เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 24 เมษายน 2024, 07:54:58
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 [21] 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 ... 37 พิมพ์
ผู้เขียน Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย  (อ่าน 440020 ครั้ง)
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #400 เมื่อ: วันที่ 09 มกราคม 2012, 19:29:11 »

นายกฯปูนั่งหัวโต๊ะเวทีกรอ.นัดแรก



นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า วันที่ 9 ม.ค.นี้ ที่ประชุมคณะกรรมการภาคเอกชนร่วม 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย จะหารือเพื่อเตรียมการเรื่องการประชุมคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเตรียมนำข้อเสนอภาคเอกชนต่อรัฐบาลในประชุมกรอ.ในการวันที่ 15 ม.ค. นี้

ในส่วนของส.อ.ท.จะนำเสนอเรื่องระบบการขนส่ง และระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพมหานครและภาคเหนือ เช่น การสร้างรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ และรถไฟเชื่อมต่อระหว่างกรุงเทพฯ-เชียงราย เป็นต้น เพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องการขนส่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งด้านการท่องเที่ยว และการขนส่งสินค้า

"การประชุมระหว่างภาครัฐและเอกชน ในครั้งนี้ จะเป็นการประชุมกรอ.นัดแรกของรัฐบาลชุดนี้ หลังจากที่เอกชนรอมานาน จึงเป็นเรื่องที่ดี ที่ภาครัฐให้ความสนใจที่จะทำงานร่วมกับภาคเอกชน เพื่อจะได้เข้าใจถึงอุปสรรค ปัญหา และข้อคิดเห็นจากภาคเอกชนจากทุกหน่วยงาน และจะหารือถึงแนวทางการฟื้นฟูธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมด้วย" นายธนิตกล่าว

หน้า 9
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #401 เมื่อ: วันที่ 11 มกราคม 2012, 21:02:06 »

เชียงราย - นายกฯปู เตรียมขึ้นเชียงรายก่อนเข้าประชุม ครม.สัญจรที่เชียงใหม่ วางกำหนดดูโครงการดอยตุงฯ ศึกษาแนวทางปลูกป่าตามแนวพระราชดำริ “สมเด็จย่า” หวังปรับใช้ฟื้นป่าไทย ขณะที่เมืองพ่อขุนฯ เล็งชงของบดัน 3 โครงการใหญ่

วันนี้ (11 ม.ค.) นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ในวันที่ 14 ม.ค.นี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มีกำหนดจะเดินทางไปปฏิบัติราชการในพื้นที่ จ.เชียงราย เป็นเวลา 1 วันโดยไม่นอนพัก โดยในเวลาตั้งแต่ 13.00 น.จะเดินทางไปเยือนโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ หลังจากก่อนหน้านี้รัฐบาลได้มีการแต่งตั้ง ม.ร.ว.ดิศนัดดา ดิศกุล เลขาธิการมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ให้เป็นประธานกรรมการอนุรักษ์และฟื้นฟูธรรมชาติป่าไม้ เพื่อดูพื้นที่โครงการ ศึกษาและนำแนวทางของโครงการในการปลูกป่าตามแนวพระราชดำริของสมเด็จย่า มาปรับใช้ในการฟื้นฟูสภาพธรรมชาติป่าไม้ของประเทศไทย

จากนั้นจึงเดินทางไปประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร ณ จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 15 ม.ค.55 ซึ่งจังหวัดเชียงราย จะเสนอแผนการพัฒนาเข้าไปยัง ครม.สัญจร 3 เรื่องใหญ่ๆ คือ การพัฒนาเส้นทางคมนาคมทางบก โดยเฉพาะเส้นทางเลี่ยงเมืองเชียงราย เพื่อเชื่อมกับโครงข่ายถนนไปสู่สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ ชายแดนไทย-สปป.ลาว เชื่อมกับถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีน และท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ซึ่งแต่ละโครงการกำลังจะแล้วเสร็จ ขณะที่การคมนาคมในปัจจุบันแออัดมากขึ้นโดยเฉพาะบนถนนพหลโยธิน ดังนั้นจะใช้ถนนพหลโยธินเพื่อการคมนาคมเป็นหลักไม่ได้อีกต่อไป แต่ต้องขยายไปยังถนนเลี่ยงเมืองและพัฒนาตามทางร่วมทางแยกสำคัญๆ ทั้งนี้ได้มอบหมายให้แขวงการทาง จ.เชียงราย ไปรวบรวมข้อมูลทั้งโครงการเก่าที่เคยอยู่ในแผนและยังไม่ดำเนินการ และแนวทางการพัฒนาอื่นๆ เพื่อเสนอต่อ ครม.เพื่อของบประมาณดำเนินการอย่างเร่งด่วนต่อไป

นอกจากนี้ยังมีโครงการพัฒนาสายน้ำวัฒนธรรมหรือ The river of art โดยจะทำการพัฒนาภูมิทัศน์และด้านอื่นๆ ของแม่น้ำกก ในเขต อ.เมือง เพื่อส่งเสริมให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ วัฒนธรรมล้านนา ฯลฯ โดยคาดว่าจะใช้งบประมาณราว 3,600 ล้านบาท

และโครงการสุดท้าย คือ การพัฒนาลุ่มแม่น้ำอิงเขต อ.เทิง เพราะแม่น้ำอิงไหลมาจากกว๊านพะเยา ผ่าน อ.เทิง ก่อนไปลงแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ แต่ที่ผ่านมามักจะไหลเจิ่งนองในฤดูฝน จนทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม แต่ในฤดูแล้งกลับแห้งแล้งจนทำให้ประชาชนเดือดร้อนกันทั้งสองฤดู ดังนั้นจึงจะมีการพัฒนาแหล่งน้ำในเขต ต.เวียง อ.เทิง เพื่อกักเก็บเก็บน้ำป้องกันน้ำท่วมและไว้ใช้ในฤดูแล้งต่อไป ซึ่งโครงการนี้ก็ใช้งบประมาณจำนวนมากเช่นกัน

นายธานินทร์บอกว่า โครงการต่างๆ นี้ถือว่าอยู่ในแผนการพัฒนาของจังหวัดอยู่แล้ว และที่ผ่านๆ มาหลายผู้บริหารก็พยายามแก้ไขปัญหาและพัฒนาให้ก้าวหน้า แต่การรอการจัดสรรงบประมาณตามปกติอาจจะทำให้การดำเนินการล่าช้าไม่ทันต่อเหตุการณ์ ดังนั้นจึงจะมีการนำเสนอเข้าไปยังการประชุม ครม.สัญจร เพื่อผลักดันให้มีการจัดสรรงบประมาณที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนายุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด และท้องที่แต่ละจังหวัดได้อย่างรวดเร็วต่อไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9550000004260
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #402 เมื่อ: วันที่ 14 มกราคม 2012, 21:04:19 »

ล่อง R3A เชื่อมการค้า ไทย-ลาว-จีน



นาย Zhu Xiaoyang รองอธิบดีกรมพาณิชย์มณฑลยูนนาน และนาย Li Yong Sheng ซีอีโอ Yonmong Group ร่วมต้อนรับและให้ข้อมูลแก่คณะของนายสมชัย หทยะตันติ ที่ CAFTA Business Portal Operation Center.

สาวหมวย ในชุดกี่เพ้าสีแดงเสิร์ฟอาหารพื้นเมืองสารพัด เสิร์ฟพร้อม ชาจีนชั้นดี ขณะที่ นายหลี เสี่ยว พิง ผู้ว่าการเมืองผู่เออร์ มณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวถ้อยแถลงต้อนรับคณะผู้แทนการค้ากลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน นำโดย นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ในโอกาสมาสำรวจเส้นทางการค้าตามเส้นทางสาย R3A

บรรยากาศการต้อนรับดู จริงใจและเป็นมิตรต่อกันทั้ง 2 ฝ่าย ภารกิจหลักในครั้งนี้ คือ การนำหัวหน้าส่วนราชการ กลุ่มยุทธศาสตร์จังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 และภาคเอกชนจาก จ.เชียงราย, พะเยา, แพร่, น่าน เดินทางสำรวจเพื่อเก็บข้อมูลนำมาจัดการให้เป็นรูปธรรม



ต้นยางพาราปลูกเรียงรายไปตามทิวเขา.

ย้อน ภาพกลับไปเริ่มต้นการเดินทางจากด่าน ตม.เชียงของ คณะใหญ่ 50 กว่าชีวิตข้ามแม่น้ำโขงไปขึ้นรถตู้ที่เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เพื่อไปผ่านด่านเมืองบ่อหาน ก่อนจะเข้าประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน

ตลอดเส้นทางในลาวดูคดเคี้ยว เลี้ยวลดไปตามแนวเขาที่ยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ ที่ดินบางแปลงปลูกต้นยางพาราสุดลูกหูลูกตา มีนายทุนเป็นชาวจีน รวมไปถึงทางภาคเหนือของไทยบางแห่งด้วย

หลับๆตื่นๆ เด้งไปเด้งมาหลายงีบกว่าจะถึง “บ่อหาน” สุดเขตประเทศลาว เข้าสู่เขตจีน ถนนหนทางเปลี่ยนเป็นถนนลาดยางสี่เลน อุโมงค์หลายสิบแห่งเจาะทะลุภูเขา โดยมีสะพานสูงบ้าง ต่ำบ้าง เชื่อมต่อเส้นทาง ไม่ต้องเสียเวลาอ้อมภูเขา ส่วนไฟส่องในอุโมงค์นั้นใช้พลังงานโซลาร์เซล หรือพลังงานแสงอาทิตย์ เปิดปิดอัตโนมัติ

ด่านบ่หาน หรือบ่อหาน เชื่อมเส้นทางลาว-จีน.

ที่ราบ น้อยใหญ่และบนภูเขาสูงส่วนใหญ่ปลูกยางพาราเป็นแนวทึบทะมึน ไกด์สาวชาวสิบสองปันนาเฉลยให้ฟังว่า ยางพาราที่ปลูกในจีนและลาว ยังไม่พอใช้สำหรับ 1 มณฑลในจีน

ช่วงลับสมองประลองคณิตศาสตร์บนรถ สมชัย หทยะตันติ หัวหน้าคณะ เท้าความให้ฟังว่า กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 นั้น มีรายได้หลักจากการท่องเที่ยวและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องจากการท่องเที่ยว เนื่องจากสภาพภูมิศาสตร์มีที่ตั้งในพื้นที่สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจที่สามารถ เชื่อมโยงการท่องเที่ยวกับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอนุภาคลุ่มน้ำโขง หรือ GMS



อุโมงค์ลอดทะลุภูเขาย่นระยะทาง.

ได้แก่ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว สาธารณรัฐประชาชนจีน ในมณฑลยูนนาน และสิบสองปันนา สหภาพพม่า และเวียดนาม จึงเป็นโอกาสที่จะพัฒนาศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชื่อมโยงประเทศทางตอนเหนือ สู่ตอนใต้ และภาคตะวันออกสู่ภาคตะวันตก

โอกาสนำนักท่องเที่ยวเข้าสู่ ประเทศไทยและท่องเที่ยวไปยังกลุ่มประเทศต่างๆในลุ่มน้ำโขงมีอีกมาก  เป็นการแลกเปลี่ยนนักท่องเที่ยว  เป็นช่องทางในการเพิ่มรายได้ และกระจายรายได้ไปสู่ชุมชนต่างๆ ด้วยการมีจุดแข็งทางประวัติศาสตร์ เส้นทางคมนาคม สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ประเพณี วัฒนธรรม



เยี่ยมศูนย์วิจัยชาผู่เออร์.

นึก ภาพ โรงแรม ที่พัก ร้านอาหาร ร้านจำหน่ายของที่ระลึก ผุดขึ้นตามแหล่งท่องเที่ยว เม็ดเงินมหาศาลที่ตามมา ถ้าไม่รีบสำรวจเส้นทาง ประสานงานเพื่อเชื่อมโยง และค้นหาสภาพแวดล้อมที่เป็นโอกาสในการพัฒนา โดยมีผลประโยชน์ร่วมกันเป็นที่ตั้ง นอกจากนี้ ยังส่งผลดีต่อการวางกลยุทธ์ก่อนที่ประเทศไทยจะเข้าเป็นสมาชิกประชาคม เศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558

ระหว่างทางจากเมืองซือเหมาเข้าสู่เขต ปกครองตนเองเมืองหล้า สิบสองปันนา คณะเยี่ยมชมแหล่งผลิต “ชาผู่เออร์” ของดีและเป็น 1 ในชาชั้นดีของจีน โดยในเมืองนี้มีพื้นที่ปลูก 1,354,166 ล้านไร่ รองลงมาคือ กาแฟ สมุนไพร เนื่องด้วยมีแหล่งน้ำ รวมทั้งทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์หลากหลาย



ไร่ชาผู่เออร์.

และ จากการร่วมประชุมกับ คณะผู้บริหาร Yonmong Group และ รองอธิบดีกรมพาณิชย์มณฑลยูนนาน มีการหารือด้านการส่งเสริมความร่วมมือด้านการขนส่งและกระจายสินค้า การปลูกยางพารา ทำให้รู้ว่าขณะนี้ภาคเอกชนจีนได้รุกหนักด้วยทุนมหาศาล ทั้งยังมีแผนที่จะตั้งโรงงานแปรรูปยางในเมืองไทยแล้วด้วย

ต้องอึ้ง กับศูนย์โลจิสติกส์ของยูนนานที่สามารถกระจายสินค้าได้อย่างรวดเร็ว ครองตลาดการค้ามูลค่ามหาศาล จึงต้องหันมาทบทวนว่า หากคนไทยยังไม่ลงมือทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน ย่อมจะสูญเสียประโยชน์มหาศาล

โดย เฉพาะหากภาคการเมืองยังรุนแรง โยกย้ายบุคลากรที่มีส่วนในการสร้างความสัมพันธ์ทางการค้าบ่อยๆจนต้องมานั่ง นับ 1 กันแทบทุกครั้ง เป็นที่น่าเบื่อหน่ายของนักลงทุนต่างชาติ




สภาพถนนลาดยางอย่างดีในจีน.

สะพานเชื่อมต่ออุโมงค์ระหว่างภูเขาย่นระยะการเดินทาง.

ทันที ที่ถนนสาย R3A สร้างเสร็จ จะกลายเป็นเส้นทางทางบกสายหลักในการขนส่งสินค้าทดแทนการขนส่งสินค้าทางเรือ ในแม่น้ำโขงที่มีปัญหา มูลค่าการค้าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และจะเพิ่มแบบทวีคูณในฤดูแล้ง

ไม่เริ่มตอนนี้ เราจะเสียโอกาสขนาดไหน... ไม่อยากคิดเลย.

http://www.thairath.co.th/content/life/230326
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #403 เมื่อ: วันที่ 16 มกราคม 2012, 09:14:36 »

ครม.ไฟเขียวลงทุนระบบการขนส่งภาคเหนือ4แสนล. "ไฮ สปีด เทรน"เชียงใหม่ฉลุย



 ที่ประชุมครม.สัญจร รับลูก "กรอ." ทุ่มงบ 230,000 ล้านบาท สร้างรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ พร้อมเห็นชอบข้อเสนอ โครงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนภาคเหนือทั้งระบบรวมงบแล้วเกือบ 4 แสน ล้านบาท

 คณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชน (กรอ.) มีการประชุม เมื่อวันที่ 15 มกราคม ที่ผ่านมา ที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งที่ประชุมได้นำมติที่ได้จากที่ประชุมเสนอ คณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจรซึ่งจัดขึ้นที่เชียงใหม่ ในวันเดียวกัน

 ขณะที่ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.พาณิชย์ แถลงว่า ที่ประชุมกรอ. ได้เสนอให้รัฐบาลเร่งพิจารณาในการพัฒนาระบบการขนส่งในพื้นที่เขตภาคเหนือ ให้มีความเชื่อมโยงกันมากขึ้น เพื่อพัฒนาระบบเศรษฐกิจ โดยการประชุมหารือร่วมกันดังกล่าวนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี ที่การทำงานระหว่างภาครัฐและเอกชน มีความร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ขณะที่ที่ประชุมครม.สัญจร ได้เห็นชอบหลักการ โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาคเหนือ ทั้งรถไฟฟ้าความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) กรุงเทพฯ- เชียงใหม่ ระบบขนส่งสาธารณะ รวมถึงระบบป้องกันน้ำท่วมภาคเหนือ รวม 128 โครงการ เงินลงทุนเกือบ 4 แสนล้านบาท แล้ว ซึ่งเป็นไปตามข้อเสนอของ กรอ.

 ขั้นตอนต่อไป ครม. ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนองบผ่านคณะกรรมการกลั่นกรองและคณะกรรมการ กยอ.เพื่อกลั่นกรองงบให้เหมาะสม เนื่องจากโครงการลงทุนทั้งประเทศระยะยาว ต้องใช้เงินลงทุนถึง 2 ล้านล้านบาท

 นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ได้มอบหมายให้ กระทรวงการคลัง เร่งจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556 ให้เสร็จในสิ้นเดือนมกราคมนี้ เพื่อให้ทุกหน่วยงาน จัดทำงบประมาณให้สอดคล้องกับการป้องกันน้ำท่วม และโครงการก่อสร้างระยะยาวของรัฐบาล โดยยังเป็นงบประมาณแบบขาดดุล แต่มีแนวโน้มลดลง

 ด้าน นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) กล่าวว่า ที่ประชุมกรอ. ภาคเอกชนยังอยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ- เชียงใหม่ วงเงินกว่า 230,000 ล้านบาท รวมถึงการสร้างรถไฟสายใหม่ เชียงใหม่ -เชียงราย และ เชียงของ เพิ่มเติม นอกจากนี้ ยังอยากให้ที่ประชุมให้มีการพิจารณาการเปิดจุดผ่านแดนเพิ่มเติมจากเดิมที่มีอยู่ เพื่อเป็นการพัฒนาระบบเศรษฐกิจในภูมิภาคนี้

 ด้านนางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ระบุว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้เร่งดำเนินการฝายชะลอน้ำ การสร้างประตูระบายน้ำและการซ่อมตลิ่ง ซึ่งเป็นการลงทุนระยะสั้นป้องกันปัญหาน้ำท่วมในภาคเหนือ

 มีรายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ในการประชุมครม.สัญจร ครั้งนี้ นายก รัฐมนตรีได้แจ้งให้ที่ประชุมทราบ ว่า รัฐบาลจะมีการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรทุกเดือน โดยครั้งต่อไปในเดือนกุมภาพันธ์ 2555 จะจัดประชุมที่จังหวัดขอนแก่น

 ส่วนที่ประชุมกรอ. ที่มี นายกรัฐมนตรี เป็นประธานนั้นได้มีการประชุมในช่วงเช้าหรือการที่จะมีการประชุม ครม.สัญจร โดยที่ประชุมเห็นชอบ ร่วมกันใน โครงการพัฒนาเศรษฐกิจในพื้นที่ภาคเหนือ 8 จังหวัด ซึ่งนอกจากนี้โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงแล้วยังมี โครงการมอเตอร์เวย์เชียงใหม่-เชียงราย โครงการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนเมืองเชียงใหม่ โครงการก่อสร้างทางรถไฟเด่นชัย จ.แพร่ เชียงของ เชียงราย

 พร้อมกันนี้ที่ประชุมยังเสนอให้มีการผลักดัน อ.แม่สาย จ.เชียงราย เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน และการเปิดด่านการค้าชายแดนถาวรอีก 3 จุด คือที่กิ่วผาวอก อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน และบ้านฮวก จ.พะเยา

 มีรายงานข่าวจาก กระทรวงคมนาคม แจ้งว่า สำหรับการสร้างรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ นั้น การลงทุนก็เพื่ออำนวยความสะดวกในเรื่องการขนส่ง ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทั้งด้านการท่องเที่ยว และการขนส่งสินค้า และก่อนหน้านี้ นายสี จิ้น ผิง รองประธานาธิบดีจีน ได้เดินทางมาเยือนไทย ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ใน โครงการรถไฟความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่-ลาว ก่อนเชื่อมต่อไปยังประเทศอาเซียน เรียบร้อยแล้ว

 ทั้งนี้รูปแบบการลงทุนร่วมกับจีนนั้น ก่อนหน้านี้ กระทรวงคมนาคม มีแนวคิดที่จะเสนอนายกรัฐมนตรี ที่ให้ใช้วิธีการลงทุนแบบการค้าแลกเปลี่ยน (บาร์เตอร์เทรด) เพื่อประหยัดเงินลงทุนในการก่อสร้างด้วย
วันที่ 16/1/2012

http://www.naewna.com/news.asp?ID=296624
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #404 เมื่อ: วันที่ 16 มกราคม 2012, 18:04:06 »

คมนาคมรุดดูท่าเรือเชียงแสน-หลังพ้นสัญญาสร้างเร่งให้เปิด 1 เมษาฯนี้

เชียงราย - รองปลัดฯคมนาคม ยกทีมดูงานก่อสร้างท่าเรือเชียงแสน 2 หลังสิ้นสุดสัญญาจ้างตั้งแต่ปลายปี 54 ล่าสุด ใจชื้นงานเดินหน้า 98.03% เชื่อ เปิดทัน 1 เมษาฯนี้แน่ เผยมีเอกชนจีนสนใจลงทุนเปิดห้องเย็น รับการค้าปีละกว่าหมื่นล้านแล้ว







       
       วันนี้ (16 ม.ค.) นายศรศักดิ์ แสนสมบัติ รองปลัดกระทรวงคมนาคม พร้อมคณะจากกระทรวงคมนาคม เช่น นายถวัลย์ อ่อนศิละ อธิบดีกรมเจ้าท่า, นายวันชัย ภาคลักษณ์ อธิบดีกรมทางหลวง ฯลฯ ได้เดินทางไปตรวจสอบความคืบหน้าการก่อสร้างท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ปากแม่น้ำกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เนื้อที่ประมาณ 387 ไร่ 1 งาน 44 ตารางวา ชายแดนติดกับแขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว
       
       หลังสิ้นสุดสัญญาก่อสร้างไปแล้วตั้งแต่ 28 ธ.ค.54 (เริ่มสัญญา 12 พ.ค.52 รวมระยะเวลาก่อสร้าง 960 วัน วงเงิน 1,546.4 ล้านบาท) แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่แล้วเสร็จ
       
       กรมเจ้าท่าประกาศว่า การก่อสร้างคืบหน้าได้กว่า 98.03% แล้ว และมีกำหนดจะเปิดใช้งานได้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.55 นี้เป็นต้นไป จากนั้นการท่าเรือแห่งประเทศไทยจะเป็นหน่วยงานที่เข้าไปบริหารดูแลท่าเรือต่อไป
       
       นายเฉลิมชัย มีคุณเอี่ยม ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย ได้รายงานความคืบหน้าว่า ปัจจุบันท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 1 ซึ่งอยู่ในเขตเทศบาล ต.เวียงเชียงแสน รองรับสินค้าได้ปีละ 300,000 ตัน แต่ในอนาคตปริมาณการค้าโดยเฉพาะกับจีนเพิ่มมากขึ้นจึงทำให้ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 มีความจำเป็น เพราะรองรับสินค้าได้ปีละมากกว่า 6 ล้านตัน
       
       ทั้งนี้ ปัจจุบันโครงการคืบหน้าไปมาก จะเปิดได้ทันวันที่ 1 เม.ย.55 นี้แน่นอน โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 9 หน่วยงาน เช่น ด่านตรวจคนเข้าเมือง ด่านศุลกากร องค์การอาหารและยา กรมเจ้าท่า ฯลฯ จะย้ายไปอยู่ในท่าเรือทั้งหมด ปัจจุบันจัดเตรียมสถานที่และมีระบบการเชื่อมโยงการทำงานร่วมกันเอาไว้แล้ว ทั้งนี้ก่อนการเปิดใช้งานจริงจะทดลองรับเรือในเดือน มี.ค.55 นี้ก่อน
       
       อย่างไรก็ตาม มีข้อเสนอ 2 เรื่อง คือ ขอให้ท่าเรือเป็นศูนย์กลางการเทียบท่าเรือแม่น้ำโขงของไทย เพราะปัจจุบันมีท่าเรืออื่นๆ ที่ไม่ใช่ของรัฐอยู่ และขอให้มีการพัฒนาเส้นทางคมนาคมเพื่อเชื่อมโยงไปยังท่าเรืออย่างมีประสิทธิภาพ
       
       “ตอนนี้มีเอกชนจีนให้ความสนใจจะก่อสร้างห้องเย็นเก็บสินค้าที่ท่าเรือด้วย ซึ่งภายในท่าเรือ ที่กว้างขวางก็จัดเตรียมสถานที่รองรับเอาไว้อยู่แล้ว แต่ยังไม่ได้พิจารณาตัดสินใจ เพราะถือเป็นเรื่องไม่เร่งด่วน แต่หากว่าจีนไม่ทำ ทางการท่าเรือฯก็มีแผนที่จะทำเองได้ในอนาคต โดยจะเสนอของบประมาณลงทุนเรื่องห้องเย็นเองได้เช่นกัน” นายเฉลิมชัย กล่าว
       
       นายทรงกลด ดวงหาคลัง หัวหน้าสำนักงานเจ้าท่า จ.เชียงราย กล่าวว่า จากเหตุการณ์รุนแรงในแม่น้ำโขงช่วงปลายปีที่ผ่านมา จนทำให้เรือสินค้าแม่น้ำโขงหยุดแล่น ปรากฏว่าผู้ประกอบการหันไปขนส่งทางรถยนต์ผ่านถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ที่ อ.เชียงของ กันมากขึ้น แต่ต้นทุนการขนส่งสูงกว่าทางเรือถึงกว่า 5 เท่าตัว ดังนั้น การขนส่งทางเรือ ยังคงจำเป็นและท่าเรือแห่งนี้ก็ห่างจากท่าเรือแห่งเดิมแค่ 6 กิโลเมตร
       
       ส่วนความกังวลเรื่องระดับน้ำแห้งนั้น ได้มีการศึกษาแล้วพบว่า ในปีที่ผ่านมาระดับน้ำแห้งสุดช่วงเดือน เม.ย.อยู่ที่ 2 เมตร แต่เรือใช้ระวางได้ 1.8 เมตรขึ้นไป จึงไม่มีปัญหาเรื่องน้ำแห้งแน่นอน ขณะเดียวกัน หากเรือจีนแล่นลงมาทางประเทศจีนมักมีการเปิดน้ำในเขื่อนรองรับเสมอด้วย
       
       นายสมควร สุตะวงศ์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) บ้านแซว กล่าวว่า เมื่อโครงการแล้วเสร็จก็อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องคำนึงถึงข้อตกลงร่วมหรือเอ็มโอยู ที่เคยทำร่วมกับชาวบ้าน ได้แก่ การจ้างงานต้องใช้คนในพื้นที่ การจัดเก็บรายได้ควรแบ่งให้ท้องถิ่น การจัดระเบียบพื้นที่หรือโซนนิ่งโดยเฉพาะปัญหาขยะที่กำลังกังวลกันอยู่ เมื่อเปิดใช้ท่าเรือ ซึ่งบางเงื่อนไขก็อาจติดข้อกฎหมายจึงขอให้มีการนำไปศึกษาและแจ้งให้ชาวบ้านทราบด้วย
       
       นายศรศักดิ์ แสนสมบัติ รองปลัดกระทรวงคมนาคม ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเพิ่มเติมว่า ท่าเรือใหม่น่าจะเปิดใช้งานทันวันที่ 1 เม.ย.55 นี้แน่นอน เพราะเตรียมแผนล่วงหน้ามาแล้วร่วม 1 ปี โดยจะถือเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี กระทรวงคมนาคมพอดีด้วย
       
       สำหรับสาเหตุที่การก่อสร้างไม่ตรงตามสัญญาก่อสร้าง คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้เลื่อนการก่อสร้างออกมาได้เพราะสาเหตุเรื่องอุทกภัย ส่วนปัญหาเรื่องท่าเรือริมแม่น้ำโขงอื่นๆ ที่จะต้องขอให้หยุดให้บริการเพื่อไปใช้ที่ท่าเรือแห่งนี้ทั้งหมดนั้น คงต้องอาศัยทางฝ่ายปกครองอำเภอและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเข้าไปช่วยเจรจา ซึ่งคงจะมีปัญหาบ้างแต่เชื่อว่าสามารถทำได้
       
       อย่างไรก็ตาม แผนการเปิดใช้งานท่าเรือเชียงแสน 2 ในวันที่ 1 เม.ย.55 แม้ว่า ขณะนี้หลายฝ่ายยืนยันว่า ทันตามกำหนดแน่นอนก็ตาม แต่ก็มีหลายหน่วยงานกังวลเช่นกันว่า อาจจะเกิดปัญหาขึ้นได้ เนื่องจากหน่วยงานต่างๆ ที่จะเข้าไปประจำอยู่ในท่าเรือได้แจ้งการทำงานที่สำนักงานแห่งเดิมถึงวันที่ 31 มี.ค.55 นี้เท่านั้น
       
       นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องทางเชื่อมจากถนนสายเชียงแสน-เชียงของ ด้านหน้าท่าเรือซึ่งยังไม่มีมีการก่อสร้างเพราะอยู่นอกเขตท่าเรือ ทำให้ทางรองปลัดคมนาคม ได้ฝากไปยังกรมทางหลวง นำงบประมาณ 10 ล้านบาทไปก่อสร้างชั่วคราว จากเดิมกรมทางหลวง วางแผนใช้งบประมาณ 330 ล้านบาทพัฒนาถนนเชียงแสน-เชียงของ อยู่แล้ว แต่เป็นงบประมาณปี 2556 ซึ่งต้องนำผ่านสภาผู้แทนราษฎรในเดือน ก.พ.ซึ่งอาจไม่ทันการณ์
       
       สำหรับท่าเรือเชียงแสนมีมูลค่าการค้าชายแดน รวมปีละกว่า 11,000 ล้านบาท แยกเป็นการส่งออกประมาณ 9,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นชิ้นส่วนไก่แช่แข็ง น้ำมันปาล์ม เครื่องดื่ม ฯลฯ นำเข้าประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นผลไม้และพืชผัก และสินค้าผ่านแดนประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยการค้าส่วนใหญ่เป็นการค้ากับจีน และใช้เรือสินค้าสัญชาติจีนเป็นหลัก
       
