เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 26 เมษายน 2024, 00:40:13
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 ... 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 [13] 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 ... 37 พิมพ์
ผู้เขียน Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย  (อ่าน 440083 ครั้ง)
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #240 เมื่อ: วันที่ 18 มีนาคม 2011, 20:01:34 »

อากาศวิปริตทำ“กุหลาบขาว”ชูช่อบนภูหินร่องกล้า-เชียงราย ยังยะเยือก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   18 มีนาคม 2554 12:02 น.


พิษณุโลก/เชียงราย - อากาศหนาวต่ำ 10 องศาต่อเนื่องบนยอดภูหินร่องกล้าทำ“กุหลาบขาว”เบ่งบานเต็มลานหินปุ่ม-ลานหินแตก ยั่วนักท่องเที่ยว หัวหน้าอุทยานฯภูหินร่องกล้าระบุ ฤดูร้อนนี้เปิดรับนักท่องเที่ยวยาว ไม่มีหยุด ล่าสุดฝนยังโปรยชุ่ม ขณะที่ไม้ดอกพันธุ์เมืองหนาวเหลืองอร่าม ณ ที่ทำการอุทยานฯ ขณะที่เชียงราย ยังยะเยือก
       
       นายไพรัช มณีงาม หัวหน้าอุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า จ.พิษณุโลก กล่าวว่า ฝนที่ตกอย่างต่อเนื่องหลายวันบนอุทยานฯภูหินร่องกล้า ทำให้อุณหภูมิลดมาอยู่ประมาณ 9 องศา ณ บริเวณที่ทำการอุทยานฯ แต่หากนักท่องเที่ยวจะเดินทางไปสัมผัสอากาศเย็นกว่านี้ เช่น บ้านใหม่ร่องกล้า สามารถชมวิถีชีวิตชาวม้ง ปลูกกะหล่ำ ก็มั่นใจว่า อุณหภูมิต่ำกว่าหน้าที่ทำการแน่นอน
       
       จากสภาพอากาศหนาวเย็นในช่วงฤดูร้อนนี้ ยังทำให้กุหลาบขาวที่เคยขึ้นปกติมีนาคม-พฤษภาคมของทุกปี บานสะพรั่งให้นักท่องเที่ยวเชยชม บริเวณลานหินปุ่ม-ลานหินแตก ทั้งนี้ “ดอกกุหลาบขาว”เป็นไม้พุ่ม ไม้ผลัดใบ สูง 1-3 เมตร ออกดอกเป็นช่อๆละ 3-5 ดอก สีขาวและขาวอมชมพูและมีสีเหลือง มีชื่อท้องถิ่นเรียกว่า “ดอกสามสี” ขึ้นตามภูเขาสูง 1,000-1,600 เมตรบริเวณโล่งแจ้ง บนพื้นดินหินทราย พบมากที่สุด คือ อช.ภูหินร่องกล้า และถือว่า มีจำนวนมากกว่าอุทยานแห่งชาติภูกระดึง, เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูหลวง
       
       เขาย้ำว่า ช่วงนี้นักท่องเที่ยวสามารถชมพันธุ์ไม้ดอกเมืองหนาว ที่ปลูกไว้รองรองรับนักท่องเที่ยวบริเวณหน้าที่ทำการอุทยานฯ ส่วนปี 53 ที่ผ่านมา อำเภอนครไทย กับอุทยานฯภูหินร่องกล้าเคยจัดงานเทศกาลกุหลาบขาวบานบนลานร่องกล้า(2-3 เมษายน 2553) ที่เป็นฤดูกาลท่องเที่ยวประจำฤดูร้อนของจังหวัดพิษณุโลก
       
       นายไพรัช ยืนยันว่า ปี 54 นี้ อำเภอนครไทยและอุทยานฯภูหินร่องกล้า “งด”การจัดงาน แต่จะเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปชมกุหลาบขาวบานบนลานหินแตก, ลานหินปุ่มตลอดทั้งปี ไม่มีหยุด เพราะถือว่า ลานหินต่างๆ เป็นจุดขายของอุทยานฯ ประกอบกับอุณหภูมิลดต่ำกว่าปกติช่วงนี้ ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจากต่างถิ่นแวะเวียนเพิ่มขึ้น
       
       อีกทั้งฝนที่โปรยชุ่ม อุทยานฯภูหินร่องกล้า ก็ยังมีจุดขายแห่งใหม่ คือ ดอก “ปาหนัน” พันธุ์ไม้หายาก ที่มักขึ้นป่าดิบภาคใต้ของไทย กลับแตกกิ่ง ออกดอก นับร้อยๆต้นหลังโรงเรียนการเมืองการทหาร ก็มั่นใจว่า มีแรงกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวขึ้นมาเที่ยว อ.นครไทย
       
       ขณะเดียวกันมีรายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า สภาพอากาศโดยทั่วไปของเชียงราย มีอุณหภูมิลดต่ำลงและมีฝนตกโปรยปรายตลอด โดยสถานีอุตุนิยมวิทยา จ.เชียงราย ได้วัดอุณหภูมิ ที่ ต.บ้านดู่ อ.เมือง ลดต่ำลง ขณะที่มีฝนตกลงมาตลอดทั้งวันทำให้ประชาชนทั่วไปพากันนำเสื้อกันหนาวที่เก็บไว้แล้ว ตั้งแต่ฤดูหนาวที่ผ่านมามานุ่งห่มกันโดยถ้วนหน้า ท่ามกลางความหนาวเหน็บและชื้นแฉะเพราะฝนตลอดทั้งวัน
       
       ทั้งนี้ ทางสถานีอุตุนิยมวิทยา จ.เชียงราย แจ้งว่าสภาพอากาศเช่นนี้จะมีขึ้นไปจนถึงวันนี้(18 มี.ค.54)เท่านั้น จากนั้นอากาศจะค่อยๆ อุ่นลงและกลับเข้าสู่ภาวะปกติหรือเป็นฤดูร้อนเหมือนเดิม จึงได้แจ้งเตือนให้ประชาชนระมัดระวังเรื่องสุขภาพ เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันจากหนาวสู่ร้อน
       
       อย่างไรก็ตาม สภาพอากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝนดังกล่าว ได้ทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นหลายครั้งโดยเฉพาะถนนสายหลักๆ ในเขต อ.เมือง
       
       นายสมพล สุปการ หัวหน้าสถานีอุตุนิยมวิทยา จ.เชียงราย กล่าวว่า ดูจากแผนที่พบว่าสภาพเช่นนี้เกิดขึ้นใน จ.เชียงราย พะเยา และเชียงใหม่ แต่ความกดอากาศสูงจากจีนจะลดต่ำลงตั้งแต่วันที่ 18 มี.ค.เป็นต้นจึงคาดว่าวันนี้ (18 มี.ค.) อากาศจะเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ จากนั้นก็ต้องไปดูตัวแปลอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับสภาพอากาศในฤดูร้อนเหมือนเดิม เช่น พายุ ความกดอากาศ ฯลฯ เพื่อแจ้งให้ประชาชนได้รับทราบต่อไป
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #241 เมื่อ: วันที่ 18 มีนาคม 2011, 20:03:51 »

ประเดิมสวยค้าชายแดนม.ค.โต 17%“ พาณิชย์”คาดแนวโน้มดีขึ้นต่อเนื่อง

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน   18 มีนาคม 2554 11:02 น.


       ASTVผู้จัดการรายวัน- “พาณิชย์”เผยการค้าชายแดนไทยเดือนม.ค. โตต่อเนื่อง มูลค่ากว่า 7 หมื่นล้าน โต 17% คาดแนวโน้มยังดีทุกประเทศ ฝั่งมาเลเซีย ยางพาราช่วยเพิ่มยอด พม่าแม้ปิดด่านเมียวดี แต่ด่านอื่นยอดโตเกิน 100% ลาวคาดดีขึ้น หลังเปิดด่านและเชื่อมเส้นทางโลจิสติกส์ ส่วนกัมพูชา ดีขึ้นแน่ หลังความสัมพันธ์เข้าสู่ปกติ
       
           นางสาวผ่องพรรณ เจียรวิริยะพันธ์ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผยว่า การค้าชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้านในเดือนม.ค.2554 มีมูลค่ารวม 71,447 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% เป็นการส่งออกมูลค่า 45,935 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% และนำเข้ามูลค่า 25,512 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% โดยไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้ามูลค่า 20,423 ล้านบาท โดยเป็นการค้าขายกับมาเลเซียสูงสุด รองลงมา คือ พม่า ลาว และกัมพูชาโดยปัจจัยที่ส่งผลให้การค้าชายแดนขยายตัวได้ดี มาจากความต้องการสินค้าไทยที่เพิ่มมากขึ้น จากการเปิดการค้าเสรีอาเซียน (อาฟตา) และเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้านขยายตัวในระดับสูง ทำให้มีความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น
       
           สำหรับแนวโน้มการค้าชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ในช่วงไตรมาสแรก คาดว่าการค้ากับมาเลเซีย จะยังขยายตัวได้ดีขึ้น เนื่องจากยางพารา ที่มีมูลค่าการส่งออกมากเป็นอันดับ 1 มีสัดส่วนการค้ากว่า 30% ยังมีแนวโน้มราคาสูงขึ้น ประกอบกับในช่วงเดือนมี.ค.-มิ.ย. เป็นช่วงฤดูกาลยางผลัดใบ ส่งผลให้ยางพาราไม่เพียงพอกับความต้องการใช้ จึงมีการเร่งซื้อไว้ป้อนโรงงานในช่วงที่ขาดแคลน
       
           การค้ากับพม่า คาดว่าจะยังคงขยายตัวได้เพิ่มขึ้น เพราะแม้พม่าจะปิดด่านเมียวดี ตรงข้ามกับด่านแม่สอด จ.ตาก ตั้งแต่วันที่ 18 ก.ค.2553 แต่ขณะนี้สามารถส่งออกไปพม่าได้บริเวณท่าเรือข้ามแม่น้ำเมยทางช่องทางอนุมัติเฉพาะคราว และยังมีการส่งออกไปยังด่านอื่นๆ เพิ่มขึ้น เช่น แม่ฮ่องสอน เพิ่มขึ้น 183% กาญจนบุรี 117% ระนอง 116% เชียงราย 85% และประจวบคีรีขันธ์ 100%
       
           การค้ากับลาว คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากการที่ไทย-ลาว มีการเชื่อมโยงเส้นทางการค้าและการอำนวยความสะดวกในการปล่อยสินค้ารวดเร็วขึ้น แต่ต้องระวังคู่แข่งสำคัญอย่างเวียดนามที่ขณะนี้ได้เข้ามามีบทบาทในลาวมากขึ้น รวมทั้งประเทศผู้ลงทุนจากจีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ที่ได้เข้าไปลงทุนในเวียดนามจะผลิตสินค้าและส่งออกมาแข่งขันกับสินค้าไทยในลาวมากขึ้น ซึ่งไทยจำเป็นต้องพัฒนาสินค้าและพัฒนาระบบโลจิสติกส์เพื่อเตรียมพร้อมในการแข่งขัน
       
           สำหรับการค้ากับกัมพูชา คาดว่าจะกลับมาขยายตัวได้ดีขึ้น หลังจากความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาเริ่มดีขึ้น ประกอบกับกรมฯ ได้มีการลงพื้นที่ทำความเข้าใจและเผยแพร่กฎระเบียบการค้า การลงทุนให้กับผู้ประกอบการตามแนวชายแดน ซึ่งได้รับความสนใจ และพร้อมที่จะทำการค้าและการลงทุนกับกัมพูชามากขึ้น
       
           ทั้งนี้ ในปี 2554 ไทยได้ตั้งเป้าหมายมูลค่าการค้าชายแดน มูลค่า 860,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.5% โดยการค้ากับมาเลเซียมีมูลค่า 547,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% พม่า 148,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.8% ลาว 104,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% และกัมพูชา 59,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8%
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #242 เมื่อ: วันที่ 20 มีนาคม 2011, 10:54:44 »

