เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 19 เมษายน 2024, 18:13:34
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 [12] 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 ... 37 พิมพ์
ผู้เขียน Re: รวบรวมกระทู้การพัฒนาด้านการท่องเที่ยวและโครงการพัฒนาเชียงราย  (อ่าน 439958 ครั้ง)
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #220 เมื่อ: วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2011, 16:45:29 »

วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2554

สถาบันคุ้มครองเงินฝากออกโรดโชว์เชียงราย
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


นายสิงหะ นิกรพันธุ์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) เปิดเผยว่าสถาบันคุ้มครองเงินฝากและธนาคารแห่งประเทศไทย ได้จัดการสัมมนาให้ความรู้ ความเข้าใจเรื่อง "ความมั่นคงของสถาบันการเงินและการคุ้มครองเงินฝาก" แก่สถาบันการเงิน ผู้ฝากเงิน และผู้เกี่ยวข้องที่โรงแรมเลอ เมอริเดียน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย

ทั้งนี้ เนื้อหาในการบรรยายและสัมมนาจะเกี่ยวข้องกับการกำกับดูแล ความมั่นคงของสถาบันการเงิน และการคุ้มครองเงินฝากโดยเฉพาะการทยอยลดวงเงินคุ้มครองเป็น 50 ล้านบาท ในวันที่ 11 ส.ค. 2554 และเป็น 1 ล้านบาท ในวันที่ 11 ส.ค. 2555 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ฝาก

ในปีนี้สถาบันคุ้มครองเงินฝากจะเร่งเดินหน้าประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วประเทศอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับประโยชน์และวงเงินความคุ้มครองของระบบประกันเงินฝาก โดยการชี้แจงผ่านช่องทางต่างๆ ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยให้ประชาชนมีความเข้าใจมากขึ้น ทำให้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะเกิดความตื่นตระหนกในระบบการเงิน หรือมีการโยกย้ายเงินฝากอย่างมีนัยสำคัญ เพราะความจริงการคุ้มครองเงินฝากในวงเงินไม่เกิน 1 ล้านบาทที่จะเกิดขึ้นในปี 2555 ตามที่กฎหมายกำหนดนั้น ครอบคลุมผู้เงินฝากสูงถึง 98.5% ของผู้ฝากทั้งหมด และวงเงินคุ้มครองเงินฝากของไทยเมื่อเทียบกับรายได้ของประชากรอยู่ในระดับอันดับต้นๆ ของกลุ่มประเทศที่ใช้ระบบคุ้มครองเงินฝาก

สำหรับผู้สนใจรายละเอียดต่างๆของสถาบันคุ้มครองเงินฝากสามารถติดตามได้ทาง www.dpa.or.th หรือ 02-272-0300
__________________
พูดคุยกันได้ครับ.

http://www.chiangraifocus.com/forums/chatroom/
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #221 เมื่อ: วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2011, 18:00:51 »

เชียงราย - นักวิชาการชี้ชัดท่องเที่ยวไทยนับวันจะย่ำอยู่กับที่ เหตุต่างคนต่างทำ แถมมีสารพัดกฎระเบียบไม่รู้จักจบจักสิ้น แต่ละหน่วยงานถือกฎหมายคนละฉบับ ขณะที่มิตรประเทศรอบข้างก้าวไปไกลลิบ ทั้งที่เริ่มสตาร์ทพร้อม ๆ กัน เสนอจัดกลุ่มวางแผนพัฒนาใหม่-ปรับการขนส่งระบบรางที่เก่ายิ่งกว่าสมัย ร.5
       
       วันนี้ (23 ก.พ.54) สถาวันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้จัดให้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อระดมความคิดเห็นเกี่ยวกับการกำหนดเขตพัฒนาการท่องเที่ยวภาคเหนือ ครั้งที่ 1 ณ โรงแรมทีคการ์เด้น สปา รีสอร์ท อ.เมืองเชียงราย มีนายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด และ รศ.ดร.ธเนศ ศรีวิชัยลำพันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันฯสรุปความเป็นมาของโครงการ และ ดร.วิชุลดา มาตันบุญ หัวหน้าโครงการวิจัยรับฟังการระดมความคิดเห็น ท่ามกลางตัวแทนจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนใน 17 จังหวัดภาคเหนือตอนบนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก
       
       รศ.ดร.ธเนศ กล่าวว่า ประมาณ 20 ปีก่อน เกาหลีใต้ หรือญี่ปุ่น ต่างเริ่มต้นพัฒนาการท่องเที่ยวพร้อมๆ กับประเทศไทย โดยภาครัฐและเอกชนมีความเป็นเอกภาพเดินไปในทิศทางเดียวกันจึงทำให้รุดหน้าไปมาก เมื่อเทียบกับไทยพบว่ายังอยู่กับที่ เพราะการพัฒนาของไทยอยู่ในสภาพต่างฝ่ายต่างทำ แม้จะรวมตัวกันบ้างแต่ก็ทำงานแบบตัวใครตัวมัน
       
       หรือในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวในช่วง 40 ปีของ 6 ประเทศในเอเชีย เช่น ไทย มาเลเซีย ญี่ปุ่น ฯลฯ พบว่าขณะที่ประเทศอื่นไปมาก แต่ไทยยังอยู่ที่เดิมท่ามกลางความสงสัยของประเทศต่างๆ ที่มีต่อทรัพยากรด้านการท่องเที่ยวที่มีความพร้อมกว่าของไทย ขณะที่หลายประเทศแทบไม่มีทรัพยากรใดๆ เลยแต่สามารถพัฒนาการท่องเที่ยวได้ดีกว่า
       
       รศ.ดร.ธเนศ กล่าวอีกว่า การวิจัยครั้งนี้จึงเพื่อแก้ปัญหาเรื่องข้อกฎหมายที่สร้างขึ้นมามากมายไม่รู้จักจบสิ้น และแต่ละหน่วยงานก็ถือกฎหมายคนละฉบับ เพื่อให้การพัฒนาสะดวกและง่ายต่อการปฏิบัติ รวมทั้งพระราชบัญญัติหลายฉบับที่เป็นประโยชน์ ก็จะได้สามารถนำออกมาใช้ได้อย่างเต็มที่ จากนั้นจึงมีการแบ่งเขตการกำหนดเขตพัฒนาต่อไป โดยตั้งอยู่บนพื้นที่ฐานความเป็นเอกภาพ กระจายรายได้และงบประมาณไปสู่ทุกกลุ่มแทนที่จะพัฒนาเพื่อผลประโยชน์ของใครตัวมันหรือกลุ่มใครกลุ่มมันเหมือนในอดีต
       
       "อีกประเด็นปัญหาที่มีผลต่อการท่องเที่ยวคือเรื่องการขนส่ง ผมเห็นว่าตราบใดประเทศไทยยังไม่มีรถไฟรางคู่ และต้องเป็นรถไฟฟ้าจะทำให้การท่องเที่ยวไม่คืบหน้าแน่นอน จึงหวังให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องช่วยกันผลักดันด้วย โดยสภาพที่เราเห็นในปัจจุบัน ผมขอยกตัวอย่างจากที่เคยไปรอรถไฟที่สถานีเชียงใหม่ ซึ่งกำหนดไปถึงสถานีเวลา 08.00 น. ปรากฏว่าไปถึงช้ากว่าถึง 2 ชั่วโมง สภาพรถก็เก่ามาก ซึ่งคิดว่าสมัยรัชกาลที่ 5 ยังใหม่กว่าเสียอีก ซึ่งถ้ามีรถไฟนอกจากจะมีประโยชน์ด้านการขนส่งสินค้าและขนส่งมวลชนแล้ว ก็จะกระจายไปสู่ภาคการท่องเที่ยวได้อย่างรวดเร็ว" รศ.ดร.ธเนศ กล่าวและว่า
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า สำหรับการประชุมครั้งนี้มีการกำหนดหัวข้อให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้ระบุชื่อจังหวัดต่างๆ ที่จะแบ่งเป็นเขตพัฒนาเดียวกันเพื่อแบ่งเป็นกลุ่มๆ ละ 3 จังหวัด ประกอบไปด้วยหลายหัวข้อ เช่น ความโดดเด่นทรงคุณค่าทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเด่นทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปวัฒนธรรม มีจำนวนนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก มีการค้าชายแดนและเชื่อมโยงกับประเทศเพื่อนบ้าน มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์ ฯลฯ จากนั้นมีการจัดแบ่งกลุ่มจังหวัดต่างๆ เพื่อระดมสมองเพื่อการพัฒนาต่อไป
       
       ขณะที่ ดร.วิชุลดา กล่าวว่า โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงท่องเที่ยวและกีฬาโดยกำหนดระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค.2553-วันที่ 31 มี.ค.2554 นี้ โดยมีระยะเวลาดำเนินการคือรวบรวมและศึกษาข้อมูลเอกสารที่เกี่ยวข้อง สัมภาษณ์เชิงลึก และทำแบบสอบถามในพื้นที่ 17 จังหวัดภาคเหนือ เพื่อจะได้จัดส่งให้กระทรวงได้พิจารณาดำเนินการต่อไป
       
       ด้านนายวิรุณ คำภิโล ประธานหอการค้า จ.เชียงราย กล่าวเสริมว่า ในเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน มีนักท่องเที่ยวไปเยือนปีละกว่า 7-8 ล้านคน เพราะต้องการไปเที่ยวชมความหลากหลายทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและชาติพันธุ์ ซึ่งสภาพเช่นนี้คล้ายกับภาคเหนือของไทย
       
       ดังนั้น แม้ว่าสังคมปัจจุบันจะมีความเปลี่ยนแปลงไปมากจนทำให้เรื่องชาติพันธุ์เริ่มกลมกลืนกันไป แต่เมื่อจะสร้างความโดดเด่นด้านการท่องเที่ยวก็ต้องนำมาพัฒนาเพื่อให้เกิดความเป็นเอกลักษณ์ต่อไป
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #222 เมื่อ: วันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2011, 09:14:12 »

แลกประสบการณ์สอนวิทย์ 4ชาติช่วยคิดพัฒนาการศึกษาในร.ร.

รายงานพิเศษ




สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ร่วมกับ มหา วิทยาลัยราชภัฏเชียงราย จัดเสวนาวิชาการ เรื่อง "พัฒนาวิทยาศาสตร์ในโรงเรียนอย่าง ยั่งยืน ประสบการณ์จากประเทศเพื่อนบ้าน" เมื่อเร็วๆ นี้

ดร.ริเอะ อาเทกิ ประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า ผลการประเมิน TIMSS-PISA มีผลต่อนโยบายการศึกษาของญี่ปุ่น ขณะที่จำนวนนักเรียนกลุ่มที่มีผลสัมฤทธิ์ต่ำมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เรียกว่าเป็นปรากฏการณ์ PISA Shock และนักเรียนญี่ปุ่นมีทัศนคติทางลบต่อการเรียนรู้ ขาดความสนใจด้านการเรียนรู้วิทยา ศาสตร์ คณิตศาสตร์

การปรับเปลี่ยนนโยบายการศึกษา ของญี่ปุ่นเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ คณิต ศาสตร์ คือ เพิ่มชั่วโมงเรียนวิทยา ศาสตร์ คณิตศาสตร์อีกร้อยละ 10 ลดเวลาเรียนด้านอื่นลง

ญี่ปุ่นมีนโยบายพัฒนาครู 3 แนวทาง คือ จัดตั้งสถาบันพัฒนาครู เน้นพัฒนาครูระดับหลังอุดมศึกษา โดยยกเลิกการให้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูแบบตลอดชีวิต เปลี่ยนเป็นต่ออายุทุก 10 ปี และปรับปรุงหลักสูตรการผลิตครูก่อนประจำการ

ความท้าทายสำหรับครูญี่ปุ่น คือ ครูมีเวลาจำกัดในการสอน นักเรียนมุ่งเน้นในการสอบเข้ามหา วิทยาลัย จึงไม่มีเวลาทดลองปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์

คุณอุน ซุง ลี ประเทศเกาหลีใต้ กล่าวว่า เกาหลีใต้ประสบความสำเร็จได้เพราะสามารถจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบดีมาก สอดคล้องกับ TIMSS-PISA ประเมิน ส่วนนักเรียนแต่ละคนก็ทุ่มเทกับการเรียนมาก

แม้เกาหลีใต้จะมีผลการประเมิน TIMSS-PISA สูง แต่ก็ยังมุ่งพัฒนาการศึกษาวิทยาศาสตร์อย่างต่อเนื่อง ปรับระบบการศึกษาให้ยืดหยุ่น มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความสุขในการเรียนรู้ ที่สำคัญทั้งพ่อแม่ ผู้เรียนภาครัฐและเอกชน ให้ความสำคัญต่อการศึกษาอย่างทุ่มเททั้งระบบ

ดร.ยีพ บัน ฮาร์ ประเทศสิงคโปร์ เล่าว่า ปัจจัยที่ทำให้สิงคโปร์ ประสบความสำเร็จ คือ หลักสูตรวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เน้นกระบวนการแก้ปัญหาและการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ การใช้หนังสือเรียนที่มีคุณภาพ เพื่อรองรับครูที่ขาดคุณวุฒิ โดยเฉพาะครูประถมศึกษาที่ไม่ได้จบปริญญา และการวัดประเมินผลความสามารถทางการคิด

คุณครูชาวสิงคโปร์ต้องพัฒนาตัวเองให้ก้าวทันต่อองค์ความรู้และเทคโนโลยีตลอดเวลา แต่ ครูก็ได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากรัฐ

ดร.พรพรรณ ไวทยางกูร ผอ.สสวท. กล่าว ว่า การพัฒนาคุณภาพการศึกษาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ของไทยอย่างยั่งยืน มี 4 ปัจจัย คือ หลักสูตรที่ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการศึกษา โรงเรียนและครูไทยจะต้องจัดการเรียนการสอนให้ได้มาตรฐานตาม ที่ พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ กำหนดไว้

การพัฒนาข้อสอบเพื่อประเมินสมรรถนะครูวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ระดับประถมศึกษา และมัธยมศึกษาตอนต้น การพัฒนาโรงเรียนตามสภาพจริงที่มีความหลากหลาย การพัฒนาครู พัฒนาหลักสูตรครูก่อนประจำ การวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ โดยเปลี่ยนเป็นหลักสูตร 4+2 ปี

ในช่วงท้ายของการเสวนา มีการซักถามเกี่ยวกับระบบการสอบเข้ามหาวิทยา ลัยของนักเรียนแต่ละชาติ สิงคโปร์ใช้ข้อสอบ NT เป็นเกณฑ์ในการคัดเลือกเข้ามหา วิทยาลัย ไม่ได้สอบเข้าโดยตรง เกาหลี ใต้เข้ามหาวิทยาลัย โดยใช้ผล NT ประ กอบกับการทำข้อสอบ และการสัมภาษณ์ ญี่ปุ่น การสอบ NT ไม่นับเป็นเกณฑ์ในการเข้ามหาวิทยาลัย

ท้ายสุดมีข้อซักถามเกี่ยวกับภาระงานของครูในประเทศต่างๆ ซึ่งพบว่า ครูญี่ปุ่น ไทย สิงคโปร์ หรือ เกาหลีใต้ ต่างก็ต้องแบกรับภาระงานที่นอกเหนือจากการสอนเยอะแยะมากมายไม่ต่างกัน

หน้า 26
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #223 เมื่อ: วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2011, 23:27:08 »

จีเนท"ฉลองก้าวสู่ปีที่ 5 อย่างเต็มภาคภูมิ





ก้าวสู่ปีที่ 5 ด้วยความสำเร็จอย่างเต็มภาคภูมิ สำหรับโทรศัพท์มือถือแบรนด์ "จีเนท" ภายใต้การดำเนินงานของผู้บริหารหนุ่ม "วุฒิ จารุวัชรวรรณ" ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท จีเนท อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หลังจากได้เดินหน้าทำตามพันธกิจที่เคยประกาศไว้ บรรลุผลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จนในวันนี้โทรศัพท์มือถือจีเนทสามารถครองใจคนทั่วประเทศ กลายเป็นอันดับ 1 ในตลาดมือถือเมืองไทย และเนื่องในโอกาสครบรอบ 4 ปี ของจีเนท ในงาน G - Net 4 Year 4 You 4th Anniversary ที่นอกจากนายวุฒิจะมาสะบัดธงชัย ประกาศความสำเร็จแล้ว ยังได้กล่าวขอบคุณลูกค้าทุกคนด้วย "ขอบคุณทุกความไว้วางใจ ที่ทำให้เราก้าวสู่ชัยชนะในตลาดมือถือเมืองไทย" พร้อมด้วยการประกาศพันธกิจใหม่ในการก้าวขึ้นสู่การเป็น International Local Brand ด้วยกลยุทธ์แบบ Tailor Made ในการเลือกโมเดลสินค้าให้ตรงกับความต้องการของผู้ใช้ เหมาะกับพื้นที่ เหมาะกับภูมิภาค ตรงจุดในแต่ละตลาด เพื่อทำให้โดนใจผู้บริโภคทุกกลุ่มเป้าหมาย ภายใต้การวางกลยุทธ์ทางการตลาดทั้งในประเทศและการบุกตลาดอาเซียนอย่างเต็มรูปแบบ




โดยแผนงานในต่างประเทศ เตรียมรุกทำตลาดในประเทศอาเซียน ด้วยแผนการตลาดและการจัดจำหน่ายเต็มรูปแบบในเร็วๆนี้ ส่วนตลาดในประเทศ ได้เตรียมการ Re-Brand และ Re-Positioning แบรนด์จีเนทใหม่เพื่อปรับและขยายฐานลูกค้าให้ครอบคลุมมากขึ้น เตรียมนำโปรดักส์ใหม่ๆ ในกลุ่มสินค้าไฮ-เอ็นเข้ามาจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นแอนดรอยด์โฟน สมาร์ทโฟน และแทปเล็ต ในชื่อว่า G-Pad เพื่อเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของมาร์เก็ตแชร์ลูกค้ากลุ่มกลางถึงบน ผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายรูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ G-Net Smart Shop พร้อมทั้งให้บริการที่สร้างประสบการณ์และความประทับใจให้กับลูกค้า โดยจะทำการเปิดให้บริการตามห้างสรรพสินค้าชั้นนำหลายแห่ง ภายในไตรมาสที่สองของปีนี้ และในเรื่องของศูนย์บริการที่เป็น First Class Service สำหรับในไตรมาสแรกของปีนี้ เปิดศูนย์บริการเพิ่มเติมไปแล้ว 3 แห่งที่ จังหวัดภูเก็ต, จันทบุรี และอยุธยา ตามแผนที่วางไว้ โดยเหลืออีก 2 ศูนย์บริการที่กำลังจะเปิดเร็วๆนี้ ได้แก่ ที่จังหวัดอุบลราชธานี และเชียงราย รวม 5 แห่ง ภายในเดือนมีนาคม รวมทั้งยังมีแผนที่จะขยายศูนย์บริการเพิ่มอีกภูมิภาคละหนึ่งแห่งภายในปีนี้แน่นอน นอกจากนั้นยังได้เตรียมแคมเปญสุดพิเศษ "จีเนท ครบรอบ 4 ปี แจกทอง 444 เส้น" รวมทั้งการทำของขวัญชิ้นพิเศษ (Thumb Drive Limited Edition) ในวาระฉลองครบรอบ 4 ปีเพื่อตอบแทนลูกค้าและตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศอีกด้วย รวมทั้งแคมเปญ "ไปเที่ยวมัลดีฟส์กับปอยค่ะ" เพื่อตอบแทนให้กับร้านค้าที่สนับสนุนบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมาในช่วงเดือนปลายเมษายนนี้ เรียกได้ว่าครบรอบ 4 ปีจีเนทครั้งนี้มีแต่ให้จริงๆ


http://www.naewna.com/news.asp?ID=250929
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #224 เมื่อ: วันที่ 02 มีนาคม 2011, 22:36:10 »

เชียงราย - เมืองพ่อขุนฯเตรียมจัดใหญ่ งาน “เยือนดอกกาแฟบาน ณ ลานดอยช้าง” อาทิตย์ที่ 6 มีนาฯนี้ พร้อมระดมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปลุกกระแสท่องเที่ยว - เปิดพื้นที่ขายสินค้าชุมชนบนดอย





       
       นายสมชัย หทยะตันติ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า เชียงรายมีพืชเศรษฐกิจที่รู้จักแพร่หลายคือกาแฟชั้นดี โดยเฉพาะกาแฟที่ปลูกบนดอยช้าง ต.วาวี อ.แม่สรวย ดังนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว จังหวัดจึงร่วมกับองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยฯ, ฝ่ายปกครอง อ.แม่สรวย ,องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) วาวี ,ชมรมวิ่งเพื่อสุขภาพแม่สรวย และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนผู้ผลิตกาแฟดอยช้าง กำหนดจัดงาน "เยือนดอกกาแฟบาน ณ ลานดอยช้าง" ในวันที่ 6 มี.ค.2554 นี้
       
       การจัดงานจะเริ่มต้นตั้งแต่ภาคเช้าจัดให้มีการแข่งขันวิ่งขึ้นดอย ซุปเปอร์มินิมาราธอนระยะทาง 12.5 กิโลเมตร ปล่อยตัว 06.30 น.และวิ่งไมโครมาราธอน ระยะทาง 4.5 กิโลเมตร ปล่อยตัวเวลา 07.00 น.จากนั้นจะมีพิธีเปิดงานเยือนดอกกาแฟบาน โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน ภายในบริเวณงานจัดให้มีซุ้มศูนย์รวมกาแฟของกลุ่มวิสากิจชุมชนผู้ผลิตกาแฟดอยช้าง จำหน่ายกาแฟราคาถูก สินค้าโอท็อป ศิลปหัตถกรรมชาวไทยภูเขา ชมการแสดงวัฒนธรรมชนเผ่า ตลอดงาน
       
       นอกจากนั้น ยังจัดให้มีการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ธรรมชาติ สัมผัสมหัศจรรย์ดอกกาแฟบาน สีขาวสะอาดตา ส่งกลิ่นหอมน่าหลงใหล นมัสการพระพุทธสิกขี ณ พุทธอุทยานดอยช้าง ชมบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ ชมดอกไม้เมืองหนาว ณ สถานีทดลองเกษตรที่สูงวาวี (ศูนย์บริการด้านพืชและปัจจัยการผลิต เชียงราย 2) โดยเฉพาะช่วงนี้ดอกว่านสี่ทิศกำลังบานสะพรั่งสวยงามอย่างมาก
       
       สำหรับกาแฟดอยช้างกำเนิดขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของชาวไทยภูเขาให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นลดพื้นที่การปลูกฝิ่นและการทำไร่เลื่อนลอย ทรงมีพระราชดำริให้นำกาแฟอราบิก้าและพืชเมืองหนาวมาปลูกทดแทน จึงเป็นจุดเริ่มต้นของกาแฟบ้านดอยช้างอันเลื่องชื่อ จากการคัดสรรสายพันธุ์กาแฟอราบิก้า ตามโครงการพระราชดำริทำให้ได้สายพันธุ์ดี เป็นกาแฟเกรดพิเศษ ที่ปลูกเฉพาะบริเวณบ้านดอยช้างซึ่งมีความสูง 1,200-1,500 เมตร จากระดับน้ำทะเลทำให้ได้กาแฟที่มีรสชาติดี
       
       "ผลกาแฟจะสุกต้องใช้เวลาประมาณ 4-8 เดือน ช่วงนี้ก็จะมีดอกกาแฟบานสะพรั่ง ซึ่งมีความงดงามและน่าดูชมท่ามกลางขุนเขา จึงได้มีการจัดงานขึ้นเพื่อประโยชน์ทุกด้าน สำหรับผลกาแฟอราบิก้าบ้านดอยช้างเมื่อสุกและนำมาผ่านกระบวนการคั่วและบดอย่างประณีต จะได้กาแฟที่มีกลิ่นหอม ชวนให้ดื่มทั้งยังมีรสชาติดี และ มีปริมาณคาเฟอีนต่ำประมาณ 1.3 % ในบรรดากาแฟสายพันธุ์อราบิก้าทั้งหมดนั้นพบว่า มีกาแฟเกรดพิเศษอยู่ไม่ถึง 10% ซึ่งกาแฟที่มีรสชาติเฉพาะ มีกลิ่นหอมมาก และมีความเป็นกรด (ผลไม้) ที่เหมาะสม ทำให้ดื่มแล้วรู้สึกชุ่มคอ ดื่มได้ตลอดเวลาเพราะมีปริมาณคาเฟอีนต่ำ ช่วยกระตุ้นให้เกิดความกระชุ่มกระชวย กาแฟเกรดพิเศษนี้มักเกิดขึ้นเฉพาะแหล่ง อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของกาแฟดอยช้าง" นายสมชัย กล่าว


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000027051
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #225 เมื่อ: วันที่ 03 มีนาคม 2011, 09:10:39 »


วันที่ 03 มีนาคม พ.ศ. 2554 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4293  ประชาชาติธุรกิจ


ททท.รุกหนักตลาดอินโดฯ ดึงเศรษฐี 30 ล้านคนเที่ยวไทย




"อินโดนีเซีย" ประเทศที่มีฐานประชากรขนาดใหญ่กว่า 240 ล้านคน และเศรษฐกิจที่ก้าวหน้าจากธุรกิจอุตสาหกรรมและพลังงาน ก๊าซและน้ำมัน ด้วยอัตราเติบโตของจีดีพีกว่า 6% เฉลี่ยทุกปี กำลังจะเป็นตลาดดาวรุ่งแห่งเอเชียที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจท่องเที่ยวไทย หลังจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) จับกระแสการเดินทางที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ตั้งสำนักงานต่างประเทศแห่งที่ 25 ณ กรุงจาการ์ตา พร้อมจัดงาน "อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ โรดโชว์ อินโดนีเซีย" ขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

เจาะกลุ่มเศรษฐี 30 ล้านคน

นายสุรพล เศวตเศรนี ผู้ว่าการ ททท. เปิดเผยว่า การจัดโรดโชว์ 3 เมืองหลัก คือ เมดาน สุราบายา และจาการ์ตา ช่วงปลายกุมภาพันธ์ มีการเปิดตัวแหล่งท่องเที่ยวใหม่ตามความต้องการของบริษัทนำเที่ยวกว่า 550 ราย ที่มาร่วมการซื้อขายและเป็นตัวแทนในการเจาะถึงกลุ่มเศรษฐีกว่า 30 ล้านคน ใน 3 เมืองดังกล่าว มีความพร้อมทั้งกำลังซื้อสูง และความต้องการเที่ยวต่างประเทศ หากเจาะกลุ่มนี้ได้ราว 5% ก็จะได้ตลาดคุณภาพเข้าไทยมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี

ไทยเป็นจุดหมายที่นิยมอันดับ 4 รองจากมาเลเซีย สิงคโปร์ ฮ่องกง แต่มีโอกาสเพิ่มจำนวนขึ้นเพราะสำนักงานใหม่ในจาการ์ตาจะทำแคมเปญโปรโมชั่นร่วมกับเอเย่นต์ และวางแผนการโฆษณาประชาสัมพันธ์ นอกจากนั้นชาวอินโดนีเซียจะเริ่มอิ่มตัวกับแหล่งท่องเที่ยวเดิม และมองไทยเป็นตัวเลือกเพราะมีแหล่งท่องเที่ยวเชิงไลฟ์สไตล์หลากหลาย พร้อมนำเสนอ

จุดหมายใหม่เสมอ นอกจากกรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ตที่เป็นหลัก ยังเริ่มนำเสนอพระนครศรีอยุธยา ปากช่อง กาญจนบุรี เชียงใหม่ เชียงราย สมุยด้วยเชื่อว่า 5 ปีต่อไปนี้ตลาดมีโอกาสเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ต่อเนื่องทุกปี

อัดแคมเปญ Fun In Thailand

นายสรรเสริญ เงารังษี รองผู้ว่าการด้านตลาดเอเชีย-แปซิฟิกใต้ ททท. เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดเอเชียแบ่งได้ 3 กลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกมีนักท่องเที่ยวเกิน 1 ล้านคน จีน ญี่ปุ่น เกาหลี มาเลเซีย กลุ่ม 2 คือ 5 แสนคน สิงคโปร์ อินเดีย ออสเตรเลีย และกลุ่มสุดท้ายคือ ที่ต่ำกว่า 5 แสนคนลงมา ซึ่งอินโดนีเซียอยู่ในกลุ่มนี้ แต่หลังจากการเปิดสำนักงานจาการ์ตา ตั้งเป้าราว 380,000 คนในปี 2554 หรือเติบโต 35% เมื่อเทียบกับ 281,873 คนจากปี 2553

นายนิธี สีแพร ผู้อำนวยการ ททท. สำนักงานจาการ์ตา เปิดเผยว่า วางแผนสร้างความสัมพันธ์กับบริษัททัวร์ 600-700 รายที่ทำทัวร์เอาต์บาวนด์มาไทย กลยุทธ์แรกจับมือทัวร์เป็นพันธมิตรร่วมลงทุนทำโปรโมชั่นแพ็กเกจผ่านสื่อ

ต่าง ๆ เนื่องจากสื่อในอินโดฯมีราคาสูงกว่าไทย 2-3 เท่า กลยุทธ์ 2 สนับสนุนรายการทีวี "เซเลเบรชั่น จะรัน จะรัน" มาถ่ายทำในไทยช่วงเทศกาลสงกรานต์ และออกอากาศช่องฟรีทีวีทั่วประเทศ 2 ตอน เพื่อสนับสนุนการเดินทางช่วงปิดเทอมเดือนกรกฎาคม และช่วงโลว์ซีซั่น แคมเปญหลักเสนอ "Fun In Thailand" นำเสนอความสนุกสนานมีชีวิตชีวาจากเทศกาล แหล่งท่องเที่ยว การช็อปปิ้งที่มีสีสัน เช่น ตลาดนัดจตุจักร ทิฟฟานี่โชว์ อัลคาซาร์โชว์ สวนน้ำ สวนสนุกอย่างเช่น สวนสยาม โดยจะใช้เป็นธีมสำหรับโฆษณาตลอดปีนี้

นอกจากนี้ ครึ่งปีหลังจะเริ่มอบรมข้อมูลท่องเที่ยวกับตัวแทนบริษัทนำเที่ยว เพื่อนำเสนอทัวร์ใหม่ต่อลูกค้า ตั้งเป้า

ปีแรกนำผู้ประกอบการ 10-20% ของบริษัททัวร์กว่า 700 รายเข้าร่วมเพื่อ

นำเสนอแหล่งท่องเที่ยวให้ตรงกับกลุ่มความต้องการ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวไฮเอนด์ที่มีถึง 50% จากนักท่องเที่ยวทั้งหมด

กลยุทธ์ออนไลน์ปรับปรุงเว็บไซต์ภาษาบาฮาซา จัดทำสื่อผ่านทวิตเตอร์ ตั้งแฟนเพจในเฟซบุ๊ก จัดกิจกรรมตอบปัญหาชิงรางวัลเพื่อจับกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตกว่า 30 ล้านคน และส่วนใหญ่เป็น กลุ่มเดินทางด้วยตัวเอง (FIT) ที่มีสัดส่วนกว่า 60% จากนักท่องเที่ยวทั้งหมด

หนุนเปิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่

นางทีร์ซ่า เออลีซ่า หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการ บริษัทเอเอสเอ วิซาต้า บริษัทตัวแทนท่องเที่ยวในกรุงจาการ์ตา เปิดเผยว่า จัดทัวร์ไปกรุงเทพฯทุก 3 เดือน โดยมีกลุ่มครอบครัวเป็นลูกค้าหลัก ใช้เวลาเที่ยวระยะสั้น 8 วัน ระยะยาว 10-12 วัน เน้นกรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ สมุย โดยลูกค้าส่วนใหญ่ชอบกรุงเทพฯเพราะความแตกต่างด้านวัฒนธรรม มีแหล่งช็อปปิ้งคุ้มค่าเงิน และที่สำคัญคือมีแหล่งท่องเที่ยวใหม่มานำเสนอตลอดเวลา

นายเดวิด อาริฟิน หัวหน้าฝ่ายขายแผนกเอาต์บาวนด์ บริษัททาราทัวร์ เปิดเผยว่า กลุ่มลูกค้าหลักคือครอบครัว นิยมเดินทางช่วงปิดภาคเรียน และกลุ่มนักธุรกิจ เดินทางครั้งละ 20-30 คน ทริป 3-4 วันสำหรับกรุงเทพฯ พัทยา และทริป 6 วัน เมื่อเลือกเที่ยวต่อภูเก็ต เชียงใหม่ เชียงราย จุดขายหลักของไทยคือวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนที่อื่น เช่น ตลาดน้ำ เป็นที่ชื่นชอบของลูกค้ามาก และมีความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยว ทำให้ลูกค้าเลือกเดินทางซ้ำ

ประเมินแนวโน้มปีนี้การเดินทางจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากการยกเลิกภาษีเดินทางขาออก ทำให้ครอบครัว 4 คนประหยัดได้ถึง 10 ล้านรูเปียห์ หรือราว 35,000 บาท/ทริป ประกอบกับ ททท.สำนักงานจาการ์ตาที่เปิดใหม่จะช่วยอัพเดตข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวใหม่ให้กับกลุ่มเดินทางซ้ำที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่ผ่านมาขายแหล่งท่องเที่ยวเดิมมาเป็น 10 ปี

โดยขณะนี้มองแหล่งท่องเที่ยวเส้นทางที่มีศักยภาพ คือ เส้นทาง R3A ที่เชื่อมต่อจากภาคเหนือไปถึงจีนได้ รวมถึงสินค้าท่องเที่ยวใหม่ ๆ ในแหล่งท่องเที่ยวเดิม เช่น วัดไตรมิตรฯ ริปลีย์ พัทยา เป็นต้น

หน้า 26
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #226 เมื่อ: วันที่ 03 มีนาคม 2011, 19:40:28 »

สนง.พาณิชย์ จ่อยกระดับตลาดกลางสินค้าเกษตรเชียงรายเชื่อม3ชาติ
   
 3 มีค. 2554 10:07 น.




นายเฉลิมพล พงษ์ฉบับนภา พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้สินค้าพืชผลทางการเกษตร ของจังหวัดเชียงราย เป็นเพียงตลาดค้าส่งในระดับจังหวัด และมีการเชื่อมโยงไปยังจังหวัดต่างๆในภาคอื่นๆ แต่ด้วยศักยภาพที่จังหวัดเชียงรายยังเป็นแหล่งผลิตสำคัญของพืชผลทางการเกษตรอยู่หลายชนิด ทางสำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงราย กำลังผลักดันให้ตลาดค้าส่งของจังหวัด สามารถยกระดับเป็นศูนย์กระจายสินค้าในระดับชั้นมาตรฐาน โดยเป้าหมายของศูนย์กระจายสินค้าที่จะเกิดขึ้นนี้ จะส่งผลให้ผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่จังหวัดเชียงราย จะไม่ถูกป้อนไปเพียงแค่ตลาดในระดับภูมิภาคเท่านั้น แต่สินค้าเหล่านี้ยังจะถูกส่งไปยังตลาดในในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ลาว จีน และพม่า อีกด้วย เพราะปัจจุบันประเทศเหล่านี้มีความต้องการในการสั่งซื้อสินค้าจากจังหวัดเชียงรายเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะพืชผลทางการเกษตรที่เป็นไม้เมืองร้อนตามฤดูกาล ทั้งนี้เมื่อมีการยกระดับตลาดค้าส่งให้เป็นศูนย์กระจายสินค้าแล้ว มีความจำเป็นจะต้องเชิญตลาดคู่ค้า โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านมาทำการเจรจาอย่างเป็นจริงเป็นจังกว่านี้ เพื่อให้พื้นที่แหล่งผลิตสามารถจัดหาสินค้าได้ตามความต้องการมากที่สุด

 
 
 
 
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
nataann
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #227 เมื่อ: วันที่ 04 มีนาคม 2011, 15:07:14 »

รักเชียงรายครับ
IP : บันทึกการเข้า
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #228 เมื่อ: วันที่ 07 มีนาคม 2011, 16:03:25 »

ทีโอทียันติดตั้ง3Gไร้ปัญหาเซ็นสัญญามี.ค.
   
 7 มีค. 2554 12:46 น.


นายณพณัฏฐ์ หุตะเจริญ รักษาการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เปิดเผยความคืบหน้าโครงการขยายโครงข่าย 3จี ว่า โดยส่วนตัวไม่ได้รับผิดชอบโดยตรง แต่จากการติดตามการทำงานของคณะกรรมการประกวดราคาก็ทำงานได้อย่างเรียบร้อยดี ตอบได้ทุกคำถาม แต่ก็ยอมรับว่าโครงการขนาดใหญ่มีการร้องเรียนก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่คณะกรรมการก็สามารถตอบได้ มีข้อมูลรายละเอียดในเชิงลึก ทั้งนี้ จากที่ได้ฟังเสียงคณะกรรมการประกวดราคาก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวว่าไม่มีปัญหา สามารถตอบได้ และไม่หนักใจอะไร และช่วงนี้คณะกรรมการทีโอที ก็มองเห็นว่าอยากจะให้รอบคอบและโปร่งใส จึงเชิญผู้เชี่ยวชาญมาตรวจสอบ เพื่อจะได้ชัดเจนมากขึ้น คาดว่าภายในเดือนมีนาคมน่าจะเห็นอะไรจัดเจนขึ้น คาดว่าจะมีการเซ็นสัญญา และภายใน 180 วันจะมีการกำหนดส่งมอบของให้แล้วเสร็จในเมืองใหญ่และขยายโครงการนำร่อง 17 หัวเมืองหลักที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจและการศึกษา เช่น เชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก ฯลฯ และรวมต่ออีก 360 วันจะขยายไปทั่วประเทศ ส่วนจะให้บริการพร้อมกันทั่วประเทศได้พร้อมกันเมื่อไหร่นั้นเราจะมีการแบ่งขยายเป็นเฟส 1 เฟส 2 วิศวกรกำลังพิจารณาอยู่ คงจะไม่เสร็จภายในวันเดียวเหมือน 2จี ที่ผ่านมา ตนคิดว่าหลังจากนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร พร้อมทุกอย่าง เราทำด้วยความโปร่งใสและรอบคอบ แต่อาจจะร้องเรียนบ้างก็คงทราบโครงการใหญ่ๆ มีการร้องทั้งนั้น ตนเองไม่ใช่คณะกรรมการยืนเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่หนักใจ

 
 
 
 
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #229 เมื่อ: วันที่ 07 มีนาคม 2011, 16:03:43 »

พาณิชย์เชียงรายเปิดตัวย่านการค้าชาดอยแม่สลองคาดเงินสะพัดกว่า20 ล้าน

7 มีค. 2554 15:38 น.




นายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ในระหว่างวันที่ 18-21 มีนาคม 2554 ที่บริเวณสนามโรงเรียนสันติคีรี ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง สำนักงานพาณิชย์จังหวัดเชียงรายจะจัดให้มีการเปิดตัว ”ย่านการค้าชาดอยแม่สลอง” ( Doi MaeSalong Tea Trade Zone) ขึ้น เพื่อเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและเป็นการสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนภายในจังหวัด ก่อนเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ โดยภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะการจำหน่ายผลิตภัณฑ์สินค้า จำนวนกว่า 70 ร้านค้า ร่วมใจกันลดราคาสินค้า 15-50% ตลอดงาน นอกจากนี้ ยังมีการจำหน่ายสินค้าจากย่านการค้าชื่อดัง ของเชียงราย และจังหวัดต่างๆ ทั่วไทย ที่เดินทางมาร่วมกันสร้างสีสันทางการค้าในงานนี้ ได้แก่ กาแฟ สับปะรดภูแล เสื้อผ้าพื้นเมือง ข้าวหอมมะลิ และย่านการค้าจังหวัดต่างๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากกระทรวงพาณิชย์ ได้แก่ จังหวัดตาก กระบี่ ฉะเชิงเทรา จันทบุรี ขอนแก่น ชลบุรี สงขลา นครสวรรค์ นครราชสีมา เชียงราย ตรัง และสมุทรสาคร โดยในการจัดงานครั้งนี้ ตั้งเป้าหมายที่จะมีผู้มาเที่ยวชมงานตลอด 4 วัน ประมาณกว่า 50,000 คน สร้างเม็ดเงินสะพัดในชุมชนและจังหวัดกว่า 20 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม เพื่อฟื้นฟูภาวะเศรษฐกิจการค้าในภูมิภาคให้มีความคึกคัก อีกทั้งเป็นการสร้างรายได้และโอกาสทางตลาด โดยเฉพาะผู้ประกอบการ SMEs ในภูมิภาคให้เข้มแข็ง ทั้งนี้ในส่วนของจังหวัดเชียงราย ได้คัดเลือกชาดอยแม่สลอง ตำบลแม่สลองนอก อำเภอแม่ฟ้าหลวง เป็นย่านการค้านำร่อง ในการฟื้นฟูส่งเสริม โดยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายและการพัฒนาผู้ประกอบการ การผลิต ตลอดจนการพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ ในงานนี้ผู้เข้าเยี่ยมชมงานยังจะได้สัมผัสบรรยากาศอิงเขาดื่มด่ำกับรสชาติชาเชียงราย กับบรรยากาศสบาย ๆ บนดอยแม่สลอง ซึ่งเป็นชาที่ดีที่สุดในประเทศไทย และกำลังขยายตลาดไปทั่วโลก พร้อมชื่นชมเอกลักษณ์พี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน และความหลากหลายของชนเผ่า
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #230 เมื่อ: วันที่ 08 มีนาคม 2011, 21:30:44 »

ชร.เตรียมเปิดดอยแม่สลอง-จัดลานค้ากลางไร่ชากลางเดือนนี้ (มี.ค.54)

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   8 มีนาคม 255

เชียงราย - เตรียมเปิดพื้นที่ลานค้าบนดอยแม่สลอง กลางไร่ชากว่า 60,000 ไร่ ระดมชาพันธุ์ดี-สินค้าพื้นบ้าน รวมถึงผลิตภัณฑ์เด่นทั่วสารทิศร่วมออกร้าน ดึงนักท่องเที่ยวขึ้นดอยก่อนสงกรานต์ 54 คาดมีคนเที่ยวไม่น้อยกว่า 5 หมื่น ทำเงินสะพัดเกิน 20 ล้านแน่
       
       รายงานข่าวจากจังหวัดเชียงราย แจ้งว่า สำนักงานพาณิชย์ จ.เชียงราย มีกำหนดจัดงาน “ย่านการค้าชาดอยแม่สลอง” ขึ้น ระหว่างวันที่ 18-21 มี.ค.นี้ ณ สนามกีฬาโรงเรียนสันติคีรี ต.แม่สลองนอก อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย หรือบนดอยแม่สลอง ซึ่งเป็นใจกลางพื้นที่การปลูกชาสำคัญของประเทศไทย และปัจจุบันมีตลาดการค้าสินค้าพื้นเมือง-ของฝาก ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าโรงเรียนเป็นจำนวนมาก ซึ่งนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนนิยมแวะเพื่อเดินชม-ซื้อสินค้าที่แปลกตาหรือเป็นของฝากรวมทั้งชมวิถีชีวิตของชาวเขาด้วย โดยในการจัดงานครั้งนี้มีการจัดให้ร้านค้าต่างๆ ดังกล่าวจำนวน 70 แห่ง นำสินค้าที่น่าสนใจเข้าไปจำหน่ายในราคาถูกตลอดงาน
       
       ในงานดังกล่าวยังจัดให้มีสินค้าจากหลากหลายจังหวัดทั่วประเทศ เช่น ขอนแก่น นครราชสีมา สงขลา ตรัง กระบี่ ฉะเชิงเทรา จันทบุรี ชลบุรี ตาก สมุทรสาคร นครสวรรค์ ฯลฯ นำสินค้าไปจัดแสดงอีกเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้จัดให้มีการประกวดชิมชา ให้เจ้าของผลิตชาได้ปรุง และให้กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิได้ดื่ม วิเคราะห์คะแนนจากหลายด้าน เช่น ชิมรสชาติ ดมกลิ่น ฯลฯ รวมทั้งผลิตภัณฑ์ชาและอื่นๆ อีกมากมาย รวมถึงมีการจัดเวทีการแสดงบนเวที เช่น ตำนานชาวไทยเชื้อสายจีนบนดอยแม่สลอง การแสดงดนตรี การละเล่น ฯลฯ
       
       นายเฉลิมพล พงศ์ฉบับนภา พาณิชย์ จ.เชียงราย กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวจัดขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในภูมิภาค โดยเฉพาะช่วงