เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 22:50:41
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 [15] 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 ... 37 พิมพ์
ผู้เขียน Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย  (อ่าน 439969 ครั้ง)
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #280 เมื่อ: วันที่ 10 พฤษภาคม 2011, 20:29:08 »

เชียงราย - พ่อเมืองเชียงราย นำทีมเปิดเวทีเสวนาร่วมตัวแทนหน่วยงานรัฐ-ภาค ปชช.เชียงแสน ระดมปราชญ์ท้องถิ่นร่วมเสนอปัญหา-ทางออก ก่อนกำหนดเป็นยุทธศาสตร์จังหวัดฯ ชงฟื้น “เวียงหนองหล่ม” เป็นแก้มลิงใหญ่เชียงราย พร้อมแหล่งท่องเที่ยววัฒนธรรม
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เป็นประธานในการจัดเวทีเสวนาแก้ไขปัญหาและความต้องการให้แก่ประชาชน ที่วัดพระธาตุผาเงา ต.เวียง อ.เชียงแสน โดยมีนายเสริมศักดิ์ สีสันต์ นายอำเภอเชียงแสน นำหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและภาคประชาชนในพื้นที่เข้าร่วม และเปิดให้แต่ละฝ่ายได้แสดงความเห็นเพื่อแจ้งถึงสภาพปัญหาเพื่อพัฒนาเป็นยุทธศาสตร์ของอำเภอในภาพรวม
       
       นายสมชัยกล่าวว่า ปัญหาการกำหนดยุทธศาสตร์ที่ผ่านมา คือ การไม่ได้มาจากเวทีเสวนาท้องถิ่น แต่เขียนโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพียงไม่กี่คน ดังนั้น ตนจึงได้จัดเวทีลักษณะนี้ขึ้นทุกพื้นที่เพื่อสะท้อนปัญหาและนำข้อเสนอมาจัดทำเป็นยุทธศาสตร์ เพื่อพัฒนาไปเป็นแผนงานและโครงการต่างๆ ต่อไป
       
       สำหรับพื้นที่เชียงแสนมีประวัติศาสตร์ยาวนาน ซึ่งไม่ได้มีเพียงเรื่องเล่า แต่ยังปรากฏเป็นโบราณสถานและสถานที่สำคัญๆ โดยเฉพาะทะเลสาบเชียงแสน ที่สามารถเชื่อมไปยัง “เวียงหนองหล่ม” ต.โยนก อ.เชียงแสน และ อ.แม่จัน สามารถนำมาใช้ประโยชน์สำหรับคนรุ่นหลังได้อย่างมหาศาล
       
       นายสมชัยกล่าวอีกว่า พื้นที่เหล่านี้เดิมมีเนื้อที่กว่า 20,000 ไร่ แต่ปัจจุบันขาดหายไปบ้าง แต่หากพัฒนาและเชื่อมต่อถึงกัน รวมทั้งกำหนดขอบเขตชัดเจนจะกลายเป็นแก้มลิงขนาดใหญ่ สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในฤดูฝนและภัยแล้งในฤดูแล้งได้เป็นอย่างดี รวมทั้งยังสามารถพัฒนาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวได้ด้วย
       
       ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดในยุคของตนจะมุ่งไปที่การบริหารจัดการน้ำ เพราะปัญหาที่ผ่านมาคือเราปล่อยให้น้ำท่วมและไหลลงสู่แม่น้ำโขงไปหมด
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ในการจัดเวทีเสวนามีผู้นำชุมชนและปราชญ์ท้องถิ่นหลายคนแสดงความเห็นเกี่ยวกับสภาพปัญหาและการพัฒนาต่างๆ มากมาย โดยเรื่องการบริหารจัดการน้ำพบปัญหาเดียวกันคือแหล่งน้ำไม่มีการขุดลอกและไม่มีแหล่งกักเก็บ จึงทำให้น้ำไหลลงสู่แม่น้ำโขง โดยที่ ต.บ้านแซว ซึ่งเป็นแม่น้ำกกไหลลงสู่แม่น้ำโขง แม่น้ำคำ ฯลฯ บางท้องถิ่นมีการผันน้ำจากเวียงหนองหล่มไปใช้ประโยชน์ด้วย
       
       อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมทั้งหมดระบุว่าขาดแคลนงบประมาณในการก่อสร้างและขุดลอก โดยบางท้องถิ่นระบุต้องใช้เม็ดเงินสูงกว่า 60-70 ล้านบาท จึงมีการบันทึกข้อมูลไว้เพื่อการพิจารณาในอนาคต
       
       ด้าน พระพุทธิญาณมุนี เจ้าคณะ อ.เชียงแสน กล่าวว่า เชียงแสนมีแหล่งน้ำที่ไหลผ่านโบราณสถานเชียงแสน ในเขตเทศบาล ต.เวียงเชียงแสน ซึ่งปัจจุบันมีกำแพงล้อมรอบ การบริหารจัดการน้ำสามารถทำได้หลายอย่าง กรณีของเมืองโบราณ สามารถผันน้ำจากแม่น้ำคำ ที่อยู่ใกล้กัน ให้ไหลลัดเลาะไปใช้ประโยชน์ก่อนไหลลงสู่แม่น้ำโขงได้ และบางส่วนทดให้ไหลลัดคูเมืองใต้กำแพงเมืองรอบนอก เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมได้ด้วย


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000057146
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #281 เมื่อ: วันที่ 10 พฤษภาคม 2011, 20:29:43 »

เชียงราย - มวลชนต่อต้านแผนขนถ่านหินอิตัลไทย ผ่านชายแดน “ม้งเก้าหลัง-แม่ฟ้าหลวง” ยังไม่วางใจ แม้เอกชนเจ้าของสัมปทานเหมืองในพม่าประกาศยกเลิกแล้ว แต่ยังหาทางเจรจารัฐบาลพม่านำเข้าช่องทางอื่นต่อ ยื่นข้อเสนอสร้างถนน-รถไฟ รองรับเองหากยังผ่านเชียงราย

หลังบริษัท สระบุรีถ่านหิน จำกัด ในเครืออิตัลไทย ได้แจ้งยกเลิกการขอนำเข้าถ่านหินจากเหมืองเมืองก๊ก ประเทศพม่า เข้ามาทางชายแดนไทย-พม่า พื้นที่หมู่บ้านม้งเก้าหลัง หมู่ 9 ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง เพราะมวลชนในพื้นที่ต่อต้านอย่างหนักและล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติไม่อนุญาตให้สร้างถนนตัดผ่านเขตป่าสงวนแห่งชาติบริเวณดังกล่าวด้วยนั้น ทำให้กระแสต่อต้านในพื้นที่ อ.แม่ฟ้าหลวง อ.แม่จัน ต่อกรณีดังกล่าวลดลง แต่ทุกฝ่ายก็ยังคงเฝ้าติดตามสถานการณ์ เนื่องจากรอการประกาศจากหน่วยงานราชการอย่างเป็นทางการ และติดตามความเคลื่อนไหวของบริษัท เนื่องจากยังคงได้รับสัมปทานจากรัฐบาลพม่าให้ขุดถ่านหินคุณภาพดีชนิดซับบิทูมินัสบี (Sub-bituminous) ซึ่งให้ความร้อนสูงกว่าชนิดอื่นๆ มูลค่า 270,000 ล้านบาท เป็นระยะเวลา 30 ปีอยู่เช่นเดิม

นายวุฒิพงศ์ สวรรณโชติ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง ซึ่งเป็นแกนนำมวลชนที่ออกมาต่อต้าน เปิดเผยว่า พวกเราได้รับทราบข่าวว่าน่าจะมีการยกเลิกการนำเข้าถ่านหินผ่านหมู่บ้านม้งเก้าหลัง ตั้งแต่มีมติ ครม.ไม่ให้สร้างถนนผ่านเขตป่าสงวนแห่งชาติ แต่ยังไม่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการจากในพื้นที่ กระทั่งได้รับแจ้งเรื่องบริษัทยกเลิกการนำเข้าในครั้งนี้ ซึ่งก็ดีใจมากที่ได้รับทราบข่าวนี้ เพราะหากมีการนำเข้าก็จะส่งผลกระทบต่อพื้นที่อย่างหนัก โดยเฉพาะมีการขนส่งผ่านถนนคับแคบตามภูเขาสูงของดอยหัวแม่คำและดอยแม่สลอง ซึ่งจะกระทบต่อการท่องเที่ยว วิถีชีวิต ป่าไม้ ถนน ฯลฯ ตามที่ได้เรียกร้องและนำเสนอกันมาตั้งแต่ต้นแล้วนั่นเอง

นายวุฒิพงศ์ กล่าวอีกว่าอย่างไรก็ตามแม้ว่าจะมีการยกเลิกการนำเข้าผ่านหมู่บ้านม้งเก้าหลัง แต่ก็ยังมีความพยายามจะนำเข้ายังจุดอื่นๆ อยู่ ดังนั้น กรณีจะมีการนำเข้าผ่านเข้ามาทาง จ.เชียงราย ทางเครือข่ายมวลชนก็ได้นำเสนอข้อเสนอแนะให้บริษัทได้พิจารณาแล้ว 2 ข้อใหญ่ คือ 1.ให้มีการก่อสร้างถนนสายใหม่เพื่อการขนส่งถ่านหินโดยเฉพาะ เลี่ยงถนนสายเดิม ชุมชน ป่าไม้ ฯลฯ และ 2.ให้มีการสร้างเส้นทางรถไฟเพื่อขนส่งไปยังภาคกลางเป็นการเฉพาะ

นายวุฒิพงษ์ กล่าวด้วยว่า อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่า ในทางปฏิบัติจะเป็นไปได้หรือไม่ เพราะในทางความเป็นจริงข้อเสนอ อาจทำให้ต้องใช้งบประมาณอย่างมหาศาล แต่เมื่อดูจากมูลค่าถ่านหินในเหมืองเมืองก๊กที่มีกว่า 270,000 ล้านบาทและสัญญายาวนานกว่า 30 ปีก็อาจจะสามารถนำไปพิจารณาได้เช่นกัน

สำหรับบริษัท สระบุรีถ่านหิน จำกัด ได้สัมปทานขุดเหมืองถ่านหินลิกไนต์ในประเทศพม่าตั้งแต่ปี 2551 เป็นเวลายาวนานกว่า 30 ปี มีแผนจะนำเข้าถ่านหินลิกไนต์เข้ามาวันละกว่า 2,000-5,000 ตันหรือปีละ 1.5 ล้านตัน เนื่องจากมีปริมาณถ่านหินลิกไนต์ในเหมือง มีกว่า 110 ล้านตัน แต่เนื่องจากต้องขนผ่านชายแดน ป่าสงวนแห่งชาติ ชุมชน มีลานเก็บเพื่อขนส่งต่อ ฯลฯ

