เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 25 เมษายน 2024, 19:44:09
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 [18] 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 ... 37 พิมพ์
ผู้เขียน Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย  (อ่าน 440068 ครั้ง)
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #340 เมื่อ: วันที่ 14 กรกฎาคม 2011, 18:14:36 »

เชียงราย - การรถไฟแห่งประเทศไทย ยกทีมบริษัทที่ปรึกษาขึ้นเชียงราย เปิดห้องรับฟังเสียงประชาชนในพื้นที่ รับแนวรถไฟเด่นชัย-เชียงราย เผยผลศึกษาล่าสุดต้องปรับอุตลุดเลี่ยงชุมชนเพิ่ม โยกศูนย์ไปสะพานน้ำโขง รวมระยะทาง 326 กม.คาดใช้งบก่อสร้าง 1 พันล้าน/กม.ลุ้นรัฐบาลใหม่หนุนก่อสร้างเสร็จใน 7 ปี






       
       วันนี้ (14 ก.ค.) การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) โดยบริษัทที่ปรึกษา คือ บริษัท เอ็ม เอ คอนซัลแตนท์ จำกัด บริษัท เอพซิลอน จำกัด บริษัท Noppon Koei Co.Ltd.และบริษัท เอนริช คอนซัลแตนท์ จำกัด ได้จัดประชุมใหญ่การมีส่วนร่วมของประชาชนครั้งที่ 1 (ปฐมนิเทศโครงการ) เพื่อศึกษาทบทวนผลการศึกษาความเหมาะสมโครงการก่อสร้างรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ณ ห้องประชุมธรรมลังกา ศาลากลาง จ.เชียงราย โดยมี นายพินิจ หายพาณิชย์ เป็นประธานในพิธีเปิด และมีหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ผู้นำชุมชนและประชาชนเข้ารับฟังเป็นจำนวนมาก
       
       นายนันทชัย หวังเลี้ยงกลาง ตัวแทน ร.ฟ.ท.ได้ชี้แจงความเป็นมาของโครงการ ว่า มีมาตั้งแต่ปี 2503 ก่อนจะมีสำรวจเบื้องต้นในปี 2512 ซึ่งช่วงนั้นประเมินว่าต้องใช้งบประมาณก่อสร้างเพียงประมาณ 1,700 ล้านบาท แต่เนื่องจากไม่คุ้มทุนจึงยกเลิกไป แต่ในปี 2537-2538 ได้ศึกษาใหม่และพบประเทศจีนขยายเส้นทางรถไฟลงใต้ จึงศึกษาความเหมาะสมในระยะทาง 246 กิโลเมตร กระทั่งปี 2546-2547 ก็ได้ศึกษาซ้ำอีกครั้งจนพบแนวที่เหมาะสมด้วยวงเงินที่เพิ่มขึ้นประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท
       
       แต่เนื่องจากมีหลายเหตุผล เช่น สภาพที่เปลี่ยนไป ระบบรางเดี่ยว ฯลฯ ร.ฟ.ท.จึงได้ว่าจ้างเอกชนทั้ง 4 ราย ทำการศึกษาใหม่ตั้งแต่เดือน พ.ค.2554-มิ.ย.2555 เป็นระยะเวลา 14 เดือน โดยเมื่อสิ้นสุดโครงการจะมีแบบแปลนที่ชัดเจนและละเอียดจนไปถึงประมาณราคาและเอกสารประกวดราคาต่อไป
       
       ด้านนายนิรัตน์ ตันสวัสดิ์ รองผู้จัดการโครงการฯ กล่าวว่า การศึกษาได้นำแนวเส้นทางเดิมมาศึกษาและปรับตามความเหมาะสมจนมีระยะทางยาวเพิ่มขึ้นเป็น 326 กิโลเมตร โดยเปลี่ยนจากรถไฟรางเดี่ยวเป็นรางคู่ เพื่อสวนทางได้ ด้วยความเร็ว 160 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีการย้ายสถานีซ่อมบำรุงและเปลี่ยนถ่ายสินค้า (DOPOT&ICQ) จากสถานี อ.เมือง ไปยัง อ.เชียงของ ชายแดนไทย-สปป.ลาว รองรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่เชื่อมกับถนนR3a ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ซึ่งเปิดใช้งานแล้วต่อไป
       
       ทั้งนี้ ผลการศึกษาเบื้องต้นช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมาพบสภาพพื้นที่เปลี่ยนแปลงไปจากผลการศึกษาครั้งก่อนมาก จึงต้องมีการปรับเส้นทาง เพิ่มและลดสถานีอีกหลายแห่ง โดยจะผ่าน จ.แพร่ 82 กิโลเมตร มีสถานี 6 แห่ง ลำปาง 54 กิโลเมตร 3 แห่ง พะเยา 55 กิโลเมตร มีสถานี 5 แห่ง และเชียงราย 135 กิโลเมตร มีสถานี 13 แห่ง
       
       “ถ้าได้รับการสนับสนุนตามแนวทางโดยเฉพาะด้านงบประมาณในการก่อสร้าง คาดว่าในปีที่ 6-7 หลังเสนอผลการศึกษาก็จะทำให้การก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายนี้แล้วเสร็จแน่นอน และในช่วง 6 เดือนแรกของการศึกษาเราก็จะได้แนวเส้นทางที่ชัดเจน หลังการร่วมกับท้องถิ่นและชุมชนในการช่วยแนะนำเรื่องเส้นทางทุกตำบลและเทศบาล จากนั้นก็จะชัดเจนเรื่องงบประมาณและนำเสนอผลการศึกษาให้พื้นที่ได้ทราบอีกครั้งราวเดือน พ.ค.2555” นายนิรัตน์ กล่าว
       
       เขาบอกว่า แนวเส้นทางใหม่ตั้งแต่ อ.เด่นชัย จ.แพร่ ผ่าน อ.งาว จ.ลำปาง และ จ.พะเยา ได้มีการปรับหลายจุด เช่น สถานี อ.เมืองแพร่ มีการย้ายแนวเพื่อเลี่ยงการขวางทางน้ำ อ.สอง จ.แพร่ ก็มีโครงการเขื่อนลุ่มน้ำยม ซึ่งจำเป็นต้องปรับแนวให้พ้นแนวระดับน้ำ รวมทั้งมีการขุดอุโมงค์ทะลุภูเขา ย่นระยะทางอีกประมาณ 6 กิโลเมตร ส่วน จ.พะเยา ก็ปรับให้ห่างจากแนวเดิมหน้ามหาวิทยาลัยพะเยา เพราะแนวเก่าเริ่มมีชุมชนหนาแน่น รวมทั้งเพิ่มสถานีดงเจน ตามข้อเรียกร้องของชุมชนเพื่อรองรับการขยายเมือง
       
       กระทั่งเข้าสู่ จ.เชียงราย พบมีการปรับที่สถานี เพราะเมื่อข้ามถนนสายเชียงราย-เทิง ในเขต อ.เมือง จะตัดผ่านบ้านจัดสรรจึงได้ย้ายให้พ้นแนวเดิมให้ห่างออกไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตร แต่ก็มีบางส่วนที่ต้องการให้ย้ายออกไปไกลอีก ซึ่งทีมที่ปรึกษาก็ยังคงยืนตามแนวนี้ เพราะถือว่าห่างไกลชุมชนแล้ว และจะตั้งสถานีเชียงรายที่จุดเดิม เพราะจำเป็นต้องเชื่อมไปยังสถานีอื่นๆ เช่น เครื่องบิน สถานีขนส่งผู้โดยสารรถยนต์ ฯลฯ
       
       สำหรับเส้นทางต่อจาก อ.เมือง คือ มุ่งไปทาง อ.เวียงเชียงรุ้ง-ดอยหลวง ที่ ต.ป่าซาง อ.เวียงเชียงรุ้ง แทนสถานีสันยาวในรูปแบบเดิม เพื่อให้สามารถแยกไปสู่ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่สองและสะพานแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ ได้พร้อมกัน แต่ครั้งนี้จะศึกษาไปถึงขั้นประมาณราคาและเอกสารประกวดราคาเฉพาะเส้นทางไป อ.เชียงของ เท่านั้น ส่วนเส้นทางไปท่าเรือจะเป็นเพียงการศึกษาเพื่อให้เป็นทางเลือกสำหรับอนาคต เพราะจากการศึกษาปริมาณ-ชนิดสินค้าพบว่าที่ อ.เชียงของ มีการขนสินค้าไทย-จีนตอนใต้ ด้วยตู้คอนเทนเนอร์ ซึ่งเหมาะสมกับรถไฟมากกว่า ส่วนท่าเรือเชียงแสนเป็นสินค้าทางเรือที่ยังไม่ระบบนี้
       
       อย่างไรก็ตาม เส้นทางบริเวณ อ.ดอยหลวง จะผ่านภูเขาจึงจะมีการเจาะอุโมงค์ทะลุเขาระยะทางประมาณ 2 กิโลเมตร และปรับแนวเส้นทางใหม่จากเดิมอยู่ฝั่งซ้ายของถนนสาย 1098 ซึ่งเป็นถนนไปยัง อ.เชียงของ ให้ไปอยู่ทางฝั่งขวาแทน เพราะเส้นเดิมตัดผ่านป่าเขาเสียเป็นส่วนใหญ่ส่วนฝั่งขวาจะเป็นทุ่งนา ซึ่งสะดวกกว่า
       
       ขณะเดียวกัน ได้ยกเลิกสถานีดอยท่าช้างเพราะออกแบบให้ตั้งอยู่บนยอดเขา ซึ่งไม่เหมาะสมกับการใช้งานจริง และสร้างสถานีแห่งใหม่ชื่อสถานีบ้านเกี๋ยง รองรับแทน กระทั่งถึงสถานีเชียงของ ห่างจากตัวเมืองเชียงของประมาณ 10 กิโลเมตร ใกล้จุดที่ออกแบบว่าเหมาะสมกับการสร้างนิคมอุตสาหกรรมที่ ต.สถานี และ ต.ศรีดอนชัย โดยที่เชียงของจะมี DOPOT&ICQ และตลอดรายทางออกแบบให้มีเส้นทางตัด ยกระดับ ขุดเจาะ ฯลฯ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและความไม่สะดวกอื่นๆ ซึ่งเกิดกับรถไฟไทยในปัจจุบัน
       
       สำหรับงบประมาณในการก่อสร้าง คาดว่า จะใกล้เคียงกับแอร์พอร์ตลิงก์ คือกิโลเมตรละประมาณ 1,000 ล้านบาท เพราะแม้จะไม่ยกสูงจากพื้นทั้งหมด แต่ก็ยังมีค่าเวนคืนที่ดิน ค่าขุดเจาะอุโมงค์ ฯลฯ จึงน่าจะใช้งบประมาณราว 30,000 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งจะสามารถสรุปผลอย่างชัดเจนได้อีกครั้งราวกลางปี 2555
       
       ด้าน นายมงคลชัย ดวงแสงทอง รองประธานอุตสาหกรรมภาคเหนือ กล่าวว่า ดูการปรับแนวเส้นทางใหม่ของทีมที่ปรึกษาแล้วถือว่าดีมาก เพราะมีการออกแบบให้เหมาะกับสภาพพื้นที่ อย่างไรก็ตามก็อยากจะเสนอกรณีมีการปรับสถานีและเส้นทางให้เพิ่มหรือลดลง ขอให้ยึดตามความเหมาะสมไม่เช่นนั้นจะไม่ได้ข้อสิ้นสุด และต้องศึกษาซ้ำกันอยู่ร่ำไป รวมทั้งให้ชี้แจงทุกฝ่ายว่ากรณีเส้นทางสายนี้คงจะมุ่งไปที่การขนส่งสินค้าเป็นหลัก ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อเชียงราย และภาคเหนือ ที่มีสินค้าทางการเกษตรที่ต้องการขนส่งไปจำหน่าย โดยยังไม่ถึงขั้นเป็นรถไฟความเร็วสูงเพื่อการขนส่งมวลชน
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า อย่างไรก็ตาม แม้จะมีการศึกษาที่ค่อนข้างคึกคักและได้รับความสนใจ แต่หลายฝ่ายต่างวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับนโยบายภาคการเมือง เนื่องจากมีการผลัดเปลี่ยนรัฐบาลใหม่เป็นคนละขั้วการเมือง จึงเกรงว่าจะไม่ได้รับการสนับสนุนหรือเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีชุดใหม่

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000086733
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #341 เมื่อ: วันที่ 18 กรกฎาคม 2011, 22:27:17 »

“แม่สาย” ตั้งเป้าส่งออกทะลุหมื่นล้าน หลังพม่าเลิก 15 สินค้าต้องห้าม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   18 กรกฎาคม 2554 13:27 น.