เที่ยวเชียงแสน ดินแดนประวัติศาสตร์



ท่องเที่ยว 20 มีนาคม 2554 - 00:00
    หากจะท่องเที่ยวแบบของดีมีครบนั้น ต้องบอกว่าประเทศไทยเราเป็นพื้นที่หนึ่งที่ไม่ด้อยไปกว่าคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นทะเล ภูเขา วัฒนธรรมที่หลากหลาย หรือดินแดนประวัติศาสตร์อย่างเชียงแสน
 นักท่องเที่ยวอาจคุ้นเคยกับสามเหลี่ยมทองคำ สถานที่ดังกล่าวคือ อำเภอเชียงแสน ที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของจังหวัดเชียงราย ซึ่งมีเขตติดกับประเทศพม่าและประเทศลาว เป็นเมืองที่เหมาะสำหรับคนสนใจเรื่องราวความเป็นมาของดินแดนแถบนี้ โดยเฉพาะคนที่ชอบเที่ยวดูวัดวาอาราม หรือสิ่งก่อสร้าง รักที่จะเรียนรู้สถาปัตยกรรม งานช่างต่างๆ และเสน่ห์ของเมืองนี้อยู่ตรงที่การผสมผสานระหว่างอดีตกับปัจจุบัน เพราะยังปรากฏร่องรอยโบราณวัตถุโบราณสถานหลายแห่ง
     จากหลักฐานโบราณคดีสันนิษฐานว่า การสร้างเมืองคงเริ่มขึ้นระหว่างพุทธศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา จากนั้นตัดมาที่ปี พ.ศ.2413 รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอินทวิชยานนท์ (พระเจ้านครเชียงใหม่) ได้ทรงส่งใบบอกข้อราชการไปยังกรุงเทพมหานครว่า มีชาวพม่า ไทลื้อ และไทเขิน จากเมืองเชียงตุงประมาณ 300 ครอบครัว ได้อพยพลงมาอยู่เมืองเชียงแสน และตั้งตนเป็นอิสระไม่ยอมอยู่ใต้การปกครองของสยามและล้านนา
 จึงแต่งคนไปว่ากล่าวให้ถอยออกจากเมือง ถ้าอยากจะอยู่ ให้อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของเมืองเชียงรายและนครเชียงใหม่ แต่ก็ไม่ได้ผล ไม่มีใครยอมออกไป
     ในปี พ.ศ.2417 พระเจ้านครเชียงใหม่จึงทรงเกณฑ์กำลัง 4,500 คน จากเมืองต่างๆ ยกทัพจากนครเชียงใหม่มาเมืองเชียงราย และเมืองเชียงแสน ไล่ชนเหล่านั้นออกจากเมืองเชียงแสน จึงทำให้เชียงแสนกลายเป็นเมืองร้าง
      จนถึงปี พ.ศ.2423 ได้ทรงให้เจ้าอินต๊ะ ราชโอรสในพระเจ้าบุญมาเมือง พระเจ้าผู้ครองนครลำพูนมาเป็นเจ้าเมือง (ราชวงศ์ทิพย์จักราธิวงศ์) องค์แรก และให้พระเจ้าผู้ครองนครลำพูนทรงเกณฑ์ราษฎรจากหลายเมืองประมาณ 1,500 ครอบครัว ขึ้นมาตั้งรกราก "ปักซั้งตั้งถิ่น" อยู่ที่เมืองเชียงแสนจวบจนถึงปัจจุบัน
     ต่อมาในปี พ.ศ.2442 ทางราชการได้ย้ายศูนย์การปกครองเมืองไปอยู่ที่ตำบลกาสา เรียกชื่อว่า อำเภอเชียงแสน ส่วนบริเวณเมืองเชียงแสนเดิมถูกยุบลงเป็นกิ่งอำเภอเชียงแสนหลวง ขึ้นกับอำเภอเชียงแสน และต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น กิ่งอำเภอเชียงแสน ในปี พ.ศ.2482 (โดยอำเภอเชียงแสน ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลกาสานั้นได้เปลี่ยนชื่อเป็นอำเภอแม่จันแทน) จนกระทั่งได้รับการยกฐานะเป็นอำเภอเชียงแสน ตั้งแต่ปี พ.ศ.2500 เป็นต้นมา
     สำหรับการเที่ยวชมเมืองเก่า ปัจจุบันร่องรอยของโบราณสถานในอำเภอเชียงแสนที่หลงเหลือให้เห็น มักเป็นซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้างในพุทธศาสนา ได้แก่ พระเจดีย์ และพระวิหาร ซึ่งส่วนใหญ่มีรายชื่อปรากฏอยู่ในพงศาวดารเมืองเงินยางเชียงแสน และมีวัดอยู่ทั้งสิ้น 140 วัด แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ วัดในเมือง 76 วัด และวัดนอกเมือง 65 วัด
     เริ่มต้นจากพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเชียงแสน ใกล้กับประตูป่าสัก ติดกันเป็นวัดเจดีย์หลวง ฝั่งตรงข้ามจะเป็นศูนย์ข้อมูลการท่องเที่ยวเชียงแสน จากจุดนี้สามารถไปเที่ยวชมโบราณสถานต่างๆ ได้ในรัศมีไม่เกิน 1.5 กิโลเมตร
     ตามมาที่วัดพระธาตุจอมกิตติ ตั้งอยู่บนดอยจอมกิตติ นอกเมืองเชียงแสนไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 1.7 กิโลเมตร สิ่งสำคัญภายในวัด ได้แก่ เจดีย์จอมกิตติที่ตั้งบนฐานรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเตี้ยๆ ถัดขึ้นไปเป็นฐานบัวคว่ำย่อมุมซ้อนกันสี่ชั้นรองรับเรือนธาตุย่อมุมเช่นกัน มีซุ้มประดิษฐานพระพุทธรูปปูนปั้นประทับยืนทั้งสี่ด้าน ส่วนยอดทำเป็นกลีบมะเฟืองรองรับปล้องไฉนและปลียอด ส่วนเจดีย์จอมแจ้งและเจดีย์สวนสนุกนั้นอยู่ในบริเวณใกล้เคียง
      วัดพระธาตุผาเงา ตั้งอยู่นอกเมืองทางทิศใต้ ห่างจากที่ว่าการอำเภอเชียงแสนไปตามเส้นทางเชียงของ-เชียงแสน ประมาณ 5 กิโลเมตร อยู่ตรงข้ามโรงเรียนบ้านสบคำ เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม มีเนื้อที่ประมาณ  143 ไร่
     สิ่งสำคัญภายในวัด ได้แก่ พระธาตุผาเงา ซึ่งเป็นเจดีย์ทรงระฆังขนาดเล็กตั้งอยู่บนก้อนหินใหญ่ ซึ่งบูรณะขึ้นใหม่ แต่เดิมเป็นวัดร้าง ชาวบ้านสบคำต้องการย้ายวัดสบคำจากที่เดิมที่ถูกแม่น้ำโขงกัดเซาะพังทลาย จึงมาฟื้นฟูวัดร้างนี้ขึ้นเป็นวัดดังเดิม พ.ศ.2521 
     พระธาตุเจดีย์วัดผ้าขาวป้าน มีลักษณะที่รวบรวมเอาลักษณะต่างๆ ของพระธาตุเจดีย์ที่มีมาแต่เดิมเข้าไว้ในองค์เดียวกัน จึงเกิดเป็นลักษณะพระธาตุเจดีย์อีกแบบหนึ่งขึ้น กล่าวคือ ส่วนฐานท่อนล่างทำเป็นฐานสี่เหลี่ยมจัตุรัสสามชั้นลดหลั่นกันขึ้นไป ย่อมุมไม้ 20 ถัดมาเป็นแท่งสี่เหลี่ยมทึบแบบวัดพระบวชแต่ย่อมุมมากกว่า เป็นย่อมุมไม้ 20 ไป ต่อจากนั้นจึงเป็นส่วนกลางนี้ก็ย่อมุมไม้ 20 อีกเช่นกัน
     ส่วนบนเป็นเจดีย์ทรง 16 เหลี่ยม มีทองจังโกหุ้มตลอดองค์ประกอบขององค์พระธาตุเจดีย์นั้นเพิ่มความยุ่งยากมากขึ้นยิ่งกว่าพระธาตุเจดีย์จอมกิตติ พระธาตุเจดีย์วัดผ้าขาวป้านนี้ กรมศิลปากรได้ทำการบูรณะตามแบบสภาพรูปทรงเดิมทุกประการ และได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานสำหรับชาติแล้ว
     สำหรับนักท่องเที่ยวนั้น มาที่นี่อาจจะไม่สนุกเพลิดเพลินอย่างการเที่ยวทะเลหรือเดินป่า ดังนั้นจำเป็นจะต้องมีการเตรียมพร้อมก่อนที่จะมา เพราะมิเช่นนั้นอาจเกิดอาการนอยหรืออาการน่ารำคาญและเบื่อหน่ายตามศัพท์วัยรุ่นยุคนี้ขึ้นได้
 สิ่งจำเป็น ควรศึกษาข้อมูลเบื้องต้นของสถานที่ที่จะไปท่องเที่ยวพร้อมประวัติความเป็นมา จะช่วยให้ท่องเที่ยวได้อย่างสนุกสนานและได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น เข้าใจถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นที่คุณไปเยือน
      มีจิตสำนึกต่อการรักษาสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยปฏิบัติตามกฎกติกาและข้อห้ามของสถานที่นั้นๆ และคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและชุมชนในพื้นที่ เพื่อการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน หรือแนวคิดที่เรียกว่า "7 Greens ที่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท. กำลังรณรงค์ผู้เกี่ยวข้องที่อยู่ในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นทางด้านนักท่องเที่ยว ผู้ประกอบการ หรือชุมชนรอบสถานที่ท่องเที่ยวนั้น
     คำโบราณที่ว่า “ดูแต่ตา มืออย่าต้องของจะเสีย” นั้นใช้ได้ตลอดกาล เพราะการที่คนรุ่นเรายังมีของดีๆ ให้เรียนรู้อยู่ ก็เพราะการที่คนรุ่นก่อนหน้านี้รักษาไว้นั่นเอง และก็ถือเป็นหน้าที่ของเราที่ต้องรักษาสืบทอดต่อไปให้คนรุ่นลูกหลานได้มาดูมาเห็นกันอีก นี่เป็นหลักการง่ายดายที่สุด สำหรับการท่องเที่ยวในลักษณะที่ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม อันจะสร้างความยั่งยืนให้กับสถานที่ท่องเที่ยวต่อไป
     นอกจากนี้ การเที่ยวโบราณสถานด้วยการให้ความเคารพต่อสถานที่ ขนบธรรมเนียมท้องถิ่นยังเป็นสิ่งสำคัญ การติดต่อผู้รู้ที่จะสามารถให้ความรู้เกี่ยวกับสถานที่หรือหาข้อมูลจากเอกสารแนะนำสถานที่และการท่องเที่ยวโบราณสถาน ก็เป็นเรื่องที่ช่วยเติมความสนุกให้กับทริปนั้นขึ้นไปอีก   
      ส่วนข้อควรห้ามคือ ไม่ควรปีนป่ายโบราณสถานไปแอคชั่นถ่ายรูป ไม่จับ ลูบคลำอาคารโบราณสถาน ไม่ขีดเขียนลวดลายบนผนังโบราณสถาน ไม่นำชิ้นส่วนของโบราณกลับมาบ้าน   
 ง่ายแค่นี้ก็สามารถท่องเที่ยวเมืองเก่าได้อย่างยั่งยืนและมีความสุข
 เชียงแสนก็ยังคงจะเหลือเป็นเชียงแสน เพราะหากเราไม่ดูแลรักษา อาจต้องเปลี่ยนชื่อจากเชียงแสนเหลือแต่เชียงหมื่นก็เป็นได้ 
 
http://www.thaipost.net/tabloid/200311/35940
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #243 เมื่อ: วันที่ 20 มีนาคม 2011, 10:57:47 »

ศิลปะสะท้อนชีวิตจริง ฟังเสียงสะท้อนก่อนสัมผัสของจริง (บนทางท่องเที่ยว)




 หนึ่งในโปรแกรมท่องเที่ยวต่างประเทศ ที่มักจะขาดไม่ได้ คือการจัดให้นักท่องเที่ยวไปดูพิพิธภัณฑ์สถาน หรือ ศูนย์การแสดงศิลปของเมืองนั้นๆ ซึ่งโปรแกรมดังกล่าวนี้ ดูเหมือนจะไม่เป็นที่รังเกียจของผู้ท่องเที่ยวเท่าไรนัก เนื่องจาก นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่รู้ว่า งานศิลปะของศิลปินทุกชาติ ย่อมสะท้อนภาพจริงของวิถีชีวิต และจิตวิญญาณของชนชาตินั้นๆ การได้รับรู้ถึง จิตวิญญาณของชนชาติต่างๆที่เรากำลังจะไปเยี่ยมชม จึงเท่ากับเป็นการ เติมเต็มภาพรวมของชนชาตินั้นๆนั่นเอง

 การท่องเที่ยวในประเทศไทยของเราก็เช่นเดียวกัน กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติส่วนใหญ่ ที่เข้ามาเที่ยวในกรุงเทพมหานคร ก็มักจะไม่ขาดที่จะได้เยี่ยมชม พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ และเยี่ยมชม โบราณสถานที่สำคัญๆของคนไทย

 ปัจจุบัน งานทางด้าน ศิลปวัฒนธรรมของคนไทยรุ่นใหม่มีการพัฒนาขึ้นมาก ทั้งด้าน คุณภาพ และ แนวคิด จึงมีผลทำให้ งานศิลปะของคนไทยรุ่นใหม่ มีการแสดงออกถึง จิต และวิญญาณแห่งความเป็นไทยได้อย่างลุ่มลึก และ กว้างขว้างมากขึ้น จึงทำให้ งานศิลป ของคนไทยรุ่นใหม่จึงค่อนข้างจะน่าส่งเสริมและให้มีการเผยแพร่มากยิ่งขึ้น

 แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า การท่องเที่ยวของคนไทย และต่างประเทศที่มาเยือนประเทศไทย ยังไม่ค่อยมีการ เปิดกว้างให้กับนักท่องเที่ยวมากนัก ทั้งๆที่ ประเทศไทยในปัจจุบัน ได้เกิด แหล่งท่องเที่ยวทางศิลปะมากขึ้น ทั้งในส่วนกลาง และต่างจังหวัด

 จึงน่าที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย และ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว ควรจะช่วยกันส่งเสริม และเผยแพร่แหล่งท่องเที่ยวที่เกี่ยวข้องกับงานทางด้านศิลปะให้เพิ่มมากขึ้น ด้วยการผนวกโปรแกรมการท่องเที่ยวไปยัง งานด้านศิลปะให้มากขึ้น

 มีแหล่งท่องเที่ยวในเชิงศิลปะที่เปิดขึ้นเพื่อรองรับงานศิลปะเพื่อการท่องเที่ยวเพิ่มมากขึ้นในหลายจังหวัดของไทย อาทิ หอศิลป์ริมน่าน, วัดร่องขุ่น, และ 9 Art Gallery / Architect Studio เป็นต้น สถานที่เหล่านี้ มีผลงานทางศิลปะที่พร้อมจะเปิดเผยให้ นักท่องเที่ยวได้มองเห็น จิต และวิญญาณของความเป็นไทยที่หลากหลายกันออกไป




 ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด ซึ่งจะขอยกเอามาให้ได้รับรู้กัน คือ นิทรรศการศิลปกรรม "คงอยู่...เคียงคู่...คุ้นเคย"โดย จันทร์เพ็ญ พงศ์นิวัตร นิธิ ใหญ่ลา ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 12 มีนาคม - 7 เมษายน 2011 เวลา 10.00 น.-20.00 น. (เว้นวันจันทร์) ณ 9 Art Gallery / Architect Studio 786/11 หมู่ 3 ถ.พหลโยธิน ต.เวียง อ.เมือง จ.เชียงราย 57000 โทร. 0-53719110 Email:artgallery9@hotmail.com , artgallerynine@gmail.com www.9artgallery.com

 ใครที่มีโอกาสได้เข้าไปเยี่ยมชมผลงานของ สองจิตกร ดังกล่าว คุณ จันทร์เพ็ญ พงศ์นิวัตร เปิดเผยถึง แนวคิด (Concept) ของ นิทรรศการ" คงอยู่ เคียงคู่ คุ้นเคย " ว่า จะบอกเล่าถึง สิ่งต่างๆ ที่รายล้อมอยู่รอบๆตัวเรา ที่ เรารับรู้และเห็นมาตั้งแต่จำความได้ จนรู้สึกคุ้นเคยและชินตา สิ่งเหล่านั้นอยู่มา หมุนเวียน ยาวนาน และจะคงอยู่ต่อไปอีกยาวนานเกินที่เราจะคาดเดาและถือว่าเป็นความโชคดีของฉันที่ได้มีโอกาสเป็นส่วนหนึ่งในช่วงเวลานั้น ได้รับรู้ ได้มองเห็น และได้ถ่ายทอดเป็นภาพสีน้ำผ่านปลายพู่กันมาเป็นชิ้นงานที่เรียบง่าย ...

