10 เมืองจังหวัดต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยเมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2554 คณะกรรมการคัดเลือก
เมืองจังหวัดต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ได้พิจารณาตัดสินเมืองต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์รอบสุดท้าย และได้ประกาศรายชื่อ 10
เมืองจังหวัดต้นแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค์ที่ได้รับการตัดสิน เรียงตามลำดับอักษร ดังนี้
1. จังหวัดชัยนาท เมืองแหล่งเมล็ดพันธุ์ข้าว (นางลือ-ท่าชัย)เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตพันธุ์ข้าวแหล่งใหญ่ของประเทศ ซึ่งวันนี้ที่นี่ได้กลายเป็นธุรกิจผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวส่งไปขายทั่วประเทศไทย และยังเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ชาวนาภาคอื่นๆ สามารถมาศึกษาเพื่อผลิตพันธุ์ข้าวไว้ใช้เองได้อีกด้วย นอกจากนี้พื้นที่นาที่นี่จะปราศจากวัชพืช ต้นข้าวที่ออกรวงจะมีรวงโตเหลืองอร่ามสวยงาม หากยังไม่ออกรวงจะมีสีเขียวขจีของต้นข้าวเท่านั้นไม่มีวัชพืชปะปน ที่สำคัญเกือบทุกบ้านในย่านสองตำบลจะมีโกดังเก็บสินค้าและป้ายที่บ่งบอกว่าเป็นแหล่งขายพันธุ์ข้าว เช่น "วรรณาพันธุ์ข้าวปลูก" "สัญญา 9 พันธุ์ข้าวปลูก" เป็นต้น เพราะที่นี่ชาวนาเขาทำนาขายข้าวสำหรับผลิตเป็นเมล็ดพันธุ์ข้าว จะไม่ได้ขายให้กับโรงสีเหมือนกับจังหวัดอื่นๆ เขาจึงต้องดูแลคุณภาพข้าวอย่างดี
นอกจากนั้น กลุ่มผู้ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวต.นางลือ-ท่าชัย นับได้ว่าเป็นกลุ่มผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวกลุ่มเดียวในประเทศไทยที่มีโรงงานปรับปรุงสภาพเมล็ดพันธุ์เป็นของตัวเอง โดยได้รับงบสนับสนุนจากแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดชัยนาทแบบบูรณาการเมื่อปี 2548 วงเงิน 20 ล้านบาท
2. จังหวัดเชียงราย เมืองแห่งการพัฒนา (ดอยตุง) เชียงราย อารยนครอายุกว่า 700 ปี มีมนต์เสน่ห์ล้ำลึกของวัฒนธรรมล้านนา กลมกลืนกันอยู่ในโอบล้อมของผืนป่า ที่เริ่มคืนความเขียวชะอุ่มภายหลังเกิดโครงการพัฒนาดอยตุงฯ กว่า 30 ปีที่ผ่านมาด้วยพระบารมีของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ชาวเขาและชาวพื้นราบในบริเวณรายรอบดอยตุง ยอดสูงสุดของดอยนางนอน พรมแดนไทย-พม่า ได้เปลี่ยนวิถีจากการปลูกและเสพฝิ่น ถางป่าตัดไม้ และทำไร่เลื่อนลอย หันมาทำเกษตร ปลูกพืชผักเมืองหนาว ทำไร่กาแฟและแมคคาเดเมีย สร้างผลงานเย็บปักถักทอที่เชื่อมต่อวัตถุดิบพื้นถิ่น และหัตถศิลป์พื้นเมืองสู่การใช้งานในชีวิตประจำวันแบบสากล ในขณะที่กลุ่มชน 30 ชาติพันธุ์ ยังคงอาศัยอยู่อย่างสงบ ตามไหล่เขาและบนดอยสูง แนบแน่นอยู่กับประเพณีดั้งเดิมของตน โดยไม่ถูกวัฒนธรรมเมืองกลืนกิน
3. จังหวัดเชียงใหม่ เมืองหัตถกรรมสร้างสรรค์ในอดีตงานหัตถกรรม ถูกตีค่าเป็นเพียงสินค้าของที่ระลึกจำน่ายทั่วไปให้กับนักท่องเที่ยว แต่ใน ปัจจุบันนั้น ค่าของงานหัตถกรรมเชียงใหม่ได้ถูกยกระดับให้สูงขึ้น จนกลายเป็นสินค้าส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ และสามารถทำรายได้กลับคืนสู่จังหวัดได้อย่างมหาศาล