เชียงราย - ประธานหอการค้าแม่สอด เชื่อมั่นจากนี้ไปเป็นปีทองการค้าไทย-พม่า หลังพม่าสั่งยกเลิกคำสั่งห้ามนำเข้าสินค้า 15 รายการ ทำยอดการค้าเพิ่มทันตาเห็น คาดมูลค่าการส่งออกทะลุหมื่นล้านต่อปีแน่
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า หลังพม่าประกาศยกเลิกการห้ามนำเข้าสินค้าจากประเทศไทยจำนวน 15 รายการ ประกอบด้วย ผงชูรส น้ำหวาน เครื่องดื่ม ขนมปังกรอบทุกชนิด หมากฝรั่ง ขนมเค้ก ขนมเวเฟอร์ ช็อกโกแลต อาหารกระป๋อง (เนื้อสัตว์ และผลไม้) เส้นหมี่ทุกชนิด เหล้า เบียร์ บุหรี่ ผลไม้ทุกชนิด ผลิตภัณฑ์พลาสติกสำหรับใช้ในครัวเรือนและใช้ส่วนตัวทุกชนิด สินค้าต้องห้ามอื่นฯ ที่มีกฎหมายปัจจุบันห้ามนำเข้านั้น ได้ทำให้บรรยากาศการค้าชายแดนด้าน อ.แม่สาย ติดต่อกับ จ.ท่าขี้เหล็ก ประเทศพม่า มีความคึกคักอย่างมาก
       
       นายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ ประธานหอการค้า อ.แม่สาย จ.เชียงราย กล่าวว่า ในปี 54 นี้เป็นต้นไปเชื่อว่าจะเป็นปีทองของการส่งออกสินค้าผ่าน อ.แม่สาย เข้าไปยังประเทศพม่า โดยเหตุผลข้อแรกคือการยกเลิกข้อห้ามนำเข้าสินค้าจำนวน 15 รายการของประเทศพม่าดังกล่าว ซึ่งเป็นปัญหาที่ภาคธุรกิจได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยได้เจรจาหารือกับรัฐบาลพม่ามานานกว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งผลที่ปรากฏเชื่อว่ามาจากความสำเร็จด้านความร่วมมือดังกล่าว และทำให้การส่งออกเริ่มเห็นผลเป็นรูปธรรมแล้ว โดยสินค้าเหล่านี้มีการส่งออกจากแม่สายไปพม่ามากยิ่งขึ้นทันตาเห็น
       
       นายบุญธรรมบอกว่า ข้อดีของการส่งออกเพิ่มมากขึ้นคือทำให้ผู้ประกอบการไทยมีรายได้ดีขึ้น ส่วนผู้ประกอบการพม่าก็สามารถนำสินค้าออกไปจำหน่ายได้ตามปกติ เนื่องจากในอดีตที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าแม้จะมีการห้ามสินค้า 15 รายการ แต่ก็มีการค้านอกระบบหรือใต้ดินซึ่งทำให้ต้องหลบๆ ซ่อนๆ กัน การยกเลิกจึงทำให้สามารถค้าขายกันได้อย่างเปิดเผย จึงเชื่อว่ามูลค่าการค้าด้าน อ.แม่สาย จะเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม 20-30% และะจากการหารือกับทางด่านศุลกากรระบุว่าในปีนี้มูลค่าการส่งออกฝ่ายเดียวจะทะลุสูงเกิน 1 หมื่นล้านบาทเป็นประจำทุกปี
       
       “มูลค่าที่จะเพิ่มมากขึ้นดังกล่าวยังเกิดจากการปิดด่านแม่สอด จ.ตาก ซึ่งทำให้สินค้าที่จะส่งออกเข้าไปยังพม่าทะลักออกทาง อ.แม่สาย มากขึ้น ซึ่งผมเชื่อว่านับจากนี้ความสัมพันธ์ทางการค้าไทย-พม่า จะดีมากขึ้น โดยเฉพาะในหมู่สินค้าที่มีความต้องการค้าขายกันมาโดยตลอด” นายบุญธรรมกล่าว
       
       สำหรับมูลค่าการค้าชายแดนไทย-พม่า ด้าน จ.เชียงราย ทั้งด้าน อ.แม่สาย อ.เชียงแสน และ อ.เชียงของ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมามีมูลค่าการค้ารวมปีละประมาณปีละ 13,000-14,000 ล้านบาท โดยเป็นการส่งออกประมาณ 10,000 ล้านบาท และนำเข้าประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นเครื่องอุปโภคบริโภค น้ำมันเชื้อเพลิง ฯลฯ ส่วนสินค้านำเข้าเป็นสินค้าทางการเกษตร ไม้ซุง ฯลฯ


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000088137
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #342 เมื่อ: วันที่ 19 กรกฎาคม 2011, 21:32:54 »

คสศ. ดันปลุกเส้นทาง R3B เชื่อมโยงแม่สาย – ตองยี

ชูยุทธศาสตร์วัฒนธรรม-กีฬาเชื่อมสัมพันธ์เพื่อนบ้าน

            คณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ ผลักดันฟื้นถนนสายเศรษฐกิจเชื่อมโยงการค้าการท่องเที่ยวผ่านเส้นทาง R3B จากอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย ไปยังเมืองตองยี สหภาพพม่า เนื่องจากเป็นเมืองที่มีศักยภาพมีกำลังการบริโภคสูง พร้อมเสนอยุทธศาสตร์นำวัฒนธรรมและกีฬาเชื่อมเพื่อนบ้าน และให้มีการติดตาม Single Visa ในเขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจผ่าน คณะกรรมการ กกร. และสภาพัฒน์ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวภาคเหนือตอนบน รวมถึงเร่งรัดข้อตกลงการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน (CBTA) เพื่อแก้ไขการนำเข้าสินค้าระหว่างไทยและจีนเกิดผลอย่างแท้จริง
            นายพัฒนา  สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการ คสศ. ครั้งที่ 3/2554 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2554 ที่โรงแรม แม่โขงเดลต้า บูติค โฮเทล อ.แม่สาย  ว่าได้มีมติที่สำคัญ 3 ประเด็นด้วยกันคือ ประเด็นแรกได้เสนอให้ผลักดันส่งเสริมการเปิดเส้นทางเชื่อมโยงการค้าการท่องเที่ยวผ่านเส้นทาง R3B จากอำเภอแม่สายจังหวัดเชียงราย ไปยังเมืองตองยี สหภาพพม่า เนื่องจากเป็นเมืองที่มีศักยภาพมีกำลังการบริโภคสูง ซึ่งหากทำได้จะทำให้ปริมาณสินค้าส่งออกทางด้านจังหวัดเชียงรายเพิ่มมากขึ้น
            โดยที่เส้นทางดังกล่าวยังสามารถพัฒนาเชื่อมต่อยอดไปยังประเทศอื่นๆ ในกลุ่มประเทศเอเชียใต้ทั้งอินเดีย ปากีสถาน เนปาลได้อีกด้วย โดยมุ่งเน้นการพัฒนาเส้นทางระหว่างเชียงตุง-มัณฑะเลย์ที่มีอยู่แล้ว ให้เป็นถนนมาตรฐาน  อย่างไรก็ตาม การขนส่งสินค้าระหว่างไทย-จีนบนถนน R3B คงจะเป็นไปได้น้อยในทางปฏิบัติ เนื่องจาก การลงทุนต่างๆ ของจีนได้ทุ่มไปทาง R3A เป็นหลัก
            ดังนั้นทาง คสศ. จึงเสนอให้มีการผลักดันให้เกิดการสนับสนุนการพัฒนาถนนระหว่างเมืองเกิดขึ้น นอกจากนั้นต้องสร้างความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเพื่อนบ้านโดยการใช้วัฒนธรรมและกีฬาเข้าไปเชื่อมมิตรภาพมากขึ้น เช่นการเปิดถนนข้าวซอยที่เป็นเอกลักษณ์ของอำเภอแม่สายและเมืองท่าขี้เหล็ก สหภาพพม่า รวมถึงทางพม่าก็สนใจที่จะแข่งขันกีฬาฟุตบอลเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างเมืองด้วย ซึ่ง คสศ. ก็จะผลักดันเรื่องนี้ต่อไป
            สำหรับประเด็นต่อมาเป็นเรื่องการอำนวยความสะดวกการข้ามแดน ด้านการท่องเที่ยว คสศ.จะได้ผลักดันเรื่อง Single Visa อย่างต่อเนื่องผ่านหอการค้าไทย คณะกรรมการ กกร. และสภาพัฒน์ เพื่อให้เกิดการท่องเที่ยวระหว่างจีนตอนใต้, สปป.ลาว และภาคเหนือตอนบน
            รวมถึงความคืบหน้าว่าด้วยการลงนามพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างไทยและจีน ที่จะส่งผลให้ไทยส่งออกผลไม้ไปจีนผ่านเส้นทางบกสาย R3A สู่จีนเพิ่มขึ้น ซึ่งหากดำเนินการได้จะใช้ระยะเวลาขนส่งเพียง 2-3 วัน จะเป็นโอกาสกระจายผลไม้ไปยังตลาดเมืองยูนนานมณฑลตะวันตกเฉียงใต้ของจีนได้โดยตรง อย่างไรก็ตามเรื่องนี้จะต้องนำเสนอว่าจะต้องเร่งรัดในส่วนข้อตกลงการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน (CBTA) ด้วยจึงจะทำให้การส่งออกและการนำเข้าสินค้าระหว่างไทยและจีนเกิดผลอย่างแท้จริง

http://www.chiangmaichamber.com/newsdetail.php?id_news=213
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #343 เมื่อ: วันที่ 21 กรกฎาคม 2011, 20:39:03 »

เตรียมจัดใหญ่งาน “ส้มโอเวียงแก่น 54” โชว์ของดีไร้สารเคมีตีตลาดอียู

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   21 กรกฎาคม 2554 10:41 น.



   
เชียงราย - เตรียมเปิดพื้นที่หน้าที่ว่าการอำเภอฯ จัดใหญ่งาน “ส้มโอเวียงแก่น” ปลายเดือนสิงหาคม 54 นี้ โชว์ส้มโอปลอดสาร ขายตลาด “อียู”
       
       นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย, นายประเสริฐ จิตต์พลีชีพ นายอำเภอเวียงแก่น ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจัดงานเทศกาลส้มโอ และของดี อ.เวียงแก่น ประจำปี 2554 ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี สำหรับปีนี้มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 20-27 ส.ค.54 นี้ ณ บริเวณสนามหน้าที่ว่าการ อ.เวียงแก่น เพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผลผลิตส้มโอพืชทางการเกษตรและผลผลิตการเกษตรอื่นๆ ตลอดจนสินค้าและแหล่งท่องเที่ยวต่างใน อ.เวียงแก่น ให้เป็นที่รู้จักและแพร่หลายทั้งกับนักท่องเที่ยว
       
       นายสมชัยกล่าวว่า นับเป็นสิ่งที่ดีอย่างยิ่งที่ อ.เวียงแก่น ได้จัดงานเทศกาลส้มโอและของดี อ.เวียงแก่น เพราะส้มโอเวียงแก่น เป็นที่รู้จักต่อคนทั่วโลกมากขึ้นเรื่อยๆ จากจำนวนและคุณภาพของที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี อีกทั้งเวียงแก่นยังเป็นอำเภอที่มีแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น การชมทะเลหมอกที่ภูชี้ฟ้า การชมดอกซากุระบานที่ผาตั้ง สถานที่ท่องเที่ยวผาได ฯลฯ การจัดงานครั้งนี้ยังจะเป็นการสร้างรายได้ให้กับพี่น้องประชาชนได้อีกด้วย
       
       รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับ อ.เวียงแก่น มีเกษตรกรส้มโอชาวเวียงแก่นรวมกันประมาณ 500 ราย และได้ปลูกส้มโอรวมกันประมาณ 5,000 ไร่ โดยมีเกษตรกรส่วนใหญ่เข้าร่วมโครงการพัฒนาผลผลิตกับสหกรณ์ที่มีอยู่ 2 แห่ง ซึ่งผู้เข้าร่วมโครงการจะได้รับการพัฒนาส้มโอเพื่อให้ได้มาตรฐานที่อียูหรือกลุ่มประเทศเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี อิตาลีและฝรั่งเศส โดยต้องไม่มีสารเคมีตกค้างเกินที่กำหนดเอาไว้ และปราศจากโรคต้องห้ามต่างๆ โดยเฉพาะโรคแคงเกอร์-แบลคสปอต หรือราดำ ทำให้ที่ผ่านมาสหกรณ์ได้ใช้วิธีการให้เกษตรกรเลี้ยงเชื้อราเขียวไตรโคเดอร์มา เพื่อป้องกันเชื้อรา ซึ่งพบว่าที่ผ่านมาได้ผลเกินกว่า 80% จนทำให้ตลาดอียูยอมรับและสามารถส่งออกไปได้เป็นประจำทุกปี รวมทั้งเมื่อเกิดปัญหาด้านมาตรฐานและการส่งออกกับทางอียูยังสามารถจำหน่ายภายในประเทศและส่งออกไปยังประเทศจีนได้อีกด้วย