ล่าสุด บริษัทระบุจะมีการหารือกับรัฐบาลพม่าเพื่อขอนำเข้าผ่านทางสะพานข้ามลำน้ำสายแห่งที่ 2 พื้นที่ อ.แม่สาย ซึ่งต้องขนจากเมืองก๊ก-จ.ท่าขี้เหล็ก ไปยังสะพานระยะทางร่วม 80-90 กิโลเมตร หรืออาจจะขอขนส่งไปยังท่าเรือแม่น้ำโขงที่บ้านโป่ง จ.ท่าขี้เหล็ก เพื่อขนถ่านหินไปขายให้แก่ประเทศจีน

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9540000057295
__________________
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #282 เมื่อ: วันที่ 10 พฤษภาคม 2011, 22:37:52 »

จังหวัดเชียงราย โดยสำนักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย เดินหน้ายุทธศาสตร์เชียงรายเมืองศิลปกรรม ทยอยเปิดบ้านศิลปิน หวังเพิ่มจุดขายการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Activities) ทยอย “เปิดบ้านศิลปินเชียงราย ๑๓ ราย” เพื่อเชิดชูศิลปินเชียงรายที่สร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัด- ล่าสุดเปิดบ้านศิลปิน “อภิรักษ์ ปันมูลศิลป์” เป็นหลังสุดท้าย เสริมสร้างศักยภาพเครือข่ายทุนทางวัฒนธรรมด้านศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยในพื้นที่ ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ทางเศรษฐกิจจากการท่องเที่ยวด้านศิลปวัฒนธรรมร่วมสมัยในพื้นที่จังหวัดเชียงราย

นายสุรชัย  ลิ้นทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า กิจกรรมเปิดบ้านศิลปินเชียงราย เป็นกิจกรรมภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพเครือข่ายศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม และทุนทางสังคมของท้องถิ่นเชียงราย ของวัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย ที่ได้ตระหนักถึงความโดดเด่นและมีเอกลักษณ์ทางด้านวัฒนธรรมของจังหวัดเชียงราย ที่มีศิลปินทั้งในระดับนานาชาติ ระดับชาติ และระดับท้องถิ่นมากมายร่วม ๒๐๐ คน  โดยเฉพาะศิลปินร่วมสมัย ยังคงสร้างสรรค์ผลงานและสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดเชียงรายอย่างต่อเนื่อง ทั้งงานจิตรกรรม ประติมากรรม สถาปัตยกรรม งานประยุกต์ศิลป์ เหล่านี้ล้วนเป็นทุนวัฒนธรรม และเป็นทรัพยากรบุคคลที่สำคัญ อันจะพัฒนานำไปสู่แนวทางเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์ สร้างรายได้ทางด้านท่องเที่ยวหมุนเวียนภายในจังหวัดอีกด้วย

โดยได้กำหนดจัดกิจกรรมเปิดบ้านศิลปินเชียงรายขึ้น โดยทำการคัดเลือกบ้านศิลปินที่มีความพร้อม และผ่านเกณฑ์ตามที่คณะกรรมการกำหนด รวมถึงความพร้อมที่จะเปิดบ้านของศิลปินเจ้าของบ้านด้วย จำนวน ๑๓ หลัง ต่อยอดและขยายผลจากการที่กระทรวงวัฒนธรรมได้มาเปิดบ้านศิลปินแห่งชาติ ดร.ถวัลย์ ดัชนี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา สำหรับกิจกรรมเปิดบ้านศิลปินเชียงรายจะจัดระหว่างระหว่างวันที่ ๘ เมษายน –  ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๔ และจะเปิดบ้านศิลปินอภิรักษ์  ปันมูลศิลป์ ในวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ณ บ้านเลขที่ ๗๙ หมู่ ๑๐ บ้านใหม่พัฒนา เทศบาลตำบลป่าซาง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย

ศิลปินอภิรักษ์  ปันมูลศิลป์ ซึ่งเป็นศิลปินสาขาทัศนศิลป์ – จิตรกรรม ในรูปแบบ Impressionist ผลงานภาพส่วนใหญ่จะเป็นธรรมชาติรอบๆ ตัวที่ดูแล้วรู้สึกสดชื่น

นายสุรชัย กล่าวต่อไปว่า “ในขณะนี้ต้องถือได้ว่ากิจกรรมเปิดบ้านศิลปินนี้ เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเป็นที่เดียวในประเทศไทย นับว่าเป็นกิจกรรมที่สร้างสรรค์  สมควรที่จะได้รับการสนับสนุนจากชาวจังหวัดเชียงราย เนื่องจากจะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวด้านศิลปกรรมและแหล่งศิลปกรรมให้แก่จังหวัดเชียงราย และเพื่อเพิ่มมูลค่าด้านการท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม ประการสำคัญยังเป็นแหล่งเรียนรู้ทางด้านศิลปกรรมเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้แก่เยาวชน และศิลปินรุ่นหลังต่อไปอีกด้วย”

สำหรับความเป็นมาของกิจกรรม “เปิดบ้านศิลปินเชียงราย” นายนที เมืองมา วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย กล่าวว่าเป็นการต่อยอดและขายผลจาก โครงการเปิดบ้านศิลปินแห่งชาติของกระทรวงวัฒนธรรม ซึ่งล่าสุดได้มาเปิดบ้านศิลปินแห่งชาติที่จังหวัดเชียงราย เป็นหลังที่ ๑๑ คือ บ้านดำนางแล บ้านศิลปินแห่งชาติ ดร. ถวัลย์  ดัชนี ซึ่งเปิดไปเมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ที่ผ่านมา เป็นโครงการที่ให้ความสำคัญกับคุณค่าของศิลปิน ผู้สร้างสรรค์  ภูมิปัญญา และเป็นแหล่งสะสมองค์ความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรม รวมถึงเป็นการส่งเสริมให้คนในชุมชนท้องถิ่น ได้สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

ทั้งนี้ศิลปินที่เข้าร่วมกิจกรรม “เปิดบ้านศิลปิน” จำนวน ๑๓ คน ประกอบไปด้วย

            ๑)  ดร.ถวัลย์  ดัชนี    ศิลปินแห่งชาติ

            ๒)  อ.เฉลิมชัย  โฆษิตพิพัฒน์    ศิลปินศิลปาธร

            ๓)  อ.ฉลอง  พินิจสุวรรณ

            ๔)  นายชัยวิชิต  สิทธิวงค์

            ๕)  นายทรงเดช  ทิพย์ทอง

            ๖)  นายธีรยุทธ  นางอรพิน  สืบทิม

            ๗)  นายนริศ  รัตนวิมล

            ๘)  นางสาวนิตยา  ตามวงค์

            ๙)  นายพรมมา  อินยาศรี

            ๑๐) นายพานทอง  แสนจันทร์

            ๑๑) นายสมพล  ยารังษี

            ๑๒) นายสมลักษณ์  ปันติบุญ

            ๑๓) นายอภิรักษ์  ปันมูลศิลป์

 

โดยทางจังหวัดเชียงราย ได้สนับสนุนด้านการประชาสัมพันธ์ ได้แก่ ๑.) การจัดทำป้ายบอกทาง และป้ายหน้าบ้านศิลปิน บ้านละ ๓ ป้ายต่อ ๑ หลัง ๒.) การจัดทำแผนที่เพื่อการท่องเที่ยวบ้านศิลปิน จำนวน ๑๐,๐๐๐ ฉบับ และ ๓.) การจัดทำเอกสารองค์ความรู้บ้านศิลปินที่เข้าร่วมโครงการ ๑,๕๐๐ เล่ม ทั้งนี้เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์บ้านศิลปินเชียงราย ในการเป็นแหล่งเรียนรู้และแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรม” นายนทีกล่าวในที่สุด

*****************************************

 
แหล่งข่าว : คุณวราภรณ์ แก้วชัยยา (ฝ่ายประสานงานพิธิเปิดบ้านฯ
นำเสนอโดย : เชียงรายโฟกัสดอทคอ
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #283 เมื่อ: วันที่ 11 พฤษภาคม 2011, 13:19:36 »

IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #284 เมื่อ: วันที่ 11 พฤษภาคม 2011, 18:17:18 »

เตรียมระดม 79 ของดีชนเผ่าทั่วเชียงรายโชว์กลางเดือนนี้/หนุนท่องเที่ยว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   11 พฤษภาคม 2554 13:29 น.


       เชียงราย - เมืองพ่อขุนฯระดม 79 ของดีชนเผ่าจาก 18 อำเภอทั่วจังหวัด ออกร้านโชว์กลางเดือนนี้ ส่งเสริมท่องเที่ยวเชียงราย
       
       นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย, นายสุเทพ ทิพรัตน์ เกษตรจังหวัดเชียงราย ได้ร่วมแถลงข่าวการจัดงาน "วันเกษตรปลอดภัยและอาหารชนเผ่า" ซึ่งมีกำหนดจัดขึ้น ณ สนาม รด.เชิงสะพานแม่ฟ้าหลวง อ.เมือง จ.เชียงราย ระหว่างวันที่ 20-26 พ.ค.นี้ โดยในการแถลงมีการจัดแสดงของชนเผ่าต่างๆ อันสวยงาม และอาหารชนเผ่าจากเผ่าต่างๆ อย่างหลากหลายรวมทั้งเชิญชวนให้ผู้เข้าร่วมได้ชิมด้วย
       
       นายสมชัย กล่าวว่า ปัจจุบันการบริโภคพืชผักผลไม้ปลอดภัยสารพิษกำลังเป็นที่นิยมอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นกิจกรรมครั้งนี้จึงเป็นการส่งเสริมความเชื่อมั่นในผลผลิตของเกษตรกรชาวเชียงราย รวมทั้งเผยแพร่ให้เห็นถึงความเป็นอัตลักษณ์ของเชียงราย โดยเฉพาะวิถีชนเผ่า ซึ่งมีอยู่หลากหลายเผ่า
       
       ซึ่งกรณีกิจกรรมครั้งนี้นอกจากจะเป็นด้านการแสดงและทั่วไปเหมือนที่ผ่านมา ยังมีการเผยแพร่ถึงอาหารชนเผ่าซึ่งเมื่อได้เข้าไปศึกษาแล้วพบว่ามีความน่าสนใจอย่างมาก
       
       นายสมชัย กล่าวอีกว่า อาหารบางอย่างของชนเผ่ามีความเอร็ดอร่อยและเป็นเอกลักษณ์อย่างมาก หลายอย่างไม่เคยเป็นที่รับรู้ของคนภายนอกมาก่อน แต่เมื่อได้เข้าไปสัมผัสพบว่าเป็นเรื่องที่ดีอย่างมาก โดยเฉพาะน้ำพริกชนิดต่างๆ เช่น น้ำพริกอาข่า ฯลฯ ที่มีความอร่อยและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะสูตร ดังนั้นในกิจกรรมนอกจากจะมีการจัดแสดง การแข่งขัน ฯลฯ จึงเปิดโอกาสให้ชมและชิมกันด้วย
       