       ทั้งนี้ ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ก็พบว่า มีการส่งออกแล้วกว่า 892,277,892.57 บาท และนำเข้า 39,999,775.67 บาท แม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องเรือสินค้าจีน 2 ลำถูกปล้นและลูกเรือชาวจีนถูกฆ่ารวม 13 ศพ เมื่อวันที่ 5 ต.ค.54 ที่ผ่านมาก็ตาม


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000006748
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #405 เมื่อ: วันที่ 18 มกราคม 2012, 19:41:07 »

ททท.ระดมความคิดจัดสัมมนาด้านการตลาด รับมือภาวะวิกฤติกระตุ้นท่องเที่ยวเชิงรุกเน้น 6 หัวข้อเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ระดมความคิดจัดสัมมนาด้านการตลาด รับมือภาวะวิกฤติกระตุ้นท่องเที่ยวเชิงรุกเน้น 6 หัวข้อเพื่อการท่องเที่ยวยั่งยืน
นางปานจิตร สันทัดกลการ ผู้อำนวยการกองเผยแพร่ความรู้ด้านการท่องเที่ยว การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. กล่าวถึงการประชุมเพื่อระดมความคิดเห็นการจัดอมรมสัมมนาการท่องเที่ยว ว่า สำหรับแผนการดำเนินการจัดอบรมสัมมนาในปี 2555 กองเผยแพร่ความรู้ด้านการท่องเที่ยว ใน 6 ตลาด ได้แก่ การอบรมตลาดท่องเที่ยวออนไลน์สมัยใหม่สำหรับธุรกิจท่องเที่ยว โดยการเพิ่มช่องทางการสื่อสาร การแนะนำ หรือเพิ่มแอฟพลิเคชั่น ให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวไว้เป็นตัวเลือกในการตัดสินใจ ,การอบรมสัมมนาการส่งเสริมตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพสำหรับตลาดต่างประเทศ โดยการโฟกัสประเทศในกลุ่มอาเซียน เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 หรือ AEC ,การอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการการจัดการการท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ,การอบรมสัมมนาการส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยวอย่างยั่งยื่น ทั้งนี้ข้อที่ 3 และ 4 จะเร่งดำเนินการใน 4 พื้นที่ ได้แก่ เชียงคาน ปาย น่าน และ สมุย ภายใต้แนวคิด 7 กรีน ,การอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการสื่อสารความหมายแหล่งท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้เส้นทางไดโนเสาร์ การศึกษาอุทยานประวัติศาสตร์ ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และชมงานประติมากรรมแกะสลักเทียนเข้าพรรษา ที่จังหวัดอุบลราชธานี และ การบูรณาการการจัดอบรมสัมมนาด้านการตลาดท่องเที่ยวร่วมกับหน่วยงานภายในประเทศและภายนอกประเทศ ซึ่งจะทำในรูปแบบการเชื่อมโยงเส้นทางการท่องเที่ยว เช่น เส้นทางเชียงราย-ลาว-จีน
นางปานจิตร กล่าวอีกว่า แผนการจัดอบรมสัมมนาในปี 2556 เบื้องต้นคาดว่าจะสานต่อใน 3 เรื่อง ได้แก่ การท่องเที่ยวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ,การส่งเสริมการตลาดท่องเที่ยวอย่างยั่งยื่น และ การท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้


   
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : สุภาภรณ์ สุขันทอง   Rewriter : กัลยา คงยั่งยืน
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th


 วันที่ข่าว : 18 มกราคม 2555

IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #406 เมื่อ: วันที่ 19 มกราคม 2012, 11:34:16 »

เชียงราย - เมืองพ่อขุนฯ เร่งมือเตรียมงานฉลอง 750 ปีเมืองเชียงรายก่อนตัดริบบิ้นเปิดงาน 26 มกราฯนี้ ดึง “ชายจืด” เปิดงานเลี้ยงภาคค่ำ พร้อมจัดกิจกรรมต่อเนื่องตลอดปี
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า นายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานในการแถลงข่าวความพร้อมในการจัดงานเฉลิมสมโภชเมืองเชียงราย 750 ปี ที่ห้องราชพฤกษ์ โรงแรมทีคการ์เด้นท์ สปา รีสอร์ท อ.เมืองเชียงราย โดยมีฝ่ายที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมครบครัน
       
       เช่น อาจารย์นคร พงษ์น้อย ผู้อำนวยการอุทยานศิลปวัฒนธรรมแม่ฟ้าหลวง ,นายพูนศักดิ์ มหาคำ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานปฏิบัติการภูมิภาค บริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด, นายชวลิต สุธรรมวงศ์ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงราย ,นายวิรุฬ คำภิโล ประธานคณะกรรมการฝ่ายสิทธิประโยชน์งานฉลองสมโภช 750 ปีเมืองเชียงราย และนายสมพงษ์ กูลวงค์ นายกเทศมนตรีนครเชียงราย ฯลฯ
       
       โดยแจ้งว่า ขณะนี้การเตรียมความพร้อมยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่องได้แก่ งานพุทธมณฑลสมโภช 750 ปี การก่อสร้างระฆังหลวงสมโภช 750 ปีเมืองเชียงราย และการก่อสร้างพระประธาน พระสิงห์หนึ่ง รวมทั้งการสร้างหอวัฒนธรรมนิทัศน์วัดฝั่งหมิ่น กิจกรรมบ้านศิลปิน นิทรรศการศิลปกรรมศิลปินเชียงราย การเสวนาร้องรอยแห่งกาลเวลา ร่วมรับรู้ถิ่นเชียงราย 750 ปี การจัดค่ายเยาวชนสำนึกรักเชียงราย การจัดทำหนังสือสมโภช
       
       การจัดทำหนังสือที่ระลึก โครงการธรรมยาตราฉ กิจกรรมจัดบ้านแต่งเมือง การจัดทำสัญลักษณ์ การจัดทำดวงตราไปรษณียากร การจัดแสง สี เสียงประกอบในงานเลี้ยงรับรองบุคคลสำคัญ การแกะสลักไม้เล่าเรื่องเมืองเชียงรายของมูลนิธิอุทยานประวัติศาสตร์เชียงราย การจัดบรรยายธรรมะ มงกุฎทองของประเทศ โดยท่านมหาวุฒิชัย วชิรเมธี การจัดทอดผ้าป่าการกุศล การจัดสร้างก้อนชาแบบผู่เอ๋อ โดยสมาคมชาไทยร่วมกับจังหวัดเชียงราย ฯลฯ
       
       กิจกรรมทั้งหมดจะเปิดสู่สาธารณะพร้อมกันตั้งแต่วันที่ 26 ม.ค.55 ซึ่งเป็นวันที่พ่อขุนเม็งรายมหาราชทรงสถาปนาเมืองเชียงรายเมื่อวันที่ 26 ม.ค.1805 และในช่วงเช้าวันเดียวกันจะเริ่มทำพิธีถวายสักการะพระบรมอัฐิพญามังรายมหาราช ณ วัดดอยงำเมือง ถนนวินิจฉัยกุล เทศบาลนครเชียงราย โดยนายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานจุดธูปเทียนสักการะพระบรมอัฐิพญามังรายมหาราชและห่มผ้าพระสถูป
       
       จากนั้นช่วงสายจะประกอบมหาพิธีบวงสรวงทำบุญเมือง และถวายเครื่องราชสักการะพญามังรายมหาราช ณ ลานอนุสาวรีย์พ่อขุนเม็งรายมหาราช ต่อด้วยพิธีสืบชะตาทำบุญเมืองเชียงราย และพิธีถวายเครื่องราชสักการะพญามังรายมหาราช
       
       ภาคบ่ายจะมีการพิธีเปิดงานพ่อขุนเม็งราชมหาราชและงานกาชาด ณ สนามบินฝูงบิน 416 โดยงานจะมีไปจนถึงวันที่ 3 ก.พ.55 จากนั้นช่วงเย็น มีพิธีจัดเลี้ยงรับรอง ณ อุทยานศิลปะแม่ฟ้าหลวง และภาคค่ำเป็นพิธีเปิดงานฉลอง ณ สวนตุงและโคมเฉลิมพระเกียรติฯ ถนนธนาลัย อ.เมือง
       
       ทั้งนี้ ได้มีการเชิญนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี ไปเป็นประธานในพิธีเปิดงานเฉลิมฉลองในช่วงค่ำ โดยจะมีการแสดงตีกลองล้านนา การแสดงฟ้อนเล็บ ฟ้อนผางประทีป โดยช่างฟ้อน 750 คน และการแสดงศิลปวัฒนธรรมล้านนาและการแสดงวัฒนธรรมชนเผ่า
       
       ในส่วนของกิจกรรมของการฉลองสมโภช จะมีอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี เพื่อให้ประชาชนได้แสดงออก ซึ่งความสามัคคีและเป็นศูนย์รวมใจ ให้ประชาชนได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพญามังรายมหาราช องค์ปฐมกษัตริย์ผู้สร้างและสถาปนาเมืองเชียงรายขึ้นในอาณาจักรล้านนาเป็นแห่งแรก
       
       รวมทั้งเพื่อส่งเสริมเกิดการอนุรักษ์และสืบสานประเพณี วิถีชีวิต วัฒนธรรม ศิลปะ และภูมิปัญญาของประชาชนและจังหวัดเชียงราย โดยจะมีกิจกรรมเสริมอื่นๆ ในรอบปีนอกเหนือจากนี้อีกด้วย เช่น การแข่งกีฬา เป็นต้น


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000008170
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #407 เมื่อ: วันที่ 20 มกราคม 2012, 20:10:01 »

ผู้ว่าฯ 3 กลุ่มเอกชนเชียงรายตั้งวงถกรับ AEC เชื่อทำ ชร.เปลี่ยนเร็ว-แรง


เชียงราย - รัฐ-เอกชนเมืองพ่อขุนฯ ตั้งโต๊ะเสวนา “ก้าวย่างใหม่ของเชียงรายสู่สากล” ระดมพลังเตรียมพร้อมรับเออีซี-เขตเศรษฐกิจพิเศษฯ ผู้ว่าฯส่งสัญญาณเอกชนต้องเร่งปรับตัว พัฒนาบุคลากรรองรับการเปลี่ยนแปลง พร้อมวางยุทธศาสตร์ชร. ตามรอยสมเด็จย่า-รับประชาคมอาเซียน เผย จีนยังเดินหน้าลงทุนอีกร่วม 8 หมื่นล้านหยวน

รายงานข่าวแจ้งว่า สมาคมท่องเที่ยวเชียงราย ร่วมกับหอการค้าฯ-สภาอุตสาหกรรม จ.เชียงราย จัดกิจกรรมเสวนาในหัวข้อ “ก้าวย่างใหม่ของเชียงรายสู่สากล” ขึ้นเมื่อค่ำวันที่ 19 ม.ค.55 ที่ห้องดอยตอง โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ท อ.เมืองเชียงราย โดยมีผู้ประกอบการและตัวแทนภาครัฐเข้าร่วมครบครัน

ด้าน นายธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย คนใหม่ได้แสดงวิสัยทัศน์และร่วมเสวนาว่า เชียงรายมีความเป็นมายาวนานร่วม 750 ปี แต่ละยุคสมัยผ่านพัฒนาการมา จนพบว่าแต่ละเมืองมีความเป็นเอกลักษณ์ สำหรับเชียงรายนั้นตนกำลังมีแผนให้ข้าราชการได้มีจิตสำนึกความเป็นคนเหนือหรือคนเมือง ด้วยการให้พูดภาษาเหนือ สวมใส่เสื้อผ้า และรับประทานอาหารเหนือ ฯลฯ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 วัน

ขณะเดียวกัน ก็จะส่งเสริมให้มีการใช้ต้นทุนที่มีอยู่ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนแปลงของประชาคมโลก โดยเฉพาะกระแสโลกาภิวัตน์ และการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซีในปี 2558 เป็นต้นไป รวมทั้งความร่วมมือกับกลุ่มประเทศอื่นๆ เช่น จีน กลุ่มBEMSTEC ฯลฯ ซึ่งจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงที่ตนขอเรียกว่า “รวดเร็วและรุนแรง” โดยที่ไม่สามารถหนีพ้นได้ นอกจากต้องปรับตัวให้ได้

การปรับตัวดังกล่าว คือ การติดตามสถานการณ์ และเพิ่มศักยภาพให้กับตัวเองโดยใช้ต้นทุนที่มีอยู่แล้ว และพัฒนาให้ดีขึ้นกว่าเดิม เช่น ที่ผ่านมาเราเคยได้ยินระเบียงเหนือ-ใต้ ของภูมิภาค ผ่านประเทศไทย แต่ปัจจุบันพบว่าจีนให้ความสำคัญกับชายแดนพม่า-จีน ด้านเมืองมูเช-รุ่ยลี่ หรือ ยุ่ยลี่ ซึ่งเป็นชุมชน 5 แห่ง ที่ถือเป็นแหล่งกระจายสินค้าขนาดใหญ่ที่มีรถบรรทุกเข้าออกอย่างน้อยวันละกว่า 500 คัน มีการพัฒนารางรถไฟรางคู่จากจีนตอนใต้ผ่านพม่าไปสู่ชิตเว หรืออ่าวเบงกอล เพื่อเชื่อมจีนกับมหาสมุทรอินเดีย เป็นต้น

ขณะที่เชียงรายมีต้นทุนสูงหลายเรื่อง โดยเรื่องแรกคือ การที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี “สมเด็จย่า” ได้ทรงพัฒนาเชียงรายและก่อให้เกิดโครงการที่เป็นประโยชน์มากมายทั้งโครงการพัฒนาดอยตุง (พื้นที่ทรงงาน) อันเนื่องมาจากพระราชดำริ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ฯลฯ ซึ่งจังหวัดกำลังจะเดินตามรอย โดยเฉพาะการปลูกป่าสร้างคนเพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและยาเสพติดให้ครบทั้ง 18 อำเภอ หลังจากที่โครงการพัฒนาดอยตุงฯ ประสบความสำเร็จและทำให้ประชากร 27,000 คนได้ประโยชน์

ต้นทุนอีกอัน คือ การที่มีกลุ่มทุนใหญ่ๆ เข้าไปลงทุนที่ จ.เชียงราย อย่างต่อเนื่อง เช่น ไร่บุญรอด สนามกอล์ฟ ฯลฯ ทำให้เกิดการจ้างงาน และต้นทุนเรื่องสถานศึกษา ที่มีมากมายหลายมหาวิทยาลัย ซึ่งทั้งหมดไม่รวมต้นทุนทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี ฯลฯ ที่อยู่คู่เชียงรายอยู่แล้ว

“สิ่งที่เชียงรายต้องทำคือ นำต้นทุนดังกล่าวมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้เราต้องปรับตัว โดยปรับเรื่องภาษาโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ และจีน ไม่เช่นนั้นเสียเปรียบประเทศอื่นๆ หลังเข้าเออีซี และปรับธุรกิจ เช่น ลูกจ้างต้องพูดได้หลายภาษา เป็นต้น ซึ่งเหล่านี้เอกชนทำได้เลยโดยไม่ต้องรอภาคราชการ และสุดท้ายคือปรับด้านการศึกษา” นายธานินทร์ กล่าว