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000089716
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #344 เมื่อ: วันที่ 28 กรกฎาคม 2011, 08:22:00 »

วันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7546 ข่าวสดรายวัน


การค้าชายแดน'ไทย-ลาว'ยังสดใส



เชียงราย - นายสุวัฒน์ ด้วงปั้น นายด่านศุลกากร อ.เชียงของ เปิดเผยว่า สถิติการนำเข้าและส่งออกสินค้าด้าน อ.เชียงของ เป็นไปในลักษณะก้าวกระโดดคือ เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นรายเดือน โดยพบว่ามูลค่าการค้ารวมตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2554 ถึงเดือนมิ.ย.นี้ ราว 5,700 ล้านบาท มูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น 80% คาดว่ามูลค่าการค้าตลอดทั้งปีงบประมาณนี้จึงจะเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเป็นจำนวนมาก และแนวโน้มยังคงมีอัตราที่เพิ่มขึ้นอย่างไม่ทราบจุดสิ้นสุด ภาคเอกชนโดยเฉพาะไทย-จีนมีการวางแผนกรณีการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแล้วเสร็จเอาไว้แล้ว

นายสุวัฒน์ กล่าวอีกว่า หลังทางการพม่าเปิดโอกาสให้สินค้าควบคุม 15 รายการสามารถส่งไปขายไปประเทศได้ แทนที่จากเดิมมีการนำออกจากด่านเชียงของส่งเข้าสปป.ลาวและส่งต่อไปยังพม่านั้น กลับพบว่าต่อไปสินค้าดังกล่าวจะถูกส่งออกตรงจากด่านศุลกากรแม่สายได้เลย ทำให้มูลค่าส่งออกไปสปป.ลาวหดหายไปราว 20 ล้านบาท แต่ก็ถือว่าไม่มากนักเพราะยังสามารถตั้งเป้าหมายส่งออกตลอดปี 2555 หลังสะพานแม่น้ำโขงแห่งที่ 5 สร้างเสร็จ ซึ่งตั้งไว้ราว 10,000 ล้านบาทได้อยู่

หน้า 29
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #345 เมื่อ: วันที่ 31 กรกฎาคม 2011, 18:20:42 »

ชียงรายนำร่องแผนรับมือ"เออีซี" บูมฮับหกเหลี่ยมเศรษฐกิจส่งสินค้าจีนไปสิงคโปร์Share

ประชาชาติธุรกิจ 30 กรกฏาคม 2554

ผู้ว่าฯเชียงรายนำร่องจังหวัดแรกเปิดเวทีดึงภาครัฐ-เอกชนเตรียมความพร้อมรับมือ AEC ปี"58 ยกระดับ "คน-งาน-พื้นที่" ดันเป็นเมือง "ศูนย์ กลางแวะพักสินค้า" หกเหลี่ยมเศรษฐกิจ ขนส่งสินค้าจากจีนทะลุเข้าสิงคโปร์ และวอนทุกกระทรวงตื่นตัวหนุนทุกจังหวัดเร่งปรับตัว


นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า วางแผนระดมทั้งภาครัฐและเอกชนระดับจังหวัดและกลุ่มจังหวัด (cluster) ร่วมสัมมนาในเดือนกันยายนนี้ เพื่อเตรียมความพร้อมรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community : AEC) ปี 2558 โดยจะยกระดับเชียงรายเป็นศูนย์กลางจุดแวะพักสินค้าอาเซียน เนื่องจากเชียงรายเป็นจังหวัดติดแนวตะเข็บชายแดนที่สามารถเชื่อมการขนส่งสินค้าในพื้นที่หกเหลี่ยมเศรษฐกิจ จากจีนตอนใต้ ผ่านเข้า สปป.ลาว เวียดนาม ผ่านไปยังมาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซียได้ โดยใช้ศักยภาพโลจิสติกส์ทางน้ำ คือท่าเรือเชียงแสนและท่าเรือเชียงของแห่งใหม่ขนาดใหญ่มาก และใช้การคมนคมทางบกถนนสาย R3A ซึ่งทะลุได้ถึงคุนหมิง มณฑลทางตอนใต้ของจีน ซึ่งมีตลาดนำเข้าและส่งออกสินค้ามูลค่ามหาศาล จึงเป็นโอกาสของเชียงรายและไทยในการสร้างรายได้ทางการค้า โดยให้ประเทศเหล่านี้มาใช้เป็นจุดแวะพักสินค้าและท่องเที่ยว

ส่วนการเตรียมความพร้อมที่จะเริ่มในเชียงรายมีอยู่ 3 ส่วน คือคน งาน และพื้นที่ โดยยึดหลักต้องคงความ เป็นธรรมชาติและวัฒนธรรมความเป็นเมืองล้านนาไว้ให้ได้เหมือนหลวง พระบางของ สปป.ลาว ควบคู่ไปกับการสร้างความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจหลังเปิดเออีซี ทุกประเทศจะค้าขายกันอย่างเสรีด้วยภาษี 0%

นายสมชัยกล่าวว่า เรื่องแรก การ เตรียมคนในพื้นที่ มุ่งเน้นยกระดับการศึกษา ขณะนี้หารือกับมหาวิทยาลัย แม่ฟ้าหลวงและสถาบันราชภัฏเพิ่มหลักสูตรภาษาลาวให้คนท้องถิ่นเรียนจนพูดอ่านเขียนได้ เพราะอนาคตเมื่อเปิดการค้าเป็นตลาดหนึ่งเดียวกันแล้ว อาจจำเป็นจะต้องร่างสัญญาเป็นภาษาลาว หรือภาษาอื่นด้วย เรื่องที่ 2 การเตรียมงานหรืออาชีพก็สำคัญมาก เนื่องจากเชียงรายมีชื่อเสียงเป็นแหล่งปลูกข้าวหอมมะลิ ตอนนี้เริ่มมีนายทุนจากที่อื่นเข้ามาซื้อไปทำสวนยางแล้วกว่า 7-8 แสนไร่ สามารถส่งออกติดอันดับ 10

อีกทั้งยังทำไร่ชา กาแฟ ผลไม้ และไม้ตัดดอก ซึ่งพร้อมส่งออกไปยังตลาดขนาดใหญ่จีน เรื่องที่ 3 การเตรียมพื้นที่ ต้องประกาศโซนนิ่งพื้นที่อย่างน้อย 4 โซน คือ 1.โซนการขนส่งโลจิสติกส์ทางบกและทางน้ำ 2.โซนธรรมชาติเพื่อการพักผ่อนและสันทนาการ 3.โซนการค้าและอุตสาหกรรม 4.โซนเกษตรกรรม

"เชียงรายจะเป็นจังหวัดนำร่องที่ ลุกขึ้นมาเปิดเวทีสัมมนา เพื่อปลุกกระแสหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกกระทรวง ไม่ว่าจะเป็นคมนาคมที่รับผิดชอบการก่อสร้างระบบโครงสร้างพื้นฐานโลจิสติกส์กระทรวงอุตสาหกรรมดูแลด้านการลงทุนอุตสาหกรรมและธุรกิจต่าง ๆ กระทรวงมหาดไทยต้องเตรียมความพร้อมองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นระดับตำบล จังหวัดตื่นตัวที่จะพัฒนาร่วมกันกับตัวแทนธุรกิจภาคเอกชน ทั้งหอการค้า สภาอุตสาหกรรมแต่ละจังหวัด ถ้าวันนี้ประเทศยังไม่ได้เริ่มต้นอะไร แต่เหลือเวลาอีกไม่ถึง 4 ปี จะเตรียมรับมือทันได้อย่างไร"
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #346 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2011, 09:48:25 »

ชงแผน5ปี5ยุทธศาสตร์ เสนอรัฐมนตรีใหม่         

โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ      
วันศุกร์ที่ 05 สิงหาคม 2011 เวลา 10:29 น.
คมนาคมตั้งแท่นชงแผน5 ยุทธศาสตร์ระยะ 5 ปี  วงเงินรวมกว่า 1.5 ล้านล้านบาท เสนอรัฐมนตรีคนใหม่ เผยยุทธศาสตร์ครอบคลุมทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

มุ่งเน้นวางรากฐานการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการยกระดับคุณภาพชีวิตในการเดินทางของประชาชนและการขนส่งสินค้า ชี้การพัฒนาระบบขนส่งเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตใช้งบสูงสุดกว่า 7 แสนล้าน โครงการเอ็นจีวี 4,000 คันยังติดอยู่ในแผนเช่นเคย
           นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ขณะนี้ได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์การดำเนินงานของกระทรวงคมนาคม เพื่อเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคนใหม่พิจารณาเรียบร้อยแล้ว  โดยได้รวมโครงการในระดับเมกะโปรเจ็กต์และโครงการทั่วไปของทุกหน่วยงานในสังกัด ซึ่งมีแผนจะดำเนินการในช่วง 5 ปีนับตั้งแต่ปี  2554-2558  มีมูลค่าการลงทุนเบื้องต้นประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท ขณะนี้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)ได้รวบรวมส่งมาให้กระทรวงเรียบร้อยแล้ว
           โดยโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์ 5  ด้าน ประกอบไปด้วย 1.ยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงโครงข่ายระบบขนส่งภายในประเทศ และพัฒนาจุดเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน 2.ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์การขนส่ง 3.ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบขนส่งให้ได้มาตรฐานความปลอดภัย 4.ยุทธศาสตร์การพัฒนาการให้บริการระบบขนส่งเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และ 5.ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการระบบขนส่งและการจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ วงเงิน 10,140.92 ล้านบาท
          "แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวครอบคลุมใน 3 มิติหลัก คือ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีแนวคิดหลักเพื่อการพัฒนา บำรุงรักษา และปรับปรุงการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานและบริหารระบบขนส่งมวลชนที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  มุ่งเน้นวางรากฐานการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และการยกระดับคุณภาพชีวิตในการเดินทางของประชาชนและการขนส่งสินค้า นำไปสู่การพัฒนาระบบขนส่งและจราจรที่ยั่งยืนต่อไป"
          ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า สำหรับวงเงินลงทุนรวม 1.5 ล้านล้านบาทนั้น จะครอบคลุมทั้งการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาระบบรางรถไฟ ซึ่งรวมถึงโครงการตามแผนปฏิรูปการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) วงเงิน 1.7 แสนล้านบาท ในส่วนที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติวงเงินลงทุน และการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าตามแผนแม่บท ซึ่งกำหนดว่าจะก่อสร้างรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลรวม 12 เส้นทาง มูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาท การพัฒนารถไฟความเร็วสูงรวม 5 เส้นทาง โดยเส้นทางแรกที่จะดำเนินการ คือเส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะทาง 615 กิโลเมตร รวมทั้งโครงการก่อสร้างท่าเรือ งานก่อสร้างและซ่อมบำรุงถนน
             ด้านนางสร้อยทิพย์  ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการ สนข. กล่าวว่า แต่ละยุทธศาสตร์อาจมีรายละเอียดที่ใกล้เคียงหรือเหมือนกันบ้าง เช่น โครงการระบบรางที่จะมีส่วนร่วมทั้งยุทธศาสตร์ระบบโลจิสติกส์ และยุทธศาสตร์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต อีกทั้งในแต่ละยุทธศาสตร์อาจจะต้องไปเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานด้วยเช่นกัน
          "เป็นแผน 5 ปี คือ ปี 2554-2558 เพราะตระหนักถึงการขนส่งและจราจรที่จะมีบทบาทสำคัญเพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้เศรษฐกิจสามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืน การส่งเสริมและพัฒนาระบบขนส่งให้มีประสิทธิภาพ มีต้นทุนที่เหมาะสม สะดวก รวดเร็ว ตลอดจนการให้บริการสังคมอย่างทั่วถึง มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีอัตราค่าบริการที่เหมาะสม เพื่อให้สังคมน่าอยู่ เข้มแข็งและเท่าเทียมกัน นอกจากนั้นยังช่วยประหยัดพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องการใช้เชื้อเพลิง"
              สำหรับรายละเอียดของแผนยุทธศาสตร์ที่ 1 เรื่องการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบขนส่งภายในประเทศ และพัฒนาจุดเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน วงเงินรวม 322,531 ล้านบาท จะครอบคลุมหน่วยงานกรมทางหลวง เสนอโครงการสำคัญ ๆ เช่น พัฒนาโครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศ โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องจราจร(ระยะที่ 2) กรมทางหลวงชนบท เสนอโครงการก่อสร้างทางสนับสนุนโครงการพระราชดำริและโครงการหลวง โครงข่ายทางหลวงชนบทเพื่อการท่องเที่ยวบริษัทขนส่ง จำกัด(บขส.) เสนอโครงการก่อสร้างอาคารจุดพักรถสถานีเดินรถเชียงราย  งานจัดหาที่ทำการสถานีเดินรถเชียงของ
              การรถไฟแห่งประเทศไทยเสนอโครงการรถไฟความเร็วสูง 4 เส้นทาง ด้านการขนส่งทางอากาศของกรมการบินพลเรือน เสนอก่อสร้างปรับปรุงและขยายทางวิ่งสนามบินในภูมิภาค  และของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) เสนอสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพิ่มเติม และโครงการใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานดอนเมือง และบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด เสนอพัฒนางานระบบห้วงอากาศอาเซียนให้ครอบคลุมประเทศเพื่อนบ้านด้านการบริหารจราจรทางอากาศ
           ส่วนยุทธศาสตร์ที่ 2 เรื่องการพัฒนาระบบโลจิสติกส์การขนส่ง วงเงินรวม 318,587 ล้านบาท ครอบคลุมด้านการขนส่งทางบก ไม่ว่าจะเป็นกรมการขนส่งทางบกเสนอโครงการก่อสร้างสถานีขนส่งสินค้าในจังหวัดสำคัญ ๆ  โครงการสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า กรมทางหลวง เสนอโครงการทางหลวงสนับสนุนการขนส่งแบบต่อเนื่อง โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง 5 สายทาง กรมทางหลวงชนบท เสนอโครงการสร้างโครงข่ายทางหลวงชนบทเพื่อการเชื่อมต่อระบบขนส่ง บริษัทขนส่ง จำกัด เสนอโครงการปรับปรุงรถโดยสารเพื่อนำไปใช้ในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ด้านการขนส่งทางรางของการรถไฟแห่งประเทศไทย เสนอโครงการจัดหารถจักร โบกี้บรรทุกสินค้า การก่อสร้างทางคู่ การปรับปรุงทางรถไฟระยะที่ 5,6 การก่อสร้างไอซีดีแห่งที่ 2 ด้านการขนส่งทางน้ำของกรมเจ้าท่า เสนองานก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด งานก่อสร้างสถานีขนส่งสินค้าทางลำน้ำเพื่อการประหยัดพลังงาน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และโครงการก่อสร้างทางเรือน้ำลึกปากบารา จังหวัดสตูล และท่าเรือน้ำลึกสงขลา แห่งที่ 2 โครงการเขื่อนยกระดับในแม่น้ำเจ้าพระยา และน่านเพื่อการเดินเรือ