       ด้านนายสุเทพ กล่าวว่า ภายในงานมีการจัดแสดงอาหารชนเผ่ากว่า 79 รายการจากชนเผ่าๆ ทั้ง 18 อำเภอของจังหวัด ภายในมีการจัดแสดงและให้ชิมรวมทั้งจัดแสดงรูปแบบต่างๆ เช่น ประกวดอาหารแปรรูปและอาหารชนเผ่า แข่งกินผลไม้ ประกวดลิ้นจี่และสับปะรด จัดเสวนาวิชาการพืชสวน ประกวดธิดาเกษตร มหกรรมโอท็อป และวิสาหกิจชุมชน ฯลฯ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมทั้งภาคการเกษตร เผยแพร่องค์ความรู้ของชุมชนต่างๆ และส่งเสริมการท่องเที่ยวด้วย
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #285 เมื่อ: วันที่ 14 พฤษภาคม 2011, 17:09:19 »

เส้นทางอาร์ 3

คอลัมน์ ถุงแดง


เส้นทางบกสายอาร์ 3A หรืออาร์ 3E เป็นเส้นทางผ่าน 3 ประเทศ จากไทย ผ่านลาว ก่อนเข้าประเทศจีน ถือเป็นเส้นทางสำหรับส่งออก และนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สาม

เส้นทางอาร์ 3 เริ่มจาก อ.เชียงของ จ.เชียงราย ประเทศไทย ผ่านเมืองห้วยทราย บ่อแก้ว หลวงน้ำทา บ่อเต็น ของลาว เข้าสู่เมืองโม่หาน จิ่งหง เชียงรุ้ง มณฑลยูนนาน ประเทศจีน มีระยะทางประมาณ 1,104 กิโลเมตร ช่วยลดระยะเวลาในการขนส่งเหลือเพียง 2-3 วัน จากปกติทางเรือใช้เวลา 5-7 วัน

ทำให้ผลไม้ไทยมีความสดยาวนานขึ้นและกระจายผลไม้ไปยังตลาดเมืองยูนนานมณฑลตะวันตกเฉียงใต้ของจีนได้โดยตรง

ที่ผ่านมาจีนเป็นตลาดส่งออกผลไม้ที่สำคัญของไทย ซึ่งไทยสามารถส่งออกผลไม้คุณภาพดีไปจีนได้ปีละกว่า 5,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในช่วงปี"50-52 ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ส่งออกจำนวน 4,424, 4,967, 6,875 ล้านบาทตามลำดับ และช่วงเดือนม.ค.-ต.ค.53 ส่งออกรวม 5,988 ล้านบาท

ผลไม้ที่ส่งออกมากที่สุดได้แก่ ทุเรียน ลำไย มังคุด มะพร้าว มะม่วง และสำหรับผลไม้แห้งที่ไทยส่งออกมากที่สุด ได้แก่ ลำไยแห้ง มะขามแห้ง

จากสถิติดังกล่าวคาดการณ์ว่าจะมีการขยายตัวทางการค้าผลไม้ระหว่างกันเพิ่มมากขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% มูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท เนื่องจากมีการส่งออกผ่านเส้นทางบกที่กระทรวงเกษตรฯ เจรจาเปิดเส้นทางดังกล่าว

นับว่าเป็นโอกาสดีของผลไม้ไทย

หน้า 8


http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFkyOHlOVEUwTURVMU5BPT0=&sectionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBeE1TMHdOUzB4TkE9PQ==
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #286 เมื่อ: วันที่ 16 พฤษภาคม 2011, 01:33:12 »

หอการค้า17 จังหวัด ดันรถไฟความเร็วสูงสู่ภาคเหนือž

วันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม ที่โรงแรมท็อปแลนด์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก นายวิโรจน์ จิรัฐิติกาลโชติ กรรมการรองเลขาธิการ และประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคเหนือ หอการค้าไทย เป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารหอการค้าภาคเหนือ ซึ่งประกอบด้วย ประธานหอการค้า, เลขาธิการหอการค้า จาก 17 จังหวัดภาคเหนือ, ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส., นักวิชาการ, หัวหน้าส่วนราชการ, ประธานสภาอุตสาหกรรม และผู้ประกอบการทั้งใน จ.พิษณุโลก และ 17 จังหวัดภาคเหนือ เข้าร่วมประชุมกว่า 70 คน เพื่อร่วมแสดงความคิดเห็นและนำเสนอเรื่องการขับเคลื่อนรถไฟความเร็วสูงสู่ภาคเหนือ

นายวิโรจน์กล่าวว่า จากการประชุมระดมความคิดเห็นจากประธานหอการค้า 17 จังหวัดภาคเหนือ รองประธานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจพื้นที่ภาคเหนือ ภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือรถไฟความเร็วสูงสู่ภาคเหนือ จากการรวบรวมเสียงทุกหอการค้าเห็นด้วยที่จะให้เกิดรถไฟความเร็วสูงในพื้นที่ภาคเหนือ เนื่องจากเศรษฐกิจพัฒนาใช้รถไฟอย่างรวดเร็ว เป็นความต้องการอย่างยิ่งของภาคเอกชน

ถ้าเกิดรถไฟความเร็วสูงไม่ได้ตอบสนองเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจ แต่จะเป็นแก้ไขภาคสังคม จากการใช้รถยนต์ทำให้เกิดอุบัติเหตุที่ทำให้สูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก ทั้งรถไฟความเร็วสูงจะช่วยลดต้นทุนทางด้านการขนส่งได้เป็นอย่างดี ส่วนการผลักดันเรื่องรถไฟรางคู่ ที่ประชุมเห็นว่าจากแผนการพัฒนาจะใช้เวลาอีก 20 ปี นานเกินไปไม่ทันต่อการเปลี่ยนแปลง ทั้งที่รถไฟรางคู่จำเป็นต่อระบบการขนส่งระบบโลจิสติคส์อย่างมาก ที่ประชุมได้เสนอให้รัฐบาลร่นระยะทางของแผนลงมาอย่างน้อย 10 ปีŽ

นายวิโรจน์กล่าวด้วยว่า ข้อสรุปจากแนวคิดครั้งนี้ จะเสนอไปยังพรรคการเมืองทุกพรรคและรัฐบาลใหม่ ให้ความสำคัญและเร่งรัดการดำเนินโครงการนี้ให้เกิดผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว ทั้งรถไฟรางคู่และรถไฟความเร็วสูง เนื่องจากเป็นโครงการที่เป็นความหวังของประชาชนทางภาคเหนือทั้งหมด

ด้านนายอธิภู จิตรานุเคราะห์ หัวหน้าศูนย์บริการข้อมูลระบบราง สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม กล่าวว่า จากการที่กระทรวงคมนาคม สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร และการรถไฟแห่งประเทศไทย มีแนวทางการพัฒนาระบบรถไฟรางคู่เพื่อการขนส่ง และการจัดการโลจิสติคส์ (ระยะที่ 1) ใน 3 เส้นทาง ประกอบด้วย สายตะวันออกเฉียงเหนือ บากะเบา-ชุมทางถนนจิระ งบฯลงทุน 27,963 ล้านบาท สายเหนือ จากลพบุรี-ปากน้ำโพ จ.นครสวรรค์ ค่าลงทุน 19,322 ล้านบาท และสายใต้ จากนครปฐม-ชุมทางหนองปลาดุก-หัวหิน ค่าลงทุน 27,213 ล้านบาท ดำเนินการก่อสร้างระหว่างปี 2553-2557 จะส่งผลทำให้ จ.นครสวรรค์ มีรถไฟรางคู่ใช้ในอีก 5 ปีข้างหน้า

นายอธิภูกล่าวว่า ส่วนความคืบหน้าการดำเนินการโครงการรถไฟความเร็วสูง 5 เส้นทางหลัก คือ 1.สายเหนือ กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ 2.สายอีสาน กรุงเทพฯ-หนองคาย 3.กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี 4.สายใต้ กรุงเทพฯ-ปาดังเบซาร์ และ 5.สายตะวันออก กรุงเทพฯ-ฉะเชิงเทรา ระยะทางรวม 3,133 กิโลเมตร โดยร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับจีน แต่อีก 2 โครงการ คือ เส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่ ระยะทาง 754 กิโลเมตร มูลค่าการก่อสร้าง 232,409 ล้านบาท และเส้นทางกรุงเทพฯ-ระยอง ระยะทาง 221 กิโลเมตร มูลค่าการก่อสร้าง 74,865 ล้านบาท จำเป็นต้องนำรูปแบบของการร่วมทุนระหว่างเอกชนกับรัฐจึงเดินทางมาเสนอแนวคิดให้ทางหอการค้าทั้ง 17 จังหวัดภาคเหนือ เพื่อหาเอกชนร่วมก่อสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงดังกล่าว

http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1305426820&grpid=03&catid=03&utm_source=MatichonOnline&utm_medium=MatichonOnline
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
chayrat
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #287 เมื่อ: วันที่ 16 พฤษภาคม 2011, 11:13:47 »

นาย ทวีป รอดสิน บริการรับจ้างทั่วไป  4-6 ล้อ ยินดีรับใช้ไว รวดเร็ว ราคาตกลงได้         สนติดต่อ 0840213086 มาตรพุตระยอง จ.ระยอง     

                                                            ยินดีรับใช้ครับ...
IP : บันทึกการเข้า
เด็กแว้น ฮ่องลี่
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 493


« ตอบ #288 เมื่อ: วันที่ 16 พฤษภาคม 2011, 13:46:39 »

เที่ยวเมืองเชียงราย ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

© ÅT-Ab-BoinĞ
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #289 เมื่อ: วันที่ 20 พฤษภาคม 2011, 23:10:05 »


เชียงราย - กรมทางหลวง เปิดห้องรับฟังความคิดเห็น ก่อนเดินเครื่องตัดถนนสาย ชร.4049 เชื่อมท่าเรือเชียงแสน 2 ที่จะแล้วเสร็จปลายปีนี้


       
       วันนี้ (20 พ.ค.54) ที่ห้องเชียงรุ้ง โรงแรมเวียงอินทร์ อ.เมือง จ.เชียงราย กรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม และบริษัทพรีดีเวลลอปเมนท์ คอนซัลแตนท์ จำกัด ได้จัดประชุมกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชนครั้งที่ 3 โครงการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมถนนสาย ชร.4049 โดยมีนายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เป็นประธาน และนายเอนก นัฐโฆษิก ผู้อำนวยการสำนักงานทางหลวงชนบทนำคณะฝ่ายที่เกี่ยวข้องชี้แจงโครงการ รวมทั้งมีหัวหน้าส่วนราชการ ผู้นำชุมชน และภาคประชาชนที่เกี่ยวข้องกับโครงการเข้าร่วม
       