ผู้ว่าฯเชียงราย ยังระบุอีกว่า นอกจากนี้ ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัญจร ที่เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 15 ม.ค.55 ที่ผ่านมา มีมติเห็นชอบในหลักการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน 3 อำเภอคือแม่สาย เชียงแสน และ เชียงของ โดยอยู่ระหว่างให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปจัดทำแผนเสนอขึ้นไปอยู่

ด้าน นายอภิชา ตระสินธุ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่า สถิติการท่องเที่ยวของเชียงรายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2550 มีนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างประเทศเข้ามา 1,436,435 คน สร้างรายได้เข้าจังหวัดประมาณ 9,818.95 ล้านบาท ปรากฏว่า ปี 2553 แม้จะมีปัญหาทางการเมืองในประเทศกลับมีนักท่องเที่ยวมากขึ้นถึง 2,288,218 คน สร้างรายได้เข้าจังหวัดกว่า 15,024.64 ล้านบาท

แต่ปัญหาคือ ตั้งแต่เดือน มี.ค.-ธ.ค.นักท่องเที่ยวจะมีไม่มาก รวม 8 เดือน ดังนั้น จึงจะร่วมกับจังหวัดเพื่อลดช่วงโลว์ซีซันลงให้ได้ จึงมีข้อเสนอในการเพิ่มศักยภาพแหล่งท่องเที่ยว เพิ่มรูปแบบและกิจกรรมหรือเทศกาลมากขึ้น ส่งเสริมตลาดและการขยาย ส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวอาร์สามเอ รวมทั้งบูรณาการภาครัฐและเอกชน

นายชวลิต สุธรรมวงศ์ ประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวว่า ผลของการเปลี่ยนแปลงในอนาคตทำให้การพัฒนาไม่สามารถยึดกับภาพเก่าๆ ได้อีกต่อไป จึงต้องปรับตัวโดยหอการค้าพร้อมทำงานกับทุกฝ่าย ในส่วนของการท่องเที่ยวก็พร้อมให้การสนับสนุนเต็ม 100% และทุกฝ่ายก็ควรบูรณาการโดยไม่ยึดติดเฉพาะหน้าที่ของตัวเอง เพราะปัจจุบันประเทศจีนพร้อมลงทุนอีก 8 หมื่นล้านหยวน เพื่อพัฒนาการลงทุนของจีนตอนใต้ ดังนั้น ภาพที่เราเห็นในปัจจุบันจึงจะเปลี่ยนแปลงไปกว่านี้อีกมาก

นายเกรียงไกร วีระฤทธิพันธ์ ประธานสภาอุตสาหกรรม จ.เชียงราย กล่าวว่า เชียงรายเป็นเมืองที่มีภาระเรื่องต้นทุนด้านการผลิตสูง เพราะอยู่ไกลจึงทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและอื่นๆ สูงโดยคำนวณแล้วน้ำมันดีเซลราคาสูงกว่ายะลา ที่อยู่ใต้สุดลิตรละประมาณ 25 สตางค์ จึงอยากให้ทางจังหวัดและรัฐบาลสนับสนุนโครงการรถไฟเพื่อลดต้นทุน เพราะอดีตที่ผ่านมารัฐบาลสนับสนุนแต่ยังไม่มีการจัดสรรงบประมาณ

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9550000008814
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #408 เมื่อ: วันที่ 27 มกราคม 2012, 22:43:23 »

ส.ส.เพื่อไทยเชียงราย ชักธงค้านแผนตัดถนนเชื่อมสะพานข้ามโขง 4

เชียงราย - กรรมาธิการคมนาคม-ส.ส.เพื่อไทย ตั้งธงค้านสร้างถนนเชื่อมเมืองเชียงราย-สะพานข้ามโขง 4 บอกไม่ตรงแนวปฏิบัติผู้ค้าชายแดน แถมเลี่ยงเขตชุมชนทั้งที่ชาวบ้านต้องการให้ตัดถนนเข้าพื้นที่ ถึงขั้นพร้อมยกที่วัดให้ ขณะที่นักวิชาการ ม.ราชภัฏเชียงราย ร่วมซักค้านกระทบ “หนองหลวง” เผยพบทุนรับเหมาอิงรัฐบาลก่อนเอี่ยวงานก่อสร้าง




       
       วันนี้ (27 ม.ค.) ที่ห้องประชุมทรัพย์ล้อม สำนักงานแขวงการทาง จ.เชียงราย คณะกรรมาธิการการคมนาคม สภาผู้แทนราษฎร ได้เดินทางไปศึกษาข้อเท็จจริง โครงการก่อสร้างเส้นทางหลวงสาย อ.เมือง-อ.เชียงของ เพื่อเชื่อมต่อโครงข่ายถนนในประเทศกับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 และถนน R3a ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้
       
       นายเจือ ราชสีห์ ประธานคณะกรรมาธิการฯ พร้อมคณะได้เชิญกรมทางหลวง สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาชน นักวิชาการ ร่วมรับทราบความคืบหน้าโครงการก่อสร้าง มี นายธีรพัฒน์ รัติธรรมกุล ผู้จัดการโครงการก่อสร้าง และ นายธีรพจน์ วราชิต ตัวแทนจากบริษัทที่ปรึกษาโครงการ ให้ข้อมูล
       
       นายธีรพจน์ กล่าวว่า หลังไทย จีน สปป.ลาว ได้ร่วมกันก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย เชื่อมกับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว-ถนน R3a นั้น กรมทางหลวง ได้ศึกษาแนวก่อสร้างถนนภายในประเทศที่รองรับ โดยเฉพาะถนนสาย อ.เมือง-เชียงของ ซึ่งถนนเดิมคับแคบ ระยะทางไกลกว่า 110 กิโลเมตร ดังนั้น จึงได้ทำการศึกษารูปแบบเอาไว้หลายแบบ
       
       แต่ล่าสุดได้คัดเลือกแบบที่เหมาะสมที่สุดได้แล้วโดยสามารถย่นระยะทางเหลือเพียง 92 กิโลเมตร มีจุดเริ่มต้นที่บริเวณบ้านหัวดอย ต.ท่าสาย อ.เมือง ผ่านหนองหลวง อ.เวียงชัย ซึ่งจะมีการก่อสร้างสะพนข้ามหนองน้ำขนาดใหญ่ และเลี่ยงเขตชุมชนใน ต.บ้านต้าตลาด อ.ขุนตาล เพื่อไปเชื่อมกับถนนสาย อ.เทิง-เชียงของ ที่บ้านใหม่พัฒนา ต.ยางฮอม อ.ขุนตาล ที่เป็นถนนสายหลัก 4 ช่องจราจรรอเอาไว้อยู่แล้ว รวมทั้งกำลังศึกษาเพื่อก่อสร้างถนนไปทาง อ.ขุนตาล
       
       รูปแบบถนนสายใหม่จะเป็น 4 ช่องจราจรเขตทางกว้าง 30-60 เมตร ความกว้างช่องจราจร 3.50 เมตร ไหล่ทาง 2.50 เมตร แบ่งเป็น 3 ช่วง รวมงบประมาณทั้งหมดประมาณ 1,000 ล้านบาท
       
       ทั้งนี้ ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา โครงการได้ศึกษา และพบปะประชาชนจนออกแบบให้เส้นทางเลี่ยงเขตชุมชนหลายพื้นที่ของ อ.ขุนตาล และ อ.พญาเม็งราย ซึ่งหลายแห่งต้องการให้ถนนผ่านหมู่บ้านเพื่อความเจริญแต่หลายแห่งไม่ต้องการ ซึ่งทางโครงการฯ ต้องดูความเหมาะสมเพราะต้องใช้เขตทางกว้าง ขณะที่หลายแห่งกว้างแค่ 10-20 เมตร
       
       ด้าน น.ส.ศิริรัตน์ อิฐรัตน์ ตัวแทนจาก สนข.กล่าวว่า สนข.รับผิดชอบศึกษาความเหมาะสมเรื่องความจำเป็นเรื่องโครงข่ายที่เชื่อมโยงถนน R3a และสะพานแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ซึ่งมีแผนที่จะเสนอของบประมาณก่อสร้างในปี 2556-2557 นี้ เพื่อรองรับการขนส่งสินค้าของถนนอาร์สามเอเป็นสำคัญ
       
       อย่างไรก็ตาม ในที่ประชุมนายรังสรรค์ วันไชยธนวงศ์ โฆษกคณะกรรมาธิการฯ และเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เชียงราย พรรคเพื่อไทย ได้นำทีมคัดค้านในหลายเรื่องทั้งความคุ้มค่า ผลกระทบ ความต้องการชุมชน ฯลฯ โดยระบุว่า ไม่เข้าใจเรื่องแนวคิดการก่อสร้าง ซึ่งเน้นใช้เพื่อประโยชน์ในการขนส่งสินค้าเป็นสำคัญ
       
       ทั้งที่ปัจจุบันผู้ประกอบการค้าชายแดนใช้เส้นทางขนส่งสินค้าจาก อ.เชียงของ-เทิง ไปทาง อ.จุน-ดอกคำใต้ จ.พะเยา เพื่อเชื่อมกับถนนพหลโยธินไปยังกรุงเทพฯ แต่กรมทางหลวงกลับสร้างถนนสายใหม่เชื่อมกับ อ.เมือง เป็นการดึงการจราจรสู่ตัวเมืองเชียงราย ที่เริ่มคับคั่งมากขึ้น
       
       “ที่น่าตกใจเมื่อทราบว่า ถนนสายนี้เป็นเพียงสายรอง แต่กลับจะมีการเสนอเพื่อการก่อสร้างก่อน ดังนั้น มีแนวคิดว่าสร้างถนนสายนี้เพื่อการขนส่งถือว่าผิด 100%”
       
       นายรังสรรค์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ หากก่อสร้างถนนจะต้องสร้างสะพานข้ามหนองหลวงใน อ.เวียงชัย ซึ่งจะกระทบต่อวิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อม ขณะเดียวกัน แนวของเส้นทางยังตัดเลี่ยงชุมชนหลายพื้นที่ เช่น อ.พญาเม็งราย ซึ่งตนได้พบปะชาวบ้านพบว่าชาวบ้านต้องการให้ถนนผ่านชุมชนพวกเขามาก วัดบางวัดถึงขั้นสามารถให้พังกำแพงวัดเพื่อใช้เป็นถนนได้เลยด้วย ดังนั้น จึงขอให้มีการทบทวนพิจารณาเรื่องนี้ให้ละเอียดด้วย
       
       นายชัยยา นาสมทรง นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย กล่าวว่า หนองหลวงมีเนื้อที่ประมาณ 10,000 ไร่ เป็นแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร การท่องเที่ยว มีปลาและนกอพยพ ชาวบ้านใช้เพื่อการประมง รวมทั้งคณะรัฐมนตรีมีมติให้เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำอันดับ 2 ของประเทศไทย ต่อมาจึงมีมติให้ทบทวนโครงการกอสร้างทุกอย่างในหนองหลวง โดยมีข้อห้ามต่างๆ มากมาย จึงเห็นว่าโครงการก่อสร้างฯ ไม่น่าจะทำได้เพราะจะกระทบหลายเรื่อง เช่น สิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต รบกวนนกอพยพ ฯลฯ
       
       ด้านคณะจากบริษัทที่ปรึกษาโครงการก่อสร้าง ได้ชี้แจงว่า สาเหตุที่ไม่ก่อสร้างผ่านเส้นทางชุมชน เพราะคับแคบเพียง 5-20 เมตร และหากผ่านเขตวัด แม้จะบริจาคที่ดินเพื่อการก่อสร้างแต่ต้องใช้พระราชบัญญัติในการยกมอบให้ เพราะเป็นที่ดินของสงฆ์ ซึ่งอาจใช้เวลาร่วม 4-5 ปีจึงจะได้ข้อยุติ
       
       ส่วนกรณีของหนองหลวงถือเป็นหนองน้ำขนาดใหญ่นั้น จะมีการก่อสร้างถนนตลอดแนวความยาวเพียงประมาณ 560 เมตร และตัวสะพานที่อยู่เหนือหนองน้ำจริงๆ จะยาวเพียงประมาณ 30 เมตร และบนบกด้านข้างอีกข้างละ 20 เมตรเท่านั้น จึงจะมีเสาตอม่อไม่กี่เสา รวมทั้งจะมีจุดชมวิวตรงขอบสะพานให้ด้วยจึงส่งเสริมการท่องเที่ยวไปในตัว
       
       กรณีมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับพื้นที่ชุ่มน้ำดังกล่าว ทางโครงการรับทราบแล้ว แต่ยืนยันว่า กรณีนี้มีข้อกำหนดให้ใช้การศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม หรือ อีไอเอ โดยไม่ต้องเสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ก็สามารถก่อสร้างได้ นอกจากนี้ โครงการได้ศึกษาความคุ้มทุนพบว่าคุ้มทุนเพราะจะมีการจราจรขนส่งผ่านเส้นทางวันละกว่า 2,000-6,000 คัน
       
       หลังจากถกประเด็นกันได้ระยะหนึ่ง นายเจือ ราชสีห์ ประธานคณะกรรมาธิการ ได้แจ้งให้มีการรวบรวมประเด็นปัญหาทุกอย่างเอาไว้ เพื่อทำการศึกษา และเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ ก่อนจะนำคณะสำรวจเส้นทางเพื่อศึกษาข้อเท็จจริงตามขั้นตอนต่อไป
       
       ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างถนนหลายสายดำเนินการในช่วงรัฐบาลชุดที่ผ่านมา โดยมีเอกชนที่รับเหมาก่อสร้าง ซึ่งใกล้ชิดกับนักการเมืองในรัฐบาลก่อน เข้าไปก่อสร้างเส้นทางบางส่วนด้วย


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000012275
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #409 เมื่อ: วันที่ 29 มกราคม 2012, 20:14:28 »

ปธ.ประเทศลาว เปิดงาน “ดอกงิ้วบาน” สนั่นสามเหลี่ยมทองคำ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   29 มกราคม 2555 15:25 น.   