           การท่าเรือแห่งประเทศไทยเสนอการพัฒนาศูนย์การขนส่งสินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 การขนส่งทางอากาศ ของบริษัทการบินไทย จำกัด(มหาชน) เสนอโครงการจัดหาเครื่องบิน โครงการจัดตั้งสายการบินต้นทุนต่ำ ไทย ไทเกอร์  ด้านนโยบายและแผน เสนอโครงการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบระบบรถไฟทางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร และโครงการศึกษาออกแบบทางรถไฟสายใหม่ เส้นทางช่องเม็ก-อุบลราชธานี


             ยุทธศาสตร์ที่ 3 เรื่องการพัฒนาระบบขนส่งให้ได้มาตรฐานความปลอดภัย วงเงินรวม 347,542 ล้านบาท ครอบคลุมงานของหน่วยงานกรมการขนส่งทางบก โดยกรมทางหลวงเสนอโครงการบำรุงรักษาทางหลวง งานบูรณะโครงข่ายทางหลวงสายหลัก สะพานข้ามจุดตัดทางรถไฟ และงานพัฒนาทางหลวงให้มีความปลอดภัย กรมทางหลวงชนบท เสนอโครงการก่อสร้างทางต่างระดับข้ามทางรถไฟ งานติดตั้งเครื่องกั้นพร้อมสัญญาณไฟวาบอัตโนมัติ บขส.เสนอโครงการจัดซื้อรถโดยสารทดแทนรถโดยสารของบขส.ที่ปลดระวางและโครงการปรับปรุงรถโดยสาร กรมการขนส่งทางบก เสนอโครงการปรับปรุงสนามทดสอบขับรถ ปรับปรุงการตรวจสภาพรถ ศูนย์ทดสอบยานยนต์ ศูนย์ฝึกและทดสอบขับรถมาตรฐาน

             ยุทธศาสตร์ที่ 4 เรื่องการพัฒนาการให้บริการระบบขนส่งเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต วงเงินรวม 770,006 ล้านบาท ครอบคลุมงานด้านการขนส่งทางบก เสนอโครงการก่อสร้างสถานีขนส่งผู้โดยสาร ศึกษาแผนแม่บทการเดินรถโดยสารประจำทางทั่วประเทศ กรมทางหลวงเสนอโครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง โครงการแก้ไขปัญหาจราจรในพื้นที่กทม.-ปริมณฑลและเมืองหลัก โครงการบูรณะและปรับปรุงสะพานทั่วประเทศ กรมทางหลวงชนบทเสนอโครงการ ยกระดับมาตรฐานทาง โครงการก่อสร้างถนนเชื่อมต่อถนนราชพฤกษ์-ถนนกาญจนาภิเษกแนวเหนือ-ใต้และตะวันออก-ตะวันตก

             การทางพิเศษแห่งประเทศไทย เสนอโครงการพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษ โครงการศึกษาความเหมาะสมระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ N1-N2-N3 โครงการก่อสร้างทางพิเศษสาย ศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกทม. องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)เสนอโครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใช้ก๊าซธรรมชาติเอ็นจีวี 4,000 คัน ด้านการขนส่งทางรางของการรถไฟแห่งประเทศไทย  เสนอโครงการก่อสร้างทางคู่ 5 เส้นทาง โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิตและบางซื่อ-ตลิ่งชัน โครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เสนอโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ

             ด้านการขนส่งทางน้ำ เสนอโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพัง การกัดเซาะ การก่อสร้างท่าเรือสินค้า ท่องเที่ยวและท่าเรือโดยสาร(โป๊ะ) ด้านการขนส่งทางอากาศ เสนอโครงการ พัฒนาระบบควบคุมเครื่องกั้นทางผ่านเสมอระดับแบบคานอัตโนมัติ และด้านนโยบายและแผนเสนอโครงการศึกษาพัฒนาระบบการเชื่อมต่อการเดินทางบริเวณศูนย์คมนาคมพหลโยธิน

             และยุทธศาสตร์ที่ 5 เรื่องการบริหารจัดการระบบขนส่งและการจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ วงเงินรวม 10,140 ล้านบาท ครอบคลุมงานด้านการขนส่งทางบกที่เสนอโครงการก่อสร้างและปรับปรุงอาคารสำนักงานขนส่ง ด้านการขนส่งทางน้ำ เสนองานพัฒนาบุคลากรด้านการพาณิชยนาวี ด้านการขนส่งทางอากาศเสนองานพัฒนาระบบการเดินอากาศด้วย PBN ภายในเขตควบคุมจราจรทางอากาศ งานผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านการบิน  และด้านนโยบายและแผน ที่เสนอโครงการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมและโครงการศึกษาจัดทำแผนแม่บทและบูรณาการโครงข่ายถนน สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาและการจราจรในเขตกทม.-ปริมณฑล เป็นต้น

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,659  7 - 10  สิงหาคม พ.ศ. 2554ร
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #347 เมื่อ: วันที่ 11 สิงหาคม 2011, 14:23:03 »

 ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ระบุพอใจภาพรวม ครม.ชุดใหม่ ชี้ต้องเปิดโอกาสให้ทำงานระยะหนึ่งก่อนที่จะประเมินผล เชื่อได้รับโอกาสและการสนับสนุนโครงการพัฒนาต่างๆ มากขึ้นหลังมีคนเชียงใหม่นั่งเก้าอี้รัฐมนตรี 2 คน ขณะเดียวกันขอเสนอตัวให้เชียงใหม่จัดประชุม ครม.สัญจรเป็นจังหวัดแรกในภูมิภาคทันทีที่รัฐบาลใหม่พร้อม จ่อเสนอโครงการมอเตอร์เวย์เชียงใหม่-เชียงราย และระบบขนส่งมวลชนเมืองเชียงใหม่
       
       นายณรงค์ คองประเสริฐ ประธานหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ และประธานคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) จังหวัดเชียงใหม่ แสดงความเห็นเกี่ยวกับคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีว่า โดยส่วนตัวมองว่าภาพรวมของคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ ถือว่าเป็นที่ยอมรับได้ และควรจะเปิดโอกาสให้คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ได้ทำงานสักระยะหนึ่งก่อนที่จะมีการประเมินและตัดสินใจอีกครั้งหนึ่ง ว่าทำงานได้เป็นที่น่าพอใจหรือไม่ ทั้งนี้มองว่าคณะรัฐมนตรีน่าจะสามารถทำงานได้ดี เพราะน่าจะมีทีมงานที่ปรึกษาที่ดีและมีความรู้ความสามารถเข้ามาช่วยทำงานให้สามารถผ่านไปได้ด้วยดี
       
       สำหรับการที่ในคณะรัฐมนตรีชุดใหม่นี้มีรัฐมนตรีที่เป็นชาวจังหวัดเชียงใหม่ 2 คน ได้แก่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายณรงค์ มีความเห็นว่า น่าจะเป็นผลดีต่อการพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่ในด้านต่างๆ ที่น่าจะได้รับการสนับสนุนด้านต่างๆ รวมทั้งงบประมาณเพื่อดำเนินโครงการต่างๆ ในการพัฒนาจังหวัดเชียงใหม่จากรัฐบาลมากขึ้น
       
       ทั้งนี้ โครงการที่ทางภาคเอกชนจังหวัดเชียงใหม่จะมีการผลักดันนำเสนอต่อรัฐบาลใหม่ เพื่อขอรับการสนับสนุนโครงการ ได้แก่ โครงการรถไฟความเร็วสูงเส้นทางเชียงใหม่-กรุงเทพฯ โครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์เชื่อมต่อจังหวัดเชียงใหม่-เชียงราย เพื่อเชื่อมโยง 2 จังหวัดที่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจของภาคเหนือ และรองรับถนน R3a โครงการระบบขนส่งมวลชนเมืองเชียงใหม่ และการบริหารจัดการ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติจังหวัดเชียงใหม่ ที่ต้องการให้มีการเปิดโอกาสให้ตัวแทนจากท้องถิ่นเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการด้วย ไม่ใช่เป็นการบริหารจัดการโดยส่วนกลางหรือบริษัทเอกชนที่รับสัมปทาน
       
       ขณะเดียวกัน ในภาพรวมของทั้งประเทศสิ่งที่อยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการมากที่สุด คือ การเร่งสร้างบรรยากาศความปรองดองและแก้ไขปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองให้จบสิ้นลงโดยเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคเอกชน นักลงทุน ทั้งไทยและต่างประเทศ ที่จะได้มีความมั่นใจและกล้าที่จะตัดสินใจเข้ามาลงทุน ซึ่งมองว่าการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนนั้นเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมากในเวลานี้
       
       นอกจากนี้ นายณรงค์ กล่าวว่า ขณะนี้จังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะภาคเอกชนขอเสนอตัวพร้อมที่จะให้มีการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดเชียงใหม่ เป็นจังหวัดแรกในภูมิภาค เพื่อให้รัฐบาลใหม่ได้มาพูดคุยและรับฟังความต้องการเรื่องต่างๆ จากทุกภาคส่วนในระดับพื้นที่ ซึ่งหากเป็นไปได้อยากให้มีการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะสามารถเป็นไปได้เมื่อรัฐบาลมีความพร้อม

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000100003
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #348 เมื่อ: วันที่ 11 สิงหาคม 2011, 14:31:40 »