       นายสมชัย กล่าวว่า ทุกโครงการย่อมมีทั้งผลดีและผลกระทบกรณีการก่อสร้างถนนก็เช่นกัน ดังนั้นทุกฝ่ายต้องระดมสมองเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด เนื่องจากปัจจุบัน จ.เชียงราย มีความจำเป็นต้องมีการก่อสร้างถนนเพื่อเพิ่มเติมโครงข่ายคมนาคม เพราะสภาพถนนหลายเริ่มมีความแออัดโดยเฉพาะช่วงชั่วโมงเร่งด่วน
       
       ขณะที่ระบบสาธารณูปโภคบางอย่างถึงเวลาที่ต้องพัฒนา เช่น ล่าสุดตนเดินทางไปยังล่าเรือแม่น้ำโขง อ.เชียงของ พบรถบรรทุกพลิกคว่ำที่ท้ายท่าเรือทำให้รถติดกันหมด สาเหตุเพราะเรามีท่าเรือสำหรับคนและรถบรรทุกเข้าออกในที่เดียวกัน แตกต่างจากประเทศอื่นที่แยกท่าเรือคนและสินค้า เป็นต้น
       
       กรณีถนนสาย ชร.4049 จึงมีความสำคัญเพราะเชื่อมระหว่าง อ.ดอยหลวง-เมือง ไปยังถนนสายเชียงแสน-เชียงของ ใกล้กับท่าเรือแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 ซึ่งกำลังจะแออัดในอนาคตด้วย
       ด้านนายเอนก กล่าวว่า ปัจจุบันกระทรวงคมนาคมอยู่ระหว่างก่อสร้างท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 ที่ปากแม่น้ำกก บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน เพื่อเชื่อมโยงการขนส่งสินค้าจากท่าเรือแหลมฉบังและท่าเรือระนองกับประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนบน โดยเฉพาะจีนตอนใต้
       
       ดังนั้น กรมทางหลวงจึงสนับสนุนด้วยการสร้างถนนโครงข่าย โดยปี 2552 ได้สำรวจออกแบบรายละเอียดและศึกษาผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมบนถนนสายนี้ พบว่าเดิมเป็นถนนลาดยาง 2 ช่องจราจร กว้าง 6 เมตร ไหล่ทาง 1 เมตร สภาพปัจจุบันคับแคบจึงจำเป็นต้องสร้างถนนสายใหม่ ซึ่งต้องผ่านเขตป่าสงวนแห่งชาติป่าสบกกฝั่งขวา พื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้นที่ 2 ฯลฯ
       
       ทั้งนี้ มีกำหนดระยะเวลาศึกษาโครงการ 300 วัน ตั้งแต่วันที่ 4 ต.ค.2553-30 ก.ค.2554 ระยะทาง 20.440 กิโลเมตร ซึ่งหลังศึกษาได้กำหนดลักษณะโครงการเอาไว้ 4 รูปแบบ คือ ช่วงต้นโครงการกำหนดให้จุดเริ่มต้นเป็น 4 ช่องจราจร เส้นทางทั่วไปให้เป็น 2 ช่องจราจร เส้นทางลาดชันเป็นลักษณะถนนทางไต่ลาดชัน และจุดสิ้นสุดโครงการเป็น 4 ช่องจราจร หลังการศึกษาเอกชนที่ปรึกษาจะได้นำเสนอต่อกรมทางหลวงและกระทรวงคมนาคมเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 ก่อสร้าโดยกรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม ด้วยงบประมาณ 1,546.4 ล้านบาท เนื้อที่ 402.3 ไร่พื้นที่หมู่บ้านสบกก ต.บ้านแซว เพื่อใช้ทดแทนท่าเรือแห่งเก่าในตัวเมืองประวัติศาสตร์เชียงแสนซึ่งไม่สามารถขยายตัวได้ ซึ่งท่าเรือใหม่จะรองรับเรือได้มากกว่าและมีสิ่งอำนวยความสะดวกรวมทั้งกว้างขวางกว่า โดยมีกำหนดแล้วเสร็จปลายปี 2554

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000061862
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #290 เมื่อ: วันที่ 21 พฤษภาคม 2011, 18:53:04 »

เชียงราย - ชาวสวนลิ้นจี่เมืองเชียงรายยิ้มรับราคาผลผลิตพุ่งจากปีกลายกว่าเท่าตัว ล่าสุดขน “ฮงฮวย” วางแผงงานในงานวันเกษตรปลอดภัยและอาหารชนเผ่าประจำปี ได้ราคาต่ำสุด 50 บาท/กก. แต่ถ้าส่งขายนอกพื้นที่ราคาพุ่งถึงโลละ 120 บาท พร้อมตั้งความหวัง “ลิ้นจี่จักรพรรดิ” ที่จะเริ่มออกเดือนหน้าทำราคาทะลุ 150 บาท/กก.





       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า ขณะนี้ลิ้นจี่ ผลไม้เศรษฐกิจสำคัญของเชียงราย ได้เริ่มถูกนำออกท้องตลาดแล้ว โดยเฉพาะพันธุ์ฮงฮวย ที่จะให้ผลผลิตก่อนพันธุ์อื่น ขณะที่พันธุ์จักรพรรดิ และอื่น ๆ จะเริ่มให้ผลผลิตในต้นเดือนมิถุนายนเป็นต้นไป และปีนี้ถือว่าลิ้นจี่มีราคาแพงกว่าทุกปีอย่างมาก
       
       พันธุ์ฮงฮวย ที่ถูกนำมาวางจำหน่ายภายในงานวันเกษตรปลอดภัยและอาหารชนเผ่าประจำปี 2554 ในขณะนี้ ณ สนาม รด.เชิงสะพานแม่ฟ้าหลวง ริมฝั่งแม่น้ำกก อ.เมือง จ.เชียงราย มีราคาต่ำสุดกิโลกรัมละกว่า 50 บาท และถ้าเป็นเกรดดีขึ้นก็จะเพิ่มเป็น 60-80 บาท แตกต่างจากปีก่อนๆ ที่มีราคามาตรฐานอยู่ที่กิโลกรัมละเพียง 25-30 บาท จนเกิดปัญหาล้นตลาดหรือต้องมีโครงการช่วยเร่งระบายผลผลิตไปสู่จังหวัดต่างๆ
       
       นายสุเทพ ทิพย์รัตน์ เกษตร จ.เชียงราย เปิดเผยว่า เชียงรายมีการปลูกผลผลิตลิ้นจี่รวมกันทั้งหมดประมาณ 30,000 ไร่ ซึ่งลดลงจากเดิมที่มีกว่า 50,000 ไร่ เพราะเกษตรกรจำนวนมากหันไปปลูกพืชเศรษฐกิจชนิดอื่นๆ เช่น ยางพารา ฯลฯ แทน จึงทำให้ผลผลิตลดลง ประกอบกับในปีนี้เกิดสภาพอากาศแปรปรวนอย่างหนัก ทั้งร้อน หนาวและพายุ จึงทำให้ดอกติดผลลดลงกว่าปีก่อนถึง 20% และให้ผลช้ากว่าเดิมกว่า 1 เดือน ด้วยเหตุนี้ผลผลิตที่ออกมาจึงมีน้อยเพียงประมาณ 11,000 ตันเท่านั้นส่งผลให้ราคาผลผลิตพุ่งสูงขึ้นดังกล่าว
       
       นายสุเทพ กล่าวว่าในปีนี้เกษตรกรที่สามารถรักษาผลผลิตจนออกสู่ตลาดได้จึงสามารถจำหน่ายผลผลิตลิ้นจี่ได้ในราคาที่แพง ทั้งตลาดใน-ต่างประเทศ แต่ทางกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ก็ได้รับงบประมาณในการดูแลเรื่องราคาและผลผลิตให้กับเกษตรกรใน จ.เชียงราย จำนวนประมาณ 40 ล้านบาท โดยเป็นโครงการเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำผ่านสหกรณ์และวิสาหกิจชุมชนต่างๆ เพื่อเตรียมนำไปรับซื้อผลผลิตกรณีที่ยังมีเกษตรกรประสบปัญหาราคาตกต่ำอยู่
       
       นายสุเทพ กล่าวอีกว่าโครงการดังกล่าวถือว่า ได้จัดเตรียมดำเนินการมาตั้งแต่ก่อนที่ผลผลิตจะออกสู่ตลาด ดังนั้น แม้ว่าผลผลิตในปีนี้จะมีน้อยและราคาแพงแต่ก็ยังคงโครงการเอาไว้อยู่ โดยอาจจะเกือบไม่มีการกู้ยืมเพื่อนำไปดำเนินการดังกล่าวเลยก็ได้ ทั้งนี้ยืนยันว่าปีนี้ผลผลิตลิ้นจี่ของเกษตรกรถือว่าดีมากเพราะมีจำนวนน้อยและเป็นกลุ่มที่มีการดูแลรักษาไว้อย่างดี
       
       ด้านนางกาดแก้ว วงศ์แหวน เจ้าของสวนลิ้นจี่จันทร์สม อ.แม่จัน กล่าวว่า ปีนี้ราคาผลผลิตดีโดยจำหน่ายพันธุ์ฮงฮวยขั้นต่ำกิโลกรัมละ 50 บาท แต่เมื่อนำไปวางตามตลาดทั่วไปในจังหวัดจะสูงถึง 70-80 บาท และหากนำส่งออกไปต่างจังหวัดจะสูงถึงกิโลกรัมละ 120-150 บาท ส่วนพันธุ์จักรพรรดิที่มีผลขนาดใหญ่จะออกสู่ตลาดราวต้นเดือนหน้า คาดว่าจะมีราคาตั้งแต่กิโลกรัมละ 150 บาทขึ้นไป
       
       อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือภัยธรรมชาติโดยเฉพาะสภาพอากาศแปรปรวน จึงทำให้เกษตรกรหลายรายเลิกปลูกและหันไปปลูกพืชชนิดอื่นแทน ส่วนรายที่เหลืออยู่ก็ยังต้องดิ้นรน เพราะแม้จะมีราคาแพงแต่ก็ต้องพยายามรักษาผลผลิต ให้รอดพ้นผ่านวิกฤตอากาศแปรปรวนมาให้ได้ ซึ่งส่งผลทำให้มีต้นทุนสูงนั่นเอง.
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #291 เมื่อ: วันที่ 22 พฤษภาคม 2011, 19:22:28 »