เชียงใหม่จึงถือเป็นแหล่งผลิตสินค้าหัตถกรรมที่สำคัญและแหล่งใหญ่ของประเทศรวมถึงยังคงความเป็นเอกลักษณ์ในชิ้นงานและด้านฝีมือที่มีความชำนาญ เชี่ยวชาญ และความประณีตที่ถูกถ่ายทอดออกมาในชิ้นงานหัตถกรรมแต่ละชิ้น เช่น หัตถกรรมเครื่องเงิน ไม้แกะสลัก ผ้าทอตีนจก ผ้าไหมสันกำแพง เซรามิกศิลาดล ร่ม และกระดาษสา เป็นต้น จุดเด่นดังกล่าวจึงทำให้หัตถกรรมเชียงใหม่ มีโอกาสเติบโตสู่ตลาดโลกได้
4. จังหวัดน่าน น่านเมืองเก่าที่มีชีวิตเนื่องจากประชาชนชาวจังหวัดน่านยังรักษาเอกลักษณ์ วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี วิถีเดิมของตนเองได้อย่างมั่นคง ประกอบกับ คณะรัฐมนตรีได้มีมติการประกาศเขตพื้นที่เมืองเก่าน่าน และเวียงพระธาตุแช่แห้งเป็นพื้นที่อนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า เป็นลำดับที่ 2 ของประเทศ ต่อจากเกาะรัตน์โกสินทร์ เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2548 ซึ่งถือว่าจังหวัดน่านยังเป็นเมืองเก่าที่มีลักษณ์การเคลื่อนไหวทางสังคมอย่างเหนียวแน่นที่อยู่ในการดำเนินชีวิตของประชาชนโดยส่วนใหญ่ lesสำหรับสัญลักษณ์ หรือ Brand Logoคือภาพเป็นภาพจิตรกรรมที่อยู่ในวัดภูมินทร์ เป็นภาพเขียนที่ ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใครในประเทศไทย ประกอบกับมีแห่งเดียวในประเทศไทย ถือเป็นภาพเขียนฝาผนังที่แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของคนเมืองน่านได้อย่างชัดเจน
5. จังหวัดเพชรบุรี เมืองเพชร เมืองตาลโตนดตาลโตนดจัดเป็นไม้ตระกูลเก่าแก่ตระกูลหนึ่งของโลก ซึ่งมีมากกว่า 4,000 ชนิด (Species) เป็นต้นไม้ที่มีอายุยืนนับร้อยปี และอยู่กับจังหวัดเพชรบุรีมาตั้งแต่โบราณกาลและผลิตผลจากต้นตาล โดยเฉพาะน้ำตาลโตนดยังเป็นส่วนผสมที่สำคัญในการทำขนมหวานเมืองเพชร ซึ่งมีชื่อเสียงตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ดังคำสวดสุบินกุมารที่มีอายุมากกว่าร้อยปีกล่าวว่า “โตนดเต้าแลจาวตาล เป็นเครื่องหวานเพชรบุรี กินกับน้ำตาลปี ของมากมีมาช่วยกัน”
6. จังหวัดมหาสารคาม เมืองแห่งการเรียนรู้ สู่การพัฒนาชุมชน"Learning City towards Community Development" หรือจะเรียกอีกอย่างว่า เมืองตักสิลา เมืองแห่งการศึกษา : เป็นจังหวัดที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นหลายประการ คน มหาสารคามเป็นคนที่มีความดีงามและเพียบพร้อมด้วยภูมิความรู้มากมาย วิวัฒนาการของบ้านเมือง และพัฒนาการของผู้คนและสังคมก้าวหน้า มีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย รักสันติ เป็นสังคมแห่งภูมิปัญญา และเจริญรุ่งเรืองขึ้นตามลำดับ..มหาสารคาม เป็นจังหวัดที่ตั้งอยู่กึ่งกลางของภาคอีสานไม่มีภูเขา มีแม่น้ำชีไหลผ่าน การเป็นจังหวัดที่อยู่กึ่งกลางของภาคอีสาน ประกอบกับเป็นเมืองสงบจึงเหมาะกับการเป็นที่ตั้งสถานศึกษาต่างๆ ทุกระดับ จึงเป็นที่มา "เมืองแห่งการศึกษา" หรือ "ตักสิลานคร"
จุดเด่นความเป็น "ตักสิลานคร" จังหวัดมหาสารคามมีสถาบันการศึกษาระดับสูงสุดหลายแห่ง สามารถผลิตทรัพยากรแรงงานระดับคุณภาพที่จะตอบสนองความต้องการทางเทคโนโลยีและธุรกิจได้ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการทางเศรษฐกิจและแนวทางการพัฒนาประเทศจึงเป็นจุดเด่นของมหาสารคาม
7. จังหวัดยะลา Bird City ศูนย์กลางเศรษฐกิจนกจังหวัดยะลาได้เป็นเจ้าภาพการจัดมหกรรมแข่งขันนกเขาชวาเสียงอาเซียน ซึ่งสามารถพัฒนาสู่เมืองเศรษฐกิจเชิงสร้างสรรค์(Creative Economy) แบบครบวงจรได้ ตั้งแต่การเพาะเลี้ยงนก วัสดุเพาะเลี้ยงอาหารนก กรงนก สินค้าพื้นเมือง และธุรกิจที่ได้รับผลประโยชน์จากการแข่งขันนกประเภทต่างๆ อีกทั้งส่งเสริมการท่องเที่ยว เพราะในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้น จากกิจกรรมเสริมที่จัดขึ้นเพื่อเพิ่มความหลากหลาย
8. จังหวัดลพบุรี เมืองนวัตกรรมแห่งพลังงานทดแทนประเทศไทยซึ่งได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแม่แบบของพลังงานทดแทน ได้เปิดตัว “ลพบุรี โซลาร์” โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยกำลังการผลิต 73 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่ที่ตำบลวังเพลิง อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่างบริษัท ผลิตไฟฟ้า จำกัด (มหาชน) หรือเอ็กโก กรุ๊ปผู้ผลิตไฟฟ้าเอกชนรายใหญ่แห่งแรกของประเทศไทย บริษัท CLP Thailand Renewable Limited ในเครือซีแอลพี ผู้นำทางด้านธุรกิจพลังงานไฟฟ้าในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก และบริษัท Diamond Generating Asia Limited ในเครือมิตซูบิชิ คอร์ปอเรชั่น ผู้ผลิตอุปกรณ์โรงไฟฟ้ารายใหญ่ของญี่ปุ่น ผ่านบริษัท พัฒนาพลังงานธรรมชาติ จำกัด หรือ Natural Energy Development Company Limited - NED
ลพบุรี โซลาร์ ได้นำเทคโนโลยีเซลล์แสงอาทิตย์แบบฟิล์มบาง (Thin Film Solar Cell) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่พึ่งพาวัตถุดิบอย่างซิลิคอนต่ำกว่าการผลิตแบบเดิม และมีความเหมาะสมกับอากาศร้อนของประเทศไทยเข้ามาใช้ที่สำคัญ โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งนี้ ยังมีส่วนร่วมในการช่วยประเทศไทยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่ชั้นบรรยากาศได้มากกว่า 1.3 ล้านตันตลอดอายุการดำเนินโครงการ 25 ปี และช่วยลดการนำเข้าเชื้อเพลิงได้มากถึงปีละ 35,000 ตัน ซึ่งสอดคล้องกับที่ประเทศไทยได้ให้คำมั่นสัญญากับประชาคมโลกที่เมืองโคเปนเฮเกนในเรื่องของการร่วมกันดูแลการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก นอกจากนี้ ผู้พัฒนาโครงการยังมีแผนที่จะขยายกำลังการผลิตอีก 11 เมกะวัตต์ ในบริเวณพื้นที่เดียวกัน รวมทั้งสิ้นเป็น 84 เมกะวัตต์ เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสปีมหามงคลแห่งการบรมราชาภิเษกปีที่ 60 และเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษา ในปี 2554 และเตรียมสร้างศูนย์นวัตกรรมพลังงานทดแทนในพื้นที่โครงการ โดยเน้นพลังงานแสงอาทิตย์เป็นหลัก ซึ่งจังหวัดลพบุรีจะมีแหล่งเรียนรู้ และจุดท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากเขื่อนป่าศักดิ์ชลสิทธิ์และทุ่งดอกทานตะวัน รวมถึงชุมชนและพื้นที่รอบข้างจะมีรายได้เพิ่มเติมจากการเยี่ยมชมของนักท่องเที่ยวและผู้มาศึกษาดูงานโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ พฤศจิกายน 2554 จึงนับเป็นช่วงเวลาที่คนไทยจะได้เห็นต้นแบบโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบิดาแห่งการพัฒนาพลังงานไทย ... ผู้ทรงเป็นทั้งนักคิด นักค้นคว้า และนักบุกเบิกด้านพลังงาน