 หลายๆภาพที่ถูกนำมาแสดง เป็นภาพในใจ ของศิลปิน จนทำให้เกิดเป็น แรงบันดาลใจ เมื่อครั้งที่ฉันนั้นยังคงเป็นเพียงเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ยายของฉันมักจะพาไปทำบุญที่วัดด้วยทุกครั้งเมื่อมีโอกาส จำได้ว่าบ่อยมาก หลังจากที่ยายใส่บาตรเสร็จแล้วท่านมักจะเหลือข้าวเอาไว้นิดหน่อยเพื่อนำมากำจนเป็นก้อนให้ฉันกินเสมอ วันเวลาผ่านไปจนถึงวันนี้ วันที่ฉันโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว วันที่ไม่มียาย ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นยังคงอยู่แบบเลือนลาง ... เมื่อฉันได้มาอยู่ที่เชียงราย วัดแห่งหนึ่งทำให้ฉันได้เห็นภาพเหล่านั้นได้ชัดเจนอีกครั้ง ทุกอย่างเหมือนเดิม กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยมาตามลมคือลั่นทมนั่นเอง ดอกสีเหลืองสดใสที่มักจะมาพร้อมกับการสาดน้ำ ดอกคูณ และดอกไม้อีกหลากหลายสีสันที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาอวดโฉม เบ่งบานตามกาลเวลา คนที่ใส่ชุดสีเหลืองยังคงแต่งกายเหมือนเดิม ไม่มีผม และคิ้ว นั้นคือผู้ที่สืบทอดศาสนา มีผู้คนมาคอยใส่บาตรและฉันเห็นหญิงที่มีผมสีขาวกำลังตักข้าวใส่บาตรพระโดยมีเด็กหญิงตัวเล็กๆเกาะชายเสื้ออยู่ข้างๆ ฉันสัมผัสได้ถึงข้าวอุ่นๆ หอมๆ ที่อยู่ในมือของหญิงชราคนนั้น

 หากนักท่องเที่ยว มีโอกาสที่จะได้รับรู้ถึง เรื่องราว แนวคิด และแรงบันดาลใจที่เหล่าศิลปิน สะท้อนภาพของวิถีชีวิตของคนในท้องวถิ่นออกมาให้ได้รับรู้กันอย่างเป็นรูปธรรมแบบนี้ จะทำให้การท่องเที่ยว มีชีวิตชีวา และ เพิ่มจิตวิญญาณแห่งการท่องเที่ยวให้บรรเจิดจ้ามากยิ่งขึ้น

 การเดินทางท่องเที่ยวทางด้านศิลปะจึงน่าจะเป็น ปัจจัยสำคัญอีกอย่างของการท่องเที่ยวในยุคนี้ ที่นักท่องเที่ยวต้องการรับอรรถรสทั้ง คุณภาพ และ จิตวิญญาณไปพร้อมๆกัน

http://www.naewna.com/news.asp?ID=253995
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #244 เมื่อ: วันที่ 21 มีนาคม 2011, 13:30:24 »

วันที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4298  ประชาชาติธุรกิจ


สภาอุตฯจี้รัฐ"รถไฟรางคู่-ถนน4เลน"เชื่อมขนส่งทั่วปท.



ส.อ.ท.จัดประชุมระดมสมองทำยุทธศาสตร์พัฒนาอุตสาหกรรม 5 ภาคเสนอรัฐ เน้นสร้างรถไฟรางคู่-รางเดี่ยว/ถนน 4 เลน เชื่อมการขนส่งทั่วประเทศ พร้อมสนับสนุนท่าเรือปากบารา ท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 ศูนย์กระจายสินค้าทุ่งสง เร่งรัดตั้งเศรษฐกิจแม่สอด



ผู้สื่อข่าว "ประชาชาติธุรกิจ" รายงานว่า ในวันที่ 19 มีนาคม 2554 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ได้จัดประชุมทำยุทธศาสตร์สภาอุตสาหกรรมจังหวัดและกลุ่มจังหวัด 5 ภาค ครั้งที่ 1/2554 ที่จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ร่วมปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจอุตสาหกรรมระหว่างภาครัฐและเอกชน" พร้อมกับพิจารณาสรุปข้อเสนอเพื่อขอความช่วยเหลือจากรัฐ

ทั้งนี้ กลุ่มจังหวัด 5 ภาค ส.อ.ท. ประกอบด้วยภาคเหนือ 16 จังหวัด (ขาดจังหวัดแม่ฮ่องสอน), ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 19 จังหวัด, ภาคกลาง 16 จังหวัด, ภาคตะวันออก 9 จังหวัด และภาคใต้ 14 จังหวัด ได้เสนอโครงการในแต่ละภูมิภาค เพื่อขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาลใน 3 โครงการหลัก ได้แก่

1) โครงการรถไฟรางคู่/รางเดี่ยว ประกอบไปด้วยสายเหนือ เส้นทางสายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงแสน-เชียงของ สายตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงมาบกะเบา-นครราชสีมา, ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น, ช่วงแก่งคอย-บัวใหญ่ สายใต้ ช่วงนครปฐม-หัวหิน, ช่วงหาดใหญ่- ปากบารา และโครงการรถไฟระบบรางคู่ เชื่อมโยงกับการขนส่งทางรางขนานกับรถไฟรางเดี่ยว ตั้งแต่สถานีรถไฟชุมพร-สุราษฎร์ธานี-ชุมทางรถไฟทุ่งสง-พัทลุง-ชุมทางรถไฟหาดใหญ่-สถานีรถไฟปัตตานี-สถานีรถไฟสุไหง-โกลก

ส่วนโครงการรถไฟรางเดี่ยว ประกอบไปด้วยเส้นทางรถไฟระบบรางเดี่ยว จากชุมพร-ระนอง เชื่อมต่อการ ขนส่งไปยังท่าเรือระนอง, เส้นทางสุราษฎร์ธานี-พังงา, สุราษฎร์ธานี-ดอนสัก-ขนอม, หาดใหญ่-สงขลา เชื่อมต่อการขนส่งไปยังท่าเรือน้ำลึกสงขลา และสายระยอง-จันทบุรี-ตราด

2) โครงการสร้างถนน แบ่งเป็น 2 โครงการ คือถนน 4 เลน ใน 3 เส้นทาง คือเส้นทางขนถ่ายสินค้าจากหาดใหญ่-สตูล-กระบี่-พังงา-ระนอง, เส้นทางจากเลียบชายฝั่งชุมพร-สุราษฎร์ธานี-นครศรีธรรมราช และเส้นทางชุมพร-ระนอง บรรจบกับเส้นทางจากระนอง-พังงา-กระบี่-ตรัง-สตูล-หาดใหญ่

การสร้างถนนเชื่อมภูมิภาค ระหว่างภาคเหนือ-ตะวันตก-ใต้ โดยเริ่มจากเชียงราย-เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน-ตาก-กำแพงเพชร-นครสวรรค์-อุทัยธานี-สุพรรณบุรี-กาญจนบุรี-ราชบุรี-เพชรบุรี-ประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร กับถนนภาคเหนือลงสู่ภาคใต้ โดยไม่ผ่านกรุงเทพ มหานครและปริมณฑล แต่เป็นเส้นทางที่วิ่งเลียบชายแดน

และ 3) เรื่องอื่นๆ ประกอบไปด้วยโครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 บริเวณบ้านแซว อ.เชียงแสน จ.เชียงราย, โครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ จ.เชียงราย, โครงการสร้างท่าเรือน้ำลึกปากบารา, โครงการศูนย์ซ่อม/สร้างตู้คอนเทนเนอร์ท่าเรือปากบารา, การ ขอสนับสนุนและส่งเสริมการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าในภาคใต้ที่ชุมทางรถไฟทุ่งสง ในกรณีที่มีการก่อสร้างท่าเรือน้ำลึกทวาย, การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจแม่สอดโดยเร็ว, การขอสนับสนุนและผลักดันให้มีการก่อสร้างสะพานมิตรภาพไทย-พม่าแห่งที่ 2 ที่ อ.แม่สอด จ.ตาก เพื่อบรรเทาปัญหาสะพานมิตรภาพไทย-พม่าชำรุด ไม่สามารถรองรับปริมาณขนส่งสินค้าที่เพิ่มมากขึ้นได้ ประกอบกับการขนส่งต้องใช้รถบรรทุกขนาด 25 ตัน ทำให้ต้องขนถ่ายสินค้าลงรถบรรทุกเล็กและขนข้ามสะพานและบริเวณด่านพรมแดนไม่สามารถรองรับปริมาณการส่งออกและรถบรรทุกที่เพิ่มจำนวนขึ้นได้ รวมทั้งจุด One Stop Service ไม่อยู่ในจุดที่สามารถให้บริการกับรถบรรทุกได้สะดวก

หน้า 1
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #245 เมื่อ: วันที่ 21 มีนาคม 2011, 13:36:21 »

เชียงราย - งานชาบนดอยแม่สลอง เชียงรายคึกคัก หลังจัดยาวตั้งแต่ 18 มีนาฯ ถึงวันนี้ (21 มี.ค.) พาณิชย์หวังบูมท่องเที่ยวก่อนเข้าเทศกาลสงกรานต์ คาดสะพัดมหาศาล
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า หลังจากนางพิมพวรรณ ชาญศิลป์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ ได้เดินทางไปเป็นประธานในพิธีเปิดงาน “ย่านการค้าชาดอยแม่สลอง” ณ สนามโรงเรียนสันติคีรี ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย โดยมีนายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำคณะข้าราชการที่เกี่ยวข้องและภาคเอกชนซึ่งประกอบการปลูกชาและเกษตรกรที่ปลูกชาบนดอยแม่สลอง เข้าร่วมในงานดังกล่าวครบครัน โดยวันนี้ (21 มี.ค.) จะเป็นวันสุดท้ายของงานดังกล่าว
       
       ภายในงานมีการจัดการแสดงของชนเผ่าต่างๆ บนเวทีซึ่งมีความตระการตา สร้างความประทับใจให้แก่นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเยือนดอยแม่สลองอย่างมาก ขณะที่บริเวณงานมีการจัดแสดงนิทรรศการประวัติการปลูกชาดอยแม่สอง ผลิตภัณฑ์ชาชนิดต่างๆ การเชิญชวนจิบชา อาหารจากชา ฯลฯ รวมทั้งมีร้านค้าต่างๆ จากหลายจังหวัดทั่วประเทศนำสินค้าไปจัดแสดงจำนวนประมาณ 70 ร้าน ขณะที่บนดอยแม่สลองมีการพัฒนาด้านการพาณิชย์ต่างๆ มากมาย ซึ่งแตกต่างจากในอดีต เช่น ร้านอาหาร ร้านกาแฟ ฯลฯ โดยพยายามอิงกับธรรมชาติและวิถีชีวิต
       
       สำหรับกิจกรรมดังกล่าวนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้จัดขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วงก่อนถึงเทศกาลสงกรานต์ โดยเลือกพื้นที่ที่มีความพร้อม ซึ่งก็คือดอยแม่สลองในการนำร่องโครงการดังกล่าว ภายใต้งบประมาณ 20 ล้านบาท และตั้งเป้าจะมีผู้เดินทางไปชมงานประมาณ 50,000 คน
       
       อย่างไรก็ตาม ช่วงต้นการจัดงานพบว่ามีฝนตกและสภาพอากาศหนาวเย็นอย่างมากทำให้บรรยากาศไม่คึกคักมากนัก แต่เมื่อผ่านพ้นช่วงอากาศดังกล่าวและเข้าสู่วันหยุดเสาร์และอาทิตย์ทำให้ภารในงานมีความคึกคักมากขึ้นตามเป้า
       
       รางานข่าวแจ้งด้วยว่า ไร่ชาบนดอยแม่สลองมีจำนวนทั้งหมดประมาณ 60,000 ไร่ แบ่งเป็นชาอู่หลงประมาณ 18,000 ไร่และชาพื้นเมืองหรือชาอัสสัมประมาณ 32,000 ไร่ เกษตรกรมีต้นทุนในการปลูกไร่ละประมาณ 30,000-40,000 บาท และเมื่อปลูกเสร็จก็มีค่าดูแลไร่ละ 3,000 บาทต่อเดือน
       
      อย่างไรก็ตาม เนื่องจากใบชามีราคาแพงโดยชาอูหลงเบอร์ 12 กิโลกรัมละ 40-100 บาท และหากเป็นชาอินทรีย์จะมีราคาที่สูงกว่าชาปกติทั่วไปกว่า 10 เท่าตัว โดยชาอินทรีย์อู่หลงเบอร์ 12 มีราคาสูงถึงกว่า 2,000 บาทต่อกิโลกรัม และเบอร์ 17 กิโลกรัมละ 1,000-3,600 บาท เป็นต้น

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000035788
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
crlove
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 389



« ตอบ #246 เมื่อ: วันที่ 22 มีนาคม 2011, 13:25:23 »

สร้างทางลอด ตรงแยกศรีทรายมูล ให้ด้วยน่ะครับ รถติดมากเลย และก็ทางยกระดับหน้าสนามบินด้วย รถติดอ่ะมาก ๆ ๆ ขอบคุณครับ


* cimg0081_resize.jpg (132.57 KB, 640x480 - ดู 817 ครั้ง.)

* 550000001623005jc0.jpg (130.39 KB, 640x480 - ดู 672 ครั้ง.)