เชียงราย – ประธาน สปป.ลาว ตัดริบบิ้นเปิดงาน “ดอกงิ้วบานครั้งที่ 12” ที่สามเหลี่ยมทองคำ หลังคิงส์โรมันฯ ร่วมจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมมอบบ้านให้ชาวลาวที่ต้องอพยพออกนอกพื้นที่สัมปทานและสิทธิ์พัฒนาพื้นที่ 7,500 ไร่ ยาว 99 ปี
       
       สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มดอกงิ้วคำ โดยโครงการ Kings Romans of Laos Asian & Tourism Development Zone ร่วมกับรัฐบาล สปป.ลาว ได้จัดพิธีเปิดงานดอกงิ้วบานครั้งที่ 12 ขึ้น ณ เกาะดอนซาว หรือเกาะกระปุก เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ตรงกันข้ามบ้านสบรวก ม.1 ต.เวียง อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ที่จะจัดไปจนถึงวันที่ 30 ม.ค.55 พร้อมกับเชิญตัวแทนจากจีน สปปป.ลาว ไทย ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
       
       งานนี้มีท่านจูมมาลี ไชยะสอน ประธาน สปป.ลาว เดินทางมาเป็นประธานเปิดงาน และมีบุคคลสำคัญเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก เช่น นายทองสิง ทำมะวง นายกรัฐมนตรี สปป.ลาว, นายสมสะหวาด เล่งสะหวัด รองนายกรัฐมนตรี สปป.ลาว ส่วนฝ่ายไทยมีนายพุทธิคุณ ไชยสาน เลขาธิการสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย เป็นตัวแทนเอกชนเข้าร่วม และมีจ้าวเหว่ย ประธานบริหารบริษัท จิ่นมูเหมิน จำกัด ในฐานะผู้ดำเนินโครงการฯ นำคณะให้การต้อนรับ
       
       จ้าวเหว่ยกล่าวว่า นับตั้งแต่กลุ่มดอกงิ้วคำได้ลงทุนเช่าพื้นที่ 7,500 ไร่ ด้วยการทำสัญญาเช่าเป็นเวลา 99 ปี ก็ได้เร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยมีการก่อสร้างเป็นอภิมหาคอมเพล็กซ์ที่แบ่งการพัฒนาพื้นที่ออกเป็น 5 โซน คือ โซน A เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ เน้นด้านการค้า พาณิชยกรรม กาสิโน การเงิน-การธนาคาร, โซน B เป็นกิจการท่าเรือ, โซน C เป็นกิจการด้านวัฒนธรรม, โซน D เป็นกิจการด้านโบราณสถาน และโซน E เป็นเขตการท่องเที่ยวธรรมชาติ ด้วยเงินลงทุนนับหมื่นล้านบาท โดยมีเป้าหมายที่วางไว้เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนและเชื่อมกับถนนเชื่อมต่อถนน R3A ที่ อ.เชียงของ ด้วย
       
       จ้าวเหว่ยบอกว่า ที่ผ่านมาประสบปัญหามากมายในการดำเนินการ ไม่ว่าเรื่องการพัฒนาพื้นที่ ที่ต้องมีการอนุรักษ์ธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป ซึ่งงบประมาณการก่อสร้างโดยเฉพาะค่าวัสดุก่อสร้าง มีราคาสูงขึ้น จึงทำให้ค่าใช้จ่ายมากกว่าที่ประมาณการกันไว้เสียอีก
       
       นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องภาพลักษณ์ที่ถูกมองว่าสถานที่แห่งนี้สร้างขึ้นมาเพียงเพื่อเป็นกาสิโนอย่างเดียวด้วย ซึ่งขอชี้แจงว่า หลังดำเนินงานก่อสร้างมาได้ 3 ปี หลายสิ่งที่เคยสัญญาไว้ได้เป็นรูปธรรมมากขึ้น เช่น แหล่งท่องเที่ยว ทั้งพระราชวังที่มีการจำลองพระราชวังของฮ่องเต้จีน การส่งเสริมวัฒนธรรม โดยได้มีการสนับสนุนการจัดงานเทศกาลดอกงิ้วบานที่เกาะดอนซาว เป็นต้น
       
       งานครั้งนี้ยังคงดำรงไว้เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีต่อกันของประชาชนที่อาศัยอยู่ตามแนวชายแดน สืบสานวัฒนธรรม ส่งเสริมการท่องเที่ยวให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนเป็นการสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนทั้งสามประเทศ โดยมีกิจกรรมที่น่าสนใจ เช่น ชกมวยคาดเชือกไทย-ลาว-พม่า การแสดงนาฏศิลป์จีน การแสดงนาฏศิลป์ สปป.ลาว การการแสดงจากดารา นักร้อง นักแสดงบนเวที การจำหน่ายสินค้า ท่ามกลางดอกงิ้วที่เบ่งบานเต็มเกาะดอนซาวด้วย
       
       ทั้งนี้ ภายในงานนอกจากท่านจูมมาลี ไชยะสอน ประธาน สปป.ลาว จะตัดริบบิ้นเปิดงานอย่างเป็นทางการแล้ว ยังได้ร่วมกันทำพิธีเปิดบ้านสามเหลี่ยมคำ ที่อยู่ในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ ติดภูเขา ห่างจากริมแม่น้ำโขงออกไปเล็กน้อย เนื่องจากเดิมมีชาวบ้านอาศัยอยู่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ และเกาะดอนซาว ทางโครงการจึงได้ลงทุนด้วยงบประมาณราว 13 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อสร้างบ้านพักพร้อมสาธารณูปโภค สวนสาธารณะยกให้เป็นกรรมสิทธิ์รัฐบาล สปป.ลาว เพื่อนไปมอบให้ชาวบ้านที่ต้องอพยพออกไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000012921
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #410 เมื่อ: วันที่ 30 มกราคม 2012, 15:27:32 »

แลนด์ลุยอสังหาฯ16โปรเจ็กต์3.2หมื่นล.

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม 2012 เวลา 13:39 น.

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ลุยตลาดอสังหาฯ ปี 2555 อีก 16 โปรเจ็กต์มูลค่ากว่า 3.2 หมื่นล้าน พร้อมขยายตลาดอสังหาฯ ต่างจังหวัดเพิ่ม เชื่อมีดีมานด์และกำลังซื้อเติบโตสูง ผลจากการขยายตัวของเศรษฐกิจและราคาสินค้าเกษตรเพิ่มสูง รอลุ้นอีก 1-2 เดือนผลประมูลที่ดินย่านสามย่าน หวังผุดโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสหมื่นล้าน
นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนในปี 2555 ว่า มีแผนการเปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 16 โครงการ ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว 8 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ และคอนโดมิเนียม 6 โครงการ โดยเป็นโครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 12 โครงการ และต่างจังหวัด 4 โครงการ มูลค่ารวมทั้งหมด 32,620 ล้านบาท โดยปีที่ผ่านมาเปิดโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ารวม 24,430 ล้านบาท จากเดิมที่คาดว่าจะเปิด 18 โครงการ เนื่องจากประสบปัญหาน้ำท่วมทำให้ต้องเลื่อนการเปิดโครงการใหม่มาในปีนี้ 4-5 โครงการ

สำหรับปีนี้บริษัทยังให้ความสำคัญกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ในต่างจังหวัด ที่มีโอกาสการพัฒนาที่อยู่อาศัยโดยไม่จำเป็นต้องเป็นเมืองท่องเที่ยวหลักก็ได้ โดยปีนี้จะมีการพัฒนาในจังหวัดอุดรธานี เชียงใหม่ ขอนแก่น และอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในจังหวัดเชียงรายเพิ่มเติมด้วย ซึ่งตลาดในต่างจังหวัดแม้ว่าจะมีความต้องการที่จำกัด แต่การเติบโตค่อนข้างสูง โดยเฉพาะในจังหวัดภาคอีสาน เนื่องจากมีเศรษฐกิจที่ดีจากการเกษตรโดยเฉพาะการปลูกยางพารา และการเข้าไปลงทุนพัฒนาธุรกิจค้าปลีก ทั้งคอมมิวนิตีมอลล์และไลฟ์สไตล์มอลล์ ส่งผลให้เศรษฐกิจมีการเติบโตสูง
นายนพร กล่าวว่า ปีที่ผ่านมารายได้จากการพัฒนาโครงการในตลาดต่างจังหวัดมีสัดส่วนประมาณ 10-12% เติบโตจากปี 2553 ที่มีสัดส่วนประมาณ 6-7% ของรายได้ ในปีนี้คาดว่าสัดส่วนคงใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ส่วนตลาดต่างประเทศบริษัทเห็นว่า ภายหลังจากประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนเปิดแล้วคงจะต้องออกไปพัฒนาโครงการในต่างประเทศ แต่คงต้องดูความพร้อมและช่วงเวลาที่เหมาะสมด้วย แต่คงไม่ใช่ในระยะเวลาอันสั้นช่วง 2-3 ปีนี้ ยกเว้นว่าบริษัทจะมีพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพมาร่วมทุนได้
ส่วนงบประมาณการซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทตั้งไว้ 5,000 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมาที่ใช้งบประมาณซื้อที่ดินไป 5,100-5,200 ล้านบาท ซึ่งบริษัทยังมีกระแสเงินสดอีก 900 ล้านบาทในการใช้หมุนเวียนสำหรับการลงทุนในปีนี้ และยังมีแผนที่จะออกหุ้นกู้มูลค่า 6,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยประมาณ 4% ระยะเวลาประมาณ 3 ปี ซึ่งในปีนี้มีหุ้นกู้ครบกำหนดชำระมูลค่า 3,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีแผนลงทุนด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าอีก 880 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถนำเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ จำนวน 3 แห่ง มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท มาจัดตั้งเป็นกองทุนอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเสนอขายให้แก่นักลงทุนได้ภายในครึ่งปีแรกของ ปี 2555 ได้ด้วย
นายนพร กล่าวอีกว่า บริษัทกำลังอยู่ระหว่างรอผลการประมูลเช่าที่ดินบริเวณสามย่านจำนวน 13 ไร่ จากสำนักงานจัดการทรัพย์สินจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โดยหากบริษัทชนะการประมูลมีแผนการพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูส ที่มีทั้งโรงแรม ศูนย์การค้า คอนโดฯ เป็นต้น คาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะรู้ผลใน 1-2 เดือนนี้
"สิ่งที่อยากได้จากภาครัฐ คือ การประกาศแผนการป้องกันน้ำท่วมที่ชัดเจน ระยะ 3-5 ปีว่าจะดำเนินการอย่างไร ถ้ารัฐบาลส่งสารที่ชัดเจนว่าจะป้องกันอย่างไร จะแก้ไขปัญหาอย่างไร ก็ดีเกินพอแล้ว เพราะจะทำให้ประชาชนเกิดความมั่นใจ รวมถึงนักลงทุนต่างชาติด้วย หากมีความชัดเจนเศรษฐกิจก็จะดีขึ้นเอง ส่วนเรื่องต้นทุนการก่อสร้างน่าจะเพิ่มขึ้นใกล้เคียงปีที่ผ่านมาในอัตรา 8-10% ปัจจุบันวัตถุดิบหลายรายการกำลังการผลิตยังไม่กลับมา และมีปัญหาด้านการขนส่ง ทำให้ต้องหาสินค้าทดแทนมาใช้ ซึ่งบางรายการก็มีราคาที่แพงกว่า โดยภาพรวมแล้วคาดว่าราคาบ้านจะขยับ 3-5% แต่บริษัทคงไม่ได้ปรับขึ้นทันทีหรือได้มากนัก เพราะคงต้องดูตลาดและการแข่งขันด้วย" นายนพร กล่าว
ด้านนายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ส่วนรายได้และกำไรสุทธิในปีนี้คาดว่าจะเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักจากปีที่ผ่านมา ซึ่งยอดรับรู้รายได้จากการขายบ้านและคอนโดมิเนียมในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตราว 8%ปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) ประมาณ 4,600 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ปีนี้ประมาณ 4,000 ล้านบาท และที่เหลือ 600 ล้านบาท จะรับรู้รายได้ในปี 2556 ส่วนรายได้จากธุรกิจให้เช่าพื้นที่ในปีนี้น่าจะทำได้ 1,590 ล้านบาท หรือเติบโต 150% จากปี 2554 ที่มีรายได้ค่าเช่า 637 ล้านบาท ขณะที่มีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทย่อยเข้ามาอีก 1,100-1,300 ล้านบาท หรือเติบโต 30% โดยสัดส่วนกำไรปีนี้คาดว่า จะมาจากธุรกิจหลัก 70% และอีก 30% เป็นส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทย่อย ในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมมูลค่า 22,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.7% จากปี 2554 ที่มียอดขายรวมอยู่ที่ 19,185 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,709
29 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #411 เมื่อ: วันที่ 31 มกราคม 2012, 20:35:43 »

 ศูนย์ข่าวขอนแก่น -คณะทำงานตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวขอนแก่น เล็งชงเรื่องเข้า ครม.สัญจร ที่ จ.อุดรธานี 21-22 ก.พ.นี้ หวังของบศึกษาและจัดทำพิมพ์เขียว เบื้องต้น 50 ล้านบาท พร้อมโฟกัสพื้นที่ตั้งนิคมฯโซนทิศใต้และทิศตะวันตกของเมืองขอนแก่น เผยเปิดให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นนำเสนอพื้นที่เหมาะสม มั่นใจโอกาสเกิดนิคมอุตสาหกรรมที่ขอนแก่นกว่า 70% แม้มีคู่แข่งหลายจังหวัด
       
       นายวิฑูรย์ กมลนฤเมธ ประธานสภาอุตสาหกรรมจังหวัดขอนแก่น ในฐานะคณะกรรมการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว เปิดเผยว่า คณะทำงานจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวจังหวัดขอนแก่น ที่มี นายสมบัติ ตรีวัฒน์สุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดขอนแก่น เป็นประธาน มีมติที่จะนำแผนจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวจังหวัดขอนแก่น เข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุม คณะรัฐมนตรีสัญจรครั้งที่ 2 ที่ จ.อุดรธานี ระหว่างวันที่ 21-22 กุมภาพันธ์นี้
       
       คณะทำงานจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวขอนแก่น จะนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีสัญจร พิจารณาเรื่องจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว ขึ้นในพื้นที่ จ.ขอนแก่น โดยจะมีการขอจัดสรรงบประมาณศึกษาในทุกๆด้าน พร้อมกับจัดทำพิมพ์เขียว ซึ่งต้องใช้งบดำเนินการไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท
       
       สำหรับพื้นที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวขอนแก่น คณะทำงานได้ข้อสรุปเบื้องต้น จะเลือกใช้พื้นที่โซนด้านทิศตะวันตก และทิศใต้ จากตัวอำเภอเมืองขอนแก่นเท่านั้น เป็นที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว โดยด้านทิศตะวันตกตั้งแต่อำเภอเมืองไปตามถนนหลวงหมายเลข 12 ไปจนถึงอำเภอภูเวียง มีความเหมาะสมเป็นเส้นทางระเบียงเศรษฐกิจ EWEC มีการขยายเส้นทางเป็น 4 เลนไปจนถึง อ.แม่สอด จ.ตาก
       
       ส่วนด้านทิศใต้ ตามเส้นทางมิตรภาพฝั่งซ้าย ตั้งแต่อำเภอเมือง อำเภอบ้านแฮด ลงไปจนถึงอำเภอบ้านไผ่ เป็นพื้นที่น้ำท่วมไม่ถึง ซึ่งมีความเหมาะสมด้านการคมนาคมขนส่ง เป็นถนนสายหลักมุ่งสู่พื้นที่ภาคกลาง ในอนาคตจะมีการพัฒนาเส้นทางรถไฟรางคู่ มีคอนเทนเนอร์ ยาร์ด ที่ท่าพระ อำเภอเมืองขอนแก่น
       
       นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า สาเหตุที่ไม่เลือกพื้นที่โซนทิศเหนือ ด้านอำเภอน้ำพอง อำเภอกระนวน เพราะเคยมีการผลักดันจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมมาก่อนหน้าแล้ว ซึ่งเกิดปัญหามวลชนในพื้นที่ต่อต้านมาก ขณะที่โซนด้านทิศตะวันออกของอำเภอเมืองขอนแก่น มีพื้นที่จำกัดจะเข้าไปในเขตจังหวัดมหาสารคาม จึงเป็นพื้นที่ไม่เหมาะสม
       
       สำหรับพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการจัดตั้งเป็นนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว จังหวัดขอนแก่น จะต้องเป็นพื้นที่ผืนใหญ่ไม่ต่ำกว่า 1,500 ไร่ จนถึง 2,000 ไร่ เป็นพื้นที่น้ำท่วมไม่ถึง ไม่ใช่พื้นที่การเกษตรที่สำคัญ และการคมนาคมเข้าถึงพื้นที่สะดวก ไม่ห่างจากถนนสายหลัก โดยคณะทำงานจะเปิดรับพิจารณาพื้นที่จากองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้ง อบต.เทศบาล สามารถนำเสนอพื้นที่ที่เหมาะสมต่อคณะทำงานพิจารณาได้
       
       พื้นที่ผืนใหญ่ที่จะมาตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียวนั้น ไม่จำเป็นว่าต้องพื้นที่ของรัฐ สามารถจัดซื้อพื้นที่เอกชนผืนใหญ่ได้ เพราะการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมจะเป็นการร่วมลงทุนระหว่างการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) กับนักลงทุนที่สนใจ
       
       นายวิฑูรย์ กล่าวต่อว่า โอกาสที่จะเกิดนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว จังหวัดมีความเป็นไปได้สูงมากกว่า 60-70% เพราะขณะนี้โรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่ถูกน้ำท่วม มีความต้องการจะย้ายโรงงานออกมายังภาคอีสานที่ปลอดภัยจากปัญหาน้ำท่วม มีจำนวนสูงมาก ขณะเดียวกันจังหวัดขอนแก่น ถูกเลือกจากการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้เป็นหนึ่งในสี่จังหวัดที่เหมาะต่อการตั้งนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งประกอบด้วย ขอนแก่น กาญจนบุรี เชียงราย และ อ.แม่สอด จ.ตาก
       
       อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่ภาคอีสาน ณ ขณะนี้มี 4 จังหวัดที่มีโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมขึ้น ประกอบด้วย ขอนแก่น อุดรธานี มหาสารคาม และนครราชสีมา โดยแผนการดำเนินการผลักดันของจังหวัดขอนแก่น มีความคืบหน้ามากที่สุดเมื่อเทียบกับจังหวัดอื่นในภาคอีสาน ซึ่งมั่นใจว่า นิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่ภาคอีสาน น่าจะเกิดขึ้นไม่น้อยกว่า 1 จังหวัด

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000013968
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #412 เมื่อ: วันที่ 02 กุมภาพันธ์ 2012, 23:03:57 »

ค้าชายแดนเชียงรายโตก้าวกระโดด6เท่าตัวสูงสุดในรอบ10ปี


วันพฤหัสบดีที่  2 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 22:59 น


นายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยกับ"กรุงเทพธุรกิจ"ว่า การค้าชายแดนด้านจังหวัดเชียงรายในปี 2554 ที่ผ่านมา มีมูลค่ารวมกว่า 2.9 หมื่นล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2553 ที่มีมูลค่ารวม 2.2 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 41.25% แบ่งเป็นการส่งออก 2.6 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2553 ที่มีมูลค่ารวม 1.8 หมื่นล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 45.73% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 3.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2553 ที่มีมูลค่ารวม 3 พันล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 14.97% มูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้เดิม 15% ซึ่งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาการค้าชายแดนด้านจ.เชียงราย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีด่านชายแดนมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ คือ มีด่านถาวร 3 ด่าน และจุดผ่อนปรนชั่วคราวอีกประมาณ 10 จุด เพิ่มขึ้นจาก 5 พันล้านบาทเป็น 2 หมื่นล้านบาทในปัจจุบัน หรือเพิ่มขึ้นกว่า 6 เท่าตัว และทุกด่านการค้าเกินดุลการค้าทั้งสิ้น

ทั้งนี้ การค้าชายแดนผ่านด่านการค้าที่จังหวัดเชียงรายเป็นการค้าระหว่าง 2 ประเทศ คือ ไทย-พม่า ไทย-ลาว และการค้าข้ามพรมแดนกับจีน โดยทุกแดนมีมูลค่าการค้าเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะการค้ากับจีนเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากตั้งแต่ปี 2552 ที่มีการเปิดใช้เส้นทางอาร์ 3 เอ เชื่อมไทย-ลาว-จีน ผ่าน อ.เชียงของ-ห้วยทราย-หลวงน้ำทา-บ่อเต็น-บ่อหาน -สิบสองปันนา-คุนหมิง อย่างเป็นทางการ และคาดว่าในปี 2556 เมื่อการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมไทย-ลาว ผ่านอ.เชียงของ ก่อสร้างเสร็จมูลค่าการค้ายิ่งขยายตัวเพิ่มขึ้น

นายเฉลิมพล กล่าวว่า แม้มูลค่าการค้าจะเพิ่มขึ้นทุกปีแต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ผู้ประกอบการยังนิยมใช้เส้นทางการขนส่งทางน้ำผ่านแม่น้ำโขงจากจีนมายังอ.เชียงแสน เพราะมีต้นทุนต่ำกว่าทางบก ขณะเดียวกันจากข้อมูลตัวเลขมูลค่าการค้าผ่านเส้นทางอาร์ 3 เอ เป็นผู้ประกอบการจีนที่นิยมใช้มากกว่าไทย สินค้าผ่านเส้นทางดังกล่าวจึงเป็นสินค้าที่นำเข้าจากจีนมากกว่าสินค้าไทยส่งออกไป

"ผมพยายามเรียกร้องให้ผู้ประกอบการไทยหันมาใช้เส้นทางอาร์ 3 เอในการขนส่งสินค้ามากขึ้นแทนการใช้เส้นทางน้ำ แม้มีต้นทุนถูกกว่าแต่ยังมีอุปสรรคหลายด้าน ทั้งการขนส่งที่ต้องวิ่งทวนกระแสน้ำขึ้นไป ร่องน้ำ ฤดูกาลของน้ำ ฯลฯ แต่ยอมรับว่าปัจจุบันเส้นทางอาร์3 เอยังมีอุปสรรคที่ผู้ประกอบการไทยบ่นกันอยู่ เช่น ต้องขนถ่ายสินค้าหลายทอด และระบบโลจิสติกส์ที่ยังไม่มีการทำข้อตกลง หรือ เอ็มโอยู่ กันอย่างชัดเจนระหว่าง 3 ประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการมองว่าการขนส่งผ่านเส้นทางนี้ยังมีความยุ่งยาก"นายเฉลิมพล กล่าว

ส่วนแนวโน้มการค้าในปี 2555 นี้ คาดว่ายังขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกับพม่าที่กำลังเดินหน้าเปิดตัวเพื่อรับการค้าและการลงทุน โดยปัจจุบันพบว่าที่จังหวัดตองอีของพม่ามีนักลงทุนไทยเข้าไปลงทุนแล้วจำนวนมาก เพราะเมืองจังหวัดตองอีมีชายแดนติดกับจีน

นอกจากนี้ปัจจัยที่คาดว่าจะผลักดันให้มูลค่าการค้าขายแดนเพิ่มขึ้น คือ ผู้บริโภคในประเทศเพื่อนบ้านยังนิยมสินค้าโดยเฉพาะสินค้าอุปโภคบริโภค ที่มีคุณภาพ ขณะเดียวกันแนวโน้มการค้ากับลาวก็มีแนวโน้นเพิ่มขึ้นจากการส่งออกเป็นหลัก เนื่องจากตัวเลขการส่งออกในรอบปีที่ผ่านมากับลาวเพิ่มขึ้นถึง 100% เมื่อเทียบกับจำนวนประชากรที่มีเพียง 6 ล้านคน เป็นไปได้ว่าการส่งออกสินค้าไปลาวบางส่วนถูกส่งต่อไปจีนในนามของลาว ตามสิทธิการค้าที่มีพรมแดนติดกัน

http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=550888
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #413 เมื่อ: วันที่ 03 กุมภาพันธ์ 2012, 22:38:58 »

LOGISTIC CORNER กรมเจ้าท่ากับ 4 นโยบายสำคัญปี 55

  ฉบับที่ 1272 ประจำวันที่ 4-2-2012  ถึง 7-2-2012 ]
 
“กรมเจ้าท่า” ได้จัดทำนโยบายเร่งด่วน เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยมีนโยบายที่สำคัญ 4 นโยบาย ในปี 2555 ดังนี้

1.นโยบายด้านการส่งเสริมให้มีการบริหารจัดการน้ำอย่างบูรณาการและเร่งรัดขยายเขตพื้นที่ชลประทาน โดยเร่งให้มีการบริหารจัดการน้ำในระดับประเทศอย่างมีประสิทธิภาพให้สามารถป้องกันปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งได้ ฟื้นฟูการขุดลอกคูคลอง และแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีอยู่เดิม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำและการผลิต ได้แก่ งานขุดลอกฟื้นฟูแม่น้ำสายหลัก และแม่น้ำสาขาเพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและภัยแล้ง เพื่อฟื้นฟูสภาพแม่น้ำสายหลักและแม่น้ำสาขา ให้เป็นพื้นที่ที่มีความ สามารถในการรองรับปริมาณน้ำ และระบายน้ำตามธรรมชาติได้สะดวกและรวดเร็วดียิ่งขึ้น

2.นโยบายเร่งนำสันติสุขในชีวิตและ ทรัพย์สินของประชาชนกลับมาสู่พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคม ได้แก่ การจ้างเหมาขุดลอกร่องน้ำชายฝั่งทะเลที่บริเวณต่างๆ (ร่องน้ำปัตตานี, ร่องน้ำนราธิวาส, สายบุรี, ร่องน้ำปานาเระ, บางมะรวด, บางพารา และไม้แก่น จ.ปัตตานี)

3.นโยบายเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือกับประเทศเพื่อน บ้านและนานาประเทศ ตลอดจนการเชื่อม โยงเส้นทางคมนาคมขนส่งภายในและภายนอกภูมิภาค ได้แก่ การจัดสร้างท่าเรือ อเนกประสงค์คลองใหญ่ (ปี 2552-2555 วงเงินรวม 1,295.10 ลบ.) ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการ, ท่าเรือเชียงแสนที่ 2 จ.เชียงราย (ปี 2552-2555 วงเงินรวม 1,546.40 ลบ.) ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนิน การ, จัดหาระบบติดตามเรือสินค้าและเรือ โดยสารในเขตท่าเรือเชียงแสน จ.เชียงราย ขอตั้งงบประมาณปี 2555 แล้ว แต่ไม่ได้รับจัดสรร ซึ่งจะได้ขอตั้งงบประมาณปี 2556 มาดำเนินการต่อไป

4.นโยบายด้านการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง ระบบประปา และระบบไฟฟ้าให้กระจายไปสู่ภูมิภาคอย่างทั่วถึงเพียงพอ รวมทั้งส่งเสริมการประหยัดพลังงานและลดต้นทุนการขนส่งเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อม ทั้งสร้างโอกาสการกระจายรายได้ กระจาย เศรษฐกิจ และกระจายการลงทุนสู่ชนบท รวมทั้งกำกับดูแลอัตราค่าบริการที่สอดคล้องกับสภาพพื้นที่และกลุ่มผู้ได้รับ ประโยชน์และการคุ้มครองผู้บริโภค ได้แก่

(1) การพัฒนาท่าเรือลอจิสติกส์ ได้แก่ งานก่อสร้างเขื่อนยกระดับในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน่านเพื่อการเดินเรือเพื่อเพิ่มขีดความสามารถการเดินเรือในแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน่าน, งานก่อสร้างท่าเรือที่จังหวัดชุมพร เพื่อการขนส่งเชื่อมโยงระหว่างภาคใต้ตอนบนและภาคตะวันออกเชื่อมไปสู่ฝั่งตะวันตก, งานก่อสร้างสถานีขนส่งสินค้าทางลำน้ำเพื่อการประหยัดพลังงาน จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งได้ดำเนินการแล้วเสร็จ อบต.ศาลาลอยอยู่ระหว่างการพิจารณาเข้าเป็นผู้บริหาร และการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกบริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทยตอนล่าง (ท่าเรือน้ำลึกสงขลา แห่งที่ 2 เพื่อรองรับการค้าระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น)

(2) งานพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ เช่น การสร้างเขื่อน ท่าเรือ ขุดลอกร่องน้ำ และการกำกับดูแลการขนส่งทางน้ำ รวมทั้งการผลิตบุคลากรพาณิชยนาวี

ทั้งหมดนี้ เพื่อเจตนารมย์อันมุ่งมั่น ดังสโลแกนที่ว่า “เสริมสร้างความปลอดภัย พัฒนาทางน้ำก้าวไกล นำ พาณิชยนาวีไทยสู่สากล”

http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413357710
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #414 เมื่อ: วันที่ 07 กุมภาพันธ์ 2012, 22:42:46 »

พาณิชย์หนุน 3 อำเภอเชียงรายเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน


นายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่าจากการประชุมครม.สัญจร ที่จ.เชียงใหม่ เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2555 ซึ่งครม.มีมติเห็นชอบให้จัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนแม่สาย เชียงแสน และเชียงของ ของจ.เชียงราย โดยศักยภาพพื้นที่ทั้ง 3 อำเภอชายแดนมีจุดเด่นและลักษณะพิเศษที่แตกต่างกัน โดยอำเภอแม่สาย มีศักยภาพด้านการค้า บริการ การท่องเที่ยว และแรงงานข้ามชาติ อำเภอเชียงแสน มีศักยภาพดเานการลงทุนในอุตสาหกรรมเกษตร และการท่องเที่ยวทางน้ำ และอำเภอเชียงของ มีศักยภาพด้านโลจิสติกส์ และอุตสาหกรรมการเกษตร การลงทุนเน้นทำในรูปคอนเทร็กฟาร์มมิ่งใน สปป.ลาว และนำกลับมาบริหารจัดการ หรือ ส่งออกไปยังจีนในลักษณะการค้าข้ามแดน

ทั้งนี้จังหวัดเชียงรายมีอำเภอชายแดนที่มีศักยภาพถึง 3 พื้นที่ซึ่งสามารถผลักดันและยกระดับให้เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนได้ เพราะมีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านถึง 2 ประเทศ คือ พม่า และ สปป.ลาว รวมทั้งยังมีการค้าข้ามพรมแดนกับสาธารณรัฐประชาชนจีน ผ่านแม่น้ำโขงและเส้นทางอาร์ 3 เอ ที่เชื่อมระหว่าง ไทย-ลาว-จีน ผ่าน เชียงของ-ห้วยทราย-หลวงน้ำทา-บ่อเต็น-บ่อหาน-สิบสองปันนา-คุนหมิง