ฉลอง750ปีเมืองเชียงรายถกทุกฝ่าย-กระตุ้นท่องเที่ยว
เชียงราย-ภาครัฐและเอกชนเชียงราย ระดมสมองเพื่อเตรียมการจัดงาน "เฉลิมฉลองสมโภช 750 ปีเมืองเชียงราย" หวังผลกระตุ้นการท่องเที่ยวเมือง
          รศ.ดร.วันชัย ศิริชนะ อธิการบดีมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ประธานประชุมเสวนาร่วมหาแนวทาง "จัดงานเฉลิมฉลองสมโภช 750 ปีเมืองเชียงรายภาคประชาชน" ที่มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง อ.เมืองเชียงราย เมื่อเร็วๆ นี้ มีตัวแทนภาครัฐ เอกชนเข้าร่วม โดย รศ.ดร.วันชัย กล่าวว่า ภาคเอกชนและสื่อมวลชนขอให้มหาวิทยาลัยช่วยจัดประชุมเพื่อให้การจัดงานขับเคลื่อนไปได้ เพราะเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันที่พ่อขุนเม็งรายมหาราชหรือพญามังรายทรงสร้างเมืองเชียงรายครบ 750 ปีในวันที่ 26 มกราคม 2555 หลังจากที่จังหวัดได้ตั้งคณะกรรมการดำเนินการและคณะอนุกรรมการฝ่ายต่างๆ แล้ว
 
          รศ.ดร.วันชัย กล่าวอีกว่า อยากให้เปรียบเทียบการเฉลิมฉลอง จ.เชียงใหม่ ซึ่งดำเนินการแล้วได้สิ่งต่างๆ เป็นรูปธรรมที่ทำให้กลายเป็นสัญลักษณ์ เช่น สนามกีฬา 700 ปีเชียงใหม่ อีกประการจะทำอย่างไรให้เชียงรายเป็นที่รู้จักทั้งประเทศและโลก รวมทั้งให้งานสร้างประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดที่สร้างรายได้ให้ประชาชน
 
          ด้านนายอภิชา ตระสินธุ์ นายกสมาคมท่องเที่ยวเชียงราย กล่าวว่า เชียงรายมีต้นทุนด้านการท่องเที่ยวทำให้มีนักท่องเที่ยวปีละ 1.4 ล้านคน สร้างรายได้เข้าจังหวัดประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เพื่อยกระดับเรื่องดังกล่าวภาคเอกชนได้ทำแผนเสนอจังหวัดไปแล้ว แต่ยังไม่เป็นรูปธรรมนัก ดังนั้นภาคเอกชนจึงมีแผนสองด้วยการประสานท้องถิ่น เพื่อหาสถานที่สร้างนิทรรศการเล่าขานเมืองเชียงราย การจัดโปรโมชั่นเกี่ยวกับที่พักและเส้นทางท่องเที่ยวต่างๆ ให้ตรงกับเลข 750 ปี และอื่นๆ กรณีที่จังหวัดไม่สามารถขับเคลื่อนได้แล้ว
 
          รายงานข่าวแจ้งว่าที่ประชุมมีมติให้ทุกฝ่ายนำรายละเอียดการดำเนินการเสนอ มฟล.รวบรวมและเรียบเรียงเป็นโครงการและวิเคราะห์ด้านงบประมาณ เพื่อเสนอจังหวัดและ ส.ส.เชียงราย จากระบบเขต 7 คนและบัญชีรายชื่อ 1 คน ช่วยผลักดันงบประมาณ โดยนัดประชุมที่ มฟล.อีกครั้งวันที่ 13 สิงหาคมนี้

http://www.komchadluek.net
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #349 เมื่อ: วันที่ 15 สิงหาคม 2011, 19:36:43 »

ปัดฝุ่นโปรเจ็กต์ยุค'ทักษิณ'ผุดนิคมฯเชียงของ

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม 2011 เวลา 09:36 น.

กนอ. ปัดฝุ่นโปรเจ็กต์ยุครัฐบาลทักษิณ กดปุ่มสตาร์ตนิคมอุตสาหกรรมเชียงของอีกรอบ หลังถูกเบรกไปกว่า 4 ปี เตรียมตีปี๊บระดมทุนไทยผนึกทุนมังกร เร่งพัฒนาพื้นที่ 16,000 ไร่ ดันเชียงรายเป็นประตูเชื่อมอาเซียน-จีน บนเส้นทาง R3A รับเออีซี ตั้งธงเน้นอุตฯสะอาด อุตฯไฟฟ้าฯ ยาง แปรรูปเกษตรและยา เป็นเป้าหมายหลัก ภาคเอกชนขานรับแต่ยังห่วงทุนจีนไม่สนจริง

ดร.วีรพงษ์ ไชยเพิ่ม รองผู้ว่าการ (ยุทธศาสตร์และการเงิน) การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ขณะนี้ กนอ. เตรียมที่จะผลักดันโครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงรายขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง โดยนิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวจะเป็นฐานการผลิต การค้า และบริการขนส่ง รวมถึงเป็นประตูการค้า การลงทุนเชื่อมโยงไปสู่สหภาพพม่า สปป.ลาว และจีน (ยูนนาน)

โดยล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการร่วมระหว่างรัฐบาลไทยและจีน (ยูนนาน) ครั้งที่ 4 ได้มีการหารือถึงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมดังกล่าวนี้และค่อนข้างได้รับความสนใจจากทางการจีน

ทั้งนี้นิคมอุตสาหกรรมเชียงของเป็นโครงการที่จะพัฒนาในลักษณะเอกชนร่วมดำเนินการ ที่ผ่านมาได้มีการศึกษาความเป็นไปได้และความเหมาะสมเรียบร้อยแล้วแต่ต้องหยุดหยุดชะงักไปกว่า 4 ปี เนื่องจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจโลก ประกอบกับความไม่ชัดเจนเกี่ยวกับกฎหมายรัฐธรรมนูญ ปี 2550 ในมาตรา 67 วรรค 2

อย่างไรก็ตาม กนอ. จะเริ่มสตาร์ตโครงการนี้อีกครั้ง เนื่องจากเล็งเห็นว่าเป็นโครงการที่สอดรับกับการเข้าสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ในปี 2558 ประกอบกับมีความพร้อมในเส้นทางคมนาคมคือเส้นทาง R3A ที่พัฒนาเป็นถนน 4 เลนเชื่อมถึงจีนเรียบร้อยแล้ว ทั้งยังเป็นโครงการที่ได้รับความสนใจจากจีนด้วย โดย กนอ. จะดำเนินโครงการให้สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงอุตสาหกรรม และเชื่อว่ารัฐบาลจะให้ความสำคัญ

ดร.วีรพงษ์ กล่าวด้วยว่า โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอำเภอเชียงของดังกล่าวเป็นโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการพัฒนาเขตเศรษฐกิจชายแดนจังหวัดเชียงราย เพื่อรองรับเส้นทางสาย R3A และสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 (เชียงของ-ห้วยทราย) ซึ่งจะแล้วเสร็จภายในปี 2555 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2549 ในสมัยรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี รวมถึงเป็นหนึ่งในแผนงานพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจที่สำคัญของกรอบความร่วมมือ ทางเศรษฐกิจอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง (Greater Mekong Sub-region: GMS) เพื่อเชื่อมโยงไทย-พม่า-สปป.ลาว-จีนด้วย

ทั้งนี้ นิคมอุตสาหกรรมเชียงของจะมีพื้นที่ประมาณ 16,000 ไร่ ครอบคลุมตำบลสถาน และตำบลศรีดอนชัย อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย มีรูปแบบการพัฒนาโครงการเป็น 2 ส่วน คือ 1. พื้นที่สถานีขนส่งและกระจายสินค้า มีองค์ประกอบหลักคือ สำนักงานส่วนกลาง และพื้นที่สถานีขนส่งและกระจายสินค้า และ 2. พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม มีองค์ประกอบหลักคือ สำนักงานส่วนกลาง พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม พื้นที่พาณิชยกรรม พื้นที่สาธารณูปโภค และพื้นที่สีเขียว (Buffer)

สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายนั้น จะมุ่งเน้นกลุ่มอุตสาหกรรมสะอาดและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเบื้องต้นมองว่าอุตสาหกรรมที่มีศักยภาพในการเข้าไปลงทุนในพื้นที่ดังกล่าว ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมแปรรูปผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร อุตสาหกรรมยาง และอุตสาหกรรมยา ซึ่งเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่จีนต้องการขยายการเติบโต ทั้งนี้การเข้ามาลงทุนของกลุ่มผู้ประกอบการจีน มี 2 รูปแบบ คือ การเข้ามาเป็นผู้ร่วมพัฒนานิคมอุตสาหกรรม หรือเข้ามาเป็นผู้ประกอบการในนิคมอุตสาหกรรม

อย่างไรก็ตาม การพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเชียงของจะเป็นไปในลักษณะนิคมอุตสาหกรรมที่เอกชนเข้ามาร่วมดำเนินการ จึงอาจมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการพัฒนาตามความเหมาะสมด้านการลงทุนซึ่งอาจแตกต่างจากผังเดิมที่ กนอ. ได้ทำการศึกษาไว้ ทั้งนี้หากโครงการดังกล่าวนี้เดินหน้าไปได้และมีผู้สนใจเข้ามาลงทุนอย่างจริงจัง เชื่อว่าจะใช้เวลาในการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมประมาณ 2 ปี

ด้าน นายทวิช เตชะนาวากุล รักษาการเลขาธิการสมาคมนิคมอุตสาหกรรมไทย กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทยอินดัสเตรียล เอสเตท จำกัด ผู้บริหาร นิคมอุตสาหกรรมบ้านหว้า(ไฮเทค) และประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไฮเทค นิทซู (ประเทศไทย)ฯ กล่าวว่า ที่ผ่านมานิคมอุตสาหกรรมเชียงของซึ่งมีเป้าหมายที่จะเป็นศูนย์กระจายสินค้าและบริการโลจิสติกส์ในภาคเหนือใช้เวลาผลักดันโครงการมาค่อนข้างนาน แต่เชื่อว่าหากมีทุนจีนเข้ามาลงทุนจะทำให้นิคมนี้เกิดขึ้นได้

นายยุทธพงศ์ จีรประภาพงศ์ ประธานสภาอุตสาหกรรมภาคเหนือ กล่าวว่า การเปิดนิคมอุตสาหกรรมเชียงของนั้น ผู้ประกอบการเห็นด้วยกับโครงการและต้องการให้เกิด แต่ต้องวิเคราะห์ให้ดีว่าทุนจีนให้ความสำคัญมากน้อยเพียงใด เพราะมีข้อมูลจากสายงานเศรษฐกิจและโลจิสติกส์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ว่าจีนค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับเส้นทางขนส่งทางจังหวัดหนองคายมากกว่า เพราะสามารถแยกไปเวียดนามและกัมพูชาได้

นอกจากนี้จากที่มีกระแสต่อต้านกรณีจีนมีแผนจะเข้ามาลงทุนทำศูนย์กระจายสินค้าในจังหวัดเชียงใหม่ และกรุงเทพฯ ในเขตบางนา ประกอบกับไทยมีการบังคับใช้รัฐธรรมนูญปี 2550 มาตรา 67 วรรค 2 ที่ทำให้การลงทุนจะต้องมีการทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) และผลกระทบด้านสุขภาพ (เอชไอเอ) ยังส่งผลให้จีนต้องคิดถึงประเด็นนี้อย่างรอบคอบหากต้องการเข้ามาลงทุน

อย่างไรก็ตาม มองว่านิคมอุตสาหกรรมเชียงของมีศักยภาพในแง่เส้นทางการขนส่งที่มีทั้งถนนสาย R3A และเส้นทางรถไฟที่เชื่อมจากเด่นชัยถึงเชียงรายซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะขยายถึงเชียงของ เมื่อมีความพร้อมด้านโลจิสติกส์ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการทำนิคมอุตสาหกรรมก็เป็นไปได้ที่นิคมอุตสาหกรรมเชียงของจะเกิดขึ้น แต่สิ่งที่ต้องให้ความสำคัญอีกประการหนึ่งคือ เมื่อทุนจีนซึ่งเป็นทุนใหญ่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยแล้ว ผู้ประกอบการไทยจะสามารถขายอะไรให้กับจีนได้บ้าง เพราะการค้าการลงทุนควรได้ผลประโยชน์ทาง 2 ทาง

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,661 14 - 17 สิงหาคม พ.ศ. 2554


http://www.thanonline.com/index.php?...-45&Itemid=417
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #350 เมื่อ: วันที่ 16 สิงหาคม 2011, 18:10:57 »