เชียงราย - กรมเจ้าท่าหยุนหนัน ร่อนหนังสือถึงภาคีสมาชิก JCCN ทั้งพม่า - ไทย - สปป.ลาว ช่วยดูแลการเดินเรือพาณิชย์ในน่านน้ำโขงตอนบน หลังโจรสลัดออกอาละวาดปล้นสะดม-จับคนเรียกค่าไถ่ถี่ยิบ



       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า หลังเรือหงซิ่ง ซึ่งเป็นเรือสินค้าสัญชาติจีนที่วิ่งขึ้นลงในแม่น้ำโขงระหว่างเชียงรุ่ง สิบสองปันนา - ท่าเรือเชียงแสน จ.เชียงราย ขนาด 300 ตันตันกรอส ถูกกลุ่มโจรสลัดแม่น้ำโขงพยายามเข้าปล้น และเมื่อเรือแล่นหนีได้ยิงปืนจากอาวุธสงครามใส่หลายนัดแต่ไม่มีผู้บาดเจ็บหรือเสียชีวิต เมื่อบ่ายวันที่ 17 พ.ค.54ที่ผ่านมา บริเวณใกล้เกาะกลางแม่น้ำโขงน่านน้ำพม่า-สปป.ลาว เหนือสามเหลี่ยมทองคำ อ.เชียงแสน ไปทางทิศเหนือประมาณ 7 กิโลเมตรนั้น
       
       ล่าสุด กรมเจ้าท่า มณฑลหยุนหนัน ประเทศจีน ในฐานะรองหัวหน้าคณะกรรมการประสานการดำเนินการตามความตกลงว่าด้วยการเดินเรือพาณิชย์ในแม่น้ำล้านช้าง-แม่น้ำโขง (The Joint Committee on Coordination of Commercial Navigation ;JCCN) ซึ่งมีสมาชิกเป็นกรมเจ้าท่าประเทศจากประเทศพม่า สปป.ลาว และไทย ได้ทำหนังสือแจ้งประเทศสมาชิกถึงเหตุการณ์ดังกล่าว
       
       ทั้งนี้ ได้ย้ำให้ประเทศสมาชิกช่วยบริหารจัดการและเฝ้าระวังแก่การเดินเรือสินค้าในแม่น้ำโขง ตามเส้นทางจากจีนตอนใต้ผ่าน สปป.ลาว-พม่า จนมาถึงท่าเรือในแม่น้ำโขงของประเทศไทย เพื่อช่วยกันป้องกันปัญหาดังกล่าวอันจะเป็นการร่วมกันพัฒนาการเดินเรือในแม่น้ำโขงต่อไป
       
       รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ปัญหาโจรสลัดแม่น้ำโขงเกิดขึ้นมานาน โดยมีกลุ่มติดอาวุธหลายกลุ่มเคลื่อนไหวในย่านเหนือสามเหลี่ยมทองคำขึ้นไป จนทำให้เรือสินค้าจีนถูกลอบยิงหรือปล้นจี้หลายครั้ง บางครั้งมีลูกเรือจีนถึงขั้นเสียชีวิตหรือเจ้าหน้าที่ตำรวจจีน ที่ยกขบวนเรือลงมาสำรวจก็เคยถูกยิงจนเรือเสียหาย เจ้าหน้าที่ตำรวจจีนได้รับบาดเจ็บสาหัสต้องเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลใน อ.เมือง จ.เชียงราย
       
       ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ของพม่าและ สปป.ลาว ได้มีการจัดประชุมเรื่องการต่อต้านกลุ่มโจรสลัดลุ่มแม่น้ำโขงอย่างต่อเนื่องมาแล้วหลายครั้ง โดยส่วนใหญ่ระบุถึงกลุ่มนายหน่อคำ กองกำลังชาวไทใหญ่ อดีตแนวร่วมสำคัญของกลุ่ม MTA ของ “ขุนส่า” ราชายาเสพติดในอดีต ที่อาละวาดหนักในช่วงก่อน โดยถึงขั้นเคยมีการใช้เฮลิคอปเตอร์ลาดตระเวนจนเห็นบ้านดอนสามปูห่างจากบ้านโป่งไปทางทิศเหนือประมาณ 50 กิโลเมตร และร่วมกันใช้กำลังทหารทั้งพม่าและ สปป.ลาว ทั้งสองฝั่งบุกโจมตีจนยับยั้งการออกอาระวาดของกองกำลังกลุ่มนี้ได้ระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถกวาดล้างกองกำลังกลุ่มนี้ได้อย่างเด็ดขาด
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #292 เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2011, 10:41:24 »

วันที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7480 ข่าวสดรายวัน


รฟท.มั่นใจงบ1.2แสนล.ผ่านฉลุย



นายยุทธนา ทัพเจริญ ผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า แม้ว่าขณะนี้จะอยู่ในช่วงของการเลือกตั้งเพื่อเปลี่ยนแปลงรัฐบาล แต่ตนเห็นว่าจะไม่กระทบต่อวงเงินงบประมาณที่รัฐบาลได้อนุมัติให้รฟท.ใช้เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจำนวน 1.76 แสนล้านบาท เพราะถือว่างบประมาณดังกล่าวจะนำมาใช้ในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานการให้บริการประชาชนของรฟท.

สำหรับโครงการที่ต้องรอให้รัฐบาลใหม่พิจารณาอนุมัติดำเนินการ เช่น โครงการรถไฟทางคู่สายลพบุรี-ปากน้ำโพ โครงการรถไฟทางคู่สายมาบกะเบา-ถนนจิระ โครงการรถไฟทางคู่สายนครปฐม-หนองปลาดุก-หัวหิน ฯลฯ รวมวงเงินลงทุนกว่า 6 หมื่นล้านบาท นอกจากนั้น ยังมีโครงการรถไฟทางคู่สายทางใหม่ ได้แก่ โครงการก่อสร้างรถไฟเส้นทางเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ และโครงการก่อสร้างรถไฟเส้นทางบัวใหญ่-มุกดาหาร-นครพนม รวมวงเงินประมาณ 6 หมื่นล้านบาท โดยปัจจุบันโครงการเหล่านี้อยู่ระหว่างการออกแบบ และจัดทำเอกสารประกวดราคา คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี หลังจากนั้นจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติเพื่อดำเนินการต่อไป

หน้า 8
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
เชียงรายพันธุ์แท้
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,024



« ตอบ #293 เมื่อ: วันที่ 23 พฤษภาคม 2011, 23:09:33 »

10 เมืองจังหวัดต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทย

เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2554 คณะกรรมการคัดเลือกเมืองจังหวัดต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้พิจารณาตัดสินเมืองต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์รอบสุดท้าย  และได้ประกาศรายชื่อ 10 เมืองจังหวัดต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ได้รับการตัดสิน เรียงตามลำดับอักษร ดังนี้

1. จังหวัดชัยนาท เมืองแหล่งเมล็ดพันธุ์ข้าว (นางลือ-ท่าชัย)
เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตพันธุ์ข้าวแหล่งใหญ่ของประเทศ ซึ่งวันนี้ที่นี่ได้กลายเป็นธุรกิจผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวส่งไปขายทั่วประเทศไทย และยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ชาวนาภาคอื่นๆ สามารถมาศึกษาเพื่อผลิตพันธุ์ข้าวไว้ใช้เองได้อีกด้วย นอกจากนี้พื้นที่นาที่นี่จะปราศจากวัชพืช ต้นข้าวที่ออกรวงจะมีรวงโตเหลืองอร่ามสวยงาม หากยังไม่ออกรวงจะมีสีเขียวขจีของต้นข้าวเท่านั้นไม่มีวัชพืชปะปน ที่สำคัญเกือบทุกบ้านในย่านสองตำบลจะมีโกดังเก็บสินค้าและป้ายที่บ่งบอกว่าเป็นแหล่งขายพันธุ์ข้าว เช่น "วรรณาพันธุ์ข้าวปลูก" "สัญญา 9 พันธุ์ข้าวปลูก" เป็นต้น เพราะที่นี่ชาวนาเขาทำนาขายข้าวสำหรับผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ข้าว จะไม่ได้ขายให้กับโรงสีเหมือนกับจังหวัดอื่นๆ เขาจึงต้องดูแลคุณภาพข้าวอย่างดี

นอกจากนั้น กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวต.นางลือ-ท่าชัย นับได้ว่าเป็นกลุ่มผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวกลุ่มเดียวในประเทศไทยที่มีโรงงานปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์เป็นของตัวเอง โดยได้รับงบสนับสนุนจากแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชัยนาทแบบบูรณาการเมื่อปี 2548 วงเงิน 20 ล้านบาท

2. จังหวัดเชียงราย เมืองแห่งการพัฒนา (ดอยตุง)
เชียงราย อารยนครอายุกว่า 700 ปี มีมนต์เสน่ห์ล้ำลึกของวัฒนธรรมล้านนา กลมกลืนกันอยู่ในโอบล้อมของผืนป่า ที่เริ่มคืนความเขียวชะอุ่มภายหลังเกิดโครงการพัฒนาดอยตุงฯ กว่า 30 ปีที่ผ่านมาด้วยพระบารมีของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ชาวเขาและชาวพื้นราบในบริเวณรายรอบดอยตุง ยอดสูงสุดของดอยนางนอน พรมแดนไทย-พม่า ได้เปลี่ยนวิถีจากการปลูกและเสพฝิ่น ถางป่าตัดไม้ และทำไร่เลื่อนลอย หันมาทำเกษตร ปลูกพืชผักเมืองหนาว ทำไร่กาแฟและแมคคาเดเมีย สร้างผลงานเย็บปักถักทอที่เชื่อมต่อวัตถุดิบพื้นถิ่น และหัตถศิลป์พื้นเมืองสู่การใช้งานในชีวิตประจำวันแบบสากล ในขณะที่กลุ่มชน 30 ชาติพันธุ์ ยังคงอาศัยอยู่อย่างสงบ ตามไหล่เขาและบนดอยสูง แนบแน่นอยู่กับประเพณีดั้งเดิมของตน โดยไม่ถูกวัฒนธรรมเมืองกลืนกิน

3. จังหวัดเชียงใหม่ เมืองหัตถกรรมสร้างสรรค์
ในอดีตงานหัตถกรรม ถูกตีค่าเป็นเพียงสินค้าของที่ระลึกจำน่ายทั่วไปให้กับนักท่องเที่ยว แต่ใน ปัจจุบันนั้น ค่าของงานหัตถกรรมเชียงใหม่ได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้น จนกลายเป็นสินค้าส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ และสามารถทำรายได้กลับคืนสู่จังหวัดได้อย่างมหาศาล