นายเฉลิมพล กล่าวว่า จ.เชียงราย เป็นส่วนสำคัญของระเบียบเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง และส่งผลต่อจังหวัดต่างๆในภาคเหนือทั้ง 13 จังหวัด ที่อยู่ในแนวเส้นทางเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ หรือ นอร์ทเซ้าท์ อีโคโนมิก คอรีดอร์ ซึ่งข้อดีของเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแเดน คือ ทำให้ระบบการค้ามีความเป็นสากลและโปร่งใสมากขึ้น และยังแก้ไขปัญหาแรงงานเถื่อน รวมทั้งยังทำให้ต้นทุนของการลงทุนลดลงด้วย

อย่างไรก็ตามการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ระบบโลจิสติกส์มีความสำคัญมากพอสมควร โดยเฉพาะเส้นทางบกจากจ.เชียงรายเชื่อมไปยังพื้นที่ต่างๆในภูมิภาค การพัฒนาระบบโลจิกสติกส์ไม่ควรล่าช้าเนื่องจากขณะนี้ประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะจีนได้รุกเข้ามาแล้ว ซึ่งจีนมีความต้องการสินค้าจากไทยมาก และต้องการขยายเส้นทางออกไปสู่ทะเล เพราะจีนมีพื้นที่ที่สามารถเพาะปลูกได้เพียง 20%

http://breakingnews.nationchannel.com/read.php?newsid=551428
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #415 เมื่อ: วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2012, 21:43:06 »

จากเวทีการประชุม กรอ.ภูมิภาค เชียงใหม่ ถึงกรอ.ภูมิภาค อุดรธานี

รัฐบาลในทุกยุคทุกสมัยต่างใช้กลไกของคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจ (กรอ.) ในการพัฒนาและบริหารประเทศ ดังนั้น กรอ. ได้ถูกคาดหวังให้เป็นองค์กรที่มีหน้าที่ในการเสนอแนะนโยบายแนวทางแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางเศรษฐกิจ ซึ่งต่อมาได้ขยายออกไปสู่ภูมิภาคจังหวัดต่างๆ (กรอ.ภูมิภาค) เพื่อเสนอแนะนโยบาย แนวทางและมาตรการทั้งในด้านการแก้ไขปัญหาและพัฒนาเศรษฐกิจในจังหวัด
สำหรับการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ก็ได้ให้ความสำคัญต่อเวทีการประชุม กรอ.ภูมิภาค โดยผลของการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ ครั้งที่1 ที่จังหวัดเชียงใหม่ ได้มีการนำเสนอสาระสำคัญ 5 ประเด็น ดังนี้
1.การพัฒนาโครงข่ายคมนาคมและระบบโลจิสติกส์ (เสนอโดย กกร.) เช่นเสนอโครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ การพัฒนาทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง เส้นทาง เชียงใหม่-เชียงราย การเร่วรัดแผนการพัฒนารถไฟทางคู่ของการรถไฟแห่งประเทศไทยและการเพิ่มเส้นทางรถไฟ เด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ
2.การส่งเสริมการค้าและการลงทุน (เสนอโดย กกร.) มีการนำเสนอการยกระดับจุดผ่อนปรน 3 จุด (จุดผ่อนปรนกิ่วผาวอก เชียงใหม่ จุดผ่อนปรนห้วยต้นนุ่น แม่ฮ่องสอน และจุดผ่อนปรนบ้านฮวก พะเยา )เป็นจุดผ่านแดนถาวร นอกจากนี้มีการนำเสนอเร่งรัดการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดน อ.แม่สาย จ.เชียงราย เพื่อเป็นศูนย์การค้าบริการและการท่องเที่ยวและเป็นประตูสู่เพื่อนบ้าน
3.การส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ (เสนอโดย กกร. และสทท.) เช่น โครงการ Year of MiCE ในปี 2556 โครงการจัดการศูนย์ประชุมและการแสดงสินค้านานาชาติ จ.เชียงใหม่ แนวทางการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนในเขตผังเมืองรวมจังหวัดเชียงใหม่ โครงการฝึกอบรมภาษาต่างประเทศที่มีความจำเป็นให้กับมัคคุเทศก์อย่างต่อเนื่อง
4. การบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ (เสนอโดย กกร.) การเสนอโครงการสร้างฝายชะลอน้ำแบบบูรณาการ เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยและภัยแล้งในพื้นที่ลุ่มน้ำยม และโครงการบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรและป้องกันน้ำท่วมอย่างมีประสิทธิภาพและเป็นเอกภาพ ทั้งนี้ที่ประชุมมีมติให้ กยน.รับข้อเสนอไปพิจารณาต่อไป
5.การพัฒนาตลาดทุนไทย (เสนอโดย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย) ได้นำเสนอเพิ่มข้อกำหนดเรื่องการยกเว้นภาษี ณ ที่จ่าย เงินปันผล ดอกเบี้ยให้กับบริษัทและกองทุนที่ลงทุนข้ามชาติ, โครงการการเงินขั้นพื้นฐานเพื่อผู้ประกอบการและประชาชนภาคเหนือตอนบน ,การส่งเสริมให้ตลาดทุนเป็นกลไกหลักในการระดมเงินทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ
สำหรับข้อเสนอของ กรอ. ทั้ง 5 ประเด็นในที่ประชุมได้รับข้อเสนอตามมติที่ประชุมร่วมภาครัฐและเอกชนเพื่อแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจในภูมิภาค ครั้ง1/2555 จังหวัดเชียงใหม่ และมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับไปพิจารณาดำเนินการตามมติที่ประชุมและรายงานผลการดำเนินงานให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพื่อนำเสนอคณะรัฐมนตรีต่อไป
ส่วนการประชุมคณะรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการนอกสถานที่ครั้งที่ 2 ณ จังหวัดอุดรธานี ในระหว่างวันที่ 21-22 กุมภาพันธ์ 2555 มีประเด็นที่ทาง กรอ.จะเสนอ ได้แก่ การพัฒนาโครงข่ายโลจิสติกส์ใน 4 เรื่อง โดยจะขอให้เร่งรัดโครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่กรุงเทพฯ – หนองคาย ให้เสร็จในปี 2562 สนับสนุนการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ - หนองคาย ปรับปรุงเส้นทางเลียบแม่น้ำโขง เส้นทางหมายเลข 211 และ 212 ก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายบ้านไผ่ มหาสารคาม ร้อยเอ็ด และนครพนม เพื่อให้ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสอดรับกับประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งให้มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจชายแดนที่จังหวัดมุกดาหารและนครพนม พัฒนาอุตสาหกรรมเมือง ที่จังหวัดอุดรธานีและขอนแก่น โดยให้มีสิทธิเศษเท่ากับ 3 จังหวัดภาคใต้ พร้อมนำอีโคทาวน์เข้ามาประยุกต์ใช้
นอกจากนี้ต้องการให้ภาครัฐขยายการเปิดด่านสากลด้านนครพนม ท่าแขก จากเดิมปิดเวลา 18.00 น. เป็นเวลา 22.00 น. บริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตรตามลุ่มน้ำโขง เลย ชี และมูล เพื่อใช้ความได้เปรียบด้านแรงโน้มถ่วงของภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้เป็นประโยชน์ ส่งเสริมการท่องเที่ยวและบริการ โดยสนับสนุนการก่อสร้างกระเช้าไฟฟ้าขึ้นภูกระดึง จังหวัดเลย การส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรบุคคล โดยเร่งรัดจัดตั้งมหาวิทยาลัยเฉลิมพระเกียรติที่จังหวัดกาฬสินธุ์ เพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาสครบรอบ 90 พรรษา ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอฯ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยก่อสร้างให้เสร็จในปี 2556
เป็นที่น่าจับตามองถึงการนำเสนอและผลการประชุมครั้งนี้จะเป็นไปในทิศทางใด ซึ่งหากผลการประชุมออกมา ก็จะนำเสนอในโอกาสต่อไป

    
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : วันวิศาข์ ภาคสุวรรณ์ / ส่วนผลิต   Rewriter : วันวิศาข์ ภาคสุวรรณ์ / ส่วนผลิต
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th


 วันที่ข่าว : 10 กุมภาพันธ์ 2555
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #416 เมื่อ: วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2012, 13:50:07 »

ผุดทางด่วนเชื่อมเมืองหลักกทพ.เตรียมของบฯ
วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2012 เวลา 10:44 น.    กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ    อสังหา REAL


การทางพิเศษฯ เบนเข็มสร้างทางด่วนเชื่อมโยงหัวเมืองหลัก รองรับการแก้ไขปัญหาจราจรระยะยาว เตรียมชงของบศึกษา นำร่องทางด่วนเชียงใหม่เชื่อมลำปาง-เชียงราย-ลำพูน หลังแนวโน้มการจราจร วงแหวนรอบที่ 2 และ 3 เริ่มหนาแน่น   เล็งเก็บค่าผ่านทาง 20 บาทตลอดสาย  ชี้เปิดทางเอกชนร่วมลงทุน พื้นที่ภาคเหนือ ขณะที่ขอนแก่นก็เป็นจุดตั้งเชื่อมจังหวัดรอบข้าง  ส่วนเส้นทางลงสู่ภาคใต้ยืนยันเอาแน่ เตรียมว่าจ้างศึกษาช่วงพระราม 2-สมุทรสาครเร็วๆนี้
             นายอัยยณัฐ  ถินอภัย ผู้ว่าการการทางพิเศษแห่งประเทศไทย(กทพ.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า กทพ.ได้หันไปรุกโครงการก่อสร้างทางด่วนพิเศษในพื้นที่ต่างจังหวัดมากขึ้น โดยเฉพาะตามพื้นที่หัวเมืองหลัก เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น ภูเก็ต นครสวรรค์ และพิษณุโลก ซึ่งจะต้องนำเสนอเพื่อของบประมาณเพื่อการศึกษาความเหมาะสมในปีต่อไป  ทั้งนี้เพราะเล็งเห็นว่าปัจจุบันสภาพการจราจรในแต่ละพื้นที่เริ่มหนาแน่นมากยิ่งขึ้น ประกอบกับสภาพถนนที่มีอยู่ปัจจุบันไม่สามารถขยายออกไปได้อีก ยกตัวอย่างเช่น พื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่แม้ว่าจะมีการก่อสร้างถนนวงแหวนรอบที่ 1 รอบที่ 2 ไปแล้ว แต่ก็มีแนวโน้มว่าเริ่มที่จะรับมือสภาพการจราจรไม่ไหว ส่งผลให้การเดินทางจากเขตพื้นที่ชั้นในออกสู่นอกเมืองประสบปัญหาโดยเฉพาะการเชื่อมโยงไปสู่จังหวัดโดยรอบ เช่น ลำปาง เชียงราย และลำพูน ทั้ง ๆ ที่ห่างกันไม่มาก
             ประการสำคัญโครงการดังกล่าว ยังพร้อมเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศร่วมลงทุนเนื่องจากแต่ละเส้นทางต้องใช้งบลงทุนจำนวนมาก อีกทั้งยังคาดว่าจะมีนักลงทุนจากจีน เกาหลีและญี่ปุ่นให้ความสนใจเนื่องจากพบว่ามีประชากรของทั้ง 3 ประเทศอยู่อาศัยจำนวนมากในพื้นที่ภาคเหนือ นอกจากนั้นในเร็วๆ นี้ยังจะมีเส้นทางเชื่อมโยงต่างๆ ออกไปสู่จีนและประเทศอื่นๆ จากภาคเหนือของไทย โดยเฉพาะหลังจากเปิดการค้าเสรีนับตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นไป ดังนั้นจึงวางแผนรองรับไว้เนิ่น ๆ
             "ต้องการให้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกของการเดินทางเข้า-ออกเมืองรวดเร็วขึ้น โดยไม่จำเป็นจะต้องไปสิ้นสุดในกลางใจเมือง  เพราะสามารถขยับพิกัดออกมาไว้ที่วงแหวนรอบใดรอบหนึ่งก็ได้ อีกทั้งปัจจุบันเส้นทางเข้าสู่เมืองถนนแต่ละสายที่มาจากเชียงราย ลำปาง หรือลำพูนมีความกว้างพอที่จะสร้างทางด่วนไว้ช่วงเลนกลางได้ น่าจะชักชวนให้ผู้ใช้รถใช้ถนนหันมาเลือกใช้ทางด่วนกันมากขึ้น เพราะจะจัดเก็บค่าผ่านทางราคาถูกเพียง 20 บาทตลอดสาย"
             นายอัยยณัฐ ยังกล่าวถึงจังหวัดขอนแก่นว่า ปัจจุบันสภาพการจราจรหนาแน่นไม่น้อยไปกว่าจังหวัดอื่น ๆ ที่เป็นหัวเมืองหลัก ดังนั้นจึงเตรียมศึกษาโครงการสร้างทางด่วนไปเชื่อมโยงกับจังหวัดในพื้นที่โดยรอบ เช่น มหาสารคาม กาฬสินธุ์ อุดรธานี และนครราชสีมา ปัจจุบันแม้จะมีถนนมิตรภาพเป็นเส้นทางหลักผ่านเมืองและยังมีจุดตัดแยกหลายแห่ง แต่ก็ยังพบว่ามีปัญหาจราจรหนาแน่น โดยเฉพาะรถบรรทุกในช่วงเวลาเร่งด่วนจึงต้องรีบแก้ไขปัญหาตั้งแต่วันนี้ วัตถุประสงค์ในเบื้องต้นจะก่อสร้างให้ผ่านในจุดที่มีชุมชนหนาแน่นเพื่อลดปัญหาจราจรในพื้นที่ดังกล่าว
             "เช่นเดียวกับอีกหลายๆพื้นที่ก็มีสภาพไม่แตกต่างกันในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นภูเก็ต นครสวรรค์หรือจังหวัดหลัก ๆ ทางภาคตะวันออกที่เป็นเมืองศูนย์กลางทางธุรกิจ มีรถบรรทุกขนาดใหญ่ใช้เส้นทางจำนวนมาก สมควรที่จะมีทางเลือกการเดินทางสำหรับผู้ที่ต้องการความรวดเร็ว ประหยัดเวลาและพลังงานให้เลือกใช้มากขึ้น ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเส้นทางยาวโดยจะต้องมีการศึกษาความเหมาะสมอีกครั้งพร้อมกับการเปิดรับฟังความคิดเห็นประชาชนในพื้นที่ว่ามีความต้องการมากน้อยเพียงใด"
             นายอัยยณัฐ กล่าวเสริมถึงแผนโครงการก่อสร้างของกทพ.ในอนาคตอีกว่า ในพื้นที่โซนใต้ช่วงถนนพระราม 2  กทพ.ยังมีแผนที่จะก่อสร้างทางด่วนช่วงดาวคะนอง-บางขุนเทียน-สมุทรสาคร โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ 1.แนวสายทางเริ่มต้นที่จุดเชื่อมต่อทางพิเศษเฉลิมมหานครบริเวณดาวคะนองไปตามถนนพระราม 2 จนถึงถนนวงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก (ถนนกาญจนาภิเษก) ระยะทาง 8.8 กิโลเมตร ขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมว่าจ้างที่ปรึกษารอบใหม่เพื่อทบทวนความเหมาะสมภายใต้งบประมาณ 30 ล้านบาท ส่วนช่วงที่ 2 นับตั้งแต่ถนนกาญจนาภิเษกถึงจังหวัดสมุทรสาครจะอยู่ในลำดับถัดไป
             นอกจากนั้นกทพ.ยังเตรียมปัดฝุ่นโครงการที่เคยศึกษาไว้มาเป็นโครงการลงทุนใหม่ เพื่อให้การเชื่อมโยงกรุงเทพฯ ไปสู่เส้นทางภาคต่างๆ มีความเป็นไปได้มากขึ้นโดยเฉพาะสร้างเส้นทางจากดาวคะนองไปสิ้นสุดเส้นทางที่อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ระยะทางประมาณ 28 กิโลเมตร โดยจากผลการศึกษาที่ กทพ.เคยมีการศึกษาไว้มีวงเงินลงทุนเบื้องต้น 13,700 ล้านบาท แบ่งเป็นค่าก่อสร้าง(ไม่รวมกับเงินที่จะใช้ในการเวนคืน) 5,000 ล้านบาท ค่าออกแบบ 144 ล้านบาท และค่าควบคุมงานก่อสร้างอีก 344 ล้านบาท
             นายอัยยณัฐ กล่าวต่อไปว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้กทพ.ยังนำเสนอแผนแม่บทแก่คณะทำงานโครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม และพลังงานให้กับสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ได้เข้าพบหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในประเด็นเกี่ยวกับการพัฒนาโครงข่ายทางพิเศษ เพื่อรองรับการคมนาคมขนส่งของประเทศ และยืนยันว่ากทพ.มีความมุ่งมั่นและความพยายามที่จะอำนวยความสะดวกและแก้ไขปัญหาการเจรจาให้กับประชาชนทั่วประเทศเพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ
             โดยนำเสนอแผนการดำเนินงานโครงการทางพิเศษในอนาคตจำนวน 2 แผนแม่บท คือ แผนแม่บททางพิเศษในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล และแผนแม่บททางพิเศษระหว่างจังหวัด โดยแผนแม่บททางพิเศษในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล นั้นมีระยะเวลาดำเนินการในช่วงปี 2553-2563 จำนวน 4 โครงการ คือ 1.โครงการทางพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันตก 2.โครงการระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ ตอน N1+N2+N3, E-W Corridor ด้านตะวันออก 3.โครงการทางพิเศษสายดาวคะนองวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันตก และ 4.โครงการทางพิเศษสายศรีรัช-ดาวคะนอง
             สำหรับแผนแม่บททางพิเศษระหว่างจังหวัดมีทั้งสิ้น 5 โครงการ คือ 1.โครงการทางพิเศษสายบูรพาวิถี-พัทยา 2. โครงการทางพิเศษสายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันออก-สระบุรี 3.โครงการทางพิเศษสายบางปะอิน-ป่าโมก-นครสวรรค์ 4.โครงการทางพิเศษสายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันตก-นครปฐม และ 5.โครงการทางพิเศษสายวงแหวนรอบนอกกรุงเทพฯ ด้านตะวันตก-ปราณบุรี-ประจวบคีรีขันธ์