* cimg0085_resize.jpg (147.69 KB, 640x480 - ดู 625 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #247 เมื่อ: วันที่ 22 มีนาคม 2011, 21:55:12 »

เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

ผู้ใหญ่ ในบ้านเมือง มาอ่าน ช่วยพิจารณาด้วยนะครับ..
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #248 เมื่อ: วันที่ 23 มีนาคม 2011, 11:20:56 »

ไทย-จีนร่วมทุนยางพารา ดันพะเยา-เชียงรายเป็นฐาน ศูนย์กลางการผลิตครบวงจร


 พะเยา:ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กลุ่มนักธุรกิจจากประเภทอุตสาหกรรมยางพาราในนามบริษัท ฮกเกี้ยน และบริษัทเทียนจีน ประเทศจีน ภายใต้การนำของนางหวัง ลี่ ฮวย ได้เดินทางมาสำรวจวัตถุดิบยางพาราในพื้นที่ภาคเหนือตอนบน คือ จ.พะเยา และเชียงราย พร้อมทั้งตกลงร่วมทุนกับกลุ่มนักธุรกิจยางพาราครบวงจรในภาคเหนือ ภายใต้โครงการอุตสาหกรรมยางพาราครบวงจร

 นายรุ่งโรจน์ เหมันต์สุทธิกุล ที่ปรึกษาและหุ้นส่วนโครงการฯ กล่าวว่า โครงการดังกล่าวเป็นการร่วมทุนระหว่างกลุ่มนักธุรกิจยางพาราจากประเทศจีน และนักธุรกิจยางพาราของไทย มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งมีฐานการผลิตที่ภาคเหนือตอนบน โดยใช้พื้นที่ จ.พะเยา และเชียงราย เป็นศูนย์กลางการผลิตและแปรรูปยางพาราครบวงจร ทั้งยางแผ่นดิบแผ่นดิบรมควัน น้ำยาง ยางแท่ง และน้ำยางข้น ซึ่งจะมีวัตถุดิบยางพาราจากจังหวัดข้างเคียงเข้ามา เช่น แพร่ น่าน และลำปาง จากนั้นอาจจะมีการขยายและต่อยอดไปภาคยังจังหวัดอื่นๆ ต่อไป

 สำหรับแผนงานธุรกิจของโครงการแบ่งออกเป็น 3 ระยะ คือ ระยะที่ 1 การผลิตยางแผ่นดิบรมควัน ระยะที่ 2 การผลิตยางแท่ง และ ระยะที่ 3 การผลิตน้ำยางข้น โดยหลังจากเปิดตัวโครงการในเดือน เม.ย. 2554 คาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดในพื้นที่ จ.พะเยา และเชียงราย ไม่น้อยกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้กลุ่มทุนเอกชนทั้งสองกลุ่มได้ลงนามทำข้อตกลงร่วมกันเรียบร้อยแล้วพร้อมเดินหน้าอย่างเต็มที่

 โดยเหตุผลที่นักลงทุนของไทยและจีนให้ความสนใจมาลงทุนอุตสาหกรรมยางพาราครบวงจรที่ภาคเหนือตอนบน เนื่องจากสำรวจพบว่า เป็นแหล่งการผลิตยางพาราที่มีคุณภาพและพื้นที่ปลูกขยายมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และภาครัฐมีนโยบายให้การสนับสนุนทุกปี ประกอบกับภาครัฐได้จัดทำระบบขนส่งวัตถุดิบเพื่อรองรับการส่งออกไปสู่ประเทศจีนที่เห็นได้อย่างชัดเจน ซึ่งเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าโครงการนี้จะสร้างความมั่นคงด้านเศรษฐกิจให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางพาราของภาคเหนือและภาคอื่นๆ ได้ในอนาคต

http://www.naewna.com/news.asp?ID=254327
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
p1138
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #249 เมื่อ: วันที่ 23 มีนาคม 2011, 18:14:45 »

จ.เชียงรายเป็นจังหวัดที่อยู่เหนือสุดและมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจครับ
IP : บันทึกการเข้า
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #250 เมื่อ: วันที่ 24 มีนาคม 2011, 12:25:05 »

ต่างชาติ-ไทยผวารังสี-สึนามิ - สงคราม!!! “ไทย” เสียบ ดูดเงินนักท่องเที่ยว

โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์   24 มีนาคม 2554
      
 
      
       ทัวร์-โรงแรม ระบุ
       เชียงใหม่-พัทยา ยอดกระฉูด
      
       ด้านความเคลื่อนไหวของเอกชน ล่าสุด ประสิทธิ สิงห์ดำรง นายกสมาคมผู้ประกอบธุรกิจถนนข้าวสาร เปิดเผยว่า สงกรานต์นี้ได้รับผลกระทบจากนักท่องเที่ยวญี่ปุ่น ซึ่งปรกติมีสัดส่วนราว 10% จะไม่เดินทางมาในช่วงนี้ ทำให้อัตราเข้าพักเฉลี่ยจะลดลง 5-10% เหลือประมาณ 80% คาดว่าปัจจัยหลักนอกจากญี่ปุ่นที่งดเดินทางแล้ว ยังเป็นเพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติตลาดหลักอย่างยุโรปนิยมเดินทางไปต่างจังหวัด อาทิ เชียงใหม่ เชียงราย ภูเก็ต กระบี่ สมุย มากกว่า

      
       การจัดงานสงกรานต์ถนนข้าวสารปีนี้ 4 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ 12-15 เมษายน ทั้งนี้ หลังจากผ่านเหตุการณ์ความไม่สงบบนถนนราชดำเนินเมื่อปีที่แล้ว ผู้ประกอบการต่างๆ เริ่มฟื้นฟูธุรกิจระหว่างปีที่ผ่านมา ทำให้ย่านข้าวสารมีห้องพักใหม่เพิ่มไม่ต่ำกว่า 20%
      
       ส่วน สราวุฒิ แซ่เตี๋ยว นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ให้สัมภาษณ์ว่า คาดว่าสงกรานต์ปีนี้มีนักท่องเที่ยวเพิ่มราว 10% ตลาดที่เพิ่มขึ้นคือ คนไทยและเอเชียจากจีนและเกาหลี ขณะที่ตลาดต่างชาติที่ยังได้รับผลกระทบคืออเมริกา ที่ปรกติมาเป็นอันดับหนึ่ง แต่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากภาวะเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับตลาดอันดับ 2 อย่างญี่ปุ่น ที่ปรกติเดินทางเข้ามาเชียงใหม่ราว 1 แสนคนต่อปี จะชะลอการเดินทางช่วงสงกรานต์นี้แน่นอน
      
       ประกิจ ชินอมรพงษ์ นายกสมาคมโรงแรมไทย (ทีเอชเอ) เปิดเผยว่า ในช่วงสงกรานต์นี้จุดหมายที่ได้รับความนิยมสูงสุดคือ ภูเก็ต มีแนวโน้มอัตราเข้าพัก 80-85% ขึ้นไป เนื่องจากได้ชาร์เตอร์ไฟลต์นำนักท่องเที่ยวจากจีน ส่วนเชียงใหม่ยังมีลูกค้าคนไทยเป็นหลัก อัตราเข้าพักราว 70-75% แต่ในภาพรวมทั้งประเทศคาดว่าทุกพื้นที่ทั้งเชียงใหม่ พัทยา จะมีอัตราเข้าพักดีขึ้น 15-20% เทียบกับเมษายนปีที่แล้วซึ่งเกิดเหตุไม่สงบในกรุงเทพฯ
      
       สำหรับอัตราเข้าพักเฉลี่ยเดือนมีนาคม เฉลี่ยทั้งประเทศ 65-70% ส่วนโรงแรมในกรุงเทพฯ อัตราเข้าพักราว 75-80% ซึ่งลดลงกว่าเดือนมกราคม กุมภาพันธ์ เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ช่วงปลายไฮซีซัน แต่เดือนเมษายน-พฤษภาคม มีโอกาสกระตุ้นคนไทยเที่ยวในประเทศเพิ่ม หลังจากที่ส่วนหนึ่งไม่สามารถเดินทางไปญี่ปุ่นได้ และเลือกไปจุดหมายอื่น เช่น จีน เกาหลี แทน
      
       เปิด 10 แหล่งท่องเที่ยวแปลกใหม่เอเชีย
      
       จากสถานการณ์ผวากัมมันตภาพรังสีและสึนามิที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ส่งผลให้บรรดาขาเที่ยวทั้งหลายต้องแสวงหาพื้นที่ใหม่เพื่อจะได้ท่องเที่ยวแห่งใหม่ ทาง “อโกด้า” บริษัทผู้ให้บริการเว็บไซต์สำรองห้องพักในโรงแรมแบบออนไลน์ยอดนิยม ได้ทำการคัดเลือกแหล่งสถานที่ท่องเที่ยวยอดแปลกใหม่ที่กำลังได้รับความนิยมในเอเชียประจำปี 2554 มา 10 แห่ง ครอบคลุมลักษณะภูมิประเทศ บรรยากาศ วัฒนธรรมที่หลากหลาย และประสบการณ์ท่องเที่ยวครบทุกรสชาติ ไม่ว่าจะเป็น สนุกสนาน โรแมนติก ผจญภัย ผ่อนคลาย เงียบสงบ ให้ความรู้เชิงประวัติศาสตร์ และอื่นๆ อีกมากมาย
      
       จุดหมายปลายทางบางแห่งเป็นเมืองที่คึกคัก บางแห่งเป็นเกาะซึ่งอยู่ห่างไกล แต่ทุกแห่งล้วนมีเอกลักษณ์และวัฒนธรรมเฉพาะตัวที่ทำให้นักท่องเที่ยวอยากกลับมาเยือนอีกครั้ง
        
      
       สำหรับ 10 สถานที่ท่องเที่ยวแปลกใหม่แห่งปี 2554 ประกอบด้วย
       1.เกาะฟู้ก๊วก ประเทศเวียดนาม เกาะฟู้ก๊วกเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของเวียดนาม มีภูมิประเทศเป็นเทือกเขาอยู่ท่ามกลางป่าเขตร้อน ในเดือนกรกฎาคม 2553 อุทยานแห่งชาติฟู้ก๊วกได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในเขตสงวนชีวมณฑลโลกขององค์การยูเนสโก เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของพรรณไม้และระบบนิเวศทางทะเลอันหลากหลาย
      
       2.ทาคายามา ประเทศญี่ปุ่น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของโตเกียว ในบริเวณเทือกเขาของจังหวัดกิฟุ สถานที่แห่งนี้มักเรียกกันในชื่อฮิดะทาคายามา เป็นเมืองประวัติศาสตร์ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่สูงของเทือกเขา มีอากาศสดชื่นและท้องฟ้าแจ่มใส
      
       3.สุรากาตาร์ (โซโล) ประเทศอินโดนีเซีย ตั้งอยู่ในเกาะชวาตอนกลาง 60 กิโลเมตรจากยอร์กยากาตาร์ เป็นที่รู้จักมากกว่าในชื่อโซโล (Solo) เป็นที่อยู่อาศัยของประชากร 800,000 คน ที่แม้จะไม่ถึงขนาดเป็นขุมทรัพย์แห่งการท่องเที่ยว แต่โซโล ก็เป็นเมืองที่มีความรุ่งเรืองทางวัฒนธรรม นักท่องเที่ยวมีโอกาสมากมายในการได้ศึกษาประวัติศาสตร์และประเพณีของชวาอย่างละเอียด ศิลปะการทำผ้าบาติกหยั่งรากลึกในวัฒนธรรมโซโล จนถึงกับมีการจัดเทศกาลผ้าบาติก (Solo Batik Carnival) ขณะที่นอกเมืองก็มี Prambanan สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของฮินดูที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยยูเนสโก
      
       4.เกาะหลีเป๊ะ ประเทศไทย เกาะหลีเป๊ะเป็นเกาะเล็กๆ แห่งทะเลอันดามัน ในอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา จ.สตูล 5.บาเกียว ประเทศฟิลิปปินส์ ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของมะนิลา เมืองหลวงของฟิลิปปินส์ ระยะทาง 730 กิโลเมตร เป็นเมืองแห่งป่าสนภูเขาที่มีอากาศเย็นสบาย มหาวิทยาลัย เหมืองแร่ นาขั้นบันได และถนนที่คดเคี้ยวตัดผ่านทิวเขา
      
       6.นูวารา เอลิยา ประเทศศรีลังกา อยู่บริเวณตอนกลางของศรีลังกา สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,900 เมตร ถือเป็นเมืองบนเขาสไตล์โคโลเนียลในอดีต ตั้งอยู่ใจกลางศรีลังกา ประเทศแห่งชา ห่างจากเมืองแคนดี 40 กิโลเมตร และจากเมืองหลวงโคลัมโบ 180 กิโลเมตร ทางรถยนต์
      
       7.เชจู ประเทศเกาหลีใต้ เกาะเชจูอยู่ในคาบสมุทรเกาหลี ตอนใต้ของประเทศเกาหลีและทางฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น เป็นเกาะภูเขาไฟที่มีภูมิอากาศแบบกึ่งเขตร้อน ป่าดิบ ถ้ำลาวา น้ำตก ทะเลสาบปล่องภูเขาไฟแห่งเดียวของประเทศ และภูเขาฮัลลา (Halla) ที่สูงที่สุดในเกาหลี
      
       8.จันทบุรี ประเทศไทย ตั้งอยู่ริมอ่าวไทย มีพรมแดนติดกับกัมพูชา และติดกับจังหวัดระยองและตราด เป็นจังหวัดที่มีความหลากหลายทางภูมิประเทศและมีสินแร่ที่อุดมสมบูรณ์ พร้อมด้วยสวนผลไม้ น้ำตก ภูเขาและถ้ำหินปูน ป่าดิบชื้น และชายหาดเป็นแนวยาว นอกเหนือจากสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติแล้ว ยังมีตลาดและร้านจำหน่ายอัญมณี วัด เจดีย์ และสถานที่ทางประวัติศาสตร์และทางศาสนาอีกหลายแห่งเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว
      
       9.กวนตัน ประเทศมาเลเซีย ตั้งอยู่บนชายฝั่งตะวันออกของคาบสมุทรมาเลเซีย ประมาณ 200 กิโลเมตร ทางตะวันออกเฉียงเหนือของกัวลาลัมเปอร์ ชายหาดของกวนตัน มัสยิดประจำเมืองกวนตัน มาเลเซียเป็นสถานที่พักผ่อนที่วิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวในประเทศ ด้วยหน้าผาและหาดทรายขาวอันเงียบสงบ ในตัวเมืองมีประชากรประมาณ 600,000 คน และยังคงมีบรรยากาศแบบเมืองชนบทเล็กๆ
      
       10.จูไห่ ประเทศจีน ตั้งอยู่ในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำเพิร์ล พรมแดนทางทิศใต้ติดกับมาเก๊า เป็นเมืองริมทะเลที่สะอาดและสวยงาม ด้วยทางเดินเลียบริมน้ำที่น่าดึงดูดใจ ชายหาด เกาะ และทิวทัศน์ยามเย็นที่น่าตื่นตาตื่นใจ
      
       แหล่งเที่ยวทะเลไทยมั่นใจยอดนักเที่ยว
      
       ภูเก็ต พัทยา กระบี่ ยืนยันนักท่องเที่ยวยังเดินหน้าสู่แหล่งท่องเที่ยวทางทะเล พร้อมมั่นอกมั่นใจผลกระทบจะกลายเป็นโอกาสที่นักท่องเที่ยวจะหลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวอย่างแน่นอน
      
       สมบูรณ์ จิรายุส นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต กล่าวว่า ผลกระทบจากสึนามิของญี่ปุ่นเชื่อว่าไม่มีผลกระทบต่อนักท่องเที่ยวต่างชาติ เนื่องจากเขามองว่าเป็นเหตุการณ์ธรรมชาติ นอกจากนี้จังหวัดภูเก็ตมีการซักซ้อมในเรื่องสึนามิเป็นอย่างดีจึงมั่นใจได้
      
       ส่วนคนไทยนั้นก็อาจจะกระทบกับคนบางกลุ่ม แต่คนที่มีข้อมูลเพียงพออยู่แล้วเขาจะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับญี่ปุ่นไม่มีผลกระทบต่อภูเก็ต นอกจากนี้ การที่ไทยเคยเกิดเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนไทยรู้จักที่จะตั้งรับ และการมีหอกระจายข่าวเตือนภัยก็เป็นเครื่องมือที่ช่วยเหลืออย่างหนึ่ง
      
       สำหรับปริมาณนักท่องเที่ยวไทยที่เข้ามาในภูเก็ตช่วงนี้มีประมาณ 10-15% เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นทำให้หาที่พักได้ยาก แต่หลังจากเดือนเมษายนไปแล้วจะเป็นช่วงที่นักท่องเที่ยวไทยเข้ามามากคาดว่าจะมีตัวเลขอยู่ที่ 20-25%
      
       อย่างไรก็ตาม นักท่องเที่ยวหากต้องการมาเที่ยวทะเลเขาต้องมาที่อ่าวไทยหรืออันดามันอยู่แล้ว ดังนั้น คนที่กลัวไม่ว่าจะทำโปรโมชั่นยังไงเขาก็ไม่มา แม้แต่จะให้ฟรีก็ตาม ส่วนคนที่มาเขาอาจจะไม่กลัวกับเหตุการณ์หรือเขามั่นใจในเครื่องเตือนภัยก็เป็นได้ ดังนั้น โปรโมชั่นที่สมาคมฯจะทำเป็นโปรโมชั่นที่กระตุ้นตลาดจะไม่ใช่โปรโมชั่นที่ออกมาเพื่อดึงคนที่กลัวสึนามิให้เข้ามาพัก
      
       อิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวจังหวัดกระบี่ กล่าวว่า จากการที่มีนักวิชาการหรือหมอดูออกมาทำนายว่าประเทศไทยจะเกิดสึนามินั้น ข่าวแบบนี้มีผลต่อการตัดสินใจมาท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวทั้งสิ้นซึ่งให้ภาพทางลบ แต่ก็ให้ภาพทางบวกในแง่ของการเป็นการเตือนให้นักท่องเที่ยวรู้จักการระมัดระวังตัวในการเดินทาง รวมทั้งผู้ประกอบการเองก็ต้องระวังตัว
      
       “จริงๆ แล้วการออกข่าวแบนี้ก็เท่ากับเป็นการเตือนภัยอย่างหนึ่ง ซึ่งผู้ประกอบการเขาก็มีเครื่องมืออุปกรณ์ที่คอยเตือนภัยไว้แล้ว ซึ่งจะเตือนภัยก่อนที่จะเกิดคลื่นสึนามิได้ล่วงหน้าเป็นชั่วโมง และผู้ประกอบการก็มีการซักซ้อมในเรื่องนี้ตลอดเวลา มีป้ายแนะนำบอกว่าจะหนีไปยัง”
      
       ทั้งนี้ ในช่วงหน้าไฮซีซั่นนี้จะมีนักท่องเที่ยวซึ่งเป็นชาวสแกนดิเนเวียเข้ามาพัก 70-80% เนื่องจากต่างชาติไม่ค่อยกลัวเรื่องภัยพิบัติ และมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมชาติ ส่วนคนไทยจะมาพักช่วงโลว์ซี่ชั่นหรือหลังสงกรานต์หรือช่วงเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมประมาณ 10-20% ซึ่งช่วงหน้าไฮซีซั่นจำนวนผู้เข้าพักโรงแรมอยู่ที่ 70-90% จากจำนวนทั้งหมด 15,000 ห้อง
      
       อย่างไรก็ตาม หากปริมาณนักท่องเที่ยวไทยช่วงโลว์ซีซั่นมีปริมาณลดลงจากปัญหาสึนามินั้น สมาคมฯก็ไม่มองหาการทำตลาดใหม่ๆ ไว้แล้ว โดยตลาดที่จะเข้าไปจับคือตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวมาเลย์และสิงคโปร์ ซึ่งจะทำตลาดผ่านงานท่องเที่ยวของเขา ที่ผ่านมาก็มีการทำตลาดนี้อย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว
      
       อิทธิพล คุณปลื้ม นายกเมืองพัทยา กล่าวว่า การเกิดสึนามิที่ญี่ปุ่นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อไทย แต่ยังส่งผลด้านดีด้วยซ้ำ เพียงแต่กระทบในเรื่องคนญี่ปุ่นไม่มาเที่ยวเมืองไทยเท่านั้นเอง ส่วนคนญี่ปุ่นที่พอจะมีเงินเขาก็ยังบินออกนอกประเทศอยู่ดี
      
       ส่วนการคาดการณ์ว่าจะเกิดสึนามิในไทยนั้น พัทยาเป็นเมืองชายทะเลที่อยู่ด้านอ่าวไทยซึ่งไม่มีผลกระทบอย่างแน่นอน ถ้าจะมีก็จะเป็นฝั่นอันดามันมากกว่า สำหรับคนไทยที่ต้องการเที่ยวพัทยาก็ยังมีอยู่เรื่อยๆ เห็นได้จากที่ผ่านมาการจัดกิจกรรมของพัทยาก็ได้รับการตอบรับอย่างดี อย่าง พัทยามิวสิคเฟสติวัล ปัจจุบันนักท่องเที่ยวชาวไทยมีสัดส่วน 40% ต่างชาติ 60% ในช่วงไฮซีซั่น ส่วนช่วงโลว์ซีซั่นจะอยู่ที่สัดส่วน 50 ต่อ 50
      
       “เรามั่นใจว่าพัทยาปลอดภัย 99% เพราะถ้าดูตามแนวธรณีวิทยาแล้วพัทยาไม่มีโอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์สึนามิ แต่เราไม่อยากบอกว่าเรามั่นใจ 100% แต่เราก็มีการเตรียมพร้อมสำหรับการรับมือกับสึนามิ”
      
       อย่าง การมีหอกระจายข่าว หอเฝ้าระวัง หอตรวจการเมืองพัทยา พัทยาเป็นท้องถิ่นไม่กี่แห่งที่มีหน่วยกู้ภัยทางทะเลถึง 4 แห่ง และมีอุปกรณ์กู้ภัยต่างๆ พร้อม แต่สิ่งที่ยังไม่ได้ทำคือการซักซ้อมในการหนีภัยหรืออพยบเท่านั้นเอง
      
       สำหรับการทำโปรโมชั่นนั้นขณะนี้ไม่มีการทำเพราะเป็นช่วงไฮซีซั่นจะทำอีกทีก็ช่วงโลซีซั่น หรือเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคมจะมีการจัดงานพัทยาแกรนด์เซล ซึ่งปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นการซื้อ 1 แถม 1 หรือลด 50% ทั้งห้างสรรพสินค้าและโรงแรม ปีนี้ก็อาจจะปรับเป็นซึ้อ 2แถม 2 ก็ได้ เนื่องจากการลดเป็นเปอร์เซ็นต์ไม่ตอบรับกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
      
       นานาทัศนะ “สึนามิ” กับการท่องเที่ยวไทย
      
       ปิยะมาน เตชะไพบูลย์ ประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาที่ว่าจะเกิดสึนามิในประเทศไทยนั้น ไม่อยากให้ทุกคนต้องตื่นตระหนก ไม่อยากให้กลัวไปเอง แม้ว่าฝั่งอันนามันจะอยู่ตรงรอยเลื่อนก็ตาม แต่คิดว่าไม่น่าจะสร้างปัญหาให้คนไม่อยากไปเที่ยว
      
       สำหรับความต้องการเดินทางเที่ยวภายในประเทศนั้น เท่าที่ดูจากการจัดงานไทยเที่ยวไทยก็ยังมีคนจองไปท่องเที่ยวกันอยู่มาก และคนก็ยังจองไปเที่ยวทะเลภาคใต้เหมือนเดิม
      
       อดุลชัย รักดำ นายกสมาคมผู้ประกอบการนำเที่ยวไทย (ATTO) กล่าวว่า เหตุการณ์สึนามิยังเป็นเหตุการณ์ที่อยู่ในใจคนไทยมาตลอด เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่นก็ย่อมส่งผลกับคนไทยเช่นกัน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาการจองเพื่อไปท่องเที่ยวในจังหวัดภาคใต้กับบริษัทนำเที่ยวตอนนี้สงบมาก ไม่มีการขยับเลยโดยเฉพาะจังหวัดกระบี่
      
       ทั้งนี้ สาเหตุที่ไม่ค่อยมีการจองอาจเป็นเพราะสงกรานต์เป็นวันครอบครัว และส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวปัจจุบันนิยมเดินทางไปด้วยตัวเองมากกว่า ดังนั้น จังหวัดที่เขาจะไปจะเป็นจังหวัดที่อยู่ไม่ไกล และสามารถขับรถไปเองได้ เช่น เที่ยว 2 วัน 1 คืน 3 วัน 1 คืน ทำให้การใช้บริการของบริษัททัวร์ลดลง
      
       นอกจากนี้ เหตุการณ์สึนามิทำให้เขาระมัดระวังตัวมากขึ้น เพราะถ้าไปเที่ยวเขาจะไปกับครอบครัว เขาจึงต้องคิดอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนจะเดินทาง
      
       ที่สำคัญการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยปีนี้ก็มีการหันมาส่งเสริมเส้นทางท่องเที่ยวในภาคอีสานโดยเริ่มโครงการเดือนเมษายนถึงกันยายน และมีการส่งเสริมเส้นทางการท่องเที่ยวภาคเหนือ โดยเริ่มโครงการเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม ซึ่งเป็นช่วงกรีนซีซันพอดี
      
       สำหรับการส่งเสริมการตลาดของภาคใต้ก็มีการทำอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาเรื่องสึนามิก็ยังฝังใจนักท่องเที่ยวเช่นกัน ดังนั้น ก่อนจะเดินทางไปไหน นักท่องเที่ยวจะศึกษาข้อมูลและคิดไตร่ตรองมากขึ้น
      
       เจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA) กล่าวว่า ขณะนี้นักท่องเที่ยวที่มีแผนจะเดินทางไปญี่ปุ่นได้ยกเลิกการเดินทางหมดแล้ว 100% คาดว่านักท่องเที่ยวจะกลับมาอีกครั้งเมื่อกลับสู่ภาวะปรกติแล้ว โดยนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ถ้าเขาไม่ยกเลิกการเดินทางเขาก็ขอเปลี่ยนเส้นทางแทน ซึ่งเส้นทางที่เลือกไปแทนก็มีทุกเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็นจีน เกาหลี ยุโรป รัสเซีย หรืออเมริกา
      
       ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับนักท่องเที่ยวว่าต้องการเปลี่ยนไปเส้นทางใด แต่เชื่อว่าปริมาณที่แต่ละเส้นทางรองรับก็มิได้มีมาก อย่างเกาหลี การเดินทางปรกติอยู่ที่ 85% แล้วเส้นทางนี้ก็พร้อมจะรองรับนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนเส้นทางอีกแค่ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง อย่างไรก็ดี ค่าใช้จ่ายในการเดินทางในเส้นทางใหม่ๆ อาจจะสูงกว่าเดินทางไปญี่ปุ่นเล็กน้อย บางแห่งก็อาจจะต่ำกว่า
      
       โดยการจะเลือกเปลี่ยนเป็นเส้นทางใดจะต้องดูงบประมาณและการขอวีซ่าด้วย แต่ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวที่สามารถเดินทางไปญี่ปุ่นได้ก็ไม่น่าจะติดปัญหาเรื่องการขอวีซ่าไปประเทศอื่นๆ ซึ่งคาดการณ์ว่าปีนี้เส้นทางท่องเที่ยวยุโรป และอเมริกาจะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากที่ 3 ปีที่ผ่านมาตกต่ำลง เนื่องจากปีนี้เศรษฐกิจของไทยเติบโตขึ้นและค่าเงินบาทที่แข็งตัว
      
       มัยรัตน์ พีระญาณ์โกเศส นายกสมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ กล่าวว่า ปัจจุบันนักท่องเที่ยวมีความเข้าใจและรู้จักการเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวกันมากขึ้น ดังนั้น ถ้ามีข่าวสารอะไรเขาจะเช็กก่อนเดินทาง ถ้าเขามองว่าไปไม่ได้เขาก็จะหยุดการเดินทาง ถ้าไปได้ก็ไปต่อ
      
       “การจะยกเลิกการเดินทางมีต่ำมาก เพราะเวลาเขาซื้อห้องพักไม่ได้มีการระบุวันที่จะไป ไปเมื่อไหร่ก็ได้ ถ้าเขาเห็นช่วงนี้ไม่ปลอดภัยเขาก็จะไม่ไป”
      
       สำหรับการทำโปรโมชั่นในช่วงนี้ต้องบอกว่าไม่อยากเห็นการเทกระจาดสินค้าไทย ถ้าทุกคนเทกระจาดกันหมดจะทำให้การท่องเที่ยวไทยเสีย แต่อยากให้ขายสินค้าตามจริง อย่างไรก็ดี เชื่อว่าฤดูร้อนนี้คนยังนิยมท่องเที่ยวทะเลอย่างแน่นอน ส่วนปัญหาเรื่องสึนามิที่จะเกิดขึ้นกับจังหวัดชายทะเลต้องบอกว่าเป็นเรื่องธรรมชาติ ซึ่งนักท่องเที่ยวปัจจุบันเขาจะตรวจสภาพอากาศก่อนการเดินทางอยู่แล้ว

http://www.manager.co.th/mgrWeekly/ViewNews.aspx?NewsID=9540000037363
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #251 เมื่อ: วันที่ 28 มีนาคม 2011, 10:22:10 »

ทัวร์ไทยตกค้างพม่ากลับถึงแม่สายแล้ว
 

กรุ๊ปทัวร์ไทยเที่ยวพม่า ตกค้างในพม่า หลังแผ่นดินไหว เดินทางกลับถึงไทยแล้ว เผย เห็นภาพความเสียหายทั่วเมือง


จากกรณีที่เกิดแผ่นดินไหวในพม่า และสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงทั้งบ้านพัก เส้นทางต่างๆ จนทำให้กรุ๊ปทัวร์คนไทยที่เดินทางไปเที่ยวทางรถยนต์ผ่านพม่าไปยังจีน ตกค้างในพม่าประมาณ 50 คน และช่วงเกิดแผ่นดินไหวได้พักอยู่ที่เมืองเชียงตุง ศูนย์กลางของรัฐฉาน ติดถนนอาร์สามเอ ห่างจากชายแดน อ.แม่สาย ไปทางทิศเหนือ ประมาณ 168 กิโลเมตร ล่าสุด กรุ๊ปทัวร์ทั้งหมดได้เดินทางกลับมาถึง อ.แม่สาย จ.เชียงรายแล้ว อย่างปลอดภัย โดยหลายคนเล่าถึงภาพที่แผ่นดินไหวและมีบ้านชาวพม่า พังเสียหายว่า เป็นภาพที่น่ากลัวอย่างมาก เพราะบ้านพังเสียหายจนไม่เหลือสภาพบ้าน

ขณะที่ ญาติคนไทยที่เดินทางไปเที่ยวที่มารอรับที่หน้าด่านพรมแดนไทยพม่า ด้าน อ.แม่สาย ต่างดีใจที่ญาติตัวเองไม่เป็นอะไรจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในครั้งนี้
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #252 เมื่อ: วันที่ 29 มีนาคม 2011, 08:28:38 »

แผ่นดินไหวพม่า-ถนนพังค้าผ่านแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก R3b ชะงัก

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน   28 มีนาคม 2554 20:01 น.