เชียงใหม่จึงถือเป็นแหล่งผลิตสินค้าหัตถกรรมที่สำคัญและแหล่งใหญ่ของประเทศรวมถึงยังคงความเป็นเอกลักษณ์ในชิ้นงานและด้านฝีมือที่มีความชำนาญ เชี่ยวชาญ และความประณีตที่ถูกถ่ายทอดออกมาในชิ้นงานหัตถกรรมแต่ละชิ้น เช่น หัตถกรรมเครื่องเงิน ไม้แกะสลัก ผ้าทอตีนจก ผ้าไหมสันกำแพง เซรามิกศิลาดล ร่ม และกระดาษสา เป็นต้น จุดเด่นดังกล่าวจึงทำให้หัตถกรรมเชียงใหม่ มีโอกาสเติบโตสู่ตลาดโลกได้

4. จังหวัดน่าน น่านเมืองเก่าที่มีชีวิต
เนื่องจากประชาชนชาวจังหวัดน่านยังรักษาเอกลักษณ์ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีเดิมของตนเองได้อย่างมั่นคง ประกอบกับ คณะรัฐมนตรีได้มีมติการประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าน่าน และเวียงพระธาตุแช่แห้งเป็นพื้นที่อนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เป็นลำดับที่ 2 ของประเทศ ต่อจากเกาะรัตน์โกสินทร์ เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2548 ซึ่งถือว่าจังหวัดน่านยังเป็นเมืองเก่าที่มีลักษณ์การเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างเหนียวแน่นที่อยู่ในการดำเนินชีวิตของประชาชนโดยส่วนใหญ่ lesสำหรับสัญลักษณ์ หรือ Brand Logoคือภาพเป็นภาพจิตรกรรมที่อยู่ในวัดภูมินทร์ เป็นภาพเขียนที่ ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครในประเทศไทย ประกอบกับมีแห่งเดียวในประเทศไทย ถือเป็นภาพเขียนฝาผนังที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนเมืองน่านได้อย่างชัดเจน

5. จังหวัดเพชรบุรี เมืองเพชร เมืองตาลโตนด
ตาลโตนดจัดเป็นไม้ตระกูลเก่าแก่ตระกูลหนึ่งของโลก ซึ่งมีมากกว่า 4,000 ชนิด (Species) เป็นต้นไม้ที่มีอายุยืนนับร้อยปี และอยู่กับจังหวัดเพชรบุรีมาตั้งแต่โบราณกาลและผลิตผลจากต้นตาล โดยเฉพาะน้ำตาลโตนดยังเป็นส่วนผสมที่สำคัญในการทำขนมหวานเมืองเพชร ซึ่งมีชื่อเสียงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดังคำสวดสุบินกุมารที่มีอายุมากกว่าร้อยปีกล่าวว่า “โตนดเต้าแลจาวตาล เป็นเครื่องหวานเพชรบุรี กินกับน้ำตาลปี ของมากมีมาช่วยกัน”

6. จังหวัดมหาสารคาม เมืองแห่งการเรียนรู้ สู่การพัฒนาชุมชน
"Learning City towards Community Development" หรือจะเรียกอีกอย่างว่า เมืองตักสิลา เมืองแห่งการศึกษา : เป็นจังหวัดที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นหลายประการ คน มหาสารคามเป็นคนที่มีความดีงามและเพียบพร้อมด้วยภูมิความรู้มากมาย วิวัฒนาการของบ้านเมือง และพัฒนาการของผู้คนและสังคมก้าวหน้า มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย รักสันติ เป็นสังคมแห่งภูมิปัญญา และเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ..มหาสารคาม เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่กึ่งกลางของภาคอีสานไม่มีภูเขา มีแม่น้ำชีไหลผ่าน การเป็นจังหวัดที่อยู่กึ่งกลางของภาคอีสาน ประกอบกับเป็นเมืองสงบจึงเหมาะกับการเป็นที่ตั้งสถานศึกษาต่างๆ ทุกระดับ จึงเป็นที่มา "เมืองแห่งการศึกษา" หรือ "ตักสิลานคร"

จุดเด่นความเป็น "ตักสิลานคร" จังหวัดมหาสารคามมีสถาบันการศึกษาระดับสูงสุดหลายแห่ง สามารถผลิตทรัพยากรแรงงานระดับคุณภาพที่จะตอบสนองความต้องการทางเทคโนโลยีและธุรกิจได้ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการทางเศรษฐกิจและแนวทางการพัฒนาประเทศจึงเป็นจุดเด่นของมหาสารคาม

7. จังหวัดยะลา Bird City ศูนย์กลางเศรษฐกิจนก
จังหวัดยะลาได้เป็นเจ้าภาพการจัดมหกรรมแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียน ซึ่งสามารถพัฒนาสู่เมืองเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์(Creative Economy) แบบครบวงจรได้ ตั้งแต่การเพาะเลี้ยงนก วัสดุเพาะเลี้ยงอาหารนก กรงนก สินค้าพื้นเมือง และธุรกิจที่ได้รับผลประโยชน์จากการแข่งขันนกประเภทต่างๆ อีกทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยว เพราะในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น จากกิจกรรมเสริมที่จัดขึ้นเพื่อเพิ่มความหลากหลาย

8. จังหวัดลพบุรี เมืองนวัตกรรมแห่งพลังงานทดแทน
ประเทศไทยซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่แบบของพลังงานทดแทน ได้เปิดตัว “ลพบุรี โซลาร์” โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยกำลังการผลิต 73 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่ตำบลวังเพลิง อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือเอ็กโก กรุ๊ปผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่แห่งแรกของประเทศไทย บริษัท CLP Thailand Renewable Limited ในเครือซีแอลพี ผู้นำทางด้านธุรกิจพลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก และบริษัท Diamond Generating Asia Limited ในเครือมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ผู้ผลิตอุปกรณ์โรงไฟฟ้ารายใหญ่ของญี่ปุ่น ผ่านบริษัท พัฒนาพลังงานธรรมชาติ จำกัด หรือ Natural Energy Development Company Limited - NED

ลพบุรี โซลาร์ ได้นำเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์แบบฟิล์มบาง (Thin Film Solar Cell) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พึ่งพาวัตถุดิบอย่างซิลิคอนต่ำกว่าการผลิตแบบเดิม และมีความเหมาะสมกับอากาศร้อนของประเทศไทยเข้ามาใช้ที่สำคัญ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งนี้ ยังมีส่วนร่วมในการช่วยประเทศไทยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศได้มากกว่า 1.3 ล้านตันตลอดอายุการดำเนินโครงการ 25 ปี และช่วยลดการนำเข้าเชื้อเพลิงได้มากถึงปีละ 35,000 ตัน ซึ่งสอดคล้องกับที่ประเทศไทยได้ให้คำมั่นสัญญากับประชาคมโลกที่เมืองโคเปนเฮเกนในเรื่องของการร่วมกันดูแลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก นอกจากนี้ ผู้พัฒนาโครงการยังมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตอีก 11 เมกะวัตต์ ในบริเวณพื้นที่เดียวกัน รวมทั้งสิ้นเป็น 84 เมกะวัตต์ เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสปีมหามงคลแห่งการบรมราชาภิเษกปีที่ 60 และเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา ในปี 2554 และเตรียมสร้างศูนย์นวัตกรรมพลังงานทดแทนในพื้นที่โครงการ โดยเน้นพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก ซึ่งจังหวัดลพบุรีจะมีแหล่งเรียนรู้ และจุดท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากเขื่อนป่าศักดิ์ชลสิทธิ์และทุ่งดอกทานตะวัน รวมถึงชุมชนและพื้นที่รอบข้างจะมีรายได้เพิ่มเติมจากการเยี่ยมชมของนักท่องเที่ยวและผู้มาศึกษาดูงานโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พฤศจิกายน 2554 จึงนับเป็นช่วงเวลาที่คนไทยจะได้เห็นต้นแบบโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย ... ผู้ทรงเป็นทั้งนักคิด นักค้นคว้า และนักบุกเบิกด้านพลังงาน

9. จังหวัดลำปาง ลำปางเมืองเซรามิก
นอกจากจะนึกถึงรถม้าแล้ว ที่สำคัญเมืองนี้ยังมีของดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ เซรามิกลำปาง ซึ่งว่ากันว่า เดิมทีชาวจีนที่มีฝีมือการทำเซรามิกอพยพจากเมืองจีนมาอยู่ในเมืองไทย นิยมผลิตถ้วยข้าวต้มวาดลวดลายไก่โต้งลงไป หรือที่เรียกกันว่าชามไก่ ชนกลุ่มนี้ภายหลังโยกย้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เมืองลำปาง จึงนำความรู้ความชำนาญในการทำชามไก่มาเผยแพร่ ประกอบกับเมืองนี้มีวัตถุดิบในการผลิตเซรามิกเป็นดินขาวจำนวนมากด้วย

10. จังหวัดอ่างทอง ชุมชนเอกราชหมู่บ้านทำกลอง
หมู่บ้านทำกลองก็เป็นแห่งหนึ่งที่เป็นแหล่งรวมมรดกล้ำค่าจากภูมิปัญญาชาวบ้านหาชมได้ยาก ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านแพ ต.เอกราช อ.ป่าโมก หลังตลาดป่าโมก ริมฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา การเดินทางใช้ถนนสายใน ผ่านหน้าที่ว่าการเทศบาลอำเภอป่าโมกซึ่งขนานไปกับลำคลองชลประทาน ระยะทางประมาณ 17 กม. ชาวบ้านแพเริ่มผลิตกลองมาตั้งแต่ พ.ศ.2470 เมื่อได้เข้ามาเยี่ยมชมหมู่บ้านแห่งนี้ท่านจะได้รับความคุ้มค่ายิ่ง นับว่าเป็นการร่วมกันอนุรักษ์และสืบทอดศิลปะเหล่านี้ไว้ โดยท่านจะได้เรียนรู้กรรมวิธีการทำกลองแต่ละขั้นตอนอย่างละเอียด โดยการนำวัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ งานที่ออกมาแต่ละชิ้นมีความประณีตงดงามสีสันมากมาย ที่สำคัญมีกลองรูปทรงขนาดใหญ่ยาวที่สุดในโลกตั้งอยู่หน้าบ้านกำนันหงษ์ฟ้า หยดย้อย กลองกว้าง 36 นิ้ว 92 เซนติเมตร ยาว 7.6 เมตร ทำจากไม้จามจุรีต่อกัน 6 ท่อน สร้างปี 2537 ใช้เวลาสร้างประมาณ 1 ปี ให้ท่านได้สัมผัสด้วย พร้อมด้วยกลองขนาดเล็กๆ ซึ่งเป็นของฝากสามารถพกพาได้สะดวกง่ายดาย รับรองท่านจะได้สินค้าดีมีคุณภาพราคาย่อมเยากลับไปแน่ กลองแห่งหมู่บ้านทำกลองแห่งนี้ที่มีคุณภาพ ประณีต สวยงามแห่งเดียวในประเทศ