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,713   12-15  กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

 


* ทางด่วนพิเศษ.jpg (61.09 KB, 400x352 - ดู 643 ครั้ง.)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 08 มีนาคม 2012, 11:09:01 โดย boondham » IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #417 เมื่อ: วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2012, 14:06:41 »

ก.ท่องเที่ยวเพิ่งตื่น เปิดเวทีปูพื้นฐาน AEC จับมือ 6 มหาวิทยาลัยปั้นบุคลากร

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   19 กุมภาพันธ์ 2555


กระทรวงการท่องเที่ยว เพิ่งตื่น จัดสัมมนา ให้ความรู้และทำความเข้าใจกับผู้ประกอบการ ข้าราชการ พร้อมรับมือศึกเปิดเสรีอาเซียน ยัน 32 ตำแหน่งงานด้านท่องเที่ยว ไทยจะเปิดก็เมื่อพร้อม ล่าสุด จับมือกระทรวงศึกษา วาง 6 มหาวิทยาลัย เป็นเครือข่าย ปั้นบุคลากร คลุมทุกภาคทั่วประเทศ

นางธนิฎฐา เศวตศิลา มณีโชติ รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า ในเดือนมีนาคมนี้ กระทรวงจะมีการจัดสัมมนา การจัดทำข้อตกลงร่วมกันด้านคุณสมบัติที่เป็นมาตรฐานกลางของผู้ประกอบวิชาชีพ (Mutual Recognition Arrangements -MRAs) เพื่อปูพื้นฐานความรู้ให้แก่ข้าราชการและผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ในการเตรียมพร้อมเข้าสู่การเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) ที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 ซึ่งถือเป็นการจัดสัมมนาเชิงวิชาการเรื่องAEC ครั้งแรก ของกระทรวงการท่องเที่ยวฯ

“ เราควรจะจัดสัมมนาให้ความรู้ผู้ประกอบการ ข้าราชการมานานแล้ว แต่ยังขาดเรื่องงบประมาณ ปีนี้กระทรวงพอมีงบประมาณ เพื่อเตรียมตัว เรื่อง AEC จึงเป็นความสำคัญของการให้ความรู้แก่ผู้ที่อยู่ในวงการอุตสาหกรรมท่องเที่ยว จึงถือเป็นสัมมนาครั้งใหญ่ที่กระทรวงจะจัดให้มีขึ้น เป้าหมายเพื่อให้ความรู้ความเข้าใจ และตกลงยอมรับร่วมกัน ในเงื่อนไขของการเปิดเสรีอาเซียน ที่จะมีขึ้นในปี 2558 นี้ โดยมีผู้ที่เกี่ยวข้องหรือสเต็คโฮลเอดร์ มาร่วมรับฟัง ซึ่งในธุรกิจท่องเที่ยว มี 32 ตำแหน่งงาน ที่จะต้องเปิดเสรีเช่น พนักงานโรงแรม พนักงานต้อนรับ พนักงานซักรีด แม่บ้าน มัคคุเทศก์ ฯลฯ แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องเปิดในคราวเดียวกันทั้งหมด แต่ควรจะเปิดเมื่อเรามีความพร้อม ที่จะแข่งขันอย่างเต็มที่ และสามารถหาประโยชน์จากการเปิดเสรีนี้ได้จริง เพราะขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของกลุ่มประเทศอาเซียน”

รูปแบบการสัมมนา จะมีวิทยากร จากหลายสาขาที่เกี่ยวข้อง ทั้งนักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญจากกระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงานฯและกระทรวงศึกษา มาร่วมบรรยายให้ความรู้แก่ข้าราชการและผู้ประกอบการ จุดประสงค์หลัก เพื่อต้องการให้คนในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวรู้ว่า การเปิดเสรีอาเซียน ของ 32 ตำแหน่งงานด้านการท่องเที่ยว มีกระบวนการอย่างไร พร้อมอัพเดทการทำงานของเครือข่าย คือ มหาวิทยาลัยต่างๆ ทำงานด้านการให้ความรู้แก่บุคคลากรไปมากแค่ไหนแล้ว

ล่าสุด กระทรวงการท่องเที่ยว ยังได้ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ จัดหลักสูตรการเรียนการสอน บรรจุไว้ในมหาวิทยาลัย ซึ่ง มีการเซ็นสัญญาความร่วมมือไปแล้ว กับมหาวิทยาลัย 6 แห่ง ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ได้แก่ วิทยาลัยดุสิตธานี กรุงเทพ, มหาวิทยาลัยบูรพา ครอบคลุมภาคตะวันออก, มหาวิทยาลัย ราชภัฏพะเยา ครอบคลุมภาคเหนือ, มหาวิทยาลัย ราชภัฏมหาสารคาม ครอบคลุมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และมหาวิทยาลัยสงขลา ครอบคลุมภาคใต้ ทั้ง 6 มหาวิทยาลัย ดังกล่าว จะเป็นเครือข่ายของกระทรวงการท่องเที่ยว ในการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากร

นางธนิฎฐา กล่าวอีกว่า นอกจากนั้น ในวันที่ 11-14 มิถุนายน 55 กระทรวงฯ เตรียมเป็นเจ้าภาพ จัดประชุมแม่โขวทัวร์ริสซึ่ม ฟอร์รัม เป็นการประชุมระดับผู้ปฎิบัติการ เช่น คณะทำงานและอธิบดี ในกลุ่มความร่วมมือลุ่มแม่น้ำโขง (GMS) ที่จังหวัดเชียงราย สาระการประชุม จะเป็นเรื่องการเตรียมความพร้อม เปิดเสรีอาเซียน ควบคู่ไปกับความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ในกลุ่ม GMSเพื่อให้ได้ประโยชน์จากการเปิดเสรีนี้ด้วย

http://www.manager.co.th/Business/ViewNews.aspx?NewsID=9550000022806
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
SK
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #418 เมื่อ: วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2012, 12:09:28 »

มีเนื้อหา สาระดีน่าติดตามทั้งนั้นเลยค่ะ ขอให้โครงการสำเร็จเร็วค่ะ
IP : บันทึกการเข้า
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #419 เมื่อ: วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2012, 19:13:19 »

เชียงราย - เริ่มแล้วงานชาติพันธุ์สีสันโลก เมืองพ่อขุนฯ เปิดข่วงวัฒนธรรมจัดเต็มถึง 25 กุมภาฯนี้ ระดมกลุ่มชาติพันธุ์ทั่วโลกขึ้นเวทีโชว์วิถีวัฒนธรรม - ดนตรี ร่วมเฉลิมฉลอง 750 ปีเมืองเชียงราย




       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า เมื่อคืนที่ผ่านมา (23 ก.พ.55) นายสุรชัย ลิ้นทอง รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้เป็นประธานเปิดงานเทศกาลชาติพันธุ์สีสันโลก ที่องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย บริษัทสิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด นายทอดด์ ทองดี ลาเลลล์ ศิลปินชื่อดัง ฯลฯ ร่วมกันจัดขึ้น ณ ข่วงวัฒนธรรม สวนไม้งามริมกก ต.ริมกก อ.เมืองเชียงราย ระหว่างวันที่ 23-26 ก.พ.55
       
       การเปิดงานและกิจกรรมในค่ำคืนแรก มีกลุ่มศิลปวัฒนธรรมและศิลปินชั้นนำของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในประเทศไทยเข้าร่วมทั้ง 16 ชนเผ่า เช่น อาข่า มูเซอ กะเหรี่ยง ซาไกจาก จ.พัทลุง
       
       นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มชาติพันธุ์จาก 4 ทวีปของโลก ซึ่งประสานงานโดยทอดด์ ทองดำ ลาเลล์ เดินทางไปร่วมและแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชมครบครัน เช่น เผ่าอะบอลิจิ้นจากประเทศออสเตรเลีย เผ่าอาข่าจากประเทศจีน เผ่าลาหู่จากประเทศเมียนมาร์ ศิลปินไทยลื้อจากเมืองสิบสองปันนา ประเทศจีน ศิลปินจากประเทศอินเดีย ดนตรีจากคองโก-แอฟริกา และชนเผ่าอินเดียแดงและคณะดนตรีชาติพันธุ์จากสหรัฐอเมริกา เป็นต้น
       
       โดยแต่ละชนเผ่าต่างมีการจัดแสดงเรื่องวิถีชีวิต เช่น กลุ่มชาติพันธุ์ในประเทศไทย ทางข่วงวัฒนธรรมมีสถานที่สำหรับตั้งเป็นบ้านอยู่โดยรอบ เพื่อเปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมวิถีวิชีวิตชนเผ่าต่างๆ อย่างพร้อมเพรียงอยู่แล้ว สำหรับกลุ่มชาติพันธุ์จากต่างประเทศ ก็มีการจัดเป็นที่พักชั่วคราว เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นอยู่ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ได้อย่างชัดเจน ซึ่งดูมีสีสันแปลกตาสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างมาก
       
       ขณะที่บนเวที ก็มีกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ สลับการแสดงดนตรีกับคณะนักเรียนใน จ.เชียงราย เช่น กลุ่มศิลปินชื่อจาก 4 ภาค นำโดยหงา คาราวาน ,ลานนา คัมมินส์ ,หลวงไก่ คณะจำอวดหน้าม่าน ฯลฯ
       
       นอกจากนี้ มีการจัดสัมมนาเรื่องสีสันเชียงรายกับทอดด์ ทองดี ลาเลล์ และ Kevin Locke ศิลปินอินเดียแดง- การแสดงจากหลากหลายทั้งจากนักเรียนใน จ.เชียงราย -Panjabi Academy จากประเทศอินเดีย -เผ่ามี่ซู ลัวะ เมี่ยน ม้ง ในชุด World Colors - การแสดงดนตรีจาก Ngoma Za Kongo ทวีปแอฟริกา - สุดยอดศิลปินชาวลาหู่ -การแสดงดนตรีจากวงคาราวาน
       
       และในคืนวันนี้ (24 ก.พ.55) จะมีการสัมมนาสีสันไทยสีสันโลกกับอเมริกา การแสดงดนตรีจากนักเรียนใน จ.เชียงราย ชนเผ่าไทลื้อ ลีซู ไตหย่า ปกาเกอญอ สีสันโลก ณ อีสาน เผ่า New Aborigine ประเทศออสเตรเลีย สุดยอดศิลปินไทลื้อจากเขตสิบสองปันนา ประเทศจีน และ Los Pleneros de la 21 (LP21) 1จากประเทศสหรัฐอเมริกา และดนตรีจากหลวงไก่
       
       ส่วนวันสุดท้าย (25 ก.พ.55) เป็นการแสดง Acoustic World การแสดงจากโรงเรียนต่างๆ และ Kevin Locke ศิลปินอินเดียแดง การแสดงชนเผ่าอาข่าจากประเทศจีน การแสดง "รุ้ง ล้านนาโลก" จากทอดด์ ทองดี การแสดงจากไทเขิน อาข่า ไทใหญ่ ไทยยวน และดนตรีจากศิลปินชาวเหนือชื่อดัง ลานนา คัมมินส์ และ Anfro-Aussie Chiangrai Jam การแสดงจากเผ่าลาหู่ ดาราอั้ง ภูไท เผ่าขมุ การแสดงตีกลอง สุดยอดศิลปินชาวม้ง Panjabi Academy จากประเทศอินเดีย ดวลกับชาติพันธุ์เชียงราย จำอวดหน้าม่าน และ LP 21& World Colors Super Jam ฯลฯ
       
       นางรัตนา จงสุทธนามณี นายก อบจ.เชียงราย กล่าวว่า งานนี้มีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวและอนุรักษ์เผยแพร่ศิลปะวัฒนธรรมของชนเผ่าต่าง ๆ ให้ปรากฏต่อสายตาผู้คนไปทั่วโลก ขณะเดียวกันยังเป็นการเฉลิมฉลองการก่อตั้งเมืองเชียงรายครบ 750 ปี ในปี ซึ่งนักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปสามารถเดินทางไปเข้าชมโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9550000025046
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
หน้า: 1 ... 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 [21] 22 23 24 25 26 27 28 29 30 31 ... 37 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!