เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 24 เมษายน 2024, 19:11:16
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 [16] 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 ... 37 พิมพ์
ผู้เขียน Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย  (อ่าน 440034 ครั้ง)
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #300 เมื่อ: วันที่ 04 มิถุนายน 2011, 20:44:10 »

IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #301 เมื่อ: วันที่ 06 มิถุนายน 2011, 19:27:35 »

เล็งชงโปรเจ็กต์3.7แสนล.คมนาคมเสนอครม.ใหม่

คมนาคมเร่ง 4 หน่วยงานหลัก ทล-ทช.-รฟม.และร.ฟ.ท. เตรียมพร้อมเสนอโครงการเมกะโปรเจ็กต์ให้รัฐบาลใหม่พิจารณา หลังจากหลายโครงการหลุดโผเข้าพิจารณาครม.นัดสุดท้ายก่อนยุบสภา เผยปี 55 ทล.ลุ้นงบสร้างถนน 4 เลน ส่วนทช.เสนอถนนเพื่อการท่องเที่ยวและถนนเข้าโครงการหลวง รฟม.ลุ้นเห็นชอบประมูลรถไฟฟ้าสายสีเขียว สีชมพู สีม่วงและสีส้ม ส่วนร.ฟ.ท.ดันที่ดิน 3 แปลงหลักและแผนปรับปรุงทางตามโผ กว่า 30 แผน รวมงบทั้งสิ้น 379,710 ล้านบาท
 นายสุพจน์  ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าได้เร่งสั่งการให้ 4 หน่วยงานหลักของกระทรวง ประกอบด้วยกรมทางหลวง(ทล.) กรมทางหลวงชนบท(ทช.) การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.)เตรียมความพร้อมโครงการต่าง ๆ ทั้งโครงการระดับเมกะโปรเจ็กต์และโครงการสำคัญ ๆ ให้รัฐบาลใหม่พิจารณาโดยเฉพาะโครงการที่ไม่นำเข้าสู่การพิจารณาคราวการประชุมครั้งสุดท้ายของรัฐบาลชุดนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็จะนำเข้าสู่การพิจารณาครั้งต่อไปเช่นกัน
 "กรณีโครงการต่าง ๆ ที่ไม่ได้รับการพิจารณาขณะนี้ยังไม่ได้รับเอกสารโครงการคืนกลับจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หากได้รับคืนมาก็อาจจะมีบางโครงการที่ต้องมาปรับเปลี่ยนใหม่บ้าง ส่วนโครงการใหม่ที่มีการเตรียมความพร้อมแล้ว ก็จะทยอยนำเข้าสู่การพิจารณาของรัฐบาลใหม่ต่อไป ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะมีมากกว่าปีที่ผ่านมาเนื่องจากมีผลการศึกษาแล้วเสร็จไปจำนวนมาก"
 ด้านนายวีระ เรืองสุขศรีวงศ์ อธิบดีกรมทางหลวง กล่าวว่าในปี 2555 นี้กรมได้เตรียมนำเสนอให้รัฐบาลใหม่พิจารณาในโครงการหลัก ๆ ประมาณ 15 โครงการโดยได้ตั้งของบประมาณตามกรอบที่ตั้งไว้ 94,789 ล้านบาท แต่คาดว่าน่าจะได้รับงบประมาณปี 2555 ประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องนำมาจัดสรรพัฒนาโครงการต่าง ๆ ตามความเหมาะสมและความเร่งด่วนต่อไป แต่โดยส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การบำรุงรักษาเป็นหลัก การขยายเส้นทางใหม่มีน้อยมากยกเว้นการขยายช่องจราจรเพิ่มขึ้นในถนนเส้นทางเดิมที่มีอยู่แล้ว
 "ถนน 4 เลน เป็นถนนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวตลอดจนถนนชุมชนยังต้องผลักดันอีกหลาย ๆ เส้นทาง เช่นเดียวกับทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ 4-5 เส้นทางโดยเฉพาะเส้นทางบางปะอิน-นครราชสีมา ต้องนำเข้าสู่การพิจารณาใหม่อีกครั้งเนื่องจากพร้อมดำเนินการได้ทันทีหากครม.อนุมัติ ส่วนโครงการอื่น ๆ ก็คงต้องขึ้นอยู่กับจำนวนงบประมาณที่จะได้รับการพิจารณาในปีหน้า แต่ที่น่าสนใจมีทางเลี่ยงเมืองอีก 8 โครงการในเขตพื้นที่เมืองนครสวรรค์,เชียงราย ,นครราชสีมาและชุมพรที่จะเริ่มในปี 2555 นี้"
 สำหรับโครงการของกรมทางหลวงที่จะเสนอรัฐบาลชุดใหม่ประกอบไปด้วย 1.โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องจราจร จำนวน  22 โครงการ งบ 7,155 ล้านบาท 2.โครงการก่อสร้างทางหลวงสนับสนุนการขนส่งแบบต่อเนื่อง 2,616 ล้านบาท อาทิ เส้นทางจันทบุรี-สระแก้ว,เส้นทาง เชียงแสน-เชียงของ,เชียงราย-เชียงของ 3.โครงการแก้ไขปัญหาการจราจรกทม.-ปริมณฑลและเมืองหลักจำนวน  10 โครงการ งบ 1,966 ล้านบาท ที่สำคัญมีถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี(รวมสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีน) ถนนพุทธมณฑลสาย 5 ถนนข้ามแยกทางหลวงหมายเลข 34 ช่วงถนนศรีนครินทร์ 4.โครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง งบ 3,000 ล้านบาท 4.โครงการบูรณะทางหลวงสายหลัก งบ 6,000 ล้านบาท
  5.โครงข่ายทางหลวงได้รับการพัฒนา งบ 25,932 ล้านบาท ประกอบไปด้วยโครงการที่น่าสนใจ อาทิ การปรับปรุงทางหลวงผ่านย่านชุมชน  โครงการปรับปรุงทางหลวงเพื่อการท่องเที่ยว และการสร้างทางแยกต่างระดับ สะพาน และอุโมงค์  6. โครงข่ายทางหลวงได้รับการบำรุงรักษาทั้งการปรับภูมิทัศน์และการแก้ไขปัญหาจากกรณีภัยพิบัติ งบ 21,204 ล้านบาท และ 7.โครงข่ายทางหลวงมีความปลอดภัย งบ 6,580 ล้านบาทและ 8.โครงการถนนเลี่ยงเมือง 8 โครงการ งบประมาณ 744 ล้านบาท
 นายวิชาญ คุณากูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กล่าวว่าทช.ยังต้องเดินหน้าโครงการถนนไร้ฝุ่นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องรองบประมาณจากรัฐบาล โดยในปี 2555 จะเสนอรัฐบาลใหม่มี 7 โครงการหลัก ๆ คือ 1.งานยกระดับมาตรฐานทางงบรวม2,033 ล้านบาท ประกอบไปด้วยงานทางลาดยางทั่วประเทศ  การขยายผิวจราจร 5 สายทาง โครงการถนนเข้าสู่โครงการพระราชดำริ 15 สายทาง โครงการถนนสนับสนุนพื้นที่โครงการหลวง 13 สายทาง 2.โครงการพัฒนาโครงข่ายสะพาน จำนวน 68 แห่ง งบประมาณรวม 9,264 ล้านบาท 3. โครงการแก้ไขปัญหาจราจรในปริมณฑล-ภูมิภาค 6 โครงการ รวมงบประมาณ 47 ล้านบาท4.โครงการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ 30 โครงการ รวมงบ 107 ล้านบาท 5.โครงการถนนยุทธศาสตร์สนับสนุนการท่องเที่ยว 26 สายทางรวมงบ 229 ล้านบาท 6.โครงการถนนยุทธศาสตร์โลจิสติกส์ 7 สายทาง งบประมาณ 57 ล้านบาท และ 7. งานบำรุงรักษาทาง-สะพาน เพื่อความปลอดภัย จุดตัดทางรถไฟ งบรวมทั้งสิ้น 49,034 ล้านบาท
 นายรณชิต แย้มสอาด รองผู้ว่าการ และในฐานะรักษาการผู้ว่าการการรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทย(รฟม.)กล่าวว่าได้เร่งให้เตรียมโครงการในส่วนของรฟม.ดังนี้คือรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการ,ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ 64,538 ล้านบาท สายสีชมพู ช่วงปากเกร็ด-มีนบุรี งบประมาณ 34,000 ล้านบาท สายสีม่วงช่วงบางซื่อ-ราษฎร์บูรณะ งบ 66,820 ล้านบาท และสายสีส้ม ช่วงมีนบุรี-ตลิ่งชัน งบ 137,750 ล้านบาท
 "กรณีสายสีเขียวช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการขณะนี้อยู่ระหว่างการเปิดซองสัญญาที่ 1 คาดว่าภายในเดือนกรกฎาคมจะเปิดครบหมดทั้ง 3 ซองก่อนที่จะนำเสนอสัญญาอื่น ๆ ต่อไป ส่วนช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-สะพานใหม่-คูคต คาดว่าจะเริ่มเปิดขายซองประกวดราคาใน 1-2 เดือนนี้และเปิดประมูลช่วงปลายปี 2554 นี้ สายสีชมพูอยู่ระหว่างการว่าจ้างที่ปรึกษาเพื่อศึกษาทบทวนโครงการและจัดทำเอกสารประกวดราคา  สายสีม่วง ต้องว่าจ้างที่ปรึกษาใหม่เป็นรอบที่ 2 เนื่องจากรอบแรกมีเพียง 1 ราย คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคมนี้ภายใต้งบว่าจ่าง 140 ล้านบาทส่วน สายสีส้มอยู่ระหว่างการว่าจ้างออกแบบรายละเอียดและคัดเลือกที่ปรึกษาโดยจะก่อสร้างช่วงบางกะปิ-ศูนย์วัฒนธรรมก่อนช่วงอื่น ๆ ภายใต้งบว่าจ้าง 210 ล้านบาทซึ่งโดยส่วนใหญ่ในปี 2555 จะต้องเร่งให้มีการเปิดประมูลเกิดขึ้นเนื่องจากเป็นแผนเร่งรัดที่กระทรวงคมนาคมกำหนดไว้"
 แหล่งข่าวระดับสูงจากการรถไฟแห่งประเทศไทย(ร.ฟ.ท.)กล่าวว่าขณะนี้นอกจากจะนำที่ดินแปลงขนาดใหญ่ในทั้ง 3 ทำเลคือมักกะสัน สถานีแม่น้ำ ย่านพหลโยธินช่วงกิโลเมตรที่ 11 ออกเปิดประมูลแล้ว อีกหลาย ๆ โครงการยังนำเสนอโดยเฉพาะโครงการเงินกู้และโครงการที่อยู่ในงบประมาณ 1.7 แสนล้านบาทที่ครม.ได้อนุมัติกรอบวงเงินมาแล้วตั้งแต่ปี 2553
 โดยโครงการที่จะนำเสนอในปี 2555 นอกจากการขอเปิดประมูลพื้นที่ 3 แปลงหลักแล้วยังประกอบไปด้วยโครงหลัก ๆ คือ 1.โครงการไอซีดีแห่งที่ 2 งบประมาณ 6,066 ล้านบาท 2.โครงการจัดตั้งศูนย์ควบคุมระบบและจัดหาระบบโทรคมนาคม งบ 2,200 ล้านบาท 3.โครงการตามแผนปรับปรุงทาง งบ 24,000 ล้านบาท มีทั้งการปรับปรุงทางที่ไม่ปลอดภัย เปลี่ยนหมอนรองราง เปลี่ยนประแจ การจัดสร้างเครื่องกั้น 79 แห่ง
 "แม้ว่าล่าสุดในคราวประชุมครม.นัดสุดท้ายการรถไฟจะได้รับงบประมาณ 7,600 ล้านบาทในการจัดซื้อหัวรถจักร การปรับปรุงทาง การจัดสร้างเครื่องกั้น แต่ก็ยังมีอีกหลายโครงการต้องเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการจัดหารายได้ด้วยการพัฒนาพื้นที่แปลงใหญ่ แปลงเล็กตามพื้นที่ต่าง ๆ และตามแผนการยกเครื่องการรถไฟภายใต้กรอบวงเงิน 1.7 แสนล้านบาท ซึ่งต้องเตรียมความพร้อมให้รัฐบาลชุดใหม่พิจารณาเห็นชอบหรืออนุมัติดำเนินการต่อไป"

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,641 5-8  มิถุนายน พ.ศ. 2554
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #302 เมื่อ: วันที่ 06 มิถุนายน 2011, 22:34:29 »

สรุปการสัมมนา  
“ยุทธศาสตร์รถไฟความเร็วสูงกับการขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจของจีน”

ลองอ่านบทความนี้ดูครับ.

http://www.eastasiawatch.in.th/downloads/files/china%20influential.pdf
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #303 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 10:46:15 »

WHAT ??!!
โผล่มาได้ไงกระทู้นี้ นี่นักลงทุน จ้า  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #304 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 10:49:10 »

กำลัง ตามมาหลายๆกระทู้   ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม รอท่าน WM ย้ายอยู่

อยากให้มาอยู่ ห้องนี้ ครับ..จะได้ตรงกับห้อง ส่วนมาก ห้องบอร์ดเชียงราย คุุยเรื่องทั่วไป หาคู่ มากกว่า..ครับ.. ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
....คนหน้าแหลม....
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,535


..........................