       เชียงราย - เหนือแปรปรวนหนาวทั้งวัน ขณะที่แผ่นดินไหวใหญ่ในพม่า ทำกระบวนการค้าผ่านเส้นทาง R3b หยุดชะงัก
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า ขณะนี้สภาพอากาศโดยทั่วไปของจังหวัดเกิดภาวะแปรปรวน ตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาได้พยากรณ์เอาไว้ก่อนหน้านี้ โดยอากาศทั่วไปอึมครึมและไร้แสงแดด รวมทั้งมีอุณหภูมิลดต่ำลงตั้งแต่ 27 มี.ค.54 เป็นต้นมา
       
       ที่ สถานีอุตุนิยมวิทยา จ.เชียงราย วัดอุณหภูมิในช่วงเช้าจาก อ.เมือง ได้ประมาณ 18.7 องศาเซลเซียส และมีลมพัดตลอดเวลาทำให้อากาศเย็นและบางช่วงหนาวคล้ายฤดูหนาว ทั้งๆ ที่อยู่ในห้วงฤดูร้อนทำให้ผู้คนทั่วไปต่างวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับสภาวะอากาศที่แปรปรวน โดยเฉพาะมีแผ่นดินไหวรุนแรงจากนั้นสภาพอากาศก็ผิดปกติไปจากเดิม
       
       สำหรับชายแดนไทย-พม่า ด้าน อ.แม่สาย พบว่าชาวพม่าในฝั่งท่าขี้เหล็ก ต่างมีการซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคจากฝั่งไทยอย่างต่อเนื่อง เพราะยังไม่ไว้ใจในสถานการณ์ ขณะที่การค้าชายแดนพบว่าได้รับผลกระทบในด้านการขนส่งระยะไกลด้วยรถบรรทุกจากชายแดนเข้าไปยังถนน R3b จาก จ.ท่าขี้เหล็ก-เชียงตุง และเมืองใหญ่อื่นๆ เพราะสะพานข้ามน้ำรวกบ้านป่าเดื่อหรือท่าเดื่อ ห่างจากชายแดนไทยไปทางทิศเหนือประมาณ 40 กิโลเมตร ได้ถูกตัดขาดและถนนแตกเสียหายอย่างมาก
       
       แม้ว่าชาวพม่าจะมีการนำกระสอบทรายไปปิดตรงรอยแยกระหว่างถนนและคอสะพาน แต่ก็สามารถใช้สัญจรผ่านไปมาได้เฉพาะรถจักรยานยนต์หรือการเดินเท้าข้ามไปมาเท่านั้น ยังไม่สามารถเปิดให้รถบรรทุกโดยเฉพาะรถบรรทุกสินค้าผ่านไปมาได้ เนื่องจากทางการพม่าเกรงว่าตัวสะพานอาจจะได้รับผลกระทบและไม่แข็งแรงดีพอ
       
       ทั้งนี้ชายแดนไทย-พม่า ด้าน จ.เชียงราย มีการค้าขายกับประเทศพม่าเป็นจำนวนมหาศาล โดยปี 2553 ที่ผ่านมาการค้าพุ่งสูงขึ้นถึง 10,189.35 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้าจำนวน 219.79 ล้านบาท และส่งออกจำนวน 9,969.56 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าเบ็ดเตล็ดกว่า 3,022.06 ล้านบาท สินค้าอุปโภคบริโภค 1,569.85 ล้านบาท น้ำมันเชื้อเพลิง 978.79 ล้านบาท ฯลฯ ส่วนสินค้านำเข้าจากพม่าส่วนใหญ่เป็นไม้สักซุงและกระเทียม ฯลฯ
       
       นายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ ประธานหอการค้า อ.แม่สาย กล่าวว่า ปัจจุบันการค้าที่ตลาดแม่สาย-ท่าขี้เหล็ก ในภาพรวมยังถือว่าดีอยู่ แต่สินค้าจำนวนมากๆ ที่ต้องอาศัยการขนส่งด้วยรถบรรทุกขนาดใหญ่ไปตามถนน R3b ต้องหยุดชะงักลง เพราะสะพานใช้ขนส่งสินค้าไม่ได้ ทำให้สินค้าหลักๆ ที่ขนส่งไปตามถนนสายนี้คือน้ำมันเชื้อเพลิงต้องหยุดการส่งออกไป
       
       ที่ผ่านมาน้ำมันเชื้อเพลิงหรือสินค้าอื่นๆ ของไทยเคยถูกส่งออกไปยังหลายเมืองใหญ่ในพม่าตอนเหนือ เช่น เมืองเชียงตุง เมืองเลน เมืองพยาก เมืองโก เมืองยอง ฯลฯ
       
       นายบุญธรรม กล่าวอีกว่าเนื่องจากสินค้าเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญจึงคิดว่าแม้จะส่งออกผ่านถนน R3b ไม่ได้ แต่ก็คงจะมีการส่งออกผ่านทางเรือที่ท่าเรือแม่น้ำโขง อ.เชียงแสน ไปยังเมืองท่าต่างๆ ของพม่าที่มีอยู่หลายแห่ง เช่น บ้านโป่ง สบหรวย ฯลฯ ซึ่งก็เป็นเมืองท่าที่มีเรือแม่น้ำโขงเข้าไปเทียบท่าตามปกติอยู่แล้วด้วย
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #253 เมื่อ: วันที่ 29 มีนาคม 2011, 23:03:59 »

ททท.เน้นทำตลาดเชิงรุกทุกภูมิภาค/หวังดึงคนไทยเที่ยวเมืองไทยกู้วิกฤติ

ได้ปรับแผนการตลาดเชิงรุกเน้นจัดกิจกรรมอย่างหนักทั่วประเทศ เพื่อสร้างความคึกคักด้านการท่องเที่ยวตามแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวให้คนไทยเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น
     ด้วยสถานการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ปัจจัยการเมืองในประเทศลิเบียที่รุกลามไปถึงประเทศแถบแอฟริกาเหนือ และตะวันออกกลาง รวมทั้งปัจจัยภัยพิบัติจากธรรมมาชาติที่เกิดขึ้นในประเทศออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และประเทศญี่ปุ่น ทำให้การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  คาดการณ์ไว้ว่า น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดท่องเที่ยวไทยในปีนี้  ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่อาจจะเหลือเพียง16.47 ล้านคน หรือลดลง 1.75% ประมาณ 3.1 แสนคน จากเป้าเดิมที่ตั้งไว้ 16.78 ล้านคน น่าจะเป็นโจทย์ใหญ่ที่ทำให้ผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมท่องเที่ยวต้องเร่งแก้ไขปัญหาที่จะตามมาอย่างเร่งด่วน 
ติดตามสถานการณ์
     ในเรื่องนี้ นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  กล่าวว่า  จากปัจจัยการเมืองในตะวันออกกลาง จะส่งผลกระทบทั้งจำนวนคนในแถบบตะวันออกกลางที่จะเดินทางมาเมืองไทยลดลง รวมถึงนักท่องเที่ยวยุโรปซึ่งส่วนใหญ่จะเปลี่ยนเครื่องบิน เพื่อเดินทางมาไทย ก็จะต้องชะลอตัว ประกอบกับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นยิ่งส่งผลให้นักท่องเที่ยวที่เดินทางทั้งในระยะใกล้ และไกลลดลง 1%  โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวตะวันออกกลางน่าจะหายไปประมาณ  1.1 แสนคน หรือประมาณ 10 %
     “หากเหตุการณ์ในตะวันออกกลางยังคงมีความยืดเยื้อรุนแรง อาจจะทำให้นักท่องเที่ยว ทั้งปีลดลง 150,000 คน ซึ่งจะกระทบกับเป้าหมายนักท่องเที่ยวต่างชาติโดยรวม ไม่ต่ำกว่า 1% ของจำนวนนักท่องเที่ยวรวมที่ตั้งเป้าหมายไว้ แต่ถ้าเหตุการณ์ไม่รุนแรง ก็น่าจะลดลง 110,000 คน หรือไม่ถึง 1%”   นายสุรพล กล่าว
     ขณะที่ปัจจัยภัยพิบัติจากธรรมชาติในประเทศออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์นั้น ได้ส่งผลกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาไทยในจำนวนที่ไม่มากนัก ซึ่งหลังจากนี้ต่อไปจะต้องทำการเฝ้าติดตามสถานการณ์การฟื้นตัวของทั้ง 2 ประเทศ ว่าจะเป็นไปในลักษณะเช่นไรต่อไป
     โดยเฉพาะในส่วนของพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายจากภัยพิบัติสึนามิที่ประเทศญี่ปุ่น เป็นตลาดที่เดินทางมาไทประมาณย10% หรือประมาณ 100,000 คน ซึ่งอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ดังนั้นจึงคาดว่าในช่วงไตรมาสที่ 2 และ3 น่าจะเห็นผลกระทบได้ชัดเจนขึ้น ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่น่าจะลดลงประมาณ 15% สูญเสียนักท่องเที่ยวไปประมาณ 1.24 แสนคน จากจำนวนนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นที่เดินทางมาไทยประมาณ 1 ล้านคนต่อปี ขณะที่ไทยจะสูญเสียจำนวนนักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นในภาพรวมที่จะเดินทางมาไทยประมาณ 0.75% จากเป้าหมายนักท่องเที่ยวที่วางไว้ ซึ่งขึ้นอยู่กับการระเบิดของเตาปฏิกรนิวเคลียร์ด้วย
     ทั้งนี้ นายสุรพล กล่าวว่า ทางททท.ได้หารือกับภาคเอกชนท่องเที่ยว เพื่อจัดทำกิจกรรมโรดโชว์ และแผนการตลาดในประเทศญี่ปุ่นไว้เช่นเดิม แต่จะรอช่วงเวลาที่เหมาะสมเพื่อทำการตลาดอีกครั้ง เนื่องจากประเทศญี่ปุ่นยังมีความสำคัญต่อประเทศไทย โดยในเบื้องต้นประเทศไทยได้แสดงความพร้อมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับคนญี่ปุ่น ด้วยการเสนอตัวในลักษณะที่ไม่เป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจ แต่เป็นการเสนอตัวในการช่วยเหลือญี่ปุ่นที่แสดงออกถึงน้ำใจต่อกัน ด้วยการขยายขยายระยะเวลาวีซ่าสำหรับคนญี่ปุ่นที่จะเดินทางมาพำนักในไทยได้มากกว่า 30 วัน ซึ่งจะทำการเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เร็วๆนี้
รุกตลาดในประเทศ
     ด้าน  นายธวัชชัย อรัญญิก รองผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ด้านตลาดในประเทศ กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ทาง ททท.ได้ปรับแผนการตลาดเชิงรุกเน้นจัดกิจกรรมอย่างหนักทั่วประเทศ เพื่อสร้างความคึกคักด้านการท่องเที่ยวตามแผนกระตุ้นการท่องเที่ยวให้คนไทยเที่ยวในประเทศเพิ่มขึ้น โดยได้ใช้งบสนับสนุน 4 ล้านบาท จัดกิจกรรมใน 13 พื้นที่หลัก รวมมากกว่า 50 กิจกรรม ซึ่งคาดว่าภาพรวมของการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ 5 วัน ตั้งแต่ 13-17 เมษายน2554  จะมีเงินหมุนเวียนไม่น้อยกว่า 4-5 พันล้านบาท โดยมีอัตราเข้าพักเฉลี่ยทั้งประเทศประมาณ 70 % หรือเพิ่มขึ้น 15 % จากปีที่ผ่านมา
     อย่างไรก็ตามททท.ในทุกพื้นที่ได้ร่วมกับภาคเอกชนท่องเที่ยว เพื่อจัดทำแพ็คเกจทัวร์กระตุ้นการเดินทางเข้าพื้นที่เพิ่มขึ้น โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือร่วมกับ 4 สมาคมท่องเที่ยวทำแพ็กเกจทัวร์ไหว้พระ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางจำนวน 5 แสนคน มีรายได้ 20ล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 3% โดยภาพรวมทั้งปีมีนักท่องเที่ยวคนไทย 20ล้านคน มีรายได้ 4.3 หมื่นล้านบาท
    ส่วนภาคตะวันออกคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเที่ยวจำนวน 1 แสนคน มีรายได้ 1,000ล้านบาท มีอัตราการพักเฉลี่ย 3 วันเพิ่มจากปีที่ผ่านมา ซึ่งจากเดิมมีจำนวนนักท่องเที่ยว 80,000คน มีรายได้ 800ล้านบาท และภาพรวมทั้งปีมีจำนวนนักท่องเที่ยว 20 ล้านคน มีรายได้ 9 หมื่นล้านบาท
    สำหรับภาคเหนือร่วมกับโรงแรมต่างๆ และสายการบินทำแพ็คเกจราคาพิเศ ษ โดยมีไฮไลท์สงกรานต์อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงราย ซึ่งคาดว่าจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวให้เดินทางท่องเที่ยวได้ในทุกพื้นที่ และภาคใต้คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเที่ยวจำนวน 3.5แสนคน มีรายได้ 65 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 10%
     นอกจากนี้  นายธวัชชัย ยังกล่าวต่อว่า ได้สั่งการให้ ททท. ทั้ง 5 ภูมิภาค สำรวจห้องว่างของโรงแรมทั่วประเทศ เพื่อนำข้อมูลห้องว่างมานำเสนอให้คนไทยที่กำลังมองหาสถานที่เที่ยวในช่วงสงกรานต์ ทราบถึงพื้นที่ที่ยังมีห้องพักว่าง เพื่อจะได้รีบจองและสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวในช่วงดังกล่าวได้อย่างสะดวก โดยข้อมูลดังกล่าวจะนำเสนอผ่านช่องทางเฟซบุ๊ก หน้าอะเมซิ่ง ไทยแลนด์ และเบอร์เดียวเที่ยวทั่วไทย 1672  รวมทั้งส่งข้อมูลโดยตรงไปถึงอีเมลของนักท่องเที่ยว
     ทั้งนี้ นายธวัชชัย กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลดังกล่าวยังได้มีการเตรียมรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวคนไทยที่เตรียมตัวเดินทางไปต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น ที่มีมากกว่า 1แสนคน ให้กลับมาเที่ยวเมืองไทยในช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยตั้งเป้าดึงกลุ่มคนดังกล่าวให้ได้ประมาณ 10-15% และน่าจะสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวกลุ่มนี้ประมาณ 500-600 ล้านบาท
ทัวร์โกลเด้นวท์วีคยังมา
     ขณะที่ นายทะซิอะกิ คันดะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจทีบี ไทยแลนด์ ลิมิเต็ด ซึ่งเป็นบริษัทนำเที่ยวรายใหญ่ของญี่ปุ่น กล่าวว่า สถานการณ์ท่องเที่ยวของชาวญี่ปุ่นที่มาเที่ยวประเทศไทยยังคงเป็นตามปกติ มีการยกเลิกบ้างแต่ถือว่าจำนวนน้อย โดยผู้ที่ยกเลิกส่วนใหญ่อยู่ในเขตที่ประสบภัยพิบัติสึนามิ แต่ชาวไทยที่จะเดินทางไปญี่ปุ่นได้ยกเลิกการเดินทางเกือบทั้งหมด
    สำหรับวันหยุดยาวของชาวญี่ปุ่นในช่วงปลายเดือนเมษายน ถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี ถือเป็นโกลเด้นวท์วีคนั้น ยังไม่มีการยกเลิกทัวร์ แต่คงรอดูสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไปสักระยะหนึ่ง แต่มีการยกเลิกเที่ยวบินเช่าเหมาลำจากเมืองเชนได และฮอกไกโด รวมเป็น 2 เที่ยวบินแล้ว คาดว่าตลอดทั้งปีนี้คนญี่ปุ่นที่จะมาไทยคงลดลงประมาณ 10% หรือประมาณ 100,000 คน ส่วนการเดินทางของทุกสายการบินขณะนี้เป็นปกติ เพียงแต่มีผู้โดยสารเดินทาง 50% ซึ่งที่หายไปส่วนใหญ่เป็นชาวไทยที่นิยมเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นในช่วงเทศกาลสงกรานต์ของทุกๆ ปีถึง  40%
 
http://www.siamrath.co.th/web/?q=node/45230
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #254 เมื่อ: วันที่ 31 มีนาคม 2011, 00:12:55 »

กพบ.หนุนวีซ่า GMS-ชงนำร่อง 4 ประเทศลุ่มน้ำโขงตอนบน เผย “หยวนโซน” เริ่มเกิดแล้ว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   30 มีนาคม 2554 11:38 น.


   

คณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ(คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ ได้จัดการประชุมครั้งที่ 2/2554 ขึ้น ตามโครงการพัฒนาด่านการค้าชายแดนภาคเหนือเชื่อมโยงประเทศเพื่อน ไทย –จีน –พม่า-ลาว
       ศูนย์ข่าวภาคเหนือ - คณะกรรมการความร่วมมือทางเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้าน เห็นชอบวีซ่า GMS เล็งชงเรื่องเสนอ ครม.นำร่อง 4 ปท.ลุ่มน้ำโขงตอนบนก่อน ขณะที่ “หยวนโซน” เริ่มเป็นจริงแล้ว ด้าน คสศ.-หอ 10 จว.เหนือ เสนอเพิ่มจุดจอดไฮสปีดเทรน
       
       นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธานคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการ คสศ.ครั้งที่ 2 ประจำปี 2554 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ว่า ที่ประชุมได้รับทราบและมีมติเกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจในภาคเหนือหลายประการ โดยเฉพาะการติดตามการแก้ไขปัญหา และส่งเสริมการเปิดด่านการค้าเป็นด่านถาวรทั้งระบบในภาคเหนือ
       
       การประชุมครั้งนี้ได้เห็นชอบที่จะผลักดันให้มีการด่านจุดผ่อนปรนบ้านฮวก อ.ภูซาง จ.พะเยา เป็นด่านถาวรที่เชื่อมทั้งด้านการค้าและการท่องเที่ยวกับ สปป.ลาว เพื่อเพิ่มศักยภาพในการติดต่อกับเมืองไชยบุรี และหลวงพระบางต่อไป
       
       ส่วนปัญหาด่านการค้าอื่นๆ ที่จะนำเสนอปัญหาต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องคือที่ด่านภูดู่ จ.อุตรดิตถ์ ห้วยต้นนุ่น จ.แม่ฮ่องสอน กิ่วผาวอก จ.เชียงใหม่ และด่านแม่สอด จ.ตาก ที่ได้ปิดมากว่า 9 เดือนแล้ว
       
       ประเด็นต่อมาคือ ความคืบหน้าการผลักดันเรื่อง One Visa ใน 6 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงหรือ GMS ที่ทาง คสศ.ได้จัดสัมมนา “Six Countries one Visa- One Destination in GMS” ที่ จ.เชียงราย ไปแล้วเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ล่าสุดทางคณะกรรมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (กพบ.) เห็นชอบในหลักการการใช้วีซ่าเดียวเข้าได้ 6 ประเทศ โดยพิจารณาแนวทางการดำเนินงานที่เป็นไปได้ระหว่าง 4 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงตอนบนก่อน ได้แก่ ไทย-จีนตอนใต้-พม่า-ลาว และให้ใช้ต้นแบบของไทย-กัมพูชา ซึ่งทางสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรับจะได้นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเป็นมติออกมาต่อไป
       
       นายพัฒนากล่าวว่า ในส่วนความคืบหน้าการใช้สกุลเงินท้องถิ่น ในเขตสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจสำหรับผู้ประกอบการในภาคเหนือ ได้รับทราบว่าสามารถทำการค้ากับคู่ค้าที่ได้รับอนุญาตในมณฑลยูนนาน และมณฑลอื่นๆ ของจีน ด้วยสกุลเงินหยวนของจีนและเงินบาทของไทยเป็นหลักผ่านอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศแบบเงินโอนกับธนาคารพาณิชย์ในไทยได้ทั้ง 7 ธนาคาร แต่ต้องให้ธนาคารตรวจสอบรายชื่อวิสาหกิจต่างๆ หรือคู่ค้าที่ทางรัฐบาลจีนอนุญาตให้ทำธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศด้วยสกุลเงินหยวน กับคู่ค้าในประเทศจีน (China Counterparties) ก่อนทำธุรกรรม
       
       จากกรณีรัฐบาลได้ผลักดันโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสู่ภาคเหนือ ระยะทาง 754 กิโลเมตร มูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาท โดยเปิดให้เอกชนจากทุกประเทศเข้าร่วมประกวดราคาแบบนานาชาติ (INTERNATIONAL BIDDING) นั้น ทาง คสศ.เห็นว่าควรจะมีการพิจารณาศึกษาเพิ่มจุดจอดนอกจากที่ จ.พิษณุโลก-นครสวรรค์ เป็นอีก 1 หรือ 2 จุดที่ จ.แพร่ หรือ จ.ลำปาง เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการเชื่อมโยงจังหวัดต่างๆ ในภาคเหนือ โดยใช้ระบบรองรับการขนส่งเมืองต่างๆ มาสนับสนุน
       
       ขณะที่โอกาสครบรอบคณะกรรมการ คสศ.ปี 2554 ครบ 10 ปีทาง คสศ.ยังจะมีกิจกรรมต่างๆ ในปีนี้มากมาย เช่น การจัดคณะเยือนประเทศเพื่อนบ้านเพื่อเชื่อมโยงการค้าใน 5 เส้นทางคือเส้นทาง R3a เขตปกครองตนเองชนชาติไต สิบสองปันนา (จีน) เส้นทางเมืองตองยี ประเทศพม่า เส้นทางนครเวียงจันทน์ สปป.ลาว-ฮานอย (เวียดนาม) แม่สอด-มะละแหม่ง ประเทศพม่า และเส้นทางแม่ฮ่องสอน-ตองอู-ทันเว ประเทศพม่า รวมทั้งมีกิจกรรมจัดทำสารคดีเชิงลึกเกี่ยวกับการพัฒนาด่านการค้าชายแดนภาคเหนือ การจัดทำหนังสือหนึ่งทศวรรษ คสศ.ฯลฯ

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000040077
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #255 เมื่อ: วันที่ 04 เมษายน 2011, 06:48:34 »

เชื่อสะพานข้ามโขง 4 เสร็จตามกำหนด

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน   3 เมษายน 2554 20:05 น.


   

หลังเริ่มเข้าสู่ช่วงหน้าแล้ง การก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 รุดหน้าอย่างรวดเร็ว โดยเชื่อว่าจะเสร็จตามที่กำหนดแน่
       เชียงราย - โครงการก่อสร้างสะพานข้ามโขง 4 รุดหน้า ล่าสุดอาศัยช่วงหน้าแล้งลุยตอกเสาเข็มกลางน้ำเต็มที่ ขณะที่โครงข่ายคมนาคมฝั่งไทยเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เชื่อมั่นเสร็จตามกำหนดแน่
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.เชียงราย แจ้งถึงความคืบหน้าการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ เชื่อมกับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว( สปป.ลาว) เพื่อเชื่อมแนวเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ โดยใช้งบประมาณว่าจ้างกลุ่มซีอาร์ 5-เคที จอยท์เวนเจอร์ ประกอบไปด้วยบริษัทไชน่า เรลเวย์ โน.5 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด จากประเทศจีน และบริษัทกรุงธนเอ็นยิเนียร์ จำกัด ของประเทศไทย ภายใต้งบประมาณ 1,486.5 ล้านบาทโดยประเทศไทยและจีนสนับสนุนฝ่ายละครึ่ง กำหนดก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธ.ค.2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือนนั้น
       
       ล่าสุดการก่อสร้างยังคงคืบหน้าไปอย่างต่อเนื่อง โดยฝั่งไทยมีการก่อสร้างถนนจากถนนสายเชียงของ-เทิง ตั้งแต่หมู่บ้านทุ่งงิ้ว ต.สถาน อ.เชียงของ เข้าไปทางริมฝั่งแม่น้ำโขงที่หมู่บ้านดอนมหาวัน ต.เวียง อ.เชียงของ แล้ว ส่วนฝั่ง สปป.ลาว ก็มีการก่อสร้างที่หมู่บ้านดอน เมืองห้วยทราย โดยส่วนใหญ่เป็นการก่อสร้างสะพานโดยเอกชนจีน ได้ตอกเสาเข็มกลางแม่น้ำโขง ซึ่งช่วงนี้มีระดับน้ำตื้นและแห้งทำให้สะดวกกว่าช่วงฤดูฝน
       
       นายวิรัตน์ แสนอุดม ผู้อำนวยการแขวงการทางเชียงรายที่ 2 กล่าวว่า การก่อสร้างสะพานคืบหน้าไปได้ประมาณ 11-12% แล้ว โดยทางเอกชนจีนได้พยายามเร่งทำการก่อสร้างในช่วงนี้ซึ่งระดับน้ำในแม่น้ำโขงอยู่ในเกณฑ์แห้งเหมาะสมกับการนำเครื่องมืออุปกรณ์ลงไปกลางแม่น้ำโขง ซึ่งขั้นตอนปัจจุบันคือการพยายามสร้างฐานรากด้วยการตอกเสาเข็มกลางแม่น้ำโขง ซึ่งสามารถดำเนินการได้หลายเสาแล้ว
       
       นายวิรัตน์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตามในการตอกเสาเข็มที่ผ่านมาพบว่าบางจุดใต้ดินเป็นหินทั้งแถบ แต่คาดว่าคงไม่เป็นปัญหา เพราะมีเครื่องมือที่ทันสมัย ดังนั้น การตอกเสาเข็มเพื่อวางฐานราก สำหรับการก่อสร้างในขั้นตอนต่อไปคงจะเดินหน้าจนแล้วเสร็จก่อนฤดูฝนนี้ เชื่อว่าเสร็จตามกำหนดแน่
       
       นายวิรัตน์ กล่าวด้วยว่า สำหรับถนนสายเชียงของ-เทิง ซึ่งทางกรมทางหลวงของไทยได้ก่อสร้างเพื่อสนับสนุนโครงข่ายภายในประเทศไปสู่สะพานแห่งนี้นั้น ได้เร่งก่อสร้างอย่างเต็มที่โดยเป็นการก่อสร้างตั้งแต่ กม.90 ไปจนถึงบ้านต้า อ.ขุนตาล โดยมีกำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในราวปลายปี 2554 ซึ่งก็จะทำให้การคมนาคมระหว่าง อ.เชียงของ กับถนนสายอื่นๆ สะดวกมากขึ้นเพราะเป็นถนนสี่ช่องจราจร
       
       ส่วนถนนเชียงของ-เมืองเชียงราย ซึ่งจะก่อสร้างจากบ้านหัวดอยไปเชื่อมกับถนนสายเชียงของดังกล่าว จะเป็นถนนสาย 1021 สายใหม่ที่ก่อสร้างอ้อมเขตชุมชนของ อ.พญาเม็งราย และใกล้เคียง ซึ่งจะทำให้สะดวกต่อการคมนาคมและก่อสร้างในอนาคตแน่นอน ด้านถนนเชื่อมจาก อ.เทิง ไปยัง อ.ดอยคำใต้ จ.พะเยา เพื่อเชื่อมกับถนนไปยัง อ.เชียงของ ปัจจุบันมีการว่าจ้างที่ปรึกษาให้ไปศึกษาออกแบบอยู่โดยจะแล้วเสร็จใน 1-2 ปีนี้

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000042011
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #256 เมื่อ: วันที่ 05 เมษายน 2011, 12:45:54 »

น้ำท่วมใต้ทำใช้จ่ายสงกรานต์หด 3พันล้าน
05 เมษายน 2554

ประเด็น: สถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ ,
 
น้ำท่วมใต้ทำพิษ ส่งผลการใช้จ่ายของผู้บริโภคช่วงสงกรานต์ลดลง 3 พันล้านบาท  นักท่องเที่ยวเบนเข็มเที่ยวภาคอื่นแทน

นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจจากพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จำนวน 1,183 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 28 มี.ค.-3 เม.ย. 2554 พบว่า ช่วงเทศกาลสงกรานต์ จะมีเงินสะพัด 9.64 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 3.41% แต่ลดลงจากจากที่คาดการณ์ไว้ ที่ระดับ 9.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากสถานการณ์น้ำท่วมในภาคใต้

สำหรับการเดินท่องท่องเที่ยวในช่วงสงกรานต์พบว่า นักท่องเที่ยวเลือกเดินทางท่องเที่ยวในภาคกลางมากสุด เช่น  ชลบุรี ระยอง เพชรบุรี ประจวบฯ อันดับ 2 เป็นภาคเหนือ  เช่น เชียงใหม่ เชียงราย อันดับ 3 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอันดับ 4 คือภาคใต้  แต่หากไม่มีสถานการณ์น้ำท่วม การท่องเที่ยวในภาคใต้ จะขยับมาอยู่เป็นอันดับที่ 3 แทน โดยจังหวัดที่คนนิยมไปมากสุดคือ ภูเก็ต กระบี่ พังงา หาดใหญ่

อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ในภาคใต้เริ่มคลี่คลายไปในทางที่ดี เส้นทางคมานาคมกลับมาใช้ได้ตามปกติ อย่างรวดเร็ว คาดว่าบรรยากาศการใช้จ่ายช่วงเทศกาลสงกรานต์น่าจะเพิ่มขึ้นได้อยู่ที่ระดับ 9.75-9.8 หมื่นล้านบาท

http://www.posttoday.com
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #257 เมื่อ: วันที่ 05 เมษายน 2011, 21:47:02 »

ถอดรหัส 7-5-0 ที่เชียงราย.





