9. จังหวัดลำปาง ลำปางเมืองเซรามิกนอกจากจะนึกถึงรถม้าแล้ว ที่สำคัญเมืองนี้ยังมีของดีอยู่อย่างหนึ่ง นั่นก็คือ เซรามิกลำปาง ซึ่งว่ากันว่า เดิมทีชาวจีนที่มีฝีมือการทำเซรามิกอพยพจากเมืองจีนมาอยู่ในเมืองไทย นิยมผลิตถ้วยข้าวต้มวาดลวดลายไก่โต้งลงไป หรือที่เรียกกันว่าชามไก่ ชนกลุ่มนี้ภายหลังโยกย้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ที่เมืองลำปาง จึงนำความรู้ความชำนาญในการทำชามไก่มาเผยแพร่ ประกอบกับเมืองนี้มีวัตถุดิบในการผลิตเซรามิกเป็นดินขาวจำนวนมากด้วย
10. จังหวัดอ่างทอง ชุมชนเอกราชหมู่บ้านทำกลองหมู่บ้านทำกลองก็เป็นแห่งหนึ่งที่เป็นแหล่งรวมมรดกล้ำค่าจากภูมิปัญญาชาวบ้านหาชมได้ยาก ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านแพ ต.เอกราช อ.ป่าโมก หลังตลาดป่าโมก ริมฝั่งซ้ายของแม่น้ำเจ้าพระยา การเดินทางใช้ถนนสายใน ผ่านหน้าที่ว่าการเทศบาลอำเภอป่าโมกซึ่งขนานไปกับลำคลองชลประทาน ระยะทางประมาณ 17 กม. ชาวบ้านแพเริ่มผลิตกลองมาตั้งแต่ พ.ศ.2470 เมื่อได้เข้ามาเยี่ยมชมหมู่บ้านแห่งนี้ท่านจะได้รับความคุ้มค่ายิ่ง นับว่าเป็นการร่วมกันอนุรักษ์และสืบทอดศิลปะเหล่านี้ไว้ โดยท่านจะได้เรียนรู้กรรมวิธีการทำกลองแต่ละขั้นตอนอย่างละเอียด โดยการนำวัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้ งานที่ออกมาแต่ละชิ้นมีความประณีตงดงามสีสันมากมาย ที่สำคัญมีกลองรูปทรงขนาดใหญ่ยาวที่สุดในโลกตั้งอยู่หน้าบ้านกำนันหงษ์ฟ้า หยดย้อย กลองกว้าง 36 นิ้ว 92 เซนติเมตร ยาว 7.6 เมตร ทำจากไม้จามจุรีต่อกัน 6 ท่อน สร้างปี 2537 ใช้เวลาสร้างประมาณ 1 ปี ให้ท่านได้สัมผัสด้วย พร้อมด้วยกลองขนาดเล็กๆ ซึ่งเป็นของฝากสามารถพกพาได้สะดวกง่ายดาย รับรองท่านจะได้สินค้าดีมีคุณภาพราคาย่อมเยากลับไปแน่ กลองแห่งหมู่บ้านทำกลองแห่งนี้ที่มีคุณภาพ ประณีต สวยงามแห่งเดียวในประเทศ
ชุมชนตำบลเอกราช อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ได้รับการถ่ายทอดการทำกลองมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย โดยคนแรกที่คิดประดิษฐ์ขึ้นมาคือ คุณตาเพิ่ม ภู่ประดิฐ แกเป็นนักดนตรี คิดประดิษฐ์ทำขึ้นใช้ในวงของตนเอง อำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง มีชื่อเสียงมาแต่โบราณว่าเป็นแหล่งผลิตกลองมีคุณภาพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันกลองดีตีดังจากป่าโมกยังบินไกลไปจำหน่ายยังตลาดต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น อเมริกา ประเทศแถบยุโรป หรือกระทั่งแอฟริกา แต่กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ ผู้ผลิตต้องใช้เวลาไม่น้อยในการสั่งสมความชำนาญ เพื่อสามารถกุมโอกาสเหมาะด้านการตลาดที่มาถึงได้อยู่มือ
ที่มา
http://www.oknation.net/blog/akom/2011/05/09/entry-1