« ตอบ #305 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 10:56:38 »

กำลัง ตามมาหลายๆกระทู้   ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม รอท่าน WM ย้ายอยู่

อยากให้มาอยู่ ห้องนี้ ครับ..จะได้ตรงกับห้อง ส่วนมาก ห้องบอร์ดเชียงราย คุุยเรื่องทั่วไป หาคู่ มากกว่า..ครับ.. ยิงฟันยิ้ม
WELCOME  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #306 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 10:58:50 »

ครับ..ขออาศัยห้องหน่อยนะครับ...

ตอนนี้ ว่าจะทำวิทยานิพนธ์ เรื่องนี้ครับ..ข่าวสารด้านการพัฒนาต่างๆ

ยังไงฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ.. ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #307 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 11:08:24 »

กรมโยธาธิการและผังเมืองจัดประชุมเรื่องการพัฒนาเมืองในทศวรรตหน้า เพื่อเรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติอันอาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

กรมโยธาธิการและผังเมืองจัดประชุมเรื่องการพัฒนาเมืองในทศวรรษหน้า เพื่อเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
นายวรวิทย์ สายสุพัฒน์ผล รองอธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมืองเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมเรื่องการพัฒนาเมืองในทศวรรษหน้า กรณีเมืองในเขตภัยพิบัติภาคเหนือ ที่โรงแรมเซ้นทารา ดวงตะวัน จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งสถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการเมืองร่วมกับคณะทำงาน อเจนดาที่ 13 กรมโยธาธิการและผังเมือง ได้จัดโครงการดังกล่าว มีตัวแทนภาคส่วนต่างๆที่เกี่ยวข้อง ร่วมสัมนาเพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงกับการเกิดภัยพิบัติธรรมชาติ สร้างองค์ความรู้ด้านการพัฒนาเมืองในเขตภัยพิบัติน้ำท่วม ดินถล่ม และแผ่นดินไหว ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์พัฒนาเมืองในเขตภัยพิบัติ
ทั้งนี้ภัยพิบัติธรรมชาติอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนต่อมวลมนุษยชาติและมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงมีความถี่ในการเกิดเพิ่มขึ้น ส่งผลเสียหายต่อทรัพย์สินอย่างมหาศาล โดยจะต้องเตรียมพร้อมทรัพยากรการทำงานทั้งข้อมูลเชิงพื้นที่อย่างเป็นระบบ เครื่องมือการทำงานที่ถูกต้องแม่นยำ บุคลาการที่มีความรู้ความสามารถที่ต้องประสานกับหน่วยงานอื่นเพื่อให้เกิดการปฏิบัติหน้าที่ที่มีประสิทธิผลสูงสุด
สำหรับความเสี่ยงต่อการเกิดภัยในประเทศมีหลายพื้นที่ ภาคเหนือมีความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่าน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ลุ่ม ระบบนิเวศถูกทำลาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน เชียงราย และเชียงใหม่มีวันที่อากาศหนาวเย็นเกิน 60 วันต่อปี ชายฝั่งทะเลถูกกัดเซาะ การตั้งถิ่นฐานและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวถูกทำลาย โดยเฉพาะชายฝั่งจังหวัดเพชรบุรีสมุทรสงครามและสมุทรปราการ รวมทั้งจังหวัดสุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ระนอง พังงา ภูเก็ต ตราดและจันทบุรี ภาคใต้ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำจืดในจังหวัดพังงา ภูเก็ตและกระบี่ และภาวะเสี่ยงภัยน้ำท่วมฉับพลันดินถล่มโดยเฉพาะจังหวัดนครศรีธรรมราช ตรัง สตูล ยะลา และปัตตานี


IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #308 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 18:13:23 »

เชียงราย - การก่อสร้างสะพานข้ามโขง 4 เชื่อมเส้นทางคุนหมิง-กรุงเทพฯ สะดุด หลังผู้รับเหมาเกี่ยงรับ “หยวน” จากฝ่ายจีน หวั่นขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน คาดกระทบกำหนดสร้างเสร็จต้องเลื่อนยาวถึงปี 56 นายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ขณะนี้ถนนสาย R3a ไทย-สปป.ลาว-จีน มีการก่อสร้างแล้วเสร็จเกือบสมบูรณ์แล้วและสามารถใช้งานได้ดี ซึ่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) พร้อมพัฒนาระบบสาธารณูปโภครองรับ เพื่อให้ไทย-สปป.ลาว-จีน สามารถเชื่อมต่อไปถึงนครคุนหมิง เมืองเอกของมณฑลหยุนหนัน ตามเส้นทางคุนหมิง-กรุงเทพฯ ได้ต่อไป อย่างไรก็ตาม ถนนสายดังกล่าวกำลังประสบปัญหาเรื่องการเชื่อมต่อตรงสะพานข้ามแม่น้ำโขง ที่เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว และ อ.เชียงของ จ.เชียงราย นายพินิจ กล่าวว่า การก่อสร้างสะพานดังกล่าวล่าช้า เพราะมีปัญหาเรื่องการจ่ายเงินเนื่องจากโครงการนี้เกิดจากความร่วมมือไทย-สปป.ลาว-จีน และทางประเทศไทย-จีน ตกลงจ่ายฝ่ายละ 50% ตามงบประมาณเต็มประมาณ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อถึงเวลาการก่อสร้างจริง ฝ่ายไทยได้เบิกจ่ายงบประมาณให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้างไปตามปกติ แต่ฝ่ายจีนยังไม่ได้จ่ายเงินให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้าง “จีนต้องการจ่ายเป็นหยวน แต่ผู้รับเหมาไม่อยากรับหยวน โดยให้เหตุผลว่าหากรับเป็นเงินหยวน จะประสบปัญหาเรื่องค่าเงินผันผวนช่วงที่นำไปแลกเปลี่ยน ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ยังตกลงกันไม่ได้ ทำให้เกิดความล่าช้ามาจนถึงปัจจุบัน” นายพินิจ บอกอีกว่า ปัจจุบันฝ่ายไทยได้จ่ายเงินก่อสร้างไปแล้วกว่า 20% และขณะนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูน้ำหลากทำให้การก่อสร้างในน้ำเริ่มชะงัก โดยการก่อสร้างส่วนของสะพานคืบหน้าไปได้เพียง 6 % คาดว่าหากยังเป็นเช่นนี้จะทำให้การก่อสร้างล่าช้า อาจต้องเลื่อนออกไปอีก 9 เดือน หรือราวปลายปี 2556 จึงจะแล้วเสร็จ ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อภาคขนส่ง และระบบลอจิสติกส์โดยรวมด้วย ด้านนายวิรัตน์ แสนอุดม ผู้อำนวยการแขวงการทางเชียงรายที่ 2 กล่าวว่า ตอนนี้การก่อสร้างยังคงเดินหน้าไปตามปกติ ส่วนกรณีที่อาจจะมีการเลื่อนไปนั้น ยังไม่มีรายละเอียดเป็นทางการ เป็นเพียงการนำเสนอเข้าไปของภาคเอกชน เพื่อขอเลื่อนเวลาออกไป เนื่องจากปัญหาการเบิกจ่ายค่าจ้างดังกล่าว แต่ผลสรุปว่าจะเลื่อนออกไปหรือไม่จะต้องมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการก่อสร้างสะพานอีกครั้งหนึ่งก่อน สำหรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงไทย-สปป.ลาว ที่ อ.เชียงของ ถือเป็นสะพานเชื่อมสองประเทศแห่งที่ 4 เพื่อเชื่อมแนวเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ ของภูมิภาคนี้ ด้วยการใช้งบประมาณรวมระหว่างไทย-จีน ประมาณ 1,486.5 ล้านบาท โดยได้ว่าจ้างกลุ่มซีอาร์ 5-เคที จอยท์เวนเจอร์ ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทไชน่า เรลเวย์ โน.5 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด จากประเทศจีน และบริษัทกรุงธนเอ็นยิเนียร์ จำกัด ของประเทศไทย มีกำหนดก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 และสิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธ.ค.2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน แต่จากสภาพการก่อสร้างในปัจจุบันพบว่าไม่คืบหน้ามากนักทั้งๆ ที่เป็นช่วงกลางปี 2555 แล้ว เอกชนทั้งสองรายได้แบ่งงานกันทำด้วยการให้ฝ่ายไทยก่อสร้างถนนทั้งฝั่งไทยและ สปป.ลาว รวมทั้งอาคารด่านพรมแดนของทั้งสองฝั่ง เป็นถนนติดขอบฝั่งยาว 630 เมตร ถนนเป็นจุดสลับการจราจรในฝั่งไทย 5 กิโลเมตร และฝั่ง สปป.ลาว อีก 6 กิโลเมตร ส่วนเอกชนจีนก่อสร้างตัวสะพานกลางแม่น้ำโขง

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000069254
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #309 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 19:17:08 »



 เอกสารประกอบแผนการพัฒนาระบบขนส่งและจราจร พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๓ โดยสนข. ซึ่งค.ร.ม.มีมติรับทราบเมื่อวันที่ ๑๒ เม.ย. ๒๕๕๔
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #310 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 19:21:14 »

ททท.รุกขยายตลาดสหรัฐ

07 มิถุนายน 2554 เวลา 18:00 น.
 
ททท. เดินหน้าขยายตลาดอเมริกา แนะผู้ประกอบการโฟกัสกลุ่มเกย์ คู่รักฮันนี่มูน ผ่านกลยุทธ์ออนไลน์มาร์เก็ตติ้ง  4 เดือนโตแล้ว 13% ดันภาพรวมนักท่องเที่ยวทั้งปีทะลุเป้า 16.8 ล้านคน

นายอักกพล พฤกษะวัน ที่ปรึกษา11 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า เพื่อขยายตลาดนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันหรือตลาดอเมริกา ททท. จึงเปิดโครงการสัมมนาการส่งเสริมตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพอเมริกาให้กับผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม บริษัทนำเที่ยว หน่วยงานภาครัฐ สถาบันการศึกษา แหล่งท่องเที่ยวนันทนาการ และโรงพยาบาล แนะนำแนวทางและกลยุทธ์ทางการตลาดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีศักยภาพ เช่น กลุ่มรักร่วมเพศ เกย์ กลุ่มคู่รักฮันนี่มูน กลุ่มเกษียณอายุ เป็นต้น

นางจุฑาพร  เริงรณอาษา  รองผู้ว่าการด้านตลาดต่างประเทศ   ดำรงตำแหน่ง   รองผู้ว่าการด้านตลาดยุโรป แอฟริกา ตะวันออกกลาง และอเมริกา กล่าวว่า กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันที่มีแนวโน้มเติบโตในปัจจุบัน คือ กลุ่มเกย์ ซึ่งมีสัดส่วน 6 -7% ของประชากรในประเทศสหรัฐอเมริกา 310 ล้านคน และกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อย มีรายได้สูง ท่องเที่ยวมากกว่า 10 ครั้งต่อปี รสนิยมดีจึงมีค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยวต่อคนต่อวันสูง เช่น พักโรงแรมและใช้บริการสปาที่หรูหรา

“กลุ่มนักท่องเที่ยวเกย์จะตัดสินใจไปเที่ยวประเทศที่ให้การต้อนรับและยอมรับสถานะภาพของพวกเขา ประเทศไทยซึ่งเป็นเมืองพุทธจึงไม่มีกฎข้อห้ามหรือต่อต้านกลุ่มรักร่วมเพศ ในขณะเดียวกันประเทศที่เป็นคู่แข่งของไทย ซึ่งชาวอเมริกันนิยมไปเที่ยวมากที่สุดในทวีปเอเชีย คือ จีน อินเดีย และมาเลเซีย ไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ จึงเป็นโอกาสของไทยที่จะได้นักท่องเที่ยวกลุ่มนี้” นางจุฑาพร กล่าว

ในขณะเดียวกันกลุ่มคู่รักฮันนี่มูนชาวอเมริกัน เป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญมาก เนื่องจากจะใช้จ่ายในการฮันนี่มูนมากกว่ากลุ่มนักท่องเที่ยวทั่วไปถึง 3 เท่า หรืออัตราการใช้จ่ายประมาณ 5,600 เหรียญสหรัฐต่อครั้ง หรือ 168,000 บาท (คิดที่ 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ)

นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่จะเข้ามาใช้บริการทางการแพทย์และท่องเที่ยวไปพร้อมๆ กัน โดยคาดว่าในปีหน้าจะมีชาวอเมริกาเดินทางไปรับบริการในต่างประเทศประมาณ 1.6 ล้านคน แบ่งเป็น 8 แสนคนเดินทางไปรักษาในทวีปยุโรป และเอเชีย ซึ่งประเทศไทยมีส่วนแบ่งในตลาดดังกล่าว 1 – 5% หรือคิดเป็นประมาณ 8,000 – 4 หมื่นคน ทาง ททท. จึงเร่งหาทางขยายฐานลูกค้าในกลุ่มนี้ผ่านตัวแทนประกันสุขภาพ