ชุมชนตำบลเอกราช อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ได้รับการถ่ายทอดการทำกลองมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย โดยคนแรกที่คิดประดิษฐ์ขึ้นมาคือ คุณตาเพิ่ม ภู่ประดิฐ แกเป็นนักดนตรี คิดประดิษฐ์ทำขึ้นใช้ในวงของตนเอง อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง มีชื่อเสียงมาแต่โบราณว่าเป็นแหล่งผลิตกลองมีคุณภาพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันกลองดีตีดังจากป่าโมกยังบินไกลไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น อเมริกา ประเทศแถบยุโรป หรือกระทั่งแอฟริกา แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ผู้ผลิตต้องใช้เวลาไม่น้อยในการสั่งสมความชำนาญ เพื่อสามารถกุมโอกาสเหมาะด้านการตลาดที่มาถึงได้อยู่มือ

ที่มา
http://www.oknation.net/blog/akom/2011/05/09/entry-1
IP : บันทึกการเข้า
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #294 เมื่อ: วันที่ 26 พฤษภาคม 2011, 00:06:23 »




พะเยา - จังหวัดพะเยา เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นโครงการ “รถไฟรางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ” ที่ค้างเติ่งมานานกว่าครึ่งศตวรรษ
       
       วันนี้ (25 พ.ค.) ที่ห้องประชุมศูนย์บัญชาการ ศาลากลางจังหวัดพะเยา นายกาจพล เอิบสุขสิริ รองผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ได้เป็นประธานประชุมเพื่อชี้แจงและรับฟังความคิดเห็นโครงการก่อสร้างทางรถไฟรางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ โดยมีผู้แทนจากส่วนราชการ ภาคเอกชน ประชาชน ใน จ.พะเยา เข้าร่วม
       
       โครงการดังกล่าวได้เริ่มดำเนินการโดยการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 หรือ 50 กว่าปีที่แล้ว โดยได้มีการสำรวจเส้นทางเบื้องต้น ต่อมาในปี พ.ศ.2537-2538 ได้ทำการศึกษาเพิ่มเติม พบว่า โครงการมีความเหมาะสมดำเนินการ มีแนวเส้นทางผ่านเด่นชัย-แพร่-สอง-งาว-พะเยา-เชียงราย จนมาถึงในรัฐบาลปัจจุบันกระทรวงคมนาคม มีนโยบายในการพัฒนาโครงข่ายระบบรางและการให้บริการรถไฟ ซึ่งมติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของการรถไฟฯ ระยะเร่งด่วน 176,808 ล้านบาท และ ร.ฟ.ท.ได้จ้างบริษัทที่ปรึกษา เพื่อทำการศึกษาและออกแบบ เพื่อเตรียมก่อสร้างทางรถไฟรางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ ในปี 2554
       
       สำหรับแนวเส้นทางโครงการทางรถไฟรางคู่ สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ มีระยะทางรวมประมาณ 326 กม.ผ่านพื้นที่ทั้งหมด 4 จังหวัด ได้แก่ แพร่ ลำปาง พะเยา และ เชียงราย โดย จ.พะเยา มีระยะทางผ่านในพื้นที่ประมาณ 55 กม.ใน 3 อำเภอ ได้แก่ อ.เมือง, อ.ดอกคำใต้ และ อ.ภูกามยาว มีสถานี 5 แห่ง ได้แก่ สถานีบ้านหม้อแกงทอง อ.เมืองพะเยา, สถานีบ้านโทกหวากอ.เมืองพะเยา, สถานีพะเยา, สถานีบ้านร้อง อ.ดงเจน และสถานีบ้านใหม่ อ.เมืองพะเยา
       
       ทั้งนี้ คาดว่า โครงการดังกล่าวจะช่วยลดต้นทุนการขนส่งด้านพลังงาน ลดความสูญเสียจากอุบัติเหตุทางถนน และประชาชนในพื้นที่มีทางเลือกในการใช้บริการด้านการขนส่ง

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000063840
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #295 เมื่อ: วันที่ 27 พฤษภาคม 2011, 10:43:01 »

ทุนจีนทำยอดค้าเชียงรายพุ่ง

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน   26 พฤษภาคม 2554 22:52 น.


       เชียงราย - ยอดค้าชายแดนเชียงราย - ลาว พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ไตรมาสแรกปีนี้ขยายตัวกว่า 162.32% หลังกลุ่ม “ดอกงิ้วคำ” ทุนยักษ์จีนสั่งปูนซีเมนต์เข้าก่อสร้างโครงการยักษ์บนสามเหลี่ยมทองคำฝั่งลาวมหาศาล ขณะที่การค้ากับพม่า-จีน ก็เติบโตต่อเนื่อง ทำยอดเพิ่มถึง 85.54%
       
       สำนักงานพาณิชย์ จ.เชียงราย แจ้งว่า สถิติการค้าชายแดนด้าน จ.เชียงราย ตั้งแต่เดือน ม.ค.-มี.ค.2554 ถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการค้ากับจีนตอนใต้ พม่า และ สปป.ลาว มีมูลค่ารวมสูงถึง 7,101.86 ล้านบาท ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 85.54% แยกเป็นการส่งออกมูลค่า 6,422.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 95.99% และนำเข้ามูลค่า 679.82 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.41%
       
       ภาคการส่งออกเป็นที่น่าสังเกตว่าในขณะที่การส่งออกไปยังประเทศจีนและพม่าเติบโตในอัตราปกติ แต่การส่งออกไปยัง สปป.ลาว กลับเพิ่มสูงขึ้นถึง 162.32% เป็น 2,248.44 ล้านบาท ซึ่งถือว่ารองจากประเทศพม่าที่ไทยส่งออกไปมูลค่า 3,366.23 ล้านบาท และจีน 807.37 ล้านบาท
       
       ส่วนการนำเข้าถือว่าอยู่ในอัตราเติบโตปกติคือมีการนำเข้าจากจีนเป็นอันดับ 1 เช่นเดิมโดยมีมูลค่า 464.13 ล้านบาท จาก สปป.ลาว มูลค่า 168.55 ล้านบาท และจากประเทศพม่ามูลค่า 47.14 ล้านบาท
       
       นายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์ จ.เชียงราย กล่าวว่า สปป.ลาว เคยมีการค้าชายแดนที่ไม่มากนักกับประเทศไทยด้าน จ.เชียงราย เพราะ สปป.ลาว มีประชากรทั้งประเทศเพียงประมาณ 6 ล้านคน ดังนั้น ที่ผ่านมาการค้าชายแดนของเชียงราย จึงเป็นการค้ากับพม่าและขยายตัวอย่างรวดเร็วกับประเทศจีน
       
       นายเฉลิมพล กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามในไตรมาสแรกของปีนี้ กลับพบการส่งออกไป สปป.ลาว เพิ่มมากขึ้นถึง 162.32% โดยสาเหตุมาจากการมีโครงการขนาดใหญ่ใน สปป.ลาว โดยเฉพาะการลงทุนของกลุ่มทุนจีน "ดอกงิ้วคำ" ที่เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว ตรงกันข้าม อ.เชียงแสน ซึ่งมีการก่อสร้างขนานใหญ่จึงจำเป็นต้องนำเข้าวัสดุก่อสร้างจากประเทศไทยไปดำเนินการโดยเฉพาะประเภทปูซีเมนต์
       
       "ปัจจุบันด้านลาวฝั่งนี้มีการนำเข้าปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้น เพราะปูนใน สปป.ลาว เองสามารถป้อนความต้องการทั้งประเทศได้เพียง 80% ของความต้องการทั้งหมด เนื่องจากมีโรงงานผลิตอยู่เพียง 7 ราย และมีกำลังผลิตได้เพียงปีละประมาณ 1.55 ล้านตัน นอกจากนี้ สปป.ลาว ยังต้องการสินค้าที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อีกมาก เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง สินค้าเกี่ยวกับการก่อสร้างถนนเพราะในลาวต้องสร้างถนนยางมะตอยหลายแห่ง" นายเฉลิมพล กล่าวในที่สุด

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000064604
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #296 เมื่อ: วันที่ 29 พฤษภาคม 2011, 18:27:51 »

ศูนย์ข่าวภาคเหนือ - พรรคภูมิใจไทยของ “เสี่ยเน-หนู” งัดโปรเจกต์เก่าค้างมานานกว่าครึ่งศตวรรษ “รถไฟเด่นชัย-เชียงราย” ที่ศึกษาแล้ว ศึกษาอีกมาหลายรัฐบาล หวังเจาะฐานเสียงเสื้อแดงฝั่งล้านนาตะวันออก “โสภณ-รักษาการ รมว.คมนาคม” บอก “จะให้สานต่อต้องเลือกพรรคผม”



       
       ยกแรกของการเลือกตั้ง ส.ส.54 หลายพรรคการเมืองแข่งกันผุดนโยบาย “ซื้อ...ใจ” ผู้มีสิทธิ์รับเลือกตั้ง โดยมุ่งเน้นไปที่กลุ่มคนรากหญ้า ทั้งเรื่องการจำนำ/ประกันราคา ผลผลิตทางการเกษตร, บัตรเครดิตเกษตรกร ฯลฯ
       
       แต่ดูเหมือนทั้งหมดเป็นเพียงนโยบาย “เฉพาะหน้า” ให้ได้คะแนนเสียงในวันเลือกตั้งเท่านั้น ยังไม่มีพรรคการเมืองใดขายแนวคิดในเชิงยุทธศาสตร์ ที่มีผลต่ออนาคตของประเทศชาติในระยะยาวอย่างเป็นรูปธรรมเท่าใดนัก
       
       ขณะที่ในสนามเลือกตั้งโซนล้านนาตะวันออก ทั้ง เชียงราย พะเยา ลำปาง แพร่ น่าน ที่ได้ชื่อว่า เป็นถิ่นเสื้อแดงหนาแน่น ที่พรรคไทยรักไทย/พลังประชาชน ต่อเนื่องมาถึงเพื่อไทย ครองเก้าอี้ ส.ส.มาตลอดนั้น พรรคภูมิใจไทย ของ 2 เสี่ย “เน-หนู” เนวิน ชิดชอบ/อนุทิน ชาญวีรกุล ที่กุมกระทรวงเศรษฐกิจ-กระทรวงเกรด A ในยุครัฐบาลประชาธิปัตย์ เป็นแกนนำ มีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ได้หยิบยกโปรเจกต์ยักษ์ใหญ่ ที่เป็นความฝันของคนในพื้นที่มานานกว่าครึ่งศตวรรษ มาหาเสียงอย่างจริงจัง
       