ชียงราย - การท่องเที่ยวฯ เตรียมเปิดห้องติวเข้มผู้ประกอบการทัวร์ รับการเปิดตลาดประชาคมอาเซียน
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า ระหว่างวันที่ 25-26 ส.ค.54 นี้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) โดยกองตลาดอาเซียน เอเชียใต้ และแปซิฟิกใต้ ร่วมกับ ททท.8 สำนักงานภาคเหนือ มีกำหนดจัดโครงการให้ความรู้ด้านตลาดการท่องเที่ยวแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย ภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำแม่โขง (Greater Mekong Sub-region: GMS) ในหัวข้อ “การทำตลาดท่องเที่ยวเชิงรุกในกลุ่มประเทศ GMS”ณ ห้องประชุมวนาสวรรค์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย
       
       เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทย โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) และเตรียมความพร้อมสำหรับโอกาสและการเปลี่ยนแปลงที่ประเทศไทยจะก้าวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community: AEC) ในปี 2558 ที่กำลังจะมาถึง
       
       นางอัจฉริกา มณีสิน ผู้อำนวยการสำนักงาน ททท. สำนักงานเชียงราย กล่าวว่า การท่องเที่ยวเป็นหนึ่งในสาขาหลักที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาส่งเสริม เพิ่มขีดความสามารถและโอกาสในการแข่งขันของไทยในเวทีระหว่างประเทศ ซึ่งภายใต้ความร่วมมือกับประเทศต่าง ๆ ทั้งในระดับทวิภาคีและพหุภาคี รวมถึงกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำแม่โขง ซึ่งมีสมาชิกประกอบด้วยไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม พม่า และจีนนตอนใต้ ล้วนมีการส่งเสริมให้อนุภูมิภาคลุ่มน้ำแม่โขง เป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยว
       
       แต่ด้วยสถานการณ์โลกและการตลาด มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทำให้ธุรกิจต้องแข่งขันที่คุณค่าของสินค้าหรือบริการที่เหนือความคาดหมาย เพื่อสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ดังนั้นผู้ประกอบธุรกิจการท่องเที่ยว จึงจำเป็นต้องเรียนรู้ เข้าใจ และปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง และการแข่งขันอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะในอนาคตอันใกล้ที่กลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียน จะก้าวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งจะทำให้อาเซียนเป็นตลาดและฐานการผลิตเดียว มีการเคลื่อนย้ายสินค้าบริการ การลงทุน เงินทุน และแรงงานมีฝีมือได้อย่างเสรี
       
       ททท.จึงเล็งเห็นความสำคัญในการส่งเสริมความรู้เพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน และเตรียมความพร้อมแก่ผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยในพื้นที่กรอบความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำแม่โขง รับกับโอกาสและการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น
       
       โดยครั้งนี้จะมีการจัดวิทยากรที่เชี่ยวชาญด้านการตลาดมาให้ความรู้แก่ผู้เข้าร่วมโครงการ เช่น การตลาดท่องเที่ยว “ทันแนว ทันยุค แผนดีมีทั้งเชิงรุกและเตรียมรับ” ,“กลยุทธ์การตลาดดี มีชัยไปกว่าครึ่ง” โดย ผศ.ดร.จุฑา มาศ วิศาลสิงห์และอาจารย์ณฤดี คริสธานินทร์ การเสวนาเรื่อง “ศักยภาพผู้ประกอบการท่องเที่ยวไทยบนเวที GMS” แนวคิดแบบ Modern Marketing ประเด็น “ทำตลาดเชิงรุก บุกตลาดกับ ททท.” และ “จัดเตรียมสินค้าการท่องเที่ยวอย่างไร ให้ถูกใจตลาด” โดยผู้มีคุณวุฒิจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมโครงการประมาณ 100 คน และจะสามารถเพิ่มพูนความรู้ ทักษะ ไปประยุกต์ใช้ในธุรกิจของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #351 เมื่อ: วันที่ 17 สิงหาคม 2011, 23:26:43 »

เชียงราย - โยธาธิการฯ กางผังเมืองใหม่ 4 พื้นที่ของเมืองพ่อขุนฯ แจงให้ ปชช.ก่อนเสนอให้ประกาศใช้ต่อไป พบวางแผนพัฒนา 54 โครงการ มุ่งแก้น้ำท่วม-ภัยแล้งเพียบ


       
       วันนี้ (17 ส.ค.) ที่ห้องประชุมพญาภิพักดิ์ ศาลากลางจังหวัดเชียงราย นายสุรชัย ลิ้นทอง รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้เป็นประธานในการประชุมโครงการพัฒนาตามผังเมืองรวมจำนวน 4 แห่งใน จ.เชียงราย ซึ่งทางสำนักงานโยธาธิการและผังเมือง ได้ดำเนินการแล้วเสร็จ และนำมาชี้แจงต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อนำเสนอและขอความเห็นสำหรับเตรียมเสนอเพื่อประกาศใช้ในอนาคตต่อไป
       
       โดยผังเมืองรวมดังกล่าวได้แก่ผังเมืองรวมชุมชนบุญเรือง อ.เชียงแสน ผังเมืองรวมชุมชนบ้านเหล่า อ.เวียงเชียงรุ้ง ผังเมืองรวมชุมชนเวียงชัย อ.เวียงชัย และผังเมืองรวมชุมชนจันจว้า อ.แม่จัน
       
       ในแต่ละพื้นที่ได้มีการจัดทำโครงการพัฒนาตามรูปแบบของการออกแบบวางและจัดทำผังเมือง โดยกำหนดพื้นที่หรือโซนต่างๆ ให้เหมาะกับการดำเนินการคือกำหนดพื้นที่สีเหลืองว่าเป็นประเภทที่มีที่อยู่อาศัยน้อย สีส้มอยู่อาศัยปานกลาง และสีแดงสำหรับเป็นย่านพาณิชยกรรม จากนั้นได้มีการกำหนดโครงการต่างๆ เพื่อการพัฒนาครอบคลุมผังเมืองรวมทั้ง 4 แห่งรวมจำนวนทั้งหมด 54 โครงการ
       
       ซึ่งมีหลายโครงการที่เกี่ยวข้องกับแหล่งน้ำขนาดใหญ่เพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้ง เช่น โครงการขุดลำห้วยแม่สะกึ๋นในเขตผังเมืองรวมชุมชนเวียงชัยเพื่อป้องกันน้ำท่วม กำหนดให้มีการขุดลอกระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตร, โครงการปรับภูมิทัศน์สวนสาธารณะหนองหลวง, โครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งแม่น้ำลาว ลำน้ำห่าง, โครงการศึกษาระบบป้องกันน้ำท่วมลุ่มแม่น้ำลาว แม่น้ำห่ง และแม่น้ำสะกึ๋น, โครงการก่อสร้างระบบกักเก็บน้ำจากแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรในฤดูแล้งตามแหล่งน้ำธรรมชาติอื่นๆ
       
       ส่วนผังเมืองรวมชุมชนจันจว้า มีโครงการพัฒนาแหล่งน้ำและจัดหาระบบกักเก็บน้ำเพื่อการเกษตรในฤดูแล้ง, โครงการอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำและพัฒนาพื้นที่สาธารณะเวียงหนองหล่ม, โครงการก่อสร้างระบบระบายน้ำ, โครงการศึกษาระบบป้องกันน้ำท่วม ฯลฯ
       
       ด้านผังเมืองรวมชุมชนบ้านเหล่ามีโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งน้ำแม่เผื่อ ,โครงการจัดระบบกักเก็บน้ำ เป็นต้น
       
       โดยโครงการทั้งหมดส่วนใหญ่กำหนดระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ปี 2555 และแล้วเสร็จในปี 2558
       
       นายเอกอดุลย์ ป้อมเสมา หัวหน้ากลุ่มวิชาการผังเมือง จ.เชียงราย กล่าวว่า ตอนนี้ได้จัดทำร่างโครงการต่างๆ แล้วเสร็จแล้ว และตามขั้นตอนก็จะต้องมีการนำเสนอไปยังหน่วยงานองค์กรต่างๆ เพื่อให้ได้รับทราบและเสนอความเห็นโดยพร้อมเพรียงกัน จากนั้นก็จะนำเสนอไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประกาศใช้ต่อไป ซึ่งหากแล้วเสร็จจะเป็นประโยชน์ต่อพื้นที่ จ.เชียงราย อย่างมาก
       
       ทั้งนี้ นอกจากผังเมืองรวมทั้ง 4 แห่งที่แล้วเสร็จแล้ว ยังมีผังเมืองรวมเมืองเชียงรายมีการจัดระเบียบต่างๆ ให้เรียบร้อยมากขึ้นด้วยต่อไป

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000102942
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #352 เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2011, 11:00:30 »

นที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4341 ประชาชาติธุรกิจ


"บุญรอดฯ"ปัดฝุ่นธุรกิจเกษตร ปลูก"ชา-ยางพารา"เสริมเบียร์



เบียร์สิงห์ปัดฝุ่น "ไร่บุญรอด" ประกาศรุกธุรกิจเกษตรอีกรอบ ประเดิมปลูกชาอู่หลง-ยางพารา เดินหน้าลงทุนอาร์แอนด์ดีชา เล็งต่อยอดป้อนเข้าอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง-ยา พัฒนาโปรดักต์ ปั้นแบรนด์ขายทั้งในประเทศ-ต่างประเทศ



นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี กรรมการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บุญรอดบริวเวอรี่ จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ขณะนี้บริษัทได้หันมาให้ความสำคัญและมีการลงทุนกับธุรกิจเกษตรอีกครั้ง จากในอดีตที่เคยปลูกข้าวบาร์เลย์เพื่อนำมาเป็นวัตถุดิบ ในการผลิตเบียร์เมื่อสักกว่า 30-40 ปี ที่แล้ว เพื่อเป็นการเสริมธุรกิจหลักที่เป็น กลุ่มเครื่องดื่ม มีทั้งเบียร์ โซดา น้ำดื่ม รวมทั้งข้าวถุง เบื้องต้นเริ่มปลูกชา ยางพารา พืชเศรษฐกิจที่สำคัญมาระยะหนึ่ง นอกจากนี้ยังปลูกข้าว พุทรา เห็ด ข้าวโพด ฯลฯ แต่เป็นสเกลที่ไม่ใหญ่นัก

สำหรับชานอกจากส่งออกใบชาไปยังไต้หวันที่ทำมา 2-3 ปีแล้ว ยังมีแผนจะพัฒนาชาเป็นโปรดักต์ภายใต้แบรนด์ของบุญรอด ออกมาทำตลาดทั้งในประเทศและในภูมิภาค ควบคู่กันนี้บุญรอดยังได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยแม่โจ้ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) วิจัยและพัฒนาสายพันธุ์ชา รวมทั้งมีการปลูกข้าวสายพันธุ์ต่าง ๆ ที่ไร่บุญรอดด้วย

"มากกว่านั้นบุญรอดได้ให้ความสำคัญในเรื่องของอาร์แอนด์ดี หรือการวิจัยและพัฒนา เพื่อจะนำสารสกัดจากชาไปต่อยอดเป็นส่วนผสมสำคัญของเครื่องสำอางและยา ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา"

ส่วนยางพารา นายจุตินันท์กล่าวว่า อีกสัก 1-2 ปี ยางพาราที่ปลูกในเฟสแรกจะเริ่มกรีดน้ำยางได้ ซึ่งอย่างที่รู้กันปัจจุบันยางพาราเป็นสินค้าเกษตรที่มีความต้องการสูง โดยเฉพาะจีนที่มีความต้องการใช้ยางสูงมาก และการมีแหล่งปลูกอยู่ที่เชียงราย จึงมีความได้เปรียบ ในแง่ของโลจิสติกส์

"สิ่งที่คุณสันติ ภิรมย์ภักดี กรรมการผู้จัดการใหญ่ มีนโยบาย คือไม่ได้มองว่าจะปลูกยางแล้วกรีดน้ำยางขายอย่างเดียว คงไม่ได้อะไร น้ำยางสามารถที่จะนำไปทำอะไรอย่างอื่นได้อีกมาก เรามองดาวน์สตรีม (downstream) มาตลอดว่าจะมีอุตสาหกรรมอะไรมารองรับหรือเปล่า ก็กำลังดูอยู่ สมมติถ้าจะลงทุนทำแม่พิมพ์ หรือโมลด์ (mold) ผลิตยาง น้ำยางเราคงไม่พอ เราต้องไปดีลคนผลิตน้ำยาง ต้องเปลี่ยนสภาพจากการเป็นของเราเองก็ต้องเป็นพาร์ตเนอร์คนอื่น ซึ่งก็เป็นไปได้"

ควบคู่กันนี้ยังมองไปถึงการพัฒนาปรับปรุงไร่บุญรอดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ ซึ่งตอนนี้ทำในลักษณะค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไป เนื่องจากเชียงรายมีข้อจำกัดในเรื่องของโลจิสติกส์ มีเที่ยวบินไม่มาก และฤดูการท่องเที่ยวจะมีเพียง 4-5 เดือนในช่วงหน้าหนาว นอกจากไร่บุญรอดจะเป็นแหล่งผลิตพืชผลทางการเกษตรแล้ว บุญรอดยังมีการลงทุนและ

ใช้ไร่เป็นแหล่งอาร์แอนด์ดี รวมทั้งการทำเป็นโชว์เคสของบริษัท โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมด้วย ทั้งในเรื่องของการอนุรักษ์ป่า การรักษาแหล่งน้ำ

ส่วนผลิตผลต่าง ๆ จากไร่บุญรอด เบื้องต้นจะยังคงใช้แบรนด์ "ไร่บุญรอด" และจะยังมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในเชิงการตลาด ด้วยทีมมาร์เก็ตติ้งที่จะเข้ามาดูแลตั้งแต่แพ็กเกจจิ้ง การตั้งชื่อ สี ฟอนต์ตัวอักษร ฯลฯ รวมทั้งได้นำโนว์ฮาวจากกลุ่มบุญรอดมาใช้ โดยเฉพาะห้องแล็บที่นำมาใช้ตรวจสอบและควบคุมคุณภาพผลิตชา น้ำผลไม้ แยม ผักดอง ขณะเดียวกันก็จะประสานกับกลุ่มน็อนแอลกอฮอล์ในการหาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาทำตลาด โดยนำสิ่งที่ไร่บุญรอดมีไปต่อยอด

ทั้งนี้ ไร่บุญรอดที่เป็นโมเดลต้นแบบของบุญรอด ตั้งอยู่ที่อำเภอแม่กรณ์ จังหวัดเชียงราย มีพื้นที่รวมกว่า 8,000 ไร่ เบื้องต้นทดลองปลูกชาอู่หลงประมาณ 600 ไร่ ยางพาราประมาณ 2,600 ไร่ และเฟสแรกประมาณ 500 ไร่ จะเริ่มกรีดน้ำยางได้ในปี 2555/2556 นอกจากนี้ยังมีแปลงทดลองพันธุ์ยางพาราอยู่ที่อำเภอเวียงป่าเป้าด้วย

ผู้สื่อข่าวตั้งข้อสังเกตว่า ธุรกิจเกษตรถือเป็น 1 ในยุทธศาสตร์หลักของบุญรอด และเป็น 1 ในกลุ่มน็อนแอลกอฮอล์ที่จะช่วยบาลานซ์พอร์ตโฟลิโอ จากเดิมที่มีรายได้หลักมาจากกลุ่มแอลกอฮอล์ในสัดส่วน 70% และอีก 30% มาจากกลุ่มน็อนแอลกอฮอล์ อาทิ น้ำดื่มตราโซดา เครื่องดื่มบี-อิ้ง ฯลฯ

หน้า 1
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #353 เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2011, 21:43:09 »

ทีมไทยแลนด์ล้านนา กลุ่มภาคเหนือตอนบน 2 นำผู้ประกอบการร่วมกิจกรรม Road Show ที่สปป.ลาว ,เวียดนาม และจีนตอนใต้

นางเฟื่องฟ้า ตุลาธรรมกุล พาณิชย์จังหวัดพะเยา เปิดเผยว่า ในช่วงกลางเดือนสิงหาคมจนถึงต้นเดือนกันยายน กลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 ประกอบด้วย จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และจังหวัดน่าน กำหนดจัดกิจกรรมการส่งเสริมความร่วมมือทีมไทยแลนด์ล้านนา เพื่อเป็นการเชื่อมโยงทางการค้า และสร้างเครือข่ายความร่วมมือให้กับผู้ประกอบการในกลุ่มจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 หรือล้านนาตะวันออก โดยจัด Road Show พร้อมทั้งร่วมเจรจาธุรกิจกับผู้ประกอบการในประเทศ สปป.ลาว ,เวียดนาม และที่เมืองหนานหนิง ประเทศจีนตอนใต้ โดยในระหว่างวันที่ 19 – 22 สิงหาคม 2554 มีกำหนดการเดินทางไปที่ สปป.ลาว ซึ่งการเดินทางในครั้งนี้จะนำผู้ประกอบการทั้ง 4 จังหวัด พบผู้ประกอบการของประเทศคู่ค้า โดยในส่วนของจังหวัดพะเยาได้นำผู้ประกอบการที่มีความพร้อมและเป็นจุดแข็งของจังหวัด นำผลิตภัณฑ์แปรรูปสินค้าเกษตร เช่น ไวน์ ข้าวหอมมะลิ รวมทั้งกลุ่มของผลิตภัณฑ์ผ้าและเครื่องประดับ กิจกรรมดังกล่าวนอกจากผู้ประกอบการจะพบปะกันเอง มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันแล้ว ยังจะนำไปสู่การติดต่อเจรจาทางการค้าเพื่อนำไปสู่ความเป็นพันธมิตรกันต่อไป
ภายหลังเดินทางเยือน สปป.ลาวแล้ว กลุ่มไทยแลนด์ล้านนา จะเดินทางไปที่โฮจิมินท์ ประเทศเวียดนาม ในระหว่างวันที่ 25 – 28 สิงหาคม 2554 โอกาสนี้จะนำสินค้าเกษตรแปรรูปครีมมะขาม ผลิตภัณฑ์ชาวเขาแปรรูป ผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูป ร่วมแสดงด้วย ต่อจากนั้นในวันที่ 26 – 29 สิงหาคม 2554 ที่แขวงอุดมไช สปป.ลาว จังหวัดพะเยาจะนำเอากลุ่มผลิตภัณฑ์เสื้อผ้า กลุ่มผู้ผลิตข้าว เครื่องประดับ และกลุ่มผู้ผลิตไวน์ ร่วมงาน และในระหว่างวันที่ 8 – 11 กันยายน 2554 ที่เมืองหนานหนิง ประเทศจีน ในส่วนจังหวัดพะเยา จะนำเอากลุ่มผู้ผลิตข้าวหอมมะลิ ผู้ผลิตไวน์ เข้าร่วมแสดงสินค้าพร้อมร่วมเจรจาทางการค้ากับผู้ประกอบการที่ศูนย์ธุรกิจไทย – จีน เมืองหนานหนิง สาธารณรัฐประชาชนจีน
    
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : พะเยา(สวท.)   Rewriter : สุริยน ตันตราจิณ
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th


 วันที่ข่าว : 18 สิงหาคม 2554
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #354 เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2011, 21:46:09 »

เชียงราย - รองผู้ว่าฯนำทีมตัดริบบิ้นเปิด อาคารท้องฟ้าจำลองเมืองพ่อขุนฯ หลัง อบจ.จัดให้ 17 ล้านสร้างต่อจากอาคารคลังสมองฯ หวังกระตุ้นการเรียนรู้เด็ก-เยาวชนเชียงรายในอนาคต
       


       วันนี้ (18 ส.ค.) นายสุรชัย ลิ้นทอง รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย ได้เป็นประธานในการเปิดอาคารท้องฟ้าจำลอง บริเวณสี่แยกป่าแดง ต.ริมกก อ.เมือง ติดกับโรงเรียนเทศบาล 6 และศูนย์ราชการ จ.เชียงราย ซึ่งดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย โดยมีนางรัตนา จงสุทธนามณี นายก อบจ.เชียงราย นำคณะกล่าวรายงานก่อนที่จะมีการเปิดให้นักเรียนใน จ.เชียงราย ประมาณ 1,000 คน เข้าชมอาคารอย่างเป็นทางการ
       
       สำหรับอาคารท้องฟ้าจำลองเป็นอาคารที่สร้างต่อจากอาคารคลังสมองและอาคารโลกวิทยาศาสตร์ และพลังงาน โดยใช้งบประมาณจำนวน 17 ล้านบาท ภายนอกอาคารเป็นสื่อกลางแจ้งต่างๆ ที่สามารถอธิบายได้ถึงหลักวิทยาศาสตร์และดาราศาสตร์
       
       ส่วนตัวอาคารท้องฟ้าจำลองเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ภายในมีหอดูดาว กล้องโทรทัศน์ระบบสะท้อนแสงจำนวน 2 กล้อง สื่อให้ความรู้ด้านดาราศาสตร์ที่ทันสมัยต่างๆ มากมาย และห้องท้องฟ้าจำลอง เพื่อการให้ความรู้อย่างครบถ้วนด้วยระบบที่ทันสมัย สามารถนำเสนอเกี่ยวกับดาราศาสตร์ทั้งของโลกและของไทยอย่างครบถ้วน เช่น พระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ในฐานะที่ทรงเป็นบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย ลักษณะของกาแล็กซี ลักษณะของหลุมดำ ระบบสุริยจักรวาล ฯลฯ
       
       นายสุรชัยกล่าวว่า อาคารท้องฟ้าจำลองจะสร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชนอย่างมาก โดยเฉพาะต่อเด็กและเยาวชน ซึ่งในอดีตไม่สามารถหาดูท้องฟ้าจำลองในพื้นที่ และขณะนี้เชียงราย ถือได้ว่ามีท้องฟ้าจำลองเป็นแห่งแรกในจังหวัดภาคเหนือตอนบนกลุ่ม 2 ต่อไปนี้จะมีผู้เข้าชมและศึกษาหาความรู้ด้านดาราศาสตร์ได้โดยสะดวกต่อไป
       
       ทั้งนี้ อาคารท้องฟ้าจำลองจะเปิดให้บริการตั้งแต่เวลาประมาณ 10.00-19.00 น.และอาจจะขยายเป็น 19.30 น.ส่วนในอนาคตจะขยายเป็น 20.00 น.ต่อไป เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองจะได้สามารถพาบุตรหลานเข้าศึกษาและชมได้หลังเวลาเลิกเรียน
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #355 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2011, 13:04:10 »

จัดไปครับ อย่าให้ต้องลงไปกรุงเทพฯ สุพรรณฯ ผมว่าเชียงรายก็น่าจะทำได้.
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #356 เมื่อ: วันที่ 25 สิงหาคม 2011, 15:30:06 »

เชียงราย - ทางการจีน เคลียร์เงินก่อสร้างสะพานข้ามน้ำโขงแห่งที่ 4 แล้ว หลังติดปัญหาผู้รับเหมาเกี่ยงสกุลเงินมาระยะหนึ่ง เชื่อทำงานก่อสร้างเร็วขึ้นตั้งแต่แล้งหน้า อธิบดีกรมศุลฯคาด หนุนการค้าไทย-เพื่อนบ้านอีกเพียบ
       



       นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผย ในโอกาส เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ด่านศุลกากรแม่สาย จ.เชียงราย เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า ปัจจุบันกรมศุลกากรมีนโยบายให้ด่านการค้าทุกแห่งที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยทางศุลกากรจะร่วมกับเจ้าหน้าที่ในฝั่งประเทศต่างๆ ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมาย ส่งเสริมเศรษฐกิจร่วมกัน เนื่องจากในปี 2558 กลุ่มอาเซียนก็จะเข้าสู่ข้อตกลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community :AEC)
       
       หากมีการกระทบกระทั่งกับประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็จะทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสทางการค้า เพราะประเทศที่เป็นคู่กรณีก็จะสามารถไปทำการค้า หรือนำเข้าสินค้าจากอีกประเทศหนึ่งได้อย่างเสรี จนทำให้สินค้าไทยเสียตลาดไปในที่สุด
       
       นายประสงค์ กล่าวว่า เมื่อประมาณ 3 เดือนก่อนตนได้ไปประชุมผู้บริหารเกี่ยวกับเศรษฐกิจในกลุ่มอาเซียนที่เมืองเนปิดอว์ เมืองหลวงของประเทศพม่า ซึ่งก็มีการหารือกันเพื่อวางแผนการร่วมกันในการเข้าสู่ข้อตกลง AEC โดยในปีนี้ประเทศพม่าถือว่าได้รับการยอมรับให้เป็นประธานกลุ่มอาเซียนต่อจากประเทศไทยซึ่งเป็นประธานในปีที่ผ่านมาแล้ว ดังนั้น เราจึงควรใช้เวลาดังกล่าวในการประสานความสัมพันธ์ระหว่างกัน
       
       โดยเฉพาะเชียงราย มีจุดการค้าเชื่อมโยงกับกลุ่ม AEC หลายจุดไม่ว่าจะเป็นด่านศุลกากรแม่สาย ด่านศุลกากรเชียงแสน และด่านศุลกากรเชียงของ รวมทั้งสามารถเชื่อมโยงการค้าไปถึงประเทศจีนด้วย
       
       ที่ผ่านมาถือว่ามูลค่าการค้าของทุกด่านเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น กรณีประเทศพม่ายกเลิกสินค้านำเข้า 15 รายการจากประเทศเมื่อประมาณ 1 เดือนก่อน ก็ทำให้มูลค่าการค้าเพิ่มขึ้น โดยก่อนสิ้นปีงบประมาณ 2554 จนถึงปัจจุบันมีมูลค่าการค้าตลอดทั้งปีแล้วประมาณ 8,900 ล้านบาท มากกว่าปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่าทั้งปี 6,800 ล้านบาทไปแล้ว รวมทั้งคาดว่าน่าจะทะลุถึง 10,000 ล้านบาทด้วย เช่นเดียวกับด่านอื่นๆ
       
       อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า นอกจากนี้กรมศุลกากร ยังได้ให้ความสำคัญกับการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เพื่อเชื่อมกับถนนR 3 aไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ซึ่งทราบว่า ก่อนหน้านี้มีปัญหาด้านเทคนิคจึงทำให้โครงการถูกคาดการณ์ว่าจะล่าช้าออกไปประมาณ 1 ปี เนื่องจากเดิมมีการตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและจีนที่จะร่วมกันใช้งบประมาณเพื่อการก่อสร้างประเทศละ 50% แต่มีความขัดข้องเกี่ยวกับการจ่ายเงินจากประเทศจีนทำให้มีเพียงประเทศไทยที่ออกงบประมาณในการก่อสร้างช่วงแรกๆ
       
       ล่าสุดการแก้ไขปัญหารวดเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด โดยจีนได้ทำการจ่ายงบประมาณเพื่อการก่อสร้างงวดแรกออกมาแล้ว ทำให้เลื่อนระยะเวลาก่อนสร้างแล้วเสร็จจากเดิมเลื่อนไปประมาณ 1 ปีเหลือเพียงประมาณ 6 เดือนแล้ว และเมื่อสะพานแล้วเสร็จจะใช้เพื่อการค้าขายระหว่างไทย-สปป.ลาว-จีน ต่อไป ซึ่งก็ถือว่าการเลื่อนออกไปเพียงเล็กน้อยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการค้าใดๆ เนื่องจากในปัจจุบันก็มีการค้าขายชายแดนด้าน อ.เชียงของ มีมูลค่าที่มากขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว
       
       รายงานข่าวแจงว่าสำหรับการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 มีกำหนดก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 สิ้นสุดสัญญากับเอกชนวันที่ 10 ธ.ค.2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน ด้วยงบประมาณ 1,486.5 ล้านบาท แต่ช่วงก่อสร้างที่ผ่านมาประสบปัญหาล่าช้า เพราะมีหินใต้ดินมากและปัญหาการจ่ายเงินค่าจ้างจากประเทศจีนที่ล่าช้า ทำให้เดือน ก.ค.ที่ผ่านมางานล่าช้ากว่ากำหนดประมาณ 1.7% ตรงกันข้ามกับงานก่อสร้างถนนและอาคารพรมแดนฝั่งไทยที่คืบหน้า 3%
       
       แต่ล่าสุดหลังการแก้ไขปัญหาทางการเงินจากประเทศจีนแล้วเสร็จ ทำให้เอกชนเริ่มมีการก่อสร้างอย่างคึกคักอีกครั้ง
       
       ทั้งนี้สะพานดังกล่าวออกแบบให้มีเสาตอม่อ 4 ตอม่อ มีความกว้าง 14.70 เมตร มีสองช่องจราจรๆ ละ 3.50 เมตร และไหล่ทางข้างละ 2 เมตร และทางเท้าข้างละ 1.25 เมตร ความยาว 480 เมตรเมื่อรวมกับถนนติดขอบฝั่งก็จะยาวประมาณ 630 เมตร มีการก่อสร้างถนนตัดแยกจากถนนหมายเลข 1020 หรือสายเชียงราย-เชียงของ ในฝั่งไทย เพื่อเป็นจุดสลับการจราจรในฝั่งไทยก่อนไปถึงตัวสะพานอีกประมาณ 5 กิโลเมตร และถนนในฝั่ง สปป.ลาว อีกประมาณ 6 กิโลเมตร
       
       ส่วนอาคารด่านพรมแดนทั้งฝั่งไทยและ สปป.ลาว จะสร้างในรูปทรงล้านนาประยุกต์เพื่อใช้เป็นจุดตรวจปล่อยร่วมกัน ณ จุดเดียวตามหลักประตูเดียว (Single Stop Inspection) รวมเนื้อที่ฝั่งไทยทั้งหมดประมาณ 400 ไร่
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000106936
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #357 เมื่อ: วันที่ 25 สิงหาคม 2011, 21:38:10 »

พะเยา - กรมทางหลวง เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นคนพะเยา ก่อนลุยโครงการก่อสร้างทางหลวง เพื่อพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศ ผ่านดอกคำใต้ - อ.เทิง จ.เชียงราย รับสะพานข้ามโขง 4 พร้อมเชื่อม สปป.ลาว
     
 
       วันนี้(25 ส.ค.54) ที่โรงแรมพะเยาเกทเวย์ อ.เมือง จ.พะเยา กรมทางหลวง ได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 1 จากประชาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน จ.พะเยา ที่เข้าร่วมกว่า 500 คน ตามโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 1021 ตอน อ.เทิง - อ.ดอกคำใต้ เพื่อพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศ
       
       โดยมีนายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เป็นประธานในพิธี เพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสารของโครงการ และสร้างความรู้ความเข้าใจกับกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียต่อการพัฒนาโครงการและเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียมีส่วนร่วมเสนอความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาโครงการ
       
       ตลอดจนสร้างความเข้าใจสัมพันธภาพที่ดีและความน่าเชื่อถือ จากการเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจน โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ในการดำเนินการ ซึ่งจะนำไปสู่ภาพลักษณ์ที่ดีของโครงการ กรมทางหลวง และคณะเจ้าหน้าที่ กลุ่มบริษัทที่ปรึกษาเพื่อขอความอนุเคราะห์ให้การประสานงานด้านต่างๆ ในระหว่างการศึกษา
       
       นายเกษม ศรีวรานันท์ วิศวกรใหญ่ด้านสำรวจ และออกแบบ กรมทางหลวง กล่าวว่า ทางหลวงหมายเลข 1021 ตอน อ.เทิง - อ.ดอกคำใต้ ตามโครงการของกรมทางหลวง แบ่งออกเป็น 2 ตอน รวม 90 กิโลเมตร มีจุดเริ่มต้นจาก กม.10+000 ถึง กม.100-019 เป็นเส้นทางที่สำคัญในการเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งทั้งในพื้นที่ อ.ดอกคำใต้ อ.จุน อ.เชียงคำ อ.ภูซาง จ.พะเยา และ อ.เทิง จ.เชียงราย
       
       รวมทั้งสามารถเชื่อมโยงต่อโครงการโครงข่ายทางหลวงที่รองรับการเดินทางจากสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 อ.เชียงของ จ.เชียงราย -ห้วยทราย ของ สปป.ลาว ซึ่งผู้ใช้ทางสามารถเดินทางมายังจังหวัดพะเยา ไปสู่ภาคกลางโดยไม่ต้องผ่านเข้า จ.เชียงราย ปัจจุบันเป็นทางหลวงขนาด 2 ช่องจราจร
       
       แต่จำเป็นต้องมีกาพัฒนา รองรับเศรษฐกิจ และการค้าระหว่างประเทศ ทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย - กลุ่มประเทศในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
       
       นายเกษม ระบุว่า เส้นทางดังกล่าวหากดำเนินการแล้วเสร็จ จะเพิ่มประสิทธิภาพของการคมนาคมขนส่งบนโครงข่ายทางหลวงที่สำคัญระหว่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้าน รองรับการเดินทางจากสะพานข้ามแม่น้ำโขง(เชียงของ-ห้วยทราย) เชื่อมกับถนน R3A ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ รวมทั้งรองรับการเดินทางทางจาก จุดผ่อนปรนบ้านฮวก จ.พะเยา -เมืองปากทา - เมืองปากคอบ -เมืองเชียงฮ่อน-เมืองคอบ (สปป.ลาว)


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000107205
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #358 เมื่อ: วันที่ 31 สิงหาคม 2011, 20:59:46 »

ทูตมะกันโปรยยาหอมเชียงรายเมืองน่าลงทุน


ทูตสหรัฐฯโปรยยาหอมชาวเชียงราย ชี้มะกันสนใจลงทุนด้านสินค้าการเกษตร ชี้เป็นจังหวัดที่เป็นประตูสู่ประเทศจีน เชื่อมโยงไปสู่ประเทศสมาชิกอาเชียนนางคริสตี้ เคนนี่ย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย ได้เดินทางลงพื้นที่ไร่แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย เพื่อพบปะกับหัวหน้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการค้าและนักธุรกิจชาวสหรัฐอเมริกันที่ลงทุนใน จ.เชียงราย เพื่อเป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีงามที่มีต่อกันมายาวนานระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา โดยมีนายพินิจ หาญพานิช รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย หอการค้าจังหวัด ประธานอตสาหกรรมและผุ้เกี่ยวข้องกว่า 50 คนให้การต้อนรับ นางคริสตี้ กล่าวว่า ตนเองรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เดินทางมายัง จ.เชียงราย โดยการร่วมมือและการพบปะหน่วยงานต่างๆ ของจังหวัดถือเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนและผลักดันเศรษฐกิจของสหรัฐและไทย ทั้งเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีงามระหว่างทั้ง 2 ประเทศ โดยสหรัฐอเมริกามองเห็นว่า จ.เชียงราย เป็นจังหวัดหนึ่งที่มีความมีความสำคัญในภูมิภาคนี้ คือ เป็นประตูสู่ประเทศจีน เชื่อมโยงไปสู่ประเทศสมาชิกอาเชียน และมีวัฒนธรรมและธรรมชาติที่หลากหลายที่ทำให้นักลงทุนสหรัฐให้ความสนใจที่จะเข้ามาลงทุนอย่างยิ่ง ทำให้ในเดือนหน้าทางทีมเศรษฐกิจและทูตพาณิชย์ของสหรัฐอเมริการจะเดินทางมาจัดงาน Connect USA. ในประเทศไทย ซึ่งงานนี้จะเป็นการส่งเสริมในเรื่องการค้าทั้ง 2 ประเทศ

หนังสือพิมพ์เชียงใหม่นิวส์
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #359 เมื่อ: วันที่ 31 สิงหาคม 2011, 21:45:55 »

กระทรวงอุตสาหกรรม เดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พัฒนาพื้นที่ใหม่ดึงทุนนอก-ส่งเสริมอุตฯประหยัดพลังงาน

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม มอบนโยบายแก่ข้าราชการในสังกัด เร่งเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจ มุ่งส่งเสริมอุตสาหกรรมประหยัดพลังงาน เพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของผู้ประกอบการไทยรองรับการเป็นประชาคมอาเซียน AEC
นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ได้มอบนโยบายแก่ข้าราชการในสังกัด เพื่อผลักดันนโยบายรัฐบาลด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมไปสู่การปฏิบัติให้บรรลุผลสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม โดยให้ทุกหน่วยงานตั้งคณะทำงานเพื่อเดินหน้าขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมเพื่อรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ และให้พิจารณาจากปัจจัยเกื้อหนุนและปัจจัยเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ มาประกอบการดำเนินโครงการต่างๆ ในการขยายการลงทุน การสนับสนุนภาคการผลิต การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการไทย โดยให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมประหยัดพลังงาน พิจารณาพื้นที่การลงทุนแห่งใหม่ในทุกภูมิภาค เช่น พื้นที่ชายแดน อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย และ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อรองรับการลงทุนใหม่ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมสีเขียว และให้ความสำคัญกับการส่งเสริมอุตสาหกรรมรูปแบบใหม่ที่จะเพิ่มมูลค่าให้กับเศรษฐกิจ ได้แก่อุตสาหกรรมที่ต่อยอดจากวัฒนธรรมของชาติ อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) อุตสาหกรรมต้นน้ำที่จะเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมการเกษตรเพื่อยกระดับราคาพืชผลการเกษตร อุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าประหยัดพลังงาน และการเตรียมความพร้อมของภาคอุตสาหกรรมสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558

    
ข้อมูลข่าวและที่มา

ผู้สื่อข่าว : ฑีฆะสุดา ภักดี   Rewriter : กัลยา คงยั่งยืน
สำนักข่าวแห่งชาติ กรมประชาสัมพันธ์ : http://thainews.prd.go.th


 วันที่ข่าว : 31 สิงหาคม 2554
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
หน้า: 1 ... 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 [18] 19 20 21 22 23 24 25 26 27 28 ... 37 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!