ที่มา http://www.oknation.net/blog/akom/2010/12/28/entry-1
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #258 เมื่อ: วันที่ 18 เมษายน 2011, 20:24:36 »


สนข.เล็งขอ700ล.จ้างทำแผนโครงข่ายฯ         

โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ      
วันอังคารที่ 12 เมษายน 2011 เวลา 11:34 น.
พีระพล ถาวรสุภเจริญสนข.ชงของบปี 2555 กว่า 700 ล้านบาท  จ้างศึกษาและจัดทำแผนแม่บทโครงข่ายคมนาคมทั้งในพื้นที่กทม.และต่างจังหวัด จับตางบรถไฟรางคู่ 2 เส้นทางมูลค่ากว่า 150 ล้านบาท ส่วนเส้นทางรถไฟอุบลราชธานี-ช่องเม็กมีลุ้นขอรับงบ 15 ล้านบาทเพื่อการศึกษา ด้านภาพรวมงบประมาณปี 2555 คาดว่าจะได้รับมากกว่าปี 2554 ส่วนใหญ่เป็นงบผูกพันปี 2554-2556
 แหล่งข่าวระดับสูงจากสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) เปิดเผย "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ได้เตรียมนำเสนอของบประมาณปี 2555 ภายใต้กรอบวงเงินจำนวน  757  ล้านบาท เพื่อเป็นค่าจ้างศึกษาและพัฒนาระบบโครงข่ายคมนาคมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร(กทม.)-ปริมณฑลและต่างจังหวัด  คาดว่าจะได้รับประมาณ 451 ล้านบาท ส่วนในปี 2554 ที่ผ่านมาได้รับอนุมัติงบเพียง 408 ล้านบาท โดยจัดเป็นงบว่าจ้างที่ปรึกษาสูงถึง 272 ล้านบาท
 "ในปีนี้ส่วนใหญ่ยังเป็นงบผูกพัน ทั้งของหน่วยงานกรมทางหลวง กรมทางหลวงชนบท กรมการบินพลเรือน การรถไฟฯ เป็นต้น โดยคาดว่าจะใช้งบว่าจ้างที่ปรึกษาประมาณ 316 ล้านบาท ซึ่งการเร่งพัฒนาเพื่อรองรับการเปิดเสรีอาเซียน จึงต้องเร่งบูรณาการในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องไปพร้อม ๆ กัน โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาจราจรในเมืองใหญ่ การใช้เทคโนโลยี ตลอดจนการปฏิบัติตามกฎการใช้คาร์บอนคาร์บิเนต ซึ่งตามนโยบายของผู้บริหาร สนข.เมื่อหน่วยงานนั้น ๆ มีความเข้มแข็งก็จะปล่อยให้ปฏิบัติงานด้วยตนเอง เช่น การก่อตั้งสำนักงานพัฒนาระบบตั๋วร่วมที่อยู่ระหว่างการผลักดันหากสามารถยืนหยัดอยู่ได้ก็จะไปริเริ่มดำเนินการในส่วนอื่นต่อไป"
 ด้านนายพีระพล  ถาวรสุภเจริญ ผู้อำนวยการสำนักแผนงาน สนข.กล่าวว่า การใช้งบประมาณปี 2555 ของสนข.นั้นมี 3 ส่วนหลักๆ คือค่าวัสดุครุภัณฑ์ ค่าที่ดินและสิ่งก่อสร้าง และค่าจ้างที่ปรึกษา โดยเฉพาะงบประมาณเพื่อการจ้างที่ปรึกษานั้นพบว่าปี 2555 มีจำนวนมากถึง 316,788,800 บาท โดยโครงการที่น่าสนใจได้แก่งบเพื่อการศึกษาระบบรถไฟทางคู่ 2 เส้นทาง และการออกแบบทางรถไฟสายใหม่ในพื้นที่จังหวัดอุบลราชธานี  การบูรณาการโครงข่ายถนน สะพานข้ามแม่น้ำพื้นที่กทม.-ปริมณฑล ค่าพัฒนาระบบการเดินทางเชื่อมต่อบริเวณศูนย์คมนาคมพหลโยธิน
 สำหรับรายละเอียดตามแผนงานสนข.ปี 2555 ประกอบไปด้วย 1.ค่าจ้างศึกษาและจัดทำแผนแม่บทบูรณาการด้านการจัดระบบการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 28 ล้านบาท 2.ค่าจ้างศึกษาและพัฒนาเส้นทางอัจฉริยะเข้า-ออกกรุงเทพมหานคร(ITC) และการปรับปรุง บำรุงรักษา ระบบบูรณาการข้อมูลด้านการจราจรและขนส่งอัจฉริยะ 37 ล้านบาท 3.ค่าจ้างศึกษาแก้ไขปัญหาการจัดการจราจรระยะสั้นเร่งด่วนแบบเบ็ดเสร็จในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ขอนแก่น และนครราชสีมา 15 ล้านบาท 4. ค่าจ้างศึกษาและออกแบบทางรถไฟสายใหม่ เส้นทางอุบลราชธานี-ช่องเม็ก 71 ล้านบาท 5. ค่าจ้างศึกษาการเชื่อมต่อการเดินทางของผู้โดยสารจากระบบขนส่งมวลชนบริเวณคูคต  3 ล้านบาท 6. ค่าจ้างศึกษาประเมินศักยภาพและการเตรียมความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานและบริการระบบขนส่งของไทยสำหรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน 13 ล้านบาท
 7. ค่าจ้างศึกษาพัฒนาระบบการเชื่อมต่อการเดินทางบริเวณศูนย์คมนาคมพหลโยธิน 15 ล้านบาท 8. ค่าจ้างศึกษาจัดทำแผนเร่งด่วนในการปรับปรุงเบ็ดเสร็จบนถนนสายหลัก 9 ล้านบาท 9.ค่าจ้างศึกษาสำรวจการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาระบบโครงข่ายด้านขนส่งและจราจรในเขตพื้นที่กลุ่มยุทธศาสตร์ชายแดนจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ตอนบน 1(จ.อุดรธานี หนองบัวลำภู หนองคาย และเลย) 9 ล้านบาท
 10.ค่าจ้างศึกษาพัฒนาปรับปรุง บำรุงรักษาฐานข้อมูลข้อสนเทศและแบบจำลองเพื่อบูรณาการขนส่งและจราจร การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบและระบบโลจิสติกส์ 15 ล้านบาท 11. ค่าจ้างศึกษาจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาและบูรณาการโครงข่ายถนน สะพานข้ามแม่น้ำและการจราจรในเขตกรุงเทพมหานคร-ปริมณฑล 10 ล้านบาท 12. ค่าจ้างศึกษาการพัฒนาปรับปรุงรักษาศูนย์เทคโนโลยีและการสื่อสารเพื่อการบูรณาการข้อมูลด้านการจราจรและขนส่งอัจฉริยะ การจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาระบบการจราจรและขนส่งอัจฉริยะปี 2555-2560 จำนวน13 ล้านบาท
 13.ค่าจ้างศึกษาความเหมาะสมและออกแบบระบบรถไฟทางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์(ระยะเร่งด่วน ช่วงชุมทางจิระ-ขอนแก่น) 84 ล้านบาท 14. ค่าจ้างศึกษาความเหมาะสมและออกแบบระบบรถไฟทางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์(ระยะเร่งด่วน ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร) 76 ล้านบาท 15. ค่าจ้างศึกษาสำรวจการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาระบบโครงข่ายด้านการขนส่งและจราจรในเขตพื้นที่กลุ่มยุทธศาสตร์ชายแดนจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2(จังหวัดเชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน) 5 ล้านบาท
 16. ค่าจ้างศึกษาพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าในเส้นทางการขนส่งโลจิสติกส์ในแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ และตะวันออก-ตะวันตก ระหว่างประเทศไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน 9 ล้านบาท 17. ค่าจ้างศึกษาเพื่อจัดทำแผนแม่บทในการพัฒนาระบบการขนส่งที่ยั่งยืนและลดปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ 18. ค่าจ้างศึกษาและพัฒนาระบบงานบริหารสำนักงานอัตโนมัติของ สนข. 3 ล้านบาท

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,627 17-20  เมษายน พ.ศ. 2554
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #259 เมื่อ: วันที่ 18 เมษายน 2011, 22:27:29 »

เชียงราย - สงกรานต์เชียงรายเข้าวันที่สองฝนไม่ตกส่งผลบรรยากาศยิ่งคึกคัก ททท.เชียงรายคาดเงินสะพัดกว่า 350 ล้าน อัตราจองห้องพักแตะ 60% แต่ตัวเลขอุบัติเหตุยังสูง ล่าสุดตายอีก 2 ที่อ.เวียงแก่น ด้านตำรวจจราจรเตรียมเพิ่มระดับคุมเข้มเมาแล้วขับ หลังคาดวันนี้ขนทรายเข้าวัดเสร็จชาวบ้านดื่มฉลองเพียบแน่


       
       วันนี้ (14 เม.ย.54) นายอิสรา สถาปนเศรษฐ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงาน จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่าระหว่างวันที่ 13-17 เม.ย.นี้ ทาง ททท.คาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยือนเชียงรายไม่ต่ำกว่าวันละ 25,000 คน
       
       โดยจากสถิติตั้งแต่วันที่ 13-14 เม.ย.พบว่าตรงกับที่คาดการณ์ไว้ โดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 80% และต่างประเทศ 20% และจากการตรวจสอบไปยังสายการบินไทยและแอร์เอเชียพบว่าการบินระหว่างท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวงเชียงรายกับสนามบินสุวรรณภูมิ ระหว่างวันที่ 10-13 เม.ย.นั้นเต็มหมดทุกเที่ยวบิน
       
       นายอิสรา กล่าวต่อไปว่า ส่วนระหว่างวันที่ 14-17 เม.ย. พบว่าผู้โดยสารที่เดินทางไปยัง จ.เชียงราย จะเริ่มลดลงเพราะเป็นช่วงเดินทางกลับ ทำให้การจองเที่ยวบินน้อยกว่าเดิมประมาณ 50% และทำให้การเดินทางจากเชียงรายไปกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นถึง 80-85%
       
       ขณะที่ที่พักภายในจังหวัดซึ่งมีอยู่ทั้งหมดประมาณ 7,000 ห้องพัก คาดว่าจะมีอัตราการเข้าพักประมาณ 55-60% ซึ่งถือว่ามากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีอยู่แค่ 20% เท่านั้น
       
       นายอิสรา กล่าวอีกว่า สภาพดังกล่าวคาดการณ์ว่าจะทำให้ปีนี้มีเงินสะพัดจากการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลสงกรานต์ไม่ต่ำกว่า 350 ล้านบาท โดยมีนักท่องเที่ยวไปเที่ยวงานสงกรานต์ทั้งในเขตเทศบาลนครเชียงรายและอำเภอต่างๆ เช่น แม่สาย เชียงแสน เชียงของ รวมทั้งบริเวณชายแดนไทย-พม่า และไทย-สปป.ลาว
       
       ขณะที่บรรยากาศเทศกาลสงกรานต์ใน จ.เชียงราย ในวันนี้ถือว่าดีขึ้นเนื่องจากไม่มีฝนตกลงมา มีเพียงหมอกจัดในช่วงเช้ามืดก่อนที่อากาศจะสดใสและมีแดดตั้งแต่ช่วงเช้า ทำให้การเล่นน้ำสงครามคึกคักกว่าวันที่ 13 เม.ย.ซึ่งมีฝนตก อย่างไรก็ตามด้านสถิติอุบัติเหตุก็กลับเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
       
       โดยสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.เชียงราย สรุปตัวเลขการเกิดอุบัติเหตุว่าได้เกิดอุบัติเหตุช่วง 3 วันที่ผ่านมาจำวน 77 ครั้ง มีผู้เสียชีวิตเป็นชายทั้งหมดจำนวน 4 ราย และบาดเจ็บจำนวน 85 ราย โดยเป็นชายจำนวน 69 รายและหญิง 16 ราย ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่าท้องที่ที่เกิดอุบัติเหตุและเป็นสาเหตุที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตยังคงเป็น อ.เวียงแก่น โดยมีผู้เสียชีวิต 2 ราย คือนายอัครเดช บุญยประพันธ์ อายุ 46 ปี ประสบอุบัติเหตุขับขี่รถจักรยานยนต์ไปชนรถบรรทุกหกล้อที่ถนนเลาะแม่น้ำโขงชายแดนไทย-สปป.ลาว ที่หมู่บ้านท่าข้าม ต.หล่ายงาว อ.เวียงแก่น และนายวิษณุ แซ่ฟ้า อายุ 17 ปี บนถนนสายเดียวกันที่หมู่บ้านทรายทอง ต.ปอ อ.เวียงแก่น  เพราะขับรถยนต์กระบะพลิกคว่ำ ซึ่งถนนดังกล่าวไม่มีการจราจรแออัดเพราะเป็นชนในชนบท แต่มีความคดเคี้ยวในบางช่วงโดยเฉพาะช่วงที่ผ่านบางหมู่บ้าน
       
       นายวิรัตน์ แสนอุดม ผอ.แขวงการทางเชียงรายที่ 2 กล่าวว่า กรณีเกิดอุบัติเหตุบนถนนสาย อ.เวียงแก่น บ่อยครั้งนั้น พบว่าถนนสายดังกล่าวสภาพผิวจราจรดีและมีป้ายสัญญาจรต่างๆ ครบถ้วน แต่อาจมีโค้งและเป็นเนินตามสภาพภูมิประเทศและชุมชน ดังนั้นอุบัติเหตุน่าจะเกิดจากตัวผู้ขับขี่เองมากกว่า
       
       ในวันเดียวกันนี้ นายวัลลภ พริ้งพงษ์ รองปลัดกระรวงมหาดไทย ได้เดินทางมาประชุมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง พร้อมเน้นย้ำให้ทุกฝ่ายเร่งคุมเข้มการเกิดอุบัติเหตุตามถนนสายรองในชนบท รวมทั้งเข้มงวดกฎหมายจราจรโดยเฉพาะการดื่มสุราแล้วขับขี่ยานพาหนะ ซึ่งทาง พ.ต.ท.สรัญรัฐ ชยนนท์ สารวัตรจราจร สภ.เมือง ระบุว่า ช่วงคืนที่ผ่านมาได้ดำเนินคดีกับผู้ที่เมาแล้วขับจำนวน 28 ราย ส่วนในวันนี้จะตรวจตราอย่างเข้มงวดมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะช่วงเย็น เพราะคาดว่าหลังพิธีขนทรายเข้าวัดจะมีการดื่มฉลองกันเป็นจำนวนมาก
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
หน้า: 1 ... 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 [13] 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 ... 37 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!