       โดย นายโสภณ ซารัมย์ แกนนำของพรรคภูมิใจไทย ที่ทำหน้าที่รักษาการ รมว.คมนาคม อยู่ ได้จั่วหัวหาเสียงตั้งแต่ก่อนรับสมัครเลือกตั้งเที่ยวนี้ เมื่อคราวเดินทางมาเป็นประธานการประชุมรับฟังความเห็นจากประชาชนเกี่ยวกับความคืบหน้าการก่อสร้างรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย ซึ่ง อบจ.เมืองพ่อขุนฯ ซึ่งมี นางรัตนา จงสุทธนามณี สามีของ นายวันชัย จงสุทธนามณี ผู้สมัคร ส.ส.เขต 1 ชร. พรรค ภท.เป็นนายกฯ จัดขึ้นที่จังหวัดเชียงราย ก่อนที่จะไปร่วมเปิดสำนักงานพรรค ภท.สาขาพะเยา เมื่อ 4 เม.ย.54 ว่า ตั้งแต่ปี 53 เขาบอกว่า จะปักธงโครงการนี้ ซึ่งขณะนี้ก็คืบหน้าแล้ว
       
       “แต่ถ้าจะให้โครงการสานต่อ ก็ต้องเลือกพรรคผม เพราะรัฐบาลชุดต่อๆ ไปก็ขึ้นอยู่กับความชอบของเขาว่าจะทำต่อไปหรือไม่”
       
       ทั้งนี้ การศึกษาเพื่อสร้างเส้นทางรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย มีมาตั้งแต่ปี 2503 และมีการสำรวจเบื้องต้นในปี 2512 จากเด่นชัย-แพร่-สอง-เชียงม่วน-ดอกคำใต้-พะเยา-ป่าแดด-เชียงราย ระยะทางรวม 273 กิโลเมตร ต่อมาปี 2537-2538 ร.ฟ.ท.ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทำการทบทวนผลการศึกษาเดิมได้ข้อสรุปให้ก่อสร้างตามแนวเด่นชัย-แพร่-สอง-งาว (ลำปาง)-พะเยา-เชียงราย ระยะทางรวม 246 กิโลเมตร กระทั่งปี 2539-2541 ร.ฟ.ท.ได้ว่าจ้างเอกชนให้สำรวจออกแบบรายละเอียดและศึกษาผลกระทบและปี 2547 ได้ว่าจ้างให้ศึกษาความเหมาะสมอีกครั้งเพื่อเชื่อมกับจีนตอนใต้ ซึ่งผลสรุปคือเส้นทางเดิมมีความเหมาะสมมากที่สุด
       
       ล่าสุด เมื่อ 17 พ.ย.52 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้พัฒนาโครงข่ายระบบรางและให้บริการรถไฟของ รฟท.และเห็นชอบแผนการลงทุนระยะเร่งด่วนในวันที่ 27 เม.ย.2553 โดยมีรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย เป็นหนึ่งในแผนดังกล่าวควบคู่กับโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม สปป.ลาว-ไทย เข้าทาง จ.หนองคาย และเส้นทางอีสาน-มหาสารคาม-นครพนม มูลค่าทั้งหมด 176,808 แสนล้านบาท
       
       อย่างไรก็ตาม ในยุค นายโสภณ เป็น รมว.คมนาคม ก็ยังไม่มีการก่อสร้าง ในปี 2554 กระทรวงคมนาคมได้จัดสรรงบประมาณราว 200 ล้านบาท เพื่อศึกษารถไฟรางคู่ต่อไปจนถึง อ.เชียงของ ชายแดนไทย-สปป.ลาว ระยะทาง 326 กิโลเมตร โดย รฟท.พึ่งลงนามจ้างเอกชนให้ศึกษาเมื่อวันที่ 29 เม.ย.ที่ผ่านมา ระยะเวลาศึกษา 14 เดือน ขณะที่โครงการต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ท่าเรือแม่น้ำโขงมูลค่า 1,500 ล้านบาท อนุมัติให้ก่อสร้างสมัยรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธิ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี ถนนโครงข่ายสะพานแม่น้ำโขง สะพานแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชียงของ-ห้วยทราย ฯลฯ ล้วนเป็นโครงการที่อยู่ในแผนของรัฐบาลชุดก่อนๆ และพัฒนาการด้านงบประมาณมาตามลำดับจนถึงรัฐบาลปัจจุบัน

IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #297 เมื่อ: วันที่ 30 พฤษภาคม 2011, 11:43:01 »

IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #298 เมื่อ: วันที่ 02 มิถุนายน 2011, 18:42:16 »

ตาก - คณะกรรมการพิจารณากฎหมายกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่เทศบาล “นครแม่สอด” ติดตามผลการจัดตั้งและเปลี่ยนแปลงฐานะ อปท.รูปแบบพิเศษ ด้านนายก ส.ท.ท.ดัน “หาดใหญ่”ขึ้นชั้น “มหานครพิเศษ” พร้อมกับอีก 11 เมืองใหญ่ทั่ว ปท.
       
       นายสุดจิต นิมิตกุล อดีตรองปลัดกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณากฎหมายกระทรวงมหาดไทย คณะที่ 2 พร้อมคณะกรรมการและคณะทำงานฯ ได้เดินทางลงพื้นที่ตามโครงการตรวจนิเทศและติดตามผลการจัดตั้งและเปลี่ยนแปลงฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รูปแบบพิเศษ “นครแม่สอด” พร้อมประชุมร่วมกับผู้บริหารเทศบาลนครแม่สอด-สมาชิกสภาเทศบาลนครแม่สอดและหัวหน้าส่วนการงานรวมทั้งแกนนำชุมชน ที่ห้องประชุมโกเมน เทศบาลนครแม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 70 คน
       
       นายสุดจิต กล่าวว่า กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ได้จัดโครงการตรวจนิเทศและติดตามผลการจัดตั้งและเปลี่ยนแปลงฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รูปแบบพิเศษ “นครแม่สอด” โดยได้ส่งคณะกรรมการพิจารณากฎหมายและทีมเจ้าหน้าที่ กว่า 20 คน ลงพื้นที่เทศบาล “นครแม่สอด” เพื่อติดตามผลการจัดตั้งและเปลี่ยนแปลงฐานะ อปท.รูปแบบพิเศษ เพื่อตรวจความพร้อมของเทศบาลนครแม่สอด ที่กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองจากเทศบาลเป็นท้องถิ่นพิเศษ นอกจากนี้ยังเป็นการนำปัญหาที่พบไปสู่การแก้ไขรวมทั้งตรวจสภาพข้อเท็จจริงของพื้นที่ให้สอดคล้องกับการเตรียมยกฐานะ “นครแม่สอด”
       
       นายเทอดเกียรติ ชินสรนันท์ นายกเทศมนตรีนครแม่สอด ได้บรรยายสรุปขั้นตอนการดำเนินติดตามการยกฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ “นครแม่สอด” เริ่มตั้งแต่ปี 2550 จนถึงปัจจุบัน ได้ผ่านขั้นตอนของคณะกรรมการกฤษฎีกา - ครม.และเตรียมเสนอต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่รวมทั้งสมาชิกวุฒิสภาแล้ว
       
       หลังการประชุมนายกเทศมนตรีนครแม่สอด ได้นำคณะกรรมการพิจารณากฎหมายกระทรวงมหาดไทย ลงพื้นที่สำรวจข้อมูลด้านต่างๆ ทางเศรษฐกิจ-การค้าชายแดน-การส่งเสริมการลงทุน-การบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว ฯลฯ ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “นครแม่สอด” ที่จะเป็นท้องถิ่นพิเศษ ด้านเมืองเศรษฐกิจ-การค้าชายแดน ฯลฯ
       
       ด้านนายไพร พัฒโน นายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ในฐานะนายกสมาคมสันนิบาตเทศบาลแห่งประเทศไทย (ส.ท.ท.) กล่าวถึงการสนับสนุนท้องถิ่นที่มีความพร้อมให้ยกฐานะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษว่า ตนเองในฐานะนายก ส.ท.ท. เห็นด้วยที่จะให้ท้องถิ่นที่มีศักยภาพขึ้นเป็นท้องถิ่นรูปแบบพิเศษเช่นเดียวกับที่นครแม่สอด เนื่องจากขณะนี้มีความจำเป็นที่จะให้ท้องถิ่นได้แก้ไขปัญหาความต้องการของประชาชนให้ตรงจุดเป็นการกระจายอำนาจให้กับประชาชน ทั้งในด้านปัญหาสิ่งแวดล้อม สาธารณสุข จัดเก็บภาษีบำรุงท้องถิ่น การพัฒนาคุณภาพชีวิต การศึกษา รวมทั้งการพัฒนาอาชีพ การกระจายเศรษฐกิจและรายได้ของชุมชน
       
       โดยทาง ส.ท.ท. พร้อมให้ความร่วมมือทางด้านข้อมูลในเชิงวิชาการกับท้องถิ่นที่ต้องการจะเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่การเป็นท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ อย่างไรก็ตาม การพัฒนาท้องถิ่นรูปแบบพิเศษขึ้นอยู่กับความพร้อมของพื้นที่ ประชากร และความเห็นด้วยจากประชาชนส่วนใหญ่ในรูปแบบของการทำประชาคมด้วย
       
       “ขณะนี้เทศบาลนครหาดใหญ่ก็ถือว่ามีความพร้อมที่จะยกฐานะให้เป็นท้องถิ่นรูปแบบพิเศษมหานครหาดใหญ่ด้วยเช่นกัน เนื่องจากเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคและตลาดการค้ารวมทั้งเป็นประตูแห่งเอเชีย ซึ่งมหานครหาดใหญ่นั้น ได้มีการสำรวจข้อมูลในทางวิชาการ โดยทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัย สุโขทัยธรรมาธิราชไปแล้ว”
       
       นอกจากนี้ทาง ส.ท.ท. ก็ยังเห็นด้วยที่จะมีการผลักดันเมืองต่างๆที่สำคัญในประเทศให้เป็นท้องถิ่นพิเศษโดยแยกตามภาคดังนี้ 1.ภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่-เชียงราย (แม่สาย)-สุโขทัย(เมืองเก่า) 2.ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดสระแก้ว (อรัญประเทศ)-จังหวัดมุกดาหาร-จังหวัดอุดรธานี 3.ภาคกลางที่จังหวัดอยุธยา 4.ภาคตะวันออกที่จังหวัดชลบุรี(แหลมฉบัง)5.ภาคใต้ที่จังหวัดภูเก็ต-สุราษฎ์ธานี(เกาะสมุย)-จังหวัดยะลา(เบตง)
       
       “เมืองเหล่านี้ถือได้ว่าเป็นเมืองที่มีศักยภาพและพร้อมเพื่อที่จะยกฐานะเป็นท้องรูปแบบพิเศษโดยทั้งสิ้น”

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000066693
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #299 เมื่อ: วันที่ 04 มิถุนายน 2011, 20:43:24 »

IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
หน้า: 1 ... 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 [15] 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 ... 37 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!