ส่วนช่องทางการตลาดที่ผู้ประกอบการไทยต้องเร่งปรับตัวเพื่อเป็นกลยุทธ์หลักในการขยายฐานนักท่องเที่ยว คือ ช่องทางออนไลน์ ผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น เฟสบุ๊ก ทวิตเตอร์ ยูทูบ์ การแนะนำบอกต่อ โดยนักท่องเที่ยวที่มีประสบการณ์ผ่านบล็อก เวบไซต์ การจับมือกับเวบไซต์ที่ชาวอเมริกันนิยมเข้าไปซื้อตั๋วเครื่องบิน แพจเกจทัวร์ เพื่อให้สิทธิพิเศษ โปรโมชั่น เป็นต้น

สำหรับภาพรวมนักท่องเที่ยวชาวอเมริกันในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา เติบโตแล้ว 13% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ในขณะที่ภาพรวมนักท่องเที่ยวทั้งหมดที่เดินทางเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตแล้ว 18% โดยชาวมาเลเซียยังคงเป็นนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเป็นอันดับ 1 จากเป้านักท่องเที่ยวทั้งปีที่ 16.8 ล้านคน

นายอักกพล กล่าวต่อว่า ในขณะนี้ประเทศไทยมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นมาก ซึ่งเป็นประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน เช่น จีน เวียดนาม เป็นต้น เนื่องจากประเทศไทยเหล่านั้นมีรัฐบาลค่อยให้การสนับสนุนเป็นอย่างดี และไม่มีปัญหาทางการเมือง อย่างไรก็ตามประเทศไทยจะต้องเร่งพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ให้มากขึ้น เนื่องจากแนวโน้มนักท่องเที่ยวในอนาคตจะเดินทางมาท่องเที่ยวเพื่อในเชิงอนุรักษ์มากขึ้น เช่น มาเที่ยวเพื่อปลูกป่า สร้างโรงเรียน เป็นต้น

“ส่วนปัญหาเร่งด่วนที่ ททท.และรัฐฯ ต้องร่วมมือกันเร่งทำ คือการจัดโซนนิ่งสถานที่ท่องเที่ยว เพื่อให้นักท่องเที่ยวสามารถเลือกสถานที่ท่องเที่ยวได้ตามความต้องการ และยังเป็นการจัดระเบียนปริมาณโรงแรม สปา ที่พัก ที่ขณะนี้เกินความต้องของตลาดแล้ว และจะส่งผลให้เกิดสงครามราคาขึ้นได้ในอนาคต เช่น ปัจจุบันประเทศไทยมีห้องสำหรับทำสปา 4 แสนห้อง จากผู้ประกอบการกว่า 9,000 ราย ซึ่งนับว่ามากกว่าความต้องการ” นายอักกพล กล่าว

สถิตินักท่องเที่ยวชาวอเมริกันในปี 2553 พบว่ามีการเดินทางมาประเทศไทยเป็นจำนวน 611,792 คน สร้างรายได้กว่า 35,500 ล้านบาท นักท่องเที่ยวกลุ่มดังกล่าวมีระยะเวลาพักเฉลี่ย 14 – 15 วัน มีการใช้จ่าย 4,100 – 4,300 บาทต่อคนต่อวัน ส่วนใหญ่นิยมไปเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม เชิงอนุรักษ์ ผจญภัย โดยจังหวัดที่ได้รับความนิยมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ ภูเก็ต พัทยา และมีแนวโน้มขยายตัวไปยังแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เช่น เกาะสมุย เชียงราย หัวหิน ชะอำ กาญจนบุรี อยุธยา เกาะช้าง และกระบี่ เป็นต้น

http://www.posttoday.com
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #311 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 22:00:54 »


เปิดเส้นทางสาย'R3'ส่งออกผลไม้ไปจีน...


วันจันทร์ ที่ 06 มิถุนายน 2554 เวลา 0:00 น

ประเทศจีนนับเป็นประเทศคู่ค้าในการส่งออกผลไม้ไทยอันดับต้น ๆ ซึ่งที่ผ่านมาไทยสามารถส่งออกผลไม้คุณภาพดีไปจีนได้ปีละกว่า 5,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในช่วงปี 2550-2552 ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้งส่งออกจำนวน 4,424, 4,967, 6,875 ล้านบาทตามลำดับ และช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2553 ส่งออกรวม 5,988 ล้านบาท ซึ่งผลไม้ที่ส่งออกมากที่สุดได้แก่ ทุเรียน ลำไย มังคุด มะพร้าว มะม่วง และสำหรับผลไม้แห้งที่ไทยส่งออกมากที่สุด ได้แก่ ลำไยแห้ง  มะขามแห้ง

ดังนั้นจึงนับเป็นนิมิตรหมายอันดียิ่งที่ วันนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้ลงนามพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างไทยและจีน กับนายจือชู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงควบคุมคุณภาพและตรวจสอบกักกันโรคแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (AQSIQ) อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว

นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่าการลงนามพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างไทยและจีน จะส่งผลให้ไทยส่งออกผลไม้ไปจีนผ่านเส้นทางบกสาย R3A หรือ R3E โดยเริ่มจากอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ประเทศไทยผ่านเมืองห้วยทราย บ่อแก้ว หลวงน้ำทา บ่อเต็น ของลาว เข้าสู่เมืองโม่หาน จิ่งหง เชียงรุ้งมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีระยะทางประมาณ 1,104 กิโลเมตร ทำให้เส้นทางสายนี้จะเป็นเครื่องมือให้เกิดการขยายตัวทางการค้าผลไม้ระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับกล่าวคือ ลดระยะเวลาในการขนส่งเหลือเพียง 2-3 วัน จากปกติทางเรือใช้เวลา 5-7 วัน ทำให้ผลไม้ไทยมีความสดยาวนานขึ้นและกระจายผลไม้ไปยังตลาดเมืองยูนนานมณฑลตะวันตกเฉียงใต้ของจีนได้โดยตรง จากเดิมต้องผ่านฮ่องกง-เสิ่นเจิ้น หรือตลาดเจี้ยงหนาน กวางโจวแล้วจึงกระจายต่อไปมณฑลต่าง ๆ ของจีน นอกจากนี้ผลไม้ที่นำเข้าจากจีนผ่านเส้นทางนี้จะมีคุณภาพ มาตรฐานและความปลอดภัยต่อผู้บริโภคชาวไทยมากขึ้น เนื่องจากจะมีการควบคุมคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยจากต้นทางของทั้งสองประเทศ

การเปิดเส้นทางดังกล่าวในครั้งนี้ จะส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยสามารถส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีนได้สะดวก และไม่เสียเวลาโดยผ่านเส้นทางอำเภอเชียงของจังหวัดเชียงราย-ลาว-จีน เพื่อส่งผลไม้เข้าสู่มณฑลภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน โดยคาดว่าการขนส่งผลไม้ผ่านเส้นทาง R3 จะเพิ่มโอกาสการขยายปริมาณและมูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีนมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นตลาดส่งออกผลไม้ที่สำคัญของไทย

ทั้งนี้คาดการณ์ว่า จะมีการขยายตัวทางการค้าผลไม้ระหว่างกันเพิ่มมากขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% มูลค่าประมาณ 500 ล้านบาทเนื่องจากมีการส่งออกผ่านเส้นทางบกที่กระทรวง เกษตรฯ เจรจาเปิดเส้นทางทั้งสาย R9 และ R3 ขณะเดียวกัน ยังได้หารือกับ AQSIQ ในเรื่องการขนส่งทางเส้นทางบกสาย R8 และ R12 ที่ผ่านทางจังหวัดนครพนม (ไทย)-นาพาว (ลาว)-จาลอ-วิงห์-ฮานอย (เวียดนาม)-(จีน) มณฑลกวางสี ซึ่งเส้นทางดังกล่าวนี้จะลดระยะเวลาการขนส่งในช่วงถนนผ่านลาวเข้าเวียดนามเนื่องจากมีระยะทางสั้นโดยเส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางส่งออกผลไม้ไปยังมณฑลภาคตะวันออกของจีน รวมถึงหารือในการเปิดเส้นทางขนส่งทางแม่น้ำโขงเพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ก่อนการเปิดเส้นทางสายต่าง ๆ ทั้งสองฝ่ายจะมีการตั้งคณะทำงานร่วมกันซึ่งกระทรวงเกษตรฯจะได้หารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมและศึกษาถึงข้อดีข้อเสียต่าง ๆ ด้วย

“เส้นทาง R3 จะเป็นเครื่องมือสำคัญ ทำให้เกิดการขยายตัวทางการค้าผลไม้ระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น โดยประโยชน์ที่ไทยจะได้รับคือ เป็นการลดระยะเวลาในการขนส่งเหลือเพียง 2-3 วัน จากการขนส่งทางเรือซึ่งใช้เวลา 5-7 วัน ทำให้ผลไม้ไทยมีความสดยาวนานขึ้น และที่สำคัญจะเพิ่มโอกาสการขยายปริมาณและมูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีนมากขึ้น ซึ่งการลงนาม ในครั้งนี้ได้พยายามให้เกิดขึ้นทันกับช่วงระยะเวลาที่ประเทศไทยมีผลไม้ออกสู่ตลาดจำนวนมาก คือ ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม จะช่วยให้ราคาผลไม้ภายในประเทศไม่ตกต่ำ  อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ ไทยต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชและมาตรการที่ได้กำหนดไว้ในพิธีสารฯ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับจีนว่าผลไม้ไทยที่ส่งออกไปจีนมีคุณภาพ ปลอดจากโรคและศัตรูพืช และไม่มีการปลอมปนผลไม้จากประเทศอื่นระหว่างการขนส่ง โดยมีมาตรการกำกับดูแลก่อนการส่งออก เช่น การตรวจสอบและออกใบรับรองสุขอนามัยพืชก่อนส่งออก การระบุหมายเลขตู้สินค้า และหมายเลขกำกับการปิดผนึกตู้สินค้า โดยต้องไม่มีการเปิดตู้สินค้าระหว่างการขนส่งจนกว่าจะถึงด่านปลายทาง”

นับเป็นข่าวดียิ่งสำหรับพี่น้องเกษตรกรไทยและผู้ส่งออกนำเข้าผลไม้ไทยและจีนที่จะสามารถมีการขนส่งและนำเข้าผลไม้ระหว่างกันได้สะดวกและรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตและลดปัญหาความเสียหายจากการขนส่งสินค้าที่ต้องการระยะเวลาที่รวดเร็ว ที่สำคัญคาดว่าเส้นทาง R3 จะทำให้มูลค่าส่งออกสินค้าผลไม้ไทยไปจีนสูงขึ้นในอนาคต.

http://www.dailynews.co.th/web/index.cfm?page=content&categoryId=676&contentID=143273
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #312 เมื่อ: วันที่ 09 มิถุนายน 2011, 09:17:50 »

นกแอร์บ่ยั่นไทยวิงชิงลูกค้าโกย5.9พันล.         

ข่าวหน้า1    - ข่าวหน้า1

โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ    
 
วันพุธที่ 08 มิถุนายน 2011 เวลา 09:00 น.
พาที สารสินแฉเบื้องหลังบินไทยส่ง"อภิพร ภาษวัธน์"กุมบังเหียนนกแอร์ หวังมีสิทธิ์มีเสียงผลักดันให้เกิดความร่วมมือ โดยมุ่งตั้งไทยวิงแทน หลังแผนซื้อหุ้นจากแบงก์กรุงไทยส่อแววดีลล่ม ด้าน"พาที สารสิน"ยันเปลี่ยนบอร์ดใหม่ ไม่กระทบย้ำไม่สนแผนตั้งไทยวิงแต่เล็งสยายปีกบินต่างประเทศทั้งเดินหน้ายกเครื่องฝูงบินใหม่ตั้งเป้าดันรายได้แตะ 5.9 พันล้านบาทสิ้นปีนี้ แต่กำไรวูบเหลือ 200 ล้านบาทเหตุน้ำมันแพง
 แหล่งข่าวระดับสูงจากบริษัทสายการบินนกแอร์ จำกัดเปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่าการประชุมบอร์ดวันที่ 13 มิถุนายนนี้จะมีการขออนุมัติเปลี่ยนแปลงประธานบอร์ดและกรรมการของบริษัทใหม่หลังจากก่อนหน้านี้การบินไทยในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ได้แจ้งความจำนงที่จะเปลี่ยนแปลงประธานบอร์ดใหม่โดยเสนอนายอภิพร ภาษวัธน์ กรรมการบริษัทการบินไทยฯมาเป็นประธานบอร์ดนกแอร์แทน ดร.วิชิต สุรพงษ์ชัย ซึ่งขณะนี้ได้ลาออกเป็นที่เรียบร้อยแล้วตามมารยาทหลังจากนั่งเป็นประธานบอร์ดนกแอร์มาตลอด
 "ที่ผ่านมาฝ่ายบริหารการบินไทยไม่สามารถเข้าไปควบคุมให้นกแอร์ทำตามนโยบายได้เพราะมีถือหุ้นหลายบริษัทต้องมองถึงผลประโยชน์ของบริษัทต่างๆมากกว่าทำให้ผู้ถือหุ้นรายอื่นยกเว้นการบินไทยต่างเทอำนาจการบริหารไปให้ดร.วิชิต เป็นส่วนใหญ่ ทั้งที่การบินไทยถือหุ้นถึง 39%และการที่ดร.วิชิตได้เป็นบอร์ดนกแอร์ก็เพราะเคยเป็นบอร์ดการบินไทยมาก่อนเมื่อพ้นจากความเป็นบอร์ดการบินไทยมานานแล้วก็ควรจะลุกออกจากเก้าอี้ประธานบอร์ดนกแอร์เช่นกัน"
 แหล่งข่าวคนเดิมยังกล่าวอีกว่า  ทั้งนี้บอร์ดใหม่นกแอร์จะประกอบไปด้วยตัวแทนจากการบินไทย 4 คนได้แก่ นายอภิพร ภาษวัธน์ กรรมการบริษัท นายธีรพล โชติชนาภิบาล รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายผลิตภัณฑ์และบริการลูกค้า นายโชคชัย ปัญญายงค์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายกลยุทธ์และพัฒนาธุรกิจ และนายวีระวงค์ จิตต์มิตรภาพ กรรมการบริษัท ส่วนบอร์ดจากผู้ถือหุ้นอื่นๆ ได้แก่ นายสมใจนึก เองตระกูล ซึ่งเป็นตัวแทนจากบริษัททิพยประกันภัยฯ นางสาวโสภาวดี  เลิศมนัสชัย เลขาธิการคณะกรรมการกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.)นายพงศธร สิริโยธิน รองกรรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานปฏิบัติการ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และตัวแทนจากธนาคารไทยพาณิชย์กับบริษัททุนลดาวัลย์ฯ ที่ในขณะนี้ยังไม่ได้แจ้งว่าจะส่งใครมานั่งเป็นตัวแทนบอร์ด
 ทั้งนี้บอร์ดชุดใหม่จะเริ่มเข้ามาทำหน้าที่ในวันที่ 29 มิถุนายนนี้ การปรับเปลี่ยนประธานบอร์ดในครั้งนี้ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งของการบินไทยที่จะเข้าไปมีสิทธิ์มีเสียงในนกแอร์เพิ่มขึ้นเพื่อผลักดันให้เกิดความร่วมมือในการทำงานร่วมกันมากขึ้นแม้จะไม่ได้เข้าไปควบคุมการดำเนินการในนกแอร์ได้เต็มที่ก็ตาม  เนื่องจากการซื้อหุ้นของกรุงไทย 10% ในนกแอร์ มีแนวโน้มสูงว่าดีลจะล่ม เพราะหากขายต่ำกว่า 44 บาทต่อหุ้น ทางกรุงไทย ก็คงไม่ยอมขายแน่นอน เนื่องจากนกแอร์มีกำไรแล้ว โดยใน 2553 มีกำไร 634 ล้านบาท ขณะที่กรุงไทยลงทุนจัดตั้งนกแอร์ด้วยเงินเพียง 50 ล้านบาทเท่านั้น
 ขณะที่การบินไทยก็มองว่าราคาสูงเกินไปและต้องการซื้อในราคา 30 บาทต่อหุ้น เมื่อตกลงราคากันไม่ได้ทำให้การบินไทยเลิกที่จะเข้าไปควบคุมนกแอร์แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพียงแต่คุมการมีสิทธิ์มีเสียงของการบินไทยในบอร์ดนกแอร์เท่านั้น และมุ่งไปพัฒนาสายการบินใหม่อย่างไทยวิงที่การบินไทยเป็นเจ้าของ 100%มากกว่าเพื่อให้มาเสริมกลยุทธ์ เจาะฐานลูกค้าในระดับรองจากการบินไทย แม้ว่าตามความเป็นจริงแล้วการจัดตั้งไทยวิงก็เหมือนทำให้เกิดการขัดแย้งทางผลประโยชน์เกิดขึ้น

  เนื่องจากนกแอร์กับไทยวิงต่างเป็นสายการบินในแบบแวลูฟอร์มันนี่เหมือนกันและขณะนี้นกแอร์ก็เริ่มมองความเป็นไปได้ของการเปิดบินเส้นทางระหว่างประเทศแล้วในอนาคต เพราะจุดบินในประเทศที่เปิดบินอยู่กว่า 19 จุดบินด้วยความถี่ 70 เที่ยวบินต่อวัน ก็เกือบครบทุกจุดบินในประเทศแล้ว เหลือเพียงไม่กี่แห่งที่ยังไม่ได้บิน เช่น จังหวัดเชียงราย จังหวัดกระบี่ ซึ่งหากเครื่องบินใหม่ที่บริษัทเช่ามาได้รับมอบก็จะทยอยเปิดจุดบินใหม่ๆเพิ่มขึ้น

 ขณะที่นายพาที  สารสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ จำกัด กล่าวว่า แม้จะมีการเปลี่ยนบอร์ดและประธานบอร์ดใหม่แต่นกแอร์ก็ยังมุ่งดำเนินงานตามแผนงานเดิมที่มีอยู่ ส่วนกรณีที่การบินไทยต้องการซื้อหุ้นนกแอร์จากกรุงไทยนั้นมองว่ากรุงไทยคงไม่อยากขายหุ้นไม่เช่นนั้นคงขายไปนานแล้ว และในกรณีที่การบินไทยจะตั้งไทยวิงขึ้นมานั้นก็เป็นเรื่องของการบินไทย

 "ส่วนการที่การบินไทยบอกว่านกแอร์ไม่สามารถดำเนินการตามที่สั่งได้ เพราะสิ่งที่นกแอร์วางแผนว่าจะทำอะไรนั่นคือสิ่งที่สามารถทำได้ถ้าเปลี่ยนไปมาจะเหนื่อยมากในที่สุดก็จะสะเปะสะปะ ฉะนั้นสิ่งที่นกแอร์ทำได้คือพยายามรักษาสิ่งที่ดีอยู่แล้วเดินหน้าตามแผนระยะยาวที่มีอยู่ถ้าเกิดมีคู่แข่งก็ต้องปรับตัวต้องยืดหยุ่นในการโอปอเรต หากการบินไทยมีสายการบินใหม่เกิดขึ้นจริงนกแอร์ยังมีตำแหน่งเป็นแบรนด์สำหรับคนไทยที่ยังคงคอนเซ็ปต์คุ้มค่าเงินหรือแวลูฟอร์มันนี่อยู่เช่นเดิมเพราะขณะนี้ประชาชนก็ยอมรับนกแอร์ในสิ่งที่ทำแล้ว เพราะมันดีอยู่แล้วและพยายามที่จะรักษาคุณภาพให้ดีที่สุด"
 สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้บอร์ดได้อนุมัติแผนเปลี่ยนแบบเครื่องบินรุ่น737-400 มาเป็นเครื่องบินรุ่น 737-800 จำนวน 7ลำ โดยจะเช่ากับหลายบริษัทโดยลำแรกจะได้รับมอบในเดือนพฤศจิกายนนี้การเปลี่ยนเครื่องบินจะทำให้มีกำไรที่ดีขึ้นเนื่องจากประหยัดน้ำมันได้ 20% และมีจำนวนที่นั่งโดยสารเพิ่มขึ้นจาก 150 ที่นั่งต่อเที่ยวบิน เป็น 190 ที่นั่ง รวมถึงราคาเฉลี่ยของต้นทุนอื่นๆ จะต่ำลง การใช้ประโยชน์จากเครื่องบินได้มากขึ้นโดยบินได้เต็มอัตรา 11 ชั่วโมงต่อวัน นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดบินในเส้นทางเชียงราย และกระบี่ ช่วงสิ้นปีนี้หลังจากทยอยรับมอบเครื่องบินแล้ว   
 
 "ขณะนี้ยังรอรับมอบเครื่องบินรุ่น ATR ขนาด 66 ที่นั่ง  4 ลำที่จะเข้ามาในปีนี้และมีแผนจะบินเพิ่มความถี่เข้าเมืองเล็กที่นกมินิบินอยู่รวมถึงเปิดเส้นทางบินใหม่ที่จังหวัดแพร่โดยให้เชียงใหม่เป็นฐานของนกมินิบินเป็นคอนเน็กติ้ง พอยต์ ออกจากเชียงใหม่และเมื่อรับมอบเครื่องบินเอทีอาร์ครบจะส่งผลให้มีฝูงบินทั้งหมด 16 ลำ ถือว่าเพียงพอสำหรับบินในประเทศและยังไม่มีแผนเปิดเส้นทางบินระหว่างประเทศในตอนนี้เพราะต้องการเรียนรู้ทุกอย่างให้สมบูรณ์และมีเส้นทางบินครอบคลุมไทยให้มากที่สุด"นายพาทีกล่าว

 ส่วนปัจจัยในการดำเนินธุรกิจในปีนี้ต้องคำนึงถึงคือราคาน้ำมันปี 2553 ถือเป็นอานิสงส์มากเฉลี่ยอยู่ที่ 60-70 % ต่อดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ส่งผลให้นกแอร์ได้อานิสงส์มากมีกำไรสูงถึง 634 ล้านบาท แต่ปัจจุบันกลับมาที่ 90-100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล คาดว่าจะทำให้กำไรลดลงราว 1 ใน 3 หรือราว 190-200 ล้านบาท ตั้งเป้าอัตราการบรรทุกเฉลี่ย (Load Factor) 82-83% ขณะที่รายได้ปีที่แล้ว 3,900 ล้านบาทปีนี้คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มเป็น 5,900 ล้านบาท ที่ผ่านมาไม่ได้ทำ
 เฮดจิ้งน้ำมันแต่เพิ่มค่าตั๋วราว 100-150 บาทให้ครอบคลุมราคาน้ำมัน ส่วนอนาคตกำลังศึกษาแผนกับบริษัทเชลล์ ไทยแลนด์ฯ เพื่อจะซื้อน้ำมันล่วงหน้าราว 30% ในระยะสั้นแค่ 1 เดือน โดยส่วนที่เหลือก็ยังซื้อผ่านการบินไทยเช่นเดิม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารนกแอร์กล่าวในที่สุด

 อนึ่งบริษัทร่วมทุนในนกแอร์ ประกอบด้วย บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 39% ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 10% บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 10% กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ(กบข.) ถือหุ้น 10% บริษัท ทุนลดาวัลย์ จำกัด (สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์) ถือหุ้น 6% ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ถือหุ้น 5% กองทุนเปิดไทยทวีทุน โดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้น 5% บริษัท คิงเพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลกรุ๊ป จำกัด ถือหุ้น 5% และผู้ถือหุ้นรายย่อยอื่นๆ 10%

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,642 9-11  มิถุนายน พ.ศ. 2554
/////////

รอเครื่องใหม่:)
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #313 เมื่อ: วันที่ 09 มิถุนายน 2011, 18:46:14 »

เชียงราย - ทูตจีนนำทีมตัวแทนหลายหน่วยงานจากหยุนหนัน ออนทัวร์เส้นทาง R3a พร้อมนัดประชุมร่วมไทยที่เชียงแสน แต่เจอปมด่านฯเชียงแสน-ต้นผึ้ง สปป.ลาว ไร้ข้อตกลงข้ามแดน ทำเวทีหารือล่ม
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า จ.อ.อนิรุต จำรูญ หัวหน้าขนส่งทางน้ำที่ 1 สาขาเชียงราย ได้รับการประสานงานจากคณะของ Mr.Gao Wantuan อัคราชทูตฝ่ายเศรษฐกิจและการค้า สาธารณประชาชนจีน ประจำประเทศไทย เย็นวันที่ 8 มิ.ย.54 ขอเข้าประชุมหารือกับคณะ จ.เชียงราย ณ ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 1 อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจและการค้า ซึ่ง จ.เชียงราย มีการค้ากับจีนตอนใต้ปีละจำนวนมหาศาล
       
       คณะจากประเทศจีนได้เดินทางมาทางรถยนต์ จากเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน จีนตอนใต้ มาตามถนน R3a ผ่านแขวงหลวงน้ำทา แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว จนถึงเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ตรงกันข้าม อ.เชียงของ โดยเข้าเยี่ยมโครงการของกลุ่มทุนดอกงิ้วคำ ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทจิน มู่ เหมิน จำกัด จากประเทศจีน ภายใต้ชื่อ Kings Romans of Laos Asian & Tourism Development Zone เพื่อสร้างโรงแรม บ่อนกาสิโน เขตการค้า ท่าเรือ เขตพาณิชยกรรม อุตสาหกรรมแปรรูป พื้นที่การเกษตร ฯลฯ ที่เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ก่อนที่จะข้ามมายังฝั่งตรงกันข้ามคือ อ.เชียงแสน
       
       กระทั่งช่วงเย็นคณะจากประเทศจีน ได้แจ้งจะข้ามฝั่งมายัง อ.เชียงแสน แต่ปรากฏว่าด่านสากลที่สามเหลี่ยมทองคำของ สปป.ลาว กับจุดผ่านแดนถาวร อ.เชียงแสน ไม่ได้มีการทำข้อตกลงในการข้ามแดนกันอย่างเป็นทางการ จึงทำให้คณะทั้งหมดต้องเดินทาง กลับไปเมืองห้วยทรายซึ่งห่างออกไปอีกประมาณ 58 กิโลเมตรอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เสียเวลาจนถึงเย็น จึงมีการติดต่อประสานงานกับคณะของทาง จ.เชียงราย ซึ่งรออยู่ที่ท่าเรือแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 โดยมีนายสุรชัย ลิ้นทอง ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย นำคณะหัวหน้าส่วนราชการรออยู่ โดยขอเลื่อนการนัดประชุมออกไปก่อนทำให้การประชุมยกเลิกไปโดยปริยาย
       
       จ.อ.อนิรุต กล่าวว่า เราจำเป็นต้องขอเลื่อนการระชุมหารือกันไปก่อน เพราะเกิดปัญหาขัดข้องทางเทคนิค หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีการกำหนดเวลาการประชุมและแจ้งเชิญหน่วยงานส่วนราชการต่างๆ เอาไว้
       
       ทั้งนี้ กรมเจ้าท่าได้เตรียมรายความคืบหน้าด้านท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 แก่ที่ประชุมด้วย โดยเป็นท่าเรือแห่งใหม่ที่ใช้ทดแทนแห่งแรก ที่คับแคบและอยู่กลางใจเมืองเชียงแสน โดยปัจจุบันกรมเจ้าท่าได้ว่าจ้างเอกชนทำการก่อสร้างตรงปากแม่น้ำกก ซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่หมู่บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน เนื้อที่ 402 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวา ด้วยงบประมาณ 1,546,400,000 ล้านบาท กำหนดก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.2552-28 ธ.ค.2554 ซึ่งหลังโครงการแล้วเสร็จหน่วยงานแดน เช่น ศุลกากร เจ้าท่า การท่าเรือ ฯลฯ จะย้ายไปยังท่าเรือใหม่ดังกล่าว
       
       สำหรับรูปแบบโครงการจะมีการสร้างท่าเทียบเรือ 5 จุด คือ ท่าเรือแบบทางลาด 2 ระดับ ด้านทิศเหนือยาว 300 เมตร และทิศใต้ยาว 300 เมตร ท่าเรือแนวดิ่งภายในแอ่งจอดเรือยาว 629 เมตร บริเวณต่อกับแอ่งจอดเรือด้านทิศเหนือยาว 554 เมตร บริเวณต่อกับแอ่งจอดเรือด้านทิศใต้ยาว 300 เมตร และท่าเรือสำหรับเรือตรวจการณ์ยาว 226 เมตร โครงการป้องกันตลิ่งเป็นเขื่อนกันตลิ่งยาวรวม 3,447 เมตร โดยแยกเป็นเขื่อนป้องกันตลิ่งในแม่น้ำโขงยาว 500 เมตร เขื่อนป้องกันตลิ่งเกาะช้างตายซึ่งเป็นเกาะกลางแม่น้ำโขงยาว 765 เมตร เขื่อนป้องกันตลิ่งสองฝั่งแม่น้ำกกด้านละ 660 เมตรและ 1,525 เมตรตามลำดับ
       
       นอกจากนี้ จะมีการขุดลอกร่องน้ำทางเดินเรือในแม่น้ำโขงกว้าง 40 เมตร ยาว 1.4 กิโลเมตร ลึก 1.5 เมตร จากระดับน้ำต่ำสุด และขุดลอกส่วนที่เป็นแอ่งจอดเรือ จึงทำให้จะมีการขุดลอกดินขึ้นมาทั้งสิ้น 1,050,000 ลูกบาศก์เมตร และจะมีการขุดลอกบำรุงรักษาประจำปีประมาณ 181,700 ลูกบาศก์เมตร
       
       ส่วนงานด้านอาคารมีทั้งอาคารสำนักงานท่าเรือและอาคารเอนกประสงค์ โรงพักสินค้า สำนักงานโรงพักสินค้าประตูทางเข้า ฯลฯ ลานจอดรถพักรอพื้นที่รวม 26,600 ตารางเมตร งานก่อสร้างถนนยาวรวม 4,036 เมตร นอกจากนี้ ยังมีโครงการอื่นๆ เพื่อสำรองเอาไว้และเก็บกองดินทรายที่ขุดลอกขึ้นมาใหม่โดยคำนวณปริมาณดินตะกอน ที่สามารถรองรับได้ 605,146.54 ลูกบาศก์เมตร
       
       ส่วนการค้าชายแดนผ่านทางท่าเรือแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงแสน ตั้งแต่เดือน ต.ค.2553 จนถึง เม.ย.ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นการค้ากับจีนตอนใต้ ยังมีพม่า และ สปป.ลาว โดยเป็นการการส่งออกสินค้าจำนวน 4,982 ล้านบาท คาดว่าเมื่อครบปีจะมีมูลค่ามากกว่าปีที่ผ่านมา เพราะตลอดทั้งปีงบประมาณ 2553 มีการส่งออกมูลค่า 5,630 ล้านบาท ส่วนนำเข้ามีมูลค่า 736 ล้านบาท

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000070363
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #314 เมื่อ: วันที่ 09 มิถุนายน 2011, 21:10:04 »

ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย แน้น 3 สร้าง เป็นยุทธศาสตร์จังหวัดเชียงราย เพื่อพัฒนาการเศรษฐกิจการค้าด้านลงทุนและการท่องเที่ยวของ ประเทศไทยอย่างยั่งยืน

ที่ห้องดอยตุง โรงแรมดุสิตไฮส์แลน รีสอร์ท เชียงราย นายสมชัยหทยตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้ให้การต้อนรับ นักศึกษาหลักสูตรนักบริหารระดับสูง: ผู้นำวิสัยทัศน์และคุณธรรม รุ่นที่ 73 จำนวน 140 คน ซึ่งสำนักงานข้าราชการพลเรือน ได้จัดศึกษาดูงานในพื้นที่จังหวัดเชียงราย และได้เป็นวิทยากรพิเศษให้ความรู้และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ เรื่อง “ยุทธศาสตร์จังหวัดเชียงรายเพื่อพัฒนาการเศรษฐกิจการค้าด้านลงทุนและการท่องเที่ยวของ ประเทศไทยอย่างยั่งยืน ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้กล่าวว่า จังหวัดเชียงราย มีศักภาพทางด้านเศรษฐกิจสูงมาก และกำลังมีความเจริญเติบโต จากการค้าการลงทุนทั้งในประเทศ การค้าระหว่างประเทศ และการท่องเที่ยว ซึ่งเชียงรายมีจุดเด่นทางด้านการท่องเที่ยว ที่ไม่เหมือนจังหวัดใดในประเทศไทย คือมาเที่ยวเชียงรายแล้วสามารถท่องเที่ยวไปยังประเทศเพื่อนบ้านได้อีก 3 ประเทศ ได้แก่ พม่า ลาวและ จีน โดยเฉพาะประเทศจีน ตอนใต้ในมณฑลยูนนาน ที่มีวิถีชีวิตที่คล้ายกับคนไทยในภาคเหนือ การเดินทางก็สามารถเดินทางได้ทั้งทางน้ำและทางบก การเดินทางทางน้ำไปตามลำน้ำโขงก็จะใช้เวลาประมาร 1 วัน ส่วนการเดินทางทางบกก็ใช้เส้นทาง R3a จากอำเภอเชียงของ ผ่านประเทศลาว ไปถึง สิบสองปันนาใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมงเศษ ขณะที่การก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขง กำหนดจะแล้วเสร็จในปีช่วงปลายปี 2555 ชึ่งจะทำให้จังหวัดเชียงรายมีการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น อย่างไรก็ตาม จังหวัดเชียงรายได้กำหนดแผนยุทธสาสตร์เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ไว้แล้ว โดยกำหนดเป็นคำพุที่เข้าใจง่าย คือ 3 สร้าง ประกอบด้วย การสร้างคน โดยการสร้างองค์ความรู้ให้กับประชาชนในพื้นที่ เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง การสร้างงาน โดยการเตรียมความพร้อมในการทำงานที่จะเปลี่ยนแปลงไปจากรูปแบบเดิม และการสร้างที่สีเขียว ที่มีความสวยงามให้เพิ่มมากขึ้น จากที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ให้มีความสวยงาม รวมถึงวัฒนธรรมประเพณีที่สวยงามให้คงอยู่อย่างเดิม แม้สังคมจะเปลี่ยนไป ซึ่งทั้งหมดนี้จะเป็นการดำเนินการ ยุทธศาสตร์จังหวัดเชียงรายเพื่อพัฒนาการเศรษฐกิจการค้าด้านลงทุนและการท่องเที่ยวของ จังหวัดเชียงราย และประเทศไทยอย่างยั่งยืน

แหล่งข่าว : สวท.เชียงราย
นำเสนอโดย : เชียงรายโฟกัสดอทคอม
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #315 เมื่อ: วันที่ 12 มิถุนายน 2011, 20:32:14 »

ชี้โอกาสค้าปลีกไทยโตอีกมาก แนวโน้ม 10 ปีเปลี่ยนไม่หยุด

โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์   9 มิถุนายน 2554 08:52 น.


       SCB EIC ระบุ โอกาสในการขยายสาขาธุรกิจค้าปลีกของไทยยังมีอีกมาก โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ซึ่งหลายพื้นที่ยังมีศักยภาพเติบโตสูงทั้งในแง่จำนวนลูกค้าและความมั่งคั่งของคนในพื้นที่
       
       ปราณิดา ศยามานนท์ นักวิเคราะห์อาวุโสของ SCB EIC ระบุว่า ธุรกิจค้าปลีกของไทยในอีก 10 ปีข้างหน้ามีแนวโน้มเติบโตสูงและเปลี่ยนแปลงไม่หยุดนิ่ง ทั้งในแง่รูปแบบการดำเนินธุรกิจ และประเภทของสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาดในอนาคต ซึ่งจะขึ้นกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่จะมีผู้บริโภคกลุ่มใหม่เป็นกำลังซื้อสำคัญ นอกจากนี้ ยังมีโอกาสอีกมากที่ธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่จะขยายสาขาไปต่างจังหวัด ซึ่งหลายพื้นที่มีศักยภาพเติบโตสูง
       
       ช่องทางธุรกิจค้าปลีกที่ต้องจับตามองคือ การขายผ่านอินเทอร์เน็ตที่เติบโตเร็ว ตามการเพิ่มจำนวนของผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ต่างหันมาให้ความสำคัญกับการขายสินค้าออนไลน์เป็นช่องทางเสริมจากการขายผ่านหน้าร้านมากขึ้น โดยคาดว่าการขายผ่านอินเทอร์เน็ตจะเติบโตราว 8% ต่อปี ในอีก 5 ปีข้างหน้า
       
       นอกจากนี้ การเติบโตอย่างก้าวกระโดดของผู้ใช้บริการ social network โดยเฉพาะ facebook ที่ปัจจุบันมีจำนวนสมาชิกถึงกว่า 600 ล้านคนทั่วโลก ภายในเวลาไม่ถึง 10 ปี ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ๆ จึงเริ่มสนใจ หันมาทำการตลาดกับลูกค้าผ่าน fan page มากขึ้น โดยพบว่า ผู้ค้าปลีกรายใหญ่ 7 ใน 10 อันดับแรกของโลกล้วนมีการใช้ facebook page เป็นเครื่องมือในการสื่อสารกับผู้บริโภค
       
       แนวโน้มความต้องการสินค้าจะขึ้นกับผู้บริโภคกลุ่มใหม่ที่จะเป็นกำลังซื้อสำคัญ คือ 1.ผู้สูงวัย 2.ครัวเรือนขนาดเล็ก และ 3.ผู้มีรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป (มากกว่า 15,000 บาทต่อเดือน) ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ครัวเรือนขนาดเล็กซึ่งเป็นผู้อยู่อาศัยคนเดียวหรือคู่สมรสที่ไม่มีบุตรมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นมาก กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง แม้ว่าจะมีสัดส่วนต่อประชากรทั้งหมดเพียง 15% แต่มีสัดส่วนการใช้จ่ายต่อการบริโภคทั้งประเทศสูงถึงราว 1 ใน 4 ของการบริโภคทั้งหมด
       
       ทั้งนี้ เมื่อดูโครงสร้างการใช้จ่าย พบว่าสัดส่วนการบริโภคสินค้าอุปโภคบริโภคในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาแทบไม่เปลี่ยนแปลง คืออยู่ที่ราว 40% ของการบริโภคทั้งหมด แต่สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปคือ ประเภทของสินค้า โดยสินค้าที่ผู้บริโภคกลุ่มใหม่มีความต้องการซื้อสูงขึ้น ส่วนใหญ่อยู่ในหมวดสินค้าฟุ่มเฟือย ได้แก่ สินค้าจำพวกวิตามินและยาบำรุง สินค้าพักผ่อนหย่อนใจ ตลอดจนสินค้าบันเทิง
       
       สำหรับแนวโน้มการขยายสาขาของธุรกิจค้าปลีก เอกสิทธิ์ กาญจนาภิญโญกุล นักวิเคราะห์ของ SCB EIC กล่าวว่า ลักษณะของทำเลที่เหมาะสมของการตั้งสาขาธุรกิจค้าปลีก ต้องมีความพร้อมไม่เพียงแต่ความหนาแน่นของจำนวนลูกค้า แต่กำลังซื้อเป็นปัจจัยสำคัญ SCB EIC จึงสร้างดัชนีความมั่งคั่ง (SCB EIC Wealth Index) และนำมาวิเคราะห์ร่วมกับองค์ประกอบอื่นๆ เพื่อพัฒนาเป็นแบบจำลองสาขาของธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ โดย Wealth Index อิงจาก 3 ปัจจัยหลักคือ 1.เงินฝาก 2.การครอบครองรถยนต์ และ 3.ราคาประเมินที่ดิน ซึ่งเป็นปัจจัยที่สะท้อนกำลังซื้อของประชากรแต่ละจังหวัดได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมจังหวัดต่อหัว นอกจากนี้ ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ ได้แก่ ความหนาแน่นของประชากร ซึ่งมีความสำคัญต่อการตั้งสาขาของธุรกิจค้าปลีกทุกประเภท โดยเฉพาะไฮเปอร์มาร์เกต ขณะที่จำนวนห้องพักของโรงแรมเป็นปัจจัยเสริมต่อการเติบโตของสาขาของธุรกิจห้างสรรพสินค้า
       
       ในรูปแบบการขยายสาขาของไฮเปอร์มาร์เกตมีแนวโน้มเป็นการเพิ่มจำนวนแห่งในจังหวัดที่มีอยู่แล้ว เนื่องจากสาขาของไฮเปอร์มาร์เกตค่อนข้างครอบคลุมเกือบทั่วประเทศ แต่ยังมีบางจังหวัดที่มีศักยภาพทั้งในแง่ความหนาแน่นของประชากรและความมั่งคั่งสูง จังหวัดที่มีโอกาสในการขยายสาขาไฮเปอร์มาร์เกตเพิ่มเติม คือ ภูเก็ต เชียงใหม่ ตรัง จันทบุรี ระยอง สงขลา ชลบุรี สตูล ขอนแก่น และอยุธยา
       
       แต่ธุรกิจค้าปลีกประเภทห้างสรรพสินค้าและร้านค้าวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้านจะเป็นในลักษณะของการไปเปิดสาขาใหม่ในจังหวัดที่ยังไม่มี นอกจากปัจจัยด้านความหนาแน่นของประชากรและความมั่งคั่งแล้ว จำนวนห้องพักโรงแรม และการใช้ไฟฟ้าของภาคครัวเรือนยังเป็นปัจจัยเสริมที่มีผลต่อการเปิดสาขาของธุรกิจค้าปลีกประเภทเหล่านี้ จังหวัดที่มีโอกาสที่ห้างสรรพสินค้าจะไปเปิดสาขาคือ ระยอง สุราษฎร์ธานี กระบี่ ประจวบคีรีขันธ์ และพิษณุโลก สำหรับธุรกิจร้านค้าวัสดุก่อสร้างและสินค้าตกแต่งบ้าน ได้แก่ จันทบุรี ตรัง ลพบุรี ฉะเชิงเทรา และเชียงราย
       
       “นอกจากจำนวนลูกค้าและกำลังซื้อของประชากรแล้ว การพิจารณาทำเลเปิดสาขาธุรกิจค้าปลีกยังต้องดูปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย ทั้งในแง่ต้นทุนที่ดินและภูมิศาสตร์ ความพร้อมของสาธารณูปโภค เพื่อให้เกิดความสะดวกในการเข้าถึงบริการ รวมถึงการเจาะกลุ่มลูกค้าในจังหวัดใกล้เคียงได้ด้วย ตลอดจนทำเลที่เหมาะสมในการบริหารต้นทุนจัดการทั้งด้านขนส่งและสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ การพิจารณาประเภทสินค้าที่จะนำมาวางขายในพื้นที่ต่างๆ เป็นอีกปัจจัยที่มีความสำคัญเพื่อตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมการบริโภคของคนในพื้นที่ต่างๆ ที่มีความแตกต่างกัน เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำกำไรอีกด้วย” ปราณิดา กล่าว
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #316 เมื่อ: วันที่ 14 มิถุนายน 2011, 21:05:57 »

คุนหมิงแฟร์ ครั้งที่ 19

โดย แสงแดด   14 มิถุนายน 2554 15:48 น.



เมื่อปลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้ “แสงแดด” ได้สบโอกาสเดินทางไปประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน เพื่อร่วมทั้งประชุมและสังเกตการณ์ “คุนหมิงแฟร์ ครั้งที่ 19 (Kunming Fair 19th )” ซึ่งคุนหมิงเป็นเจ้าภาพจัดทุกปี และปี 2011 เป็นปีที่ 19
       
       การจัดงานคุนหมิงแฟร์ครั้งที่ 19 นี้ เป็นการจัดการแสดงสินค้าที่ครอบคลุมกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน (Asean) บวกกับกลุ่มประเทศเอเชียใต้ (South Asia) ซึ่งหมู่มวลสมาชิกที่มาร่วมประชุมนั้น เริ่มตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวกับการค้า การพาณิชย์ ที่หมายรวมถึง “เศรษฐกิจ” ตลอดจนรัฐมนตรีช่วยฯ ผู้ช่วยรัฐมนตรี จนมาถึงปลัดกระทรวงฯ อธิบดี และแม้กระทั่งที่ปรึกษาระดับอาวุโส
       
       ดังนั้น ผู้เข้าร่วมประชุมและเปิดงาน “คุนหมิงแฟร์ ครั้งที่ 19” จึงมีจำนวนมากถึง 40 กว่าคน ในกรณีเฉพาะระดับผู้นำ ส่วนระดับเจ้าหน้าที่และผู้ติดตามนั้น ขอเรียนว่าหลักหลายร้อยคนอย่างแน่นอน การประชุมกิจกรรมในครั้งนี้ จึงมีผู้เข้าร่วมนับหลายร้อยคน
       
       การประชุมกิจกรรมครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 6-10 มิถุนายน เพียงแต่วันเปิดนั้น เริ่มตั้งแต่ช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน และช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 6 โดยช่วงเย็นผู้ว่ามณฑลยูนนานเป็นเจ้าภาพเลี้ยงเฉพาะระดับผู้นำที่ร่วมกิจกรรมเท่านั้น
       
       แต่ในขณะเดียวกัน จะมีการเปิดบูท (Booth) ของสมาชิกจากกลุ่มประเทศอาเซียนและเอเชียใต้นับจำนวนหลายร้อยบูทเช่นเดียวกัน ซึ่งจะมีทั้งบรรดาเฟอร์นิเจอร์ไม้ ผลิตภัณฑ์ไม้แกะสลัก ผลไม้ อัญมณี สมุนไพร แม้กระทั่งผลิตภัณฑ์สิ่งทอ และผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน ตลอดจนสารพัดยาต่างๆ โดยเฉพาะยาหม่องที่ชาวจีนนิยมมาก
       
       “คุนหมิงแฟร์” หรือเรียกทางภาษาวิชาการเรียกว่า “งานแสดงสินค้า The 19th China Kunming Import + Export Commodities Fair 2011” และ “The 4th South Asian Countries Trade Fair 2011” โดยจัดที่ “หอประชุมขนาดใหญ่ (Convention Center)”
       
       ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา “การค้าการลงทุนระหว่างไทย-ยูนนาน” มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2011 ประเทศไทยส่งออกมายังมณฑลยูนนานมีมูลค่า 83.59 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,507 ล้านบาท) และไทยนำเข้าสินค้าจากมณฑลยูนนานมูลค่าประมาณ 102.27 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,068 ล้านบาท) โดยที่ไทยเราขาดดุลการค้ากับจีนมูลค่าประมาณ 18.68 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 560 ล้านบาท)
       
       อย่างไรก็ตาม การนำเข้าผลไม้ไทยสู่มณฑลยูนนานนั้น เพื่อให้เป็น “ประตู (Gate Way)” ศูนย์กลางกระจายสู่มณฑลอื่นๆ ในประเทศจีน เนื่องด้วยมณฑลยูนนานเป็นระยะทางที่สั้นที่สุด จะทำให้ผลไม้ไทยที่นำเข้ามีความสดใหม่ คุณภาพดี โดยเฉพาะทางบก ถนน R3 และทางน้ำ โดยแม่น้ำโขงซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการของฝั่งไทย แต่ส่วนของประเทศจีนนั้น ต้องเรียนว่า เขาได้สร้างถนนและท่าเรือมาจ่อที่ฝั่งไทยเรียบร้อยแล้ว และได้ทราบว่าทางฝั่งไทยกำลังเร่งดำเนินการก่อสร้างอยู่ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะแล้วเสร็จอีกไม่น่าจะเกิน 2-3 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ต้องยอมรับความจริงว่า ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะหันมาสนใจในกรณีนี้หรือไม่
       
       ภายในงานแสดงสินค้าผลไม้ไทย โดยเฉพาะมังคุดที่นำเข้าจากไทยเราจำนวน 500 ตัน หรือประมาณ 500,000 กิโลกรัม ปรากฏว่า “ขายหมดเกลี้ยง!” ภายในระยะเวลา 3 วันเท่านั้น จากกลุ่มผู้ประกอบการจากจังหวัดระยอง ส่วนทุเรียนและเงาะนั้นได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน
       
       จริงๆ แล้ว การค้าขายของไทยในมณฑลยูนนานนั้น เท่าที่สังเกตดูจากสภาพการณ์ช่วงที่อยู่นั้น ต้องยอมรับว่า สินค้าไทย ไม่ว่า ผลิตภัณฑ์ไม้ เฟอร์นิเจอร์ และผลไม้ไทย ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ยกตัวอย่าง ตุ๊กตาผู้หญิงล้านนาไทยพนมมือไหว้สูงประมาณหนึ่งเมตร สนนราคาตกตัวละ 10,000 กว่าบาท ทั้งๆ ที่ราคาต้นทุนที่ อ.หางดง เชียงใหม่ น่าจะไม่เกิน 3,000-3,500 บาท บวกกับค่าขนส่งสูงสุดตัวละไม่เกิน 5,000 บาท เพราะฉะนั้น เราฟาดกำไรตัวละ 5,000-6,000 บาทอย่างแน่นอน ซึ่งขอย้ำว่า “ขายดีมาก!”
       
       การเดินทางไปครั้งนี้ ได้ร่วมประชุมและสังเกตการณ์ว่า “ดีมาก!” ทั้ง ความรู้สึก การค้าการขาย การลงทุนทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ที่มีแนวโน้มดีทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้สึกของชาวจีนมณฑลยูนนานนั้น ใกล้ชิดกับทางประเทศไทยมาก เนื่องด้วยชนกลุ่มน้อย “สิบสองปันนา” ที่ยังคงปักถิ่นฐานอยู่ที่มณฑลยูนนาน และภาษาไทยยังคงเป็นภาษาท้องถิ่นที่ใช้กันอยู่ ทั้งนี้ อาจจะเพี้ยนบ้าง แต่สามารถเจรจากันได้
       
       เศรษฐกิจประเทศจีนต้องนับว่า “สูงสุดเกือบ 12%” ของอัตราการเจริญเติบโตหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ หรือเรามักเรียกกันว่า “จีดีพี (GDP)” ที่สูงที่สุดในโลกขณะนี้ เพียงแต่ว่า “จีดีพี” ของจีนนั้น ค่อนข้างมั่นใจว่า “เชิงมหภาค (Macro)” ที่มุ่งเน้นทางด้านอุตสาหกรรมส่งออก อุตสาหกรรมการลงทุนขนาดใหญ่ อสังหาริมทรัพย์ และสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเชิงระบบขนส่ง และ/หรือโลจิสติกส์
       
       การเร่งสร้าง “นโยบายสร้างชนชั้นกลาง” ซึ่งน่าเชื่อว่า ทางรัฐบาลจีนมุ่งเน้นสร้าง “ประชากรระดับกลาง” ให้มีมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันตัวเลขประชากรระดับกลางกำลังเจริญเติบโตอย่างมาก จากประชาชนระดับรากหญ้า หรือพูดภาษาชาวบ้านว่า “จีนเร่งสร้างชนชั้นกลาง” เพื่อรองรับการเจริญเติบโตที่สอดคล้องกันระหว่างเศรษฐกิจมหภาค และเศรษฐกิจจุลภาค
       
       การเดินทางจากภาคเหนือไทยนั้น สะดวกที่สุด ถ้าเดินทางโดยทางรถยนต์ด้วยถนน R3 ผ่านเชียงของ และเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ส่วนท่าเรือก็เช่นเดียวกัน แต่ถ้าทางสายการบินนั้น มีเพียงการบินไทยเท่านั้น ซึ่งมิได้บินทุกวัน ต้องเรียกว่าน่าเสียดาย ทั้งนี้ ต้องขอชื่นชมกงสุลพาณิชย์ไทยร่วมประชุมอย่างแข่งขัน และเชื่อว่า “ไทยโชคดีแน่!”


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000072624
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #317 เมื่อ: วันที่ 19 มิถุนายน 2011, 17:40:37 »


“ซาเล้ง” นำทีมขายฝันรถไฟเด่นชัย-ชร.ตีฐานเสียง พท.เชียงราย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   19 มิถุนายน 2554 13:11 น.



คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น





   
เชียงราย - ภูมิใจไทย เอาบ้าง ขายฝันรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย ตีฐานเสียงเพื่อไทยในเมืองพ่อขุนฯ
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า โค้งสุดท้ายศึกเลือกตั้งเชียงราย พรรคภูมิใจไทย ได้
       จัดเวทีปราศรัยหาเสียง ณ สนามฟุตบอลมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ต.บ้านดู่ อ.เมือง เมื่อ 18 มิ.ย.54 โดยแกนนำของพรรคหลายคนไปร่วมปราศรัย เช่น นายโสภณ ซารัมย์ รมว.กระทรวงคมนาคม นายมงคล หรือ มณฑล สุทธาธนโชติ หรือ จงสุทธนามณี อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เชียงราย 7 สมัย แกนนำของพรรคในเชียงราย
       
       รวมทั้งมีผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคเข้าร่วมหลายคน เช่น นายวันชัย จงสุทธนามณี น้องชายของนายมณฑล ซึ่งเป็นผู้สมัครเขต 1, น.ส.ชัญญา จงสุทธนามณี ลูกสาวของ นายมณฑล ซึ่งเป็นผู้สมัครเขต 2 รวมทั้ง นางรัตนา จงสุทธนามณี นายก อบจ.เชียงราย ภรรยาของนายวันชัย ขณะที่มีประชาชนไปรับฟังการปราศรัยประมาณ 5,000 คน ส่วนใหญ่มาจากพื้นที่เขต 1 และเขต 2
       
       นายโสภณ กล่าวหาเสียงตามนโยบายต่างๆ ของพรรคภูมิใจไทย เช่น ประกันราคาข้าวหอมมะลิ 20,000 บาท เพิ่มเบี้ยเลี้ยงผู้สูงอายุจากเดือนละ 600 บาท เป็น 1,000 บาท ฯลฯ รวมทั้งระบุว่า ก่อนยุบสภา รัฐบาลเคยมีงบประมาณมาพัฒนาเชียงรายกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งถือว่ามากรองจาก บุรีรัมย์ ขณะที่นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรคนั้น รัฐบาลที่ผ่านมาก็ปรับเป็นรักษาพยาบาลฟรีด้วย
       
       นายโสภณ กล่าวว่า นอกจากนี้ ยังได้จัดสรรงบประมาณ 400 ล้านบาท เพื่อออกแบบเส้นทางรถไฟจาก อ.เด่นชัย จ.แพร่-จ.เชียงราย ดังนั้น หากเลือกพรรคภูมิใจไทย ก็จะได้มีโอกาสกลับไปพัฒนาโครงการรถไฟสายนี้ให้สำเร็จ
       
       ด้าน นายวันชัย กล่าวว่า ตนเคยเป็นนายกเทศมนตรีเมืองเชียงราย ได้ผลักดันให้กลายเป็นเทศบาลนครเชียงราย ดังนั้นหากให้โอกาสตนได้เป็น ส.ส.ก็จะได้กลับไปช่วยพัฒนาเชียงรายต่อไป
       
       ขณะที่ นางรัตนา กล่าวว่า ขอให้พรรคภูมิใจไทยได้ทำงานเพื่อชาวเชียงราย โดยเฉพาะหากต้องการรถไฟ ซึ่งจะช่วยให้การขนส่งสินค้าด้วยต้นทุนต่ำ

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000074701
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #318 เมื่อ: วันที่ 24 มิถุนายน 2011, 07:46:17 »

โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน 2011 เวลา 10:31 น.

สิ่งที่นกแอร์ทำได้คือพยายามรักษาสิ่งที่ดีอยู่แล้ว และเดินหน้าตามแผนระยะยาวที่ท่ามกลางแผนการจัดตั้งแบรนด์ใหม่อย่าง "ไทยวิงส์" เพื่อมาเป็นSub-Brand ของการบินไทย จะส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของสายการบินลูก อย่างนกแอร์ หรือไม่ และการดำเนินธุรกิจของนกแอร์จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ และกว่า 7 ปีของนกแอร์ กับการถูกมองว่าเป็นลูกนอกคอก ต้องฝ่าฟันการทำงานมาได้อย่างไร อ่านได้จากสัมภาษณ์ นายพาที สารสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สายการบินนกแอร์ฯ

++ยันไม่หวั่นไหวไทยวิงส์

การดำเนินธุรกิจแอร์ไลน์ไม่ใช่ของง่าย มี Price War หรือสงครามราคา ซึ่งพรีเมียมแอร์ไลน์ก็ฟาดฟันกับโลว์คอสต์มั่วไปหมด อย่างสิงคโปร์ก็จะเปิดตัวโลว์คอสต์แอร์ไลน์ที่บินระยะไกล ไม่รู้ว่าการบินไทยจะว่าอย่างไร แต่การบินไทยก็น่าพิจารณา ส่วนเรายังถือเป็นธุรกิจที่ยังใหม่ ควรจะทำก่อนที่คนอื่นจะมาทำให้เรา เช่น แอร์เอเชียเอ็กซ์ ขณะนี้ยังไม่มาโอเปอเรตในไทย แต่หากวันหนึ่งที่เข้ามา ธุรกิจมันมีตลาดอยู่แล้ว ขณะที่สายการบินเจ็ตสตาร์เปิดเส้นทางบิน เมลเบิร์น-ภูเก็ต แล้ว


สำหรับแอร์เอเชียเอ็กซ์ จะมาหรือไม่ ไม่รู้ แต่ถ้าผมเป็นการบินไทย ผมคิดในเชิงธุรกิจ ผมจะพิจารณาโลว์คอสต์ก่อนรีจินัล ผมคิดถึงมันตอนนี้เลย เนื่องจากสิงคโปร์ ออสเตรเลีย มาเลเซีย ทำสายการบินโลว์คอสต์แล้ว แล้วเราล่ะ แต่ตอนนี้การบินไทยยังไม่มีไอเดีย เดี๋ยวหลังเลือกตั้งก็เปลี่ยนอีก หากเปลี่ยนพรรค เช่นเพื่อไทยเข้ามาคุมคมนาคม ดีดีการบินไทยก็โดนอีก นี่ก็เป็นการเมืองแล้ว วุ่นวายมาก การบินไทยผมไม่ทำงานให้เด็ดขาด ดีดีการบินไทยก็ขอให้นกแอร์บินเส้นทางระหว่างประเทศ แต่เราบินไม่ไหว เนื่องจากเคยบินมาแล้ว ได้เรียนรู้ว่ายังบินไม่ได้ตอนนี้ เพราะต้องการเรียนรู้ทุกอย่างให้สมบูรณ์และมีเส้นทางบินครอบคลุมไทยให้มากที่สุด โดยต้องการให้บริการคนไทยให้เต็มที่ก่อน ดังนั้น ดีดีจึงมีกลยุทธ์จัดตั้งสายการบินไทยไทเกอร์ และไทยวิงส์ ออกมา
ที่ผ่านมานกแอร์ก็เจอปัญหาหลายหน ทั้งเรื่องที่การบินไทยบอกว่านกแอร์ไม่สามารถดำเนินการตามที่การบินไทยสั่งได้ ซึ่งเวลาทำธุรกิจพอมีข่าวแล้วตื่นตูมก็ไม่ใช่ ดังนั้นสิ่งที่นกแอร์วางแผนว่าจะทำอะไร นั่นคือสิ่งที่สามารถทำได้ ถ้าเปลี่ยนไปมาจะเหนื่อยมาก ในที่สุดก็จะสะเปะสะปะ เพราะฉะนั้น สิ่งที่นกแอร์ทำได้คือพยายามรักษาสิ่งที่ดีอยู่แล้ว และเดินหน้าตามแผนระยะยาวที่มีอยู่ ถ้าเกิดมีคู่แข่งก็ต้องปรับตัว รวมถึงต้องมีความยืดหยุ่นในการที่จะโอเปอเรต และหากการบินไทยมีสายการบินใหม่เกิดขึ้นจริง นกแอร์ไม่หวั่นไหว เพราะยังมีตำแหน่งเป็นแบรนด์สำหรับคนไทยที่ยังคงคอนเซ็ปต์คุ้มค่าเงินหรือแวลูฟอร์มันนี่อยู่เช่นเดิม เพราะขณะนี้ประชาชนก็ยอมรับนกแอร์ในสิ่งที่ทำแล้ว เพราะสิ่งที่ทำมาทั้งหมดมันดีอยู่แล้วและก็พยายามที่จะรักษาคุณภาพให้ดีที่สุดเช่นเดิม

++เดินหน้าเปิดรูตบินทั่วไทย

นกแอร์ให้บริการคนไทยมากว่า 7 ปีแล้ว และต้องการมุ่งให้บริการคนไทยอย่างเต็มที่ ปัจจุบันมีเส้นทางบิน 18 เส้นทาง รวมเส้นทางที่นกมินิบินอยู่ด้วย โดยนกแอร์ยังมุ่งดำเนินงานตามแผนที่มีอยู่ คือการเปิดบินในเส้นทางใหม่ๆ ตามแผน อย่าง เชียงราย และกระบี่ ภายในสิ้นปีนี้ และจะเดินตามแผนเดิมที่วางไว้ ซึ่งที่ผ่านมาได้รับผลตอบรับจากเส้นทางใหม่ดีมาก เช่น เส้นทางสกลนคร ร้อยเอ็ด น่าน แม่สอด ทุกที่ที่เข้าไปมีผลตอบรับดี โดยเฉพาะภาคอีสานที่ทำกำไรมาก แต่นกแอร์ก็ยังถามตัวเองอยู่เสมอว่าจะอยู่รอดหรือไม่ ซึ่งบางครั้งก็ต้องยอมขาดทุนบ้างในบางเส้นทาง เพื่อให้ชนะใจประชาชนให้ได้ ไม่ใช่ว่าเมื่อขาดทุนก็ต้องปิดเส้นทางบินนั้น
ทั้งล่าสุดนกแอร์ได้เปิดเส้นทางบินสู่นราธิวาส เพราะมองเห็นว่ามีศักยภาพ รวมถึงนราธิวาสอยู่ไกลสุดในไทยและเป็นหัวเมืองใหญ่ ทั้งนกแอร์ยังบินครอบคลุมภาคใต้เกือบหมดแล้ว ถึงเวลาที่นกแอร์จะต้องบินเข้านราธิวาส ซึ่งก็รอไลเซนส์เป็นเวลาหลายเดือนแล้ว ทั้งนี้นกแอร์จะเป็นทางเลือกที่สองให้แก่ผู้โดยสารนราธิวาส จากเดิมมีสายการบินไทยแอร์เอเชียที่บินอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งจะเป็นการสร้าง Perpect Competition Scenario หรือการแข่งขันที่สมบูรณ์ ทำให้ราคาลดลงทั้งนกแอร์และไทยแอร์เอเชีย ส่งผลให้ผู้บริโภคได้ประโยชน์


โดยเป้าหมายหลักคือการเปิดจุดบินให้ครอบคลุมทั่วไทย โดยจะสนใจศักยภาพของเมืองเป็นหลักอย่างนราธิวาส ก็เป็นเมืองที่เชื่อมต่อกับมาเลเซีย โดยนักท่องเที่ยวของมาเลเซียก็เข้ามาได้ เป็นการช่วยส่งเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว การลงทุน และเศรษฐกิจด้วย โดยที่กลุ่มเป้าหมายของเส้นทางนี้คือข้าราชการ นักธุรกิจ และนักท่องเที่ยวของมาเลเซีย
อย่างไรก็ดี การเปิดบินเส้นทางใหม่ไม่ได้มีการเพิ่มทุนใดๆ เพราะมีเครื่องบินพร้อมอยู่แล้ว เพียงแต่ต้องเพิ่มพนักงานในนราธิวาส ทั้งในเชิงของต้นทุนก็ไม่เพิ่มเพราะต้องการขยายให้มากที่สุด ทั้งตามหลักของการบินจะใช้ประโยชน์ของเครื่องบินให้มากที่สุด เพื่อลดต้นทุนคงที่ให้ได้ โดยเส้นทางนราธิวาสมีราคาเฉลี่ยราว 1,700-1,800 บาท
ส่วนการทำตลาดของสายการบิน นกแอร์จะร่วมกับพันธมิตรหลายแห่งในการโปรโมตตลาดร่วมกัน เช่น ธนาคาร โรงภาพยนตร์ ควิกซิลเวอร์ ภูเก็ต เชียงใหม่ไนท์ซาฟารี รวมถึงฟุตบอลทีม ที่เชียงใหม่ พิจิตร ตลอดจนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. ในภูมิภาคด้วย


++จัดทัพฝูงบินรับขยายเน็ตเวิร์ก


จากแผนการขยายเส้นทางบินใหม่ๆเพิ่มขึ้น บอร์ดนกแอร์ได้อนุมัติแผนเปลี่ยนแบบเครื่องบินรุ่น 737-400 มาเป็นเครื่องบินรุ่น 737-800 จำนวน 7 ลำ โดยจะเป็นการเช่ากับบริษัทให้เช่าหลายบริษัท โดยลำแรกจะได้รับมอบในเดือนพฤศจิกายนนี้ การเปลี่ยนเครื่องบินจะทำให้มีกำไรที่ดีขึ้น เนื่องจากจะประหยัดน้ำมันได้ 20% และมีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจากราว 150 ที่นั่งต่อเที่ยวบิน เป็น 190 ที่นั่งต่อเที่ยวบิน รวมถึงราคาเฉลี่ยของต้นทุนอื่นๆ จะต่ำลง และการเปลี่ยนเครื่องบินใหม่ก็ทำให้สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องบินได้มากขึ้น โดยใช้ได้เต็มอัตรา 11 ชั่วโมงต่อวัน ส่งผลให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีแผนเปิดบินในเส้นทางเชียงราย และกระบี่ในช่วงสิ้นปีนี้ หลังจากทยอยรับมอบเครื่องบินแล้ว

รวมถึงขณะนี้ยังรอรับมอบเครื่องบินรุ่น ATR ขนาด 66 ที่นั่ง 4 ลำ ที่จะเข้ามาในปีนี้ ซึ่งได้ทำการเช่ากับบริษัทให้เช่าหลายบริษัทและขณะนี้อยู่ระหว่างการต่อรองราคา หากทยอยรับมอบแล้ว นกแอร์จะใช้เครื่องบิน ATR เพื่อเพิ่มความถี่เข้าเมืองเล็กที่นกมินิบินอยู่ รวมถึงเปิดเส้นทางบินใหม่ไปที่แพร่ และให้นกมินิมีฐานการบินอยู่ที่เชียงใหม่ เป็นคอนเนกติ้ง พอยต์ให้นกแอร์ โดยนกมินิจะบินออกจากเชียงใหม่อย่างเดียว ซึ่งเมื่อเครื่องบินรุ่น ATR เข้ามาแล้ว ส่งผลให้นกแอร์มีฝูงทั้งสิ้น 16 ลำ ซึ่งถือว่าเพียงพอแล้วสำหรับการบินในประเทศ


++ตั้งเป้ารายได้5.9 พันล้าน
ส่วนปัจจัยการดำเนินธุรกิจในปีนี้ต้องคำนึงถึงคือราคาน้ำมัน ซึ่งราคาน้ำมันในปี 2553 ถือเป็นอานิสงส์มาก เพราะราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่ที่ 60-70 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล คือมีราคาที่ถูก แต่ปัจจุบันนี้ราคาน้ำมันเฉลี่ยกลับมาที่ 90-100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาร์เรล ซึ่งมีผลกับกำไรของนกแอร์อย่างมหาศาล โดยปีที่ผ่านมานกแอร์มีกำไร 634 ล้านบาท แต่ปีนี้คาดว่าจะลดลงมาราว 1 ใน 3 จากราคาน้ำมันที่ขึ้นมาขนาดนี้ ตั้งเป้ามีกำไรในปีนี้อยู่ที่ราว 190-200 ล้านบาท ตั้งเป้ามีอัตราการบรรทุกเฉลี่ย (Load Factor) 82-83% ขณะที่รายได้ของนกแอร์ในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ราว 3,900 ล้านบาท แต่ปีนี้คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มเป็น 5,900 ล้านบาท
ทั้งนี้ ต้นทุนของน้ำมันอยู่ที่ราว 40% ของธุรกิจการบิน และนกแอร์ก็ไม่ได้มีการทำเฮดจิ้งน้ำมัน เนื่องจากไม่มีเงินเพียงพอ ดังนั้น ที่ผ่านมาสิ่งที่นกแอร์ทำคือการเพิ่มราคาบัตรโดยสารอีกราว 100-150 บาท เพื่อให้สามารถครอบคลุมราคาน้ำมันได้ รวมถึงในอนาคตจะทำการศึกษากับบริษัทเชลล์ ในประเทศไทยฯ เพื่อจะซื้อน้ำมันล่วงหน้าราว 30% ในระยะสั้นราว 1 เดือนเท่านั้น โดยส่วนที่เหลือก็ยังซื้อผ่านการบินไทยเช่นเดิม
++ไม่มีสิทธิประโยชน์ให้ใคร
สำหรับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ ผมไม่ห่วงการเลือกตั้ง ชินแล้ว หลังเลือกตั้งก็อาจจะมีม็อบใหม่ แต่ไม่คิดว่าจะมีการปิดสนามบินและเผาตึกอีก คือทั้งสองอันเป็นบทเรียนกับสองฝ่าย เป็นความผิดพลาด และจะไม่เกิดขึ้นอีก อย่างไรก็ดี การปิดมัฆวานมันผ่านไปแล้ว น่าเบื่อ คนไม่สนใจ ทั้งนี้ หากการเมืองยืดเยื้อจะกระทบธุรกิจท่องเที่ยว แต่ก็ไม่เกี่ยวกับนกแอร์เท่าไหร่ เพราะเราบินในประเทศ การเมืองเราเฉยๆ ไม่ค่อยแคร์ เขาเผาตึกแต่นกแอร์กำไรเละ เพราะคนไทยกลัวกรุงเทพฯ จึงหนีไม่อยู่ที่อื่น นับว่าไม่กระทบธุรกิจ แต่สำหรับต่างชาติกระทบแน่นอน ซึ่งผมก็คิดว่าการเมืองยังไม่จบ แต่ไม่สามารถคาดการณ์ได้
รวมถึงช่วงนี้เป็นเลือกตั้ง อาจจะมีนักการเมืองที่ต้องบินบ้างในการไปหาเสียง แต่ผมไม่ได้รับรายงาน ทั้งนกแอร์ไม่เคยให้สิทธิพิเศษแก่ใครอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองหรือข้าราชการระดับสูง อย่างที่ผ่านมาก็มาผู้ใหญ่ท่านหนึ่งโทรศัพท์มาถึงผมและบอกว่าขอที่นั่งบนเครื่อง 10 ที่นั่ง ให้ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้เขาและผู้ติดตามได้บินเที่ยวบินนี้ เพราะตอนนี้ที่นั่งเต็มหมดแล้ว ผมก็บอกว่าได้ แต่คุณไปพูดเองนะ ผมจะให้คุณประกาศเองบนเครื่องขอ 10 ที่นั่ง แต่ในที่สุดเขาก็ไม่ทำ สำหรับผมผู้โดยสารทุกคนสำคัญเท่ากันหมด ไม่มีใครได้สิทธิพิเศษกว่าใคร
ทั้งหมดล้วนเป็นการดำเนินธุรกิจที่จะเกิดขึ้นภายใต้วิชันของซีอีโอนกแอร์

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,646 23-25 มิถุนายน พ.ศ. 2554
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #319 เมื่อ: วันที่ 29 มิถุนายน 2011, 21:03:12 »

30 ปี‘ซีพีเอ็น’กับเส้นทางสู่...World Class Retail Property Development


 
เสียงเรียกร้องของสาวกนักช็อปฝั่งลาดพร้าวยังคงเซ็งแซ่ ยิ่งใกล้วันเปิดตัวมากเท่าไหร่ จำนวนผู้ตั้งตารอชมก็อุ่นหนาฝาคั่งมากขึ้นเท่านั้น
ด้วยกระแสเรียกร้องที่คับคั่ง ดังนั้น จึงคาดว่าการกลับมาของเซ็นทรัล ลาดพร้าวที่ปิดให้บริการตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาและจะเปิดให้บริการอีกครั้งในปลายเดือน สิงหาคมนี้ จะเป็นตัวหลักในการสร้างรายได้ให้กับซีพีเอ็น โดยปีนี้คาดการณ์การเติบโตที่ 10-15%
แม้จะปิดปรับปรุงเซ็นทรัล ลาด พร้าวไปแล้ว 5 เดือน แต่เป้าหมาย การเติบโตก็ยังเป็นอยู่เช่นนั้น เหตุจากในปีนี้ซีพีเอ็น มีการเปิดตัวเซ็นทรัลพลาซา เชียงรายเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พร้อมด้วยแผนการเปิด เซ็นทรัล พิษณุโลก ในวันที่ 20 ตุลาคม และการเปิดเซ็นทรัลพลาซา พระราม 9 ในเดือนธันวาคมนี้

ส่วนการปิดปรับปรุงห้างสรรพสินค้าเซน เซ็นทรัลเวิลด์ ซึ่งจะเปิดพฤศจิกายนนี้
โดยในปีหน้า จะมีการเปิดศูนย์ การค้าใหม่ คือ เซ็นทรัลพลาซา สุราษฎร์ธานี และเซ็นทรัล เฟสติวัล เชียงใหม่ และมีโครงการปรับโฉม เซ็นทรัลพลาซา อุดรธานีอีกด้วย
ในปี 2554-2555 ซีพีเอ็นมีงบประมาณการลงทุนในโครงการพัฒนา อสังหาริมทรัพย์และค้าปลีก 2 หมื่นล้านบาท โดยขณะที่นี้ยังมีงบประมาณเหลืออีก 1 หมื่นล้านบาท
นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ ซีพีเอ็น เปิดเผยว่า ในโอกาสครบรอบ 30 ปีของ ซีพีเอ็น กับเส้นทางของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และค้าปลีกระดับผู้นำของประเทศไทย ซีพีเอ็นยังคงเดินหน้าพัฒนาศูนย์การค้าเพื่อก้าวสู่เป้าหมายการเป็น World Class Retail Property Development ทั้งในประเทศไทยและระดับโลก
นอกจากนั้น ยังมีเป้าหมายผลักดัน ให้เซ็นทรัลทุกสาขา เป็นสถานที่จัดงานเคาต์ดาวน์ในแต่ละพื้นที่อีกด้วย
ส่วนแนวทางการออกแบบศูนย์ การค้าในปัจจุบัน นอกเหนือจากความสวยงามที่หลากสไตล์ตามพื้นที่ต่างๆแล้ว ยังคำนึงถึงด้านสิ่งแวดล้อม โดยสาขาที่เชียงราย มีการติดตั้งระบบประหยัดพลังงาน ซึ่งสามารถประหยัดไฟได้ถึง 1.4 ล้านหน่วยต่อปี หรือเปรียบเทียบเป็น การใช้กระแสไฟฟ้าโดยเฉลี่ย 200 ครัวเรือน รวมทั้งสามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ 800 ตันต่อปี
ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเชียงราย มีลักษณะการออกแบบที่นำเอกลักษณ์ท้องถิ่นมาประกอบ โดยเลือกใช้ดอกกาสะลอง (ดอกปีบ) มาใช้ และเน้นการปลูกต้นไม้รอบศูนย์ พร้อมเพิ่มพื้นที่ด้านหน้าให้กว้างขวาง เพื่อเป็นสถานที่พักผ่อนของลูกค้า
โดยแม็กเน็ตที่สำคัญของเซ็นทรัลเชียงราย คือ ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ซึ่งเป็นรูปแบบใหม่ล่าสุดในแนวโมเดิร์นคอนเทมโพรารี่ โดยมีพื้นที่ 12,000 ตารางเมตร ใช้งบลงทุน 475 ล้านบาท จากการเปิดให้บริการใน 2 เดือนแรก มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการแล้วประมาณ 100,000 คน โดยพบว่า เป็นสัดส่วนของ กลุ่มครอบครัวรุ่นใหม่เพิ่มขึ้น โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ 1,000 บาทต่อบิล
นายกอบชัย กล่าวว่า ซีพีเอ็นมีการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อรองรับการเติบโตใน 5-10 ปีข้างหน้า โดยพัฒนาระบบบริหารการจัดการภายในมา แล้ว 2 ปี และจะเพิ่มความเข้มข้นในส่วน ของการใช้เครื่องมือไอทีเข้ามาในการดำเนินงานมากขึ้น โดยจะเริ่มดำเนินการ ในปลายปีนี้
การนำระบบไอทีเข้ามาใช้ในการทำงาน จะช่วยลดขั้นตอนการปฏิบัติ งานได้เป็นอย่างดี หรือลดลง 50% เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้คนในการทำงาน
การเติบโตในอนาคตข้างหน้าที่ว่านี้ จะเป็นอัตราที่มากกว่าช่วงที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ซีพีเอ็นมีการเติบโตเฉลี่ย 13% ต่อปี และนับจากนี้ ก็จะมีการเติบโตมากกว่า 15%


โดยในปี 2554-2558 ซีพีเอ็น จะใช้งบประมาณในการลงทุนต่อเนื่องเฉลี่ยปีละ 1 หมื่นล้านบาท โดยจะมีศูนย์การค้าเกิดขึ้นใหม่อีกประมาณ 10 สาขา
แนวโน้มที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจ ค้าปลีกในปัจจุบัน คือ พฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีความใกล้ชิดกันมากขึ้น จากเทคโนโลยีของการสื่อสาร การแบ่งปันข้อมูลหรือตลาดแบบปาก ต่อปากมีอิทธิพลมากกว่าเก่า ส่วนธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน ก็หันมาพัฒนา รูปแบบการให้บริการที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาทิ ในส่วนของป้ายบอก ราคา ที่มีความชัดเจนมากกว่าในอดีต หรือมีการรับประกันคืนสินค้า ฯลฯ
ขณะที่รูปแบบของศูนย์การ ค้า ได้ถูกพัฒนาให้มีรูปแบบมากกว่าการเข้ามาเพื่อซื้อขายสินค้า แต่ยังมีส่วนของบริการและบันเทิง เข้าเสริมมากขึ้น


http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413353966
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
หน้า: 1 ... 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 [16] 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26 ... 37 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!