยเขตอุตสาหกรรมแห่งใหม่จะอยู่ภายใต้ชื่อโครงการ " ไฮเทค กบินทร์ อินดัสเตรียล ปาร์ค"  พร้อมกับมีพิธีเซ็นสัญญาซื้อ-ขายที่ดินให้กับลูกค้ารายใหญ่จำนวน 2 รายที่นำร่องเข้ามาซื้อพื้นที่แห่งใหม่นี้ ในขนาดพื้นที่มากกว่า 100 ไร่ขึ้นไป
-เร่งต้อนทุนลงไฮเทค กบินทร์
           ทั้งนี้โครงการดังกล่าวบริษัท ไทยอินดัสเตรียล เอสเตทฯ จะถือหุ้นในสัดส่วน 85%และอีก 15% จะเป็นกลุ่มเพื่อนในแวดวงธุรกิจด้วยกัน  เป็นเขตอุตสาหกรรมที่ดำเนินการโดยภาคเอกชน   โดยผู้ร่วมทุนทุกฝ่ายเห็นตรงกันว่ากบินทร์บุรีจะเป็นทำเลทอง ด้านการลงทุนที่เหมาะสมและจะเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านการลงทุนในอนาคตนี้ เพราะอยู่ในทำเลที่เป็นเมืองหน้าด่านของภาคอีสานตอนล่างและอยู่ในพื้นที่ใกล้ชายแดนกัมพูชา  อยู่ใกล้กับเขตอุตสาหกรรม 304 และเขตอุตสาหกรรมกบินทร์บุรี เป็นพื้นที่เขต 3 ที่ได้รับการส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)  มีระยะทางจากกรุงเทพฯถึงโครงการ 160 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางโดยรถยนต์ประมาณ 2 ชั่วโมง
           "โครงการนี้จะเริ่มดำเนินการพัฒนาพื้นที่และเริ่มงานก่อสร้างได้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้เป็นต้นไปและภายในปี 2556 ทั้งโครงการในเฟสแรกจะแล้วเสร็จ สามารถรองรับลูกค้าที่เป็นผู้ลงทุนได้จำนวน 50 ราย โดยเน้นที่การลงทุนในอุตสาหกรรมเบา เช่น การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ เครื่องใช้สำนักงาน ชิ้นส่วนพลาสติกและชิ้นส่วนโลหะ เป็นต้น"
-ก่อสร้างได้ทันทีไม่ต้องทำEIA
           นายทวิชกล่าวอีกว่า "ไฮเทค กบินทร์ อินดัสเตรียล ปาร์ค"  เป็นโครงการใหม่ที่เกิดขึ้นมาในท่ามกลางที่นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ เริ่มมีความไม่มั่นใจว่าจะลงทุนในประเทศไทยดีหรือไม่ เนื่องจากประเทศเพื่อนบ้านก็มีสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนที่ดีขึ้น ในขณะที่ประเทศไทยก็เริ่มมีปัจจัยลบต่างๆเข้ามา  โดยเฉพาะเริ่มมีข้อจำกัดในการเลือกพื้นที่ลงทุนมากขึ้น เพราะเวลานี้ทำเลลงทุนในพื้นที่จ.ระยองก็เริ่มใช้พื้นที่เต็มแล้ว และมีประชากรแออัด  ที่สำคัญยังเป็นพื้นที่ที่ต้องเฝ้าระวังเรื่องปัญหามลพิษเนื่องจากเป็นศูนย์รวมในอุตสาหกรรมปิโตรเคมี และการผลิตไฟฟ้า โรงกลั่นน้ำมัน ในขณะที่พื้นที่ในจ.พระนครศรีอยุธยาก็เป็นพื้นที่ที่เกิดอุทกภัยต่อเนื่อง
            "เดิมทีพื้นที่แห่งนี้เป็นโครงการลงทุนทำนิคมอุตสาหกรรม ของ  บจก.เอบิโก้ แลนด์ ประกอบธุรกิจ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เอบิโก้ โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ที่เกิดขึ้นในจังหวะที่เศรษฐกิจไม่ดี จึงเลิกกิจการไป  และบริษัท ไทยอินดัสเตรียล เอสเตทฯก็เข้ามาซื้อกิจการต่อโดยสามารถดำเนินการก่อสร้างได้ทันที เนื่องจากเจ้าของเดิมได้ทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EIA)ไว้แล้ว "
-รีบลงทุนก่อนสิทธิประโยชน์ลด
           อย่างไรก็ตาม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอินดัสเตรียล เอสเตท  จำกัด มั่นใจว่า  จะมีนักลงทุนจำนวนมากที่กำลังตัดสินใจลงทุนใหม่หรือขยายการลงทุน ก่อนที่มาตรการส่งเสริมการลงทุนจาก บีโอไอ จำนวนหลายแพ็กเกจกำลังจะหมดเขตยื่นคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนลงในวันที่ 31 ธันวาคม 2555 นี้ โดยยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะมีการต่ออายุแพ็กเกจดังกล่าวออกไปอีกหรือไม่   
           ทั้งนี้ ข้อมูลจากบีโอไอระบุว่า มาตรการส่งเสริมการลงทุนที่กำลังจะหมดเขตลง เช่น นโยบายส่งเสริมการลงทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนที่ประกอบด้วย 4 มาตรการย่อย เช่น มาตรการส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย อาทิ  กลุ่มกิจการประหยัดพลังงานและพลังงานทดแทน กลุ่มการผลิตวัสดุและผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม กลุ่มกิจกรรมที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งให้สิทธิประโยชน์สูงสุดทั้งการยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักร ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลนาน 8 ปี โดยไม่กำหนดสัดส่วนการได้รับยกเว้นภาษี รวมถึงลดหย่อนภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับกำไรสุทธิที่ได้จากการลงทุนอีก 50% นาน 5 ปี และอนุญาตให้หักค่าขนส่ง ค่าไฟฟ้าและค่าประปาได้ 2 เท่าในการคำนวณภาษีเงินได้นิติบุคคลนาน 10 ปีนับจากวันที่มีรายได้     หรือมาตรการส่งเสริมการลงทุนเพื่อการประหยัดพลังงาน การใช้พลังงานทดแทน หรือการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ที่ให้การยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี จากรายได้ของกิจการที่ดำเนินอยู่เดิมในสัดส่วน 70% ของเงินลงทุนโดยไม่รวมค่าที่ดินและทุนหมุนเวียน เป็นต้น
           "จากที่มาตรการจากบีโอไอและกระทรวงการคลังจะทยอยลดสิทธิประโยชน์ทางภาษีลงภายในปี 2556 นี้ จะทำให้นักลงทุนที่กำลังตัดสินใจจะลงทุนใหม่ หรือกำลังมีแผนจะขยายการลงทุน รีบตัดสินใจเร็วขึ้น หลังจากที่พื้นที่ลงทุนในประเทศไทยเริ่มมีข้อจำกัดมากขึ้น ขณะที่ราคาที่ดินก็เริ่มดีดตัวสูงขึ้นตั้งแต่ 3-4 ล้านบาท/ไร่ แต่ราคาที่ดินที่กบินทร์บุรีจะมีราคาตั้งแต่ 1.8-2.5 ล้านบาท/ไร่ ยังถูกกว่าหลายพื้นที่ " นายทวิช กล่าว
        ปัจจุบันบริษัท ไทยอินดัสเตรียล เอสเตท จำกัด ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมไฮเทค(บ้านหว้า) จ.พระนครศรีอยุธยา ประสบผลสำเร็จเป็นรายแรกๆในการพัฒนาที่ดินเพื่อตั้งโรงงานอุตสาหกรรมเมื่อ 20 ปีที่แล้ว บนพื้นที่ 2,500 ไร่ ขณะนี้ใช้ประโยชน์จนเต็มพื้นที่แล้ว มีลูกค้า 145 ราย มีทั้งทุนไทยและทุนต่างชาติ โดย 65% จะเป็นทุนสัญชาติญี่ปุ่น ส่วนใหญ่จะผลิตในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์  โดยเมื่อปี 2554 เป็น 1 ใน7 นิคมอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม และล่าสุดโรงงานส่วนมากก็กลับมาเดินการผลิตได้เป็นปกติแล้ว 
 -กนอ.เร่งพัฒนาพื้นที่ใหม่
           ดร.วีรพงศ์ ไชยเพิ่ม ผู้ว่าการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน กนอ. มีนิคมอุตสาหกรรม 48 แห่ง ใน 15 จังหวัด พื้นที่รวมทั้งสิ้น 149,989 ไร่  ล่าสุดเหลือพื้นที่คงเหลือสำหรับขายหรือให้เช่าเพียง 15,640 ไร่ (ดูตาราง)  โดยกนอ. มีแผนพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่ ที่จะศึกษาให้ได้ข้อสรุปภายในปีงบประมาณ 2555 (กันยายน 2555) เพื่อเร่งดำเนินการพัฒนาพื้นที่รองรับการลงทุน 2 แห่ง ได้แก่ 1.พื้นที่อุตสาหกรรมชายแดนด่านพุน้ำร้อน อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี และ 2.โครงการดำเนินการหาพันธมิตรทางธุรกิจร่วมทุนในนิคมอุตสาหกรรมอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย
           นอกจากนี้ ในปีงบประมาณ 2556 ยังได้ของบประมาณ 110 ล้านบาท เพื่อศึกษาความเหมาะสมจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม 5 โครงการ ในจังหวัดขอนแก่น อุดรธานี นครพนม นครราชสีมา และโครงการศึกษาความเหมาะสมการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสื่อบันเทิง

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,757   15-18  กรกฎาคม  พ.ศ. 2555
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #493 เมื่อ: วันที่ 17 กรกฎาคม 2012, 18:47:45 »

ธุรกิจโรงแรมเชียงรายคึกรับเออีซี หมอชื่อดังทุ่ม 100 ล้านผุดโรงแรมหรู
เชียงราย - เตรียมรับตลาดท่องเที่ยวเออีซีบวกจีนบูม หมอชื่อดังเมืองเชียงรายทุ่มทุนนับ 100 ล้านขยายธุรกิจโรงแรม พร้อมเปิดห้องจัดคอร์สสอนภาษากลุ่มประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนให้บุคลากรในสังกัด เพิ่มศักยภาพดึงดูดลูกค้าในอนาคต




       
       ท่ามกลางกระแสเออีซีที่กำลังบูมขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ภาคธุรกิจท้องถิ่นของเชียงรายที่ได้ชื่อว่า เป็นหนึ่งในเมืองหน้าด่านที่สำคัญของภาคเหนือกับเพื่อนบ้าน เริ่มเคลื่อนไหวรองรับธุรกรรมที่จะเกิดขึ้นตามมาเช่นกัน โดยล่าสุดนายแพทย์วัชระ เตชะธีราวัฒน์ แพทย์ประจำโรงพยาบาล ได้หันมาลงทุนขยายกิจการโรงแรม ในนามบริษัทลักษวรรณ จำกัด เปิดโรงแรมใหม่ “ลักษวรรณ รีสอร์ท เชียงราย” ต.ริมกก อ.เมือง จ.เชียงราย
       
       นายแพทย์วัชระบอกว่า เดิมประกอบวิชาชีพแพทย์ และจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์เพียงอย่างเดียว ต่อมาจึงได้ขยายเป็นธุรกิจที่พักให้ตัวแทนจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ชุมชนสันโค้ง อ.เมือง จ.เชียงราย ชื่อโรงแรมมณีอินทร์ มีขนาดประมาณ 30 ห้อง กระทั่งเห็นว่ากิจการน่าจะมีอนาคต และเชียงรายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เชื่อมโยงกับกลุ่มเออีซีในอนาคต ดังนั้นจึงได้ขยายไปเปิดโรงแรมลักษวรรณ รีสอร์ท เชียงราย บนเนื้อที่ประมาณ 3 ไร่เศษ ในวงเงินลงทุนรวมราว 100 ล้านบาท โดยช่วงแรกๆ มีเพียง 36 ห้อง ปัจจุบันได้เพิ่มเป็น 99 ห้องแล้ว
       
       นายแพทย์วัชระกล่าวว่า ในอนาคตแม้ไทยจะเข้าสู่เออีซีผู้ประกอบการก็ต้องปรับตัว เพราะสถานการณ์การท่องเที่ยวของเชียงรายมักจะมีผู้เข้าพักมากช่วงฤดูหนาวหรือไฮซีซัน ปีละ 3-4 เดือน ส่วนช่วงเวลาที่เหลือจะซบเซา ดังนั้นจึงได้มีการปรับตัวและพัฒนาองค์กรยกใหญ่เพื่อพึ่งพาตัวเองให้ได้ โดยปัจจุบันหันมาประสานตลาดด้านการจัดงานสัมมนา โดยจัดห้องสัมมนาเอาไว้ 3 ห้องใหญ่ มีศักยภาพรองรับผู้เข้าร่วมได้จำนวน 600 คน
       
       รวมทั้งเพิ่มศักยภาพของบุคลากรองค์กรซึ่งเป็นพนักงานในจำนวน 42 คน และสามารถเรียกใช้พนักงานภายนอกเพิ่มเติมได้ แต่ละคนมีการฝึกให้ใช้ภาษาที่เกี่ยวข้องคือ ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาในเออีซี เช่น ภาษาพม่า ฯลฯ เป็นคอร์ดสั้นๆ เพื่อให้สามารถนำไปใช้งานได้ทันที
       
       สำหรับช่วงโลว์ซีซันก็หันไปให้บริการภาครัฐและเอกชนในการใช้บริการห้องประชุมสัมมนามากขึ้น เพื่อชดเชยการเข้าพักของนักท่องเที่ยวที่เบาบางลงได้เป็นอย่างดี โดยโรงแรมใช้วิธีให้ผู้จัดสัมมนาแจ้งงบประมาณเพื่อที่ทางโรงแรมจะได้สามารถจัดการประชุมให้ได้อย่างเหมาะสม ทำให้ผู้จัดสัมมนามีทางเลือกได้หลากหลาย
       
       ขณะที่ห้องพักก็จัดให้พักในราคาประหยัด 750-1,800 บาท ซึ่งราคา 750 บาทต่อห้องต่อคืนนั้นถือเป็นการร่วมเฉลิมฉลองเมืองเชียงรายที่มีอายุครบ 750 ปีด้วย
       
       ทั้งนี้ ในช่วงโลว์ซีซันนี้พบว่าห้องพักทั่วภาคเหนือมียอดเฉลี่ยเข้าพักไม่ถึง 50% ส่วนของโรงแรมเราก็มีอัตราเฉลี่ยราวๆ 40% แต่เมื่อถึงไฮซีซันก็คาดว่าจะอยู่ในอัตราใกล้เคียงกับปีที่ผ่านๆ มาคือประมาณ 70% ขึ้นไป
       
       “คาดว่าเมื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 2558 จะมีผู้คนเดินทางมาเชียงรายมากขึ้น เพราะเรามีด่านพรมแดนหลายแห่ง รวมทั้งยังเป็นจุดเชื่อมอาเซียนบวกจีนอีกด้วย ซึ่งเชื่อว่าจะมีนักท่องเที่ยวจีนลงมามากอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ในส่วนของภาครัฐหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยอยากให้มีการจัดระเบียบการเปิดกิจการห้องพักให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้ธุรกิจประเภทนี้ไปอยู่รวมกันที่จุดใดจุดหนึ่งมากเกินไปจนต้องตัดราคากันเอง เหมือนกับต่างประเทศเคยเห็นทำกันมาแล้ว ไม่เช่นนั้นจะเกิดการแออัดในอนาคต” นายแพทย์วัชระ กล่าว

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000087676
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
corolado4
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,835


บ้านสวน ดอยพระบาท11 (ธารน้ำกรณ์2)


« ตอบ #494 เมื่อ: วันที่ 19 กรกฎาคม 2012, 16:48:30 »

เอาข่าวสารทางด้านชายแดน อ.แม่สอด มาวางให้อ่าน เพื่อเปรียบเทียบกับทางนี้
เขาจัดระเบียบให้เกิดประโยชน์ต่อทั้งสองฝ่าย(ประเทศ) เขาทำอย่างไร?
ทำไมที่เชียงรายไม่ทำแบบเขาบ้าง เขาพร้อมเป็นทางผ่านเมียนมาร์ สู่ฝั่งทะเลอ่าวเมาะตะมะ
ที่เชียงราย แค่ ด่าน อ.แม่สาย ก็ยังมีร้องเรียนความทุกข์ร้อนที่ได้พบเจอมาเป็นระยะ
สะพานข้ามแม่สายแห่งใหม่ก็ปล่อยให้ร้าง มากระจุกตัวอยู่ที่เดิม ทำไมไม่มีใครหาญกล้าจัดการ
สามเหลี่ยมทองคำ ฝั่งลาว ฝั่งพม่ามีอะไร แล้วเรามีมาตรการรองรับกับอนาคตจุดนี้อย่างไร?
เชียงของจะมีสะพานข้ามไปลาว ต่อไปจีน มีแต่เอกชนคิดทำ วางแผนรองรับอาเซียน
ระดับจังหวัดถึงระดับภาค คิดทำอะไรรอไว้บ้าง
ดูหัวข้อที่แม่สอดเขาทำกันระดับคณะกรรมการแล้วเอามาคิดทำทางนี้บ้างเป็นไร
๑ ปรับปรุงภูมิทัศน์บริเวณสะพาน
๒ ร่วมประสานงานปราบปรามยาเสพติด
๓ ควบคุมการผ่านแดนของประชาชนทั้งสองประเทศ
๔ ประสานงาน ให้ความสะดวก ปลอดภัย คนไทยที่เข้าไปทำงานฝั่งเพื่อนบ้าน
๕ ผู้นำท้องถิ่น ภาครัฐ เอกชน นัดพบปะกันเป็นประจำ
๖ แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่างทั้งสองฝ่าย(ตัวอย่างที่นั่น คือ รถตู้ กับรถสองแถว)
๗ ร่วมกันปราบอาชญากรรม การโจรกรรมรถข้ามแดน
๘ ร่วมกันแก้ไขปัญหาเส้นเขตแดน
๙ ร่วมมือกันป้องกันแก้ไขปัญหาด้านสาธารณสุข โรคระบาด โรคติดต่อข้ามแดน
...แค่ข้อหารือของคณะกรรมการชายแดนที่เห็นนี้...เอามาทำทางเชียงรายบ้างสักครึ่งก็คงดี..
ฝากเป็นการบ้านไว้กับบอร์ดนี้เลยครับ..


* 550719 fromnewspaper 01.jpg (122.46 KB, 596x545 - ดู 411 ครั้ง.)

* 550719 fromnewspaper 00.jpg (132.72 KB, 543x601 - ดู 379 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า

!DeePack!
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,110


« ตอบ #495 เมื่อ: วันที่ 20 กรกฎาคม 2012, 22:17:19 »

แล้วตกลงถนน4เลนที่จะไปยังสะพานที่เชียงของจะตัดผ่านไปทางไหนบ้างครับตอนนี้เห็นทำแต้ออกจากเชียงของมาถึงบ้านหกแค่นั้นเองที่เหลือไม่เห็นวี่แววเลย ตกใจ
IP : บันทึกการเข้า
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #496 เมื่อ: วันที่ 24 กรกฎาคม 2012, 22:44:46 »

เชียงราย - ตัวแทนภาครัฐ-เอกชนกระบี่ยกคณะขึ้นเหนือ เปิดโต๊ะหารือแนวทางส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมเมืองพ่อขุนฯ ก่อนประธานหอฯทั้ง 2 จังหวัดจะจดปากกาลงนาม MOU ประสานความร่วมมือด้านธุรกิจท่องเที่ยวร่วมกันหาช่องทางดึงคนจีนเข้าภาคเหนือ-ทะเลกระบี่ต่อ
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงรายแจ้งว่า น.ส.ศมานันท์ หวังประเทือง พาณิชย์ จ.กระบี่ ได้นำคณะนักธุรกิจจาก จ.กระบี่ นำโดยนายภูวดิท ปรีชานนท์ ประธานหอการค้าฯ, นางสาวัน ตัน ประธานสภาอุตสาหกรรม จ.กระบี่ ฯลฯ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง เดินทางเข้าร่วมประชุมหารือกับนายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์ จ.เชียงราย, นายชวลิต สุธรรมวงศ์ ประธานหอการค้า จ.เชียงราย, นายเกรียงไกร วีระฤทธิพันธ์ อุตสาหกรรม จ.เชียงราย, นายอภิชา ตระสินธิ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย ฯลฯ ที่ห้องประชุมโรงแรมโพธิ์วดล แอนด์ รีสอร์ท อ.เมืองเชียงราย วานนี้(23 ก.ค.)
       
       ทั้งนี้ เพื่อหาแนวทางร่วมมือของภาคเอกชนทั้ง 2 จังหวัด โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยว รวมทั้งมีการจัดให้มีพิธีลงนามความร่วมมือ หรือเอ็มโอยู ระหว่างภาคเอกชนเชียงราย-กระบี่ด้วย
       
       นายเฉลิมพลกล่าวว่า เชียงรายเป็นเมืองท่องเที่ยวชายแดนที่ติดกับพม่า และ สปป.ลาว ทั้งทางบก ตลาดชายแดน แม่น้ำโขง ฯลฯ รวมทั้งเชื่อมกับจีนตอนใต้ได้ทั้งทางถนน R3a ผ่าน สปป.ลาว และ R3b ผ่านพม่า รวมทั้งเป็นเมืองวัฒนธรรมล้านนา กลุ่มชาติพันธุ์ และมีภูมิประเทศเป็นภูเขาและธรรมชาติที่สวยงาม สอดคล้องกับกระบี่ ซึ่งมีสถานที่ท่องเที่ยวเป็นทะเลและเกาะที่สวยงาม ดังนั้นหากสามารถเชื่อมโยงความสัมพันธ์โดยเฉพาะการท่องเที่ยวกันได้ก็จะเป็นผลดีอย่างมาก
       
       นายชวลิตกล่าวว่า สิ่งที่น่าสนใจอย่างมากคือการเชื่อมโยงทัวร์ท่องเที่ยวระหว่างเชียงราย-กระบี่ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะมาเยือนเชียงรายหรือนักท่องเที่ยวจากกระบี่ หากต้องการเดินทางเข้าไปยังประเทศจีน ทางภาคเอกชนจาก จ.กระบี่ก็ไม่ต้องเสียต้นทุนด้านการเข้าไปสำรวจหรือประสานตลาดในประเทศพม่า สปป.ลาว และจีนตอนใต้ แต่สามารถเป็นคู่ธุรกิจหรือพาร์ตเนอร์กับนักธุรกิจเชียงราย เพื่อนำพานักท่องเที่ยวไปได้
       
       นายอภิชากล่าวว่า นักท่องเที่ยวที่มีอนาคตในอนาคตของ จ.เชียงราย คือนักท่องเที่ยวจากจีน อย่างไรก็ตามนักท่องเที่ยวจีนนั้นมีความนิยมจะไปเที่ยวทะเลเป็นหลัก เพราะจีนทางใต้และตะวันตกไม่ติดทะเล ดังนั้นการมีความสัมพันธ์กับกระบี่จึงสำคัญมาก ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้มีการลงนามความร่วมมือกับเมืองพัทยาโดยมีการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ให้การสนับสนุนมาแล้ว โดยคาดว่าจะเห็นผลเป็นรูปธรรมช่วงไฮซีซันนี้เป็นต้นไป
       
       ด้านนายภูวดิท ปรีชานนท์ ประธานหอการค้า จ.กระบี่ กล่าวว่า เชียงราย และกระบี่ถือว่ามีลักษณะที่สอดคล้องและใกล้เคียงกัน เพราะจังหวัดอื่นๆ เช่น กรุงเทพฯ พัทยา เชียงใหม่ ฯลฯ ถือว่าสภาพบ้านเมืองเติบโตจนสุดโต่งแล้ว แต่สำหรับเชียงรายและกระบี่ยังคงความเป็นธรรมชาติ และแต่ละฝ่ายก็พยายามอนุรักษ์ไว้ซึ่งธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่ดีอยู่ จึงถือว่าถูกคู่ถูกจังหวะกันอย่างมาก และที่ผ่านมาทาง จ.กระบี่เองมุ่งเน้นเรื่องนักท่องเที่ยวระดับสูงที่มีคุณภาพด้วยเช่นกัน
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า จากนั้นประธานหอการค้าทั้ง 2 จังหวัดได้ร่วมลงนามโดยมีหัวหน้าส่วนราชการและภาคเอกชนอื่นๆ ลงนามเป็นพยาน โดยมีเนื้อหาของเอ็มโอยูในการสถาปนาความสัมพันธ์ระหว่างหอการค้าทั้ง 2 จังหวัด ส่งเสริมโอกาสทางการค้า การลงทุนและการท่องเที่ยว ตลอดจนพัฒนาธุรกิจกันให้มากขึ้น ผลักดันให้มีการเจรจาการค้าและเชื่อมโยงกิจกรรมการท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม การท่องเที่ยวทางทะเล ผลักดันให้มีการพัฒนาสายการบินภาคเหนือจากท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย จ.เชียงราย กับสนามบินกระบี่ ผลักดันให้มีการเชื่อมโยงการค้าสินค้าเกษตรแปรรูป สินค้าโอทอป ของฝากของที่ระลึก ฯลฯ
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #497 เมื่อ: วันที่ 30 กรกฎาคม 2012, 15:00:09 »

ทุ่ม1.5พันล.เชียงของ คมนาคมผุดศูนย์โลจิสติ

คมนาคมวาดแผนผุดศูนย์กลางโลจิสติกส์แห่งภาคเหนือ เร่งสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าที่เชียงของ หวังเปลี่ยนประตูการขนส่งเป็นประตูการค้าและประตูเศรษฐกิจ สู่จีนและประเทศเพื่อนบ้าน

รองรับการเกิดเออีซี ส่วนคิวต่อไปเล็งเปิดเพิ่มที่นครพนมเพื่อเชื่อมโยงสู่เวียดนาม ล่าสุดร่วมมือจีนเร่งเครื่องโครงข่ายงานก่อสร้างถนน สะพานข้ามโขงแห่งที่ 4 และท่าเรือพื้นที่ภาคเหนือเชื่อมโยงท่าเรือแหลมฉบังเพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์
 นายสมชัย ศิริวัฒนโชค อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า จากการที่รัฐบาลกำหนดเป้าหมายให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางธุรกิจและการค้าของภูมิภาคอินโดจีน โดยมีระบบโลจิสติกส์ที่สนับสนุนเพื่อไปสู่เป้าหมายดังกล่าว ในส่วนของกรมการขนส่งทางบกจะดำเนินโครงการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้า (Inter Modal Facilities) ที่บริเวณสะพานเชียงของ จังหวัดเชียงราย ใช้เนื้อที่ประมาณ 200 ไร่ งบประมาณการสร้างคาดว่าจะใช้ประมาณ 1,500 ล้านบาท(งบผูกพัน 3 ปี พ.ศ.2556-2558) เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ทางถนนจากประเทศจีนผ่านเส้นทาง R3A เข้าสู่ประเทศไทยทางสะพานเชียงของ จากนั้นสามารถเปลี่ยนมาใช้ระบบการขนส่งทางถนนภายในประเทศ หรือเปลี่ยนรูปแบบการขนส่งเป็นการขนส่งทางรถไฟ และการขนส่งทางเรือ ณ สถานที่ดังกล่าว เพื่อไปยังท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง 
       ส่วนรูปแบบการดำเนินโครงการจะเป็นการร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยภาครัฐมีหน้าที่ในการเวนคืนที่ดินมาพัฒนา ตลอดจนการสร้างสาธารณูปโภคและสิ่งก่อสร้างต่างๆ ภายในศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่ง รวมถึงสิทธิของการเป็นเจ้าของโครงการ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535  ในขณะที่ภาคเอกชนจะมีหน้าที่ในการจัดซื้อเครื่องมืออุปกรณ์ยกขน อุปกรณ์สำนักงานต่างๆ การจ้างแรงงาน การให้บริการที่มีคุณภาพได้มาตรฐานที่เป็นที่ยอมรับ และจ่ายค่าสัมปทานตามสัญญาตลอดอายุสัมปทานซึ่งกระทรวงการคลังจะเป็นผู้พิจารณาในเรื่องนี้อีกครั้ง
       "ในการคัดเลือกผู้ที่ได้รับสัมปทานนั้นจะไม่ใช้วิธี Bidding มอบสิทธิแก่ผู้ที่เสนอผลประโยชน์หรือค่าสัมปทานให้แก่รัฐสูงสุด แต่จะใช้วิธี Tendering ซึ่งจะให้สัมปทานแก่ผู้ที่เสนอเงื่อนไขที่ดีที่สุดให้แก่ผู้ใช้บริการ เช่น การให้สัมปทานแก่ผู้ที่เสนอค่าบริการที่เก็บจากผู้ใช้บริการต่ำที่สุด และขณะเดียวกันต้องมีการให้บริการที่มีคุณภาพดีได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับ ภายใต้พันธะสัญญาในการชำระค่าสัมปทานรายปีตามที่กำหนดไว้"
       นายสมชัยกล่าวว่า กรมการขนส่งทางบกได้เร่งจัดเตรียมกระบวนการเชิญชวนภาคเอกชนเข้ามาแข่งขันเพื่อเป็นผู้ประกอบการศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่ง  ตามหลักเกณฑ์ของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535  โดยมีเป้าหมายว่าจะสามารถจัดหาผู้ประกอบการได้ภายในปี พ.ศ. 2561 แต่เนื่องจากยังเป็นของใหม่ในประเทศไทยคาดว่าจะมีผู้สนใจทั้งในและต่างประเทศร่วมมือกันเข้าร่วมยื่นข้อเสนอในครั้งนี้หลายรายแน่ๆ
 "การพัฒนาศูนย์เปลี่ยนถ่ายรูปแบบการขนส่งสินค้าที่เชียงของจะทำให้ประตูการขนส่งกลายเป็นประตูการค้า และประตูเศรษฐกิจ ในอนาคต มีความสำคัญต่อการพัฒนาที่เกี่ยวเนื่อง เช่น การเกิดกิจกรรมการค้าและการลงทุนในบริเวณเชียงของไม่ใช่เพียงการขนส่งผ่านพื้นที่ อีกทั้งยังเป็นต้นแบบในการพัฒนาและบริหารโครงสร้างพื้นฐานด้านการค้าและการขนส่งเพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในประตูการขนส่งอื่นๆของประเทศโดยจะทำให้ประเทศไทยได้ประโยชน์จากกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการขนส่งทางถนนระหว่างประเทศ อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้ผู้ประกอบการขนส่งของไทยให้มีความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้นจากการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน"
 นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวถึงความคืบหน้าโครงข่ายการสร้างถนน-สะพาน-ท่าเรือในพื้นที่ภาคเหนือว่า ขณะนี้ภาพรวมของการพัฒนาโครงข่ายคมนาคมทั้งถนนสาย R3 และถนนในไทย สะพานข้ามโขงแห่งที่ 4 หรือท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 มีความคืบหน้าไปมาก สามารถเชื่อมโยงกันได้มากขึ้น เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารไปสู่ท่าเรือแหลมฉบังและจุดต่างๆได้ง่ายและรวดเร็วขึ้น
        "สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 จะกำหนดเชื่อมช่วงกลางสะพานในวันที่ 12 ธันวาคมปีนี้ก่อนที่จะเร่งก่อสร้างจุดต่างๆให้แล้วเสร็จเพื่อเปิดให้บริการในเดือนธันวาคมปี 2556 ส่วนหลังจากนั้นจะตั้งคณะกรรมการร่วมไทย-สปป.ลาวบริหารจัดการดูแลบำรุงรักษาโดยใช้งบจากค่าข้ามของรถยนต์เช่นด่านอื่นต่อไป คาดว่าในเบื้องต้นจะมีรถยนต์ใช้บริการประมาณ 1,000 คันต่อวันโดยจะเป็นรถบรรทุกประมาณ 30%"
 ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม กล่าวว่านอกจากจะสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายโหมดการขนส่งสินค้าที่เชียงของแล้ว ยังมีแผนจัดสร้างขึ้นที่นครพนมให้เชื่อมโยงกับสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่เชื่อมไปสู่เวียดนามได้อีกด้วย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจพื้นที่และศึกษาความเหมาะสมในระยะต่อไป
 ร.ต.วิโรจน์ จงชาณสิทโธ ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย กล่าวเสริมว่าสำหรับท่าเรือเชียงแสน 2 และสะพานข้ามโขงแห่งที่ 4 นั้นถือได้ว่าเป็นประตูทางการค้าที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของไทย ต้องให้เชื่อมโยงตั้งแต่ต้นน้ำ-ปลายน้ำเพื่อลดต้นทุนโลจิสติกส์ของประเทศให้ได้
 อย่างไรก็ตาม ท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 อยู่ระหว่างการเร่งสรุปผลศึกษาเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อมหรืออีไอเอ เช่นเดียวกับการเร่งระบบรถไฟทางคู่เชื่อมโยงถึงภายในโดยตรง อีกทั้งยังเร่งจัดระเบียบเพื่อเตรียมความพร้อมรับมือการขนส่งสินค้าจากท่าเรือสำคัญ ๆ ที่เชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้านของไทย ไม่ว่าจะเป็นสินค้าจากท่าเรือน้ำลึกทวาย ประเทศพม่า และท่าเรือเชียงแสน 2 อำเภอเชียงแสน หรือสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายที่เชื่อมโยงสปป.ลาวและจีนซึ่งเป็นการเตรียมพร้อมพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ให้สร้างรายได้เพิ่ม"  สำหรับเส้นทางเชื่อมโยงที่กระทรวงคมนาคมเร่งดำเนินการนั้นประกอบด้วยการเชื่อมโยงทางรถไฟเพื่อการขนส่งสินค้าและผู้โดยสารเริ่มจากเชียงของผ่านเด่นชัย  อุตรดิตถ์ พิษณุโลก อยุธยา แก่งคอย  มุ่งสู่ท่าเรือแหลมฉบังที่ปัจจุบันก่อสร้างรถไฟทางคู่รองรับไว้แล้ว สำหรับช่วงเด่นชัย-เชียงรายระยะทางประมาณ 326 กิโลเมตร คาดว่าจะใช้งบประมาณ 4หมื่นล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งสรุปผลการศึกษาออกแบบ และช่วงที่จะมีการก่อสร้างรถไฟรางคู่ ช่วงฉะเชิงเทรา - คลองสิบเก้า(อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา) - แก่งคอย มูลค่า 11,348 ล้านบาท ระยะทาง 106 กิโลเมตรขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมนำเสนอครม.เห็นชอบให้ดำเนินการ ส่วนอีก 1 เส้นทางเริ่มจากอยุธยามุ่งสู่บางซื่อไปใช้เส้นทางสายใต้ผ่านนครปฐม มุ่งสู่ชะอำ ชุมพร หาดใหญ่ออกสู่ท่าเรือน้ำลึกปากบาราได้อีกด้วย

 
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,761   29  กรกฎาคม  - 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #498 เมื่อ: วันที่ 31 กรกฎาคม 2012, 21:08:11 »

ราคาที่ดินริมฝั่งแม่น้ำโขงพุ่ง! แก๊ง ผญบ.เชียงแสน จ้องฮุปที่งอกขายนายทุน


ตัวแทนกลุ่มอนุรักษ์ฯ ห่วงแก๊ง ผญบ.เชียงแสน ฮุปที่งอก/ที่ดินสาธารณะริมโขง เสนอขายนายทุน เหตุได้ราคาสูงถึงไร่ละ 2-3 ล้านบาท ร้องสื่อมวลชนตรวจสอบ
     วันที่ 31 ก.ค.2555 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตัวแทนชมรมกลุ่มรักษ์เชียงแสน กลุ่มอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเมืองประวัติศาสตร์เชียงแสน จ.เชียงราย ร้องให้สื่อมวลชนเข้าตรวจสอบกรณีมีกลุ่มผู้นำท้องถิ่น รวมตัวกับนักการเมืองส่วนท้องถิ่น เร่งฮุปพื้นที่งอกหลายจุด ริมฝั่งแม่น้ำโขงชายแดนไทย-ลาว บริเวณพื้นที่ ต.เวียง ซึ่งอยู่ห่างจากที่ว่าการ อ.เชียงแสน ไปทางสามเหลี่ยมทองคำ เพื่อรวบรวมนำไปเสนอขายกลุ่มนายทุน ส่งผลราคาซื้อขายที่ดินสูงถึงไร่ละ 2-3 ล้านบาท
     ตัวแทนชมรมกลุ่มรักษ์เชียงแสน กล่าวว่า พฤติกรรมของกลุ่มผู้นำท้องถิ่นกลุ่มนี้ จะใช้อิทธิพลของการเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ นัการเมืองส่วนท้องถิ่น เข้าบุกรุกและจับจองพื้นที่สาธารณะ หากจุดใดมีชาวบ้านเข้าไปทำกินหรือครอบครองอยู่ ก็จะเจรจาขอซื้อจากชาวบ้าน หากขายให้ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าขัดขวางจะถูกอิทธิพลนอกระบบข่มขู่ บังคับให้เปลี่ยนมือครอบครองที่ดินทุกจุด โดยเฉพาะพื้นที่งอกแห้งเป็นดอนทรายโผล่พ้นบนแม่น้ำโขง กลุ่มผู้นำนี้จะนำมาสวมรอยที่ดินสาธารณะบนฝั่ง จากนั้นก็ไปเจรจาขายให้นายทุน พร้อมบอกว่าจะคอยคุ้มครองดูแลให้ไม่เกิดปัญหาทางกฏหมาย
     "ทางชมรมฯ เป็นห่วงเรื่องทรัพยากรรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่จะเปลี่ยนไป หากที่ดินสาธารณะหรือที่ดินงอก ที่ชาวบ้านและท้องถิ่นเคยได้ใช้ทำประโยชน์ร่วมกันยามน้ำแห้ง ทั้งการจัดแข่งกีฬา การออกร้านขายสินค้า ขายอาหารช่วงหน้าท่องเที่ยวสงกรานต์ หรือการทำไร่ข้าวโพดชั่วครั้งชั่วคราว ต้องเปลี่ยนมือไปอยู่ในมือนายทุน ไม่อยากเห็นสิ่งปลูกสร้างถาวร มาปรากฏขึ้นริมฝั่งบดบังทัศนียภาพ หรืออาจทำให้เกิดการกีดขวางทางไหลของน้ำ อยากให้หน่วยงานระดับสูงตรวจสอบพฤติกรรมกลุ่มผู้นำท้องถิ่น เพื่อป้องปรามไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ"
     ด้าน นายทรงกลด ดวงหาคลัง หัวหน้าสำนักงานขนส่งทางน้ำและพาณิชย์นาวีเชียงแสน กล่าวว่า ตามกฏหมายแบ่งที่ดินเป็น 3 ประเภท 1.ที่ดินน้ำท่วมถึง 2.ที่ดินสาธารณะ 3.ที่ดินที่มีเอกสารสิทธิ์ กรณีที่ดินงอกตามที่มีการร้องเรียนนั้น เป็นที่ดินน้ำท่วมถึงซึ่งมีหลักกระบวนการวิทยาศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งพื้นที่ที่น้ำท่วมถึง อย่างไรก็ไม่สามารถสำรวจหรือออกเอกสารสิทธิ์ได้อย่างแน่นอน อีกทั้งหากมีการซื้อขายกันนอกรอบ ไม่ว่าจะเป็นจากกลุ่มบุคคลใด ทางเจ้าท่าไม่สามารถเข้าไปดำเนินการอะไรตามกฏหมายได้ แม้กระทั่งการเข้าทำกิจกรรม แข่งกีฬาบน ที่เป็นครั้งคราว หรือการเข้าทำประโยชน์ด้านการเกษตร เช่น การปลูกข้่าวโพด บนที่ดินสาธารณะก็ตาม ศาลได้มีการตีความ ให้สามารถกระทำได้ แต่เป็นครั้งคราวเท่านั้น
     "แตกต่างจากกรณีที่มีการบุกรุก หรือรุกล้ำเข้าไปดำเนินการก่อสร้างอาคารถาวรวัตถุ ยื่นลงไปในแม่น้ำ อันนี้เป็นเรื่องที่กรมเจ้าท่า สามารถเข้าตรวจสอบและเอาผิดได้ ตามอำนาจที่หน่วยงานมีอยู่ ที่ผ่านมา กรมเจ้าท่าได้มีการแจ้งความดำเนินคดีกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แห่งหนึ่งใน อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ที่กระทำความผิดรุกล้ำก่อสร้างอาคารสิ่งปลูกสร้างในแม่น้ำโขง โดยไม่ได้ขออนุญาตหรือแจ้งให้กรมเจ้าท่า หน่วยงานที่รับผิดได้รับทราบ คดีไปถึงศาล จนมีคำพิพากษาออกมา ส่วนในปี 2555 นี้ ยังไม่มีการแจ้งความเอาผิดกับทาง อปท.ในเชียงราย อาจเป็นเพราะ อปท.เข้าใจในขั้นตอนและข้อกฏหมาย หากจะมีการก่อสร้างลงไปในแม่น้ำทุกจุด จึงเข้าปรึกษาและแจ้งให้กรมเจ้าท่ารับทราบ เพราะบางทีแม้ผู้ดำเนินการจะมีเจตนาดี ทำเพื่อส่วนรวม แต่ทั้งนี้ต้องยึดติดกฏระเบียบและขั้นตอนกฏหมายให้ครบถ้วนด้วย"

http://www.siamrath.co.th
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #499 เมื่อ: วันที่ 02 สิงหาคม 2012, 08:06:36 »

สนข.เล็งต่อยอดโครงสร้างพื้นฐาน


วันอังคารที่ 31 กรกฏาคม 2012 สนข.เล็งต่อยอดพร้อมเร่งผลักดันแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเชื่อมโยงประตูการค้าหลักและการค้าชายแดน  โดยเน้น 3 ท่าเรือและสนามบินสุวรรณภูมิ ส่วนประตูการค้าชายแดนครอบคลุมทุกภาค เพื่อสนับสนุนการพัฒนาโลจิสติกส์ของประเทศ
 ดร.จุฬา สุขมานพ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ขณะนี้แผนพัฒนาประตูการค้าหลัก ประตูการค้าชายแดน และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานตามประตูการค้าต่างๆ เริ่มดำเนินการไปแล้วหลายโครงการ โดยประตูการค้าหลักประกอบไปด้วย 1.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิที่จะเชื่อมโยงระหว่างประเทศเพื่อใช้เป็นจุดรวบรวมการขนส่งสินค้าทางอากาศ 2.ท่าเรือกรุงเทพ ซึ่งเป็นท่าเรือระหว่างประเทศรองรับเรือขนาดใหญ่เกินกว่า 12,000 เดตเวตตัน แต่มีข้อจำกัดที่ไม่สามารถขยายพื้นที่ออกไปได้อีก 3.ท่าเรือแหลมฉบัง อยู่ระหว่างการเร่งรัดดำเนินการก่อสร้างเฟส 3 พร้อมกับเร่งพัฒนาระบบรางเชื่อมโยงเข้าถึงโดยตรงถึงภายในท่าเรือ 4.ท่าเรือระนอง รองรับการขนส่งสินค้าฝั่งทะเลอันดามัน แต่รองรับเรือขนส่งสินค้าไม่เกิน 1,2000 เดตเวตตัน
 ส่วนประตูการค้าชายแดน ได้แก่ ภาคเหนือเชื่อมโยงกับเมียนมาร์ที่ด่านแม่สอด จ.ตาก และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว)ที่ อ.เชียงของ, อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ปัจจุบันการรถไฟแห่งประเทศไทยอยู่ระหว่างการเร่งสรุปผลการศึกษาและออกแบบรายละเอียดเส้นทางช่วงเด่นชัย-เชียงรายเพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรี(ครม.)อนุมัติให้ดำเนินการต่อไปคาดว่าจะใช้งบประมาณกว่า 4 หมื่นล้านบาท เช่นเดียวกับโครงการก่อสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า จ.เชียงของ โดยกรมการขนส่งทางบกภายใต้งบประมาณกว่า 1,500 ล้านบาท ครม.มีมติเมื่อ 17 เมษายน 2555 อนุมัติในหลักการให้ดำเนินการแล้ว
 ภาคใต้ เชื่อมโยงสู่มาเลเซีย ผ่าน 3 จุดสำคัญคือ จุดด่านปาดังเบซาร์,  ด่านสะเดา จ.สงขลาและด่านสุไหงโก- ลก จ.นราธิวาส โดยมีการพัฒนาระบบรางเชื่อมไปสู่จ.ระนอง และตามด่านต่างๆ พร้อมกับการพัฒนาเส้นทางรถไฟเชื่อมอ่าวไทยและอันดามันในโครงการแลนด์บริดจ์ ส่วนทางน้ำ มีแผนเร่งพัฒนาท่าเรือภาคใต้ตอนล่างในหลายๆ แห่ง ตลอดจนศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าตามด่านชายแดนเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีย่านกองเก็บตู้สินค้าที่สถานีทุ่งโพธิ์ จ.สุราษฎร์ธานีเท่านั้น
 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เชื่อมโยงไปสู่สปป.ลาวผ่านจ.หนองคาย จ.นครพนม และจ.มุกดาหาร ด้วยการพัฒนาระบบรางในเส้นทางรถไปเชื่อมด่านชายแดนที่นครพนม และมุกดาหารให้เพิ่มขึ้น ซึ่งร.ฟ.ท.อยู่ระหว่างการเร่งสรุปผลการศึกษาเส้นทางรถไฟสายบัวใหญ่-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ที่เชื่อมโยงกับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 3 ระยะทาง 336 กิโลเมตร คาดว่าจะใช้งบประมาณ 4 หมื่นล้านบาท อีกทั้งยังเร่งนำเสนอก่อสร้างศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าขึ้นที่ จ.มุกดาหารหรือ จ.นครพนม เนื่องจากปัจจุบันในภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีย่านกองเก็บสินค้าที่สถานีกุดจิด จ.นครราชสีมาและสถานีท่าพระ จ.ขอนแก่น
 ภาคตะวันออก เชื่อมโยงกับประเทศกัมพูชาผ่านอ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว และอ.คลองใหญ่ จ.ตราด ได้มีการเร่งรัดการพัฒนาระบบรางสายมาบตาพุด-ระยอง และสายระยอง-จันทบุรี-ตราด ตลอดจนมอเตอร์เวย์เส้นทางพัทยา-ชลบุรี-มาบตาพุดที่ในอนาคตสามารถเชื่อมต่อไปยังระยองได้อีกด้วย อีกทั้งยังมีแผนการก่อสร้างศูนย์รวบรวมและกระจายสินค้าขึ้นที่จ.สระแก้วในระยะต่อไป และภาคตะวันตกที่เชื่อมโยงสู่ประเทศเมียนมาร์ผ่านอ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรี โดยทางบกมีทั้งถนน 4 เลนและมอเตอร์เวย์ที่จะเชื่อมโยงไปสู่ท่าเรือน้ำลึกทวาย
 ดร.จุฬา กล่าวต่อไปว่า เร็วๆนี้ สนข.จะติดตามความคืบหน้าตลอดจนอุปสรรคปัญหาต่างๆอย่างใกล้ชิด เพื่อนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์แก้ไขปัญหาให้สามารถพัฒนาโครงการไปสู่ความสำเร็จได้อย่างเป็นรูปธรรม ประการสำคัญยังสามารถจะต่อยอดโครงการต่างๆให้ยกระดับขีดความสามารถในระดับที่สูงขึ้นไปได้อีกในอนาคตทั้งภายในประเทศและการขยายเส้นทางไปสู่ประเทศต่างๆในระยะต่อไปเพื่อขยายโอกาสทางเศรษฐกิจของไทยให้มากยิ่งขึ้น

ากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,762  2-4  สิงหาคม พ.ศ. 2555
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
หน้า: 1 ... 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 [25] 26 27 28 29 30 31 32 33 34 35 ... 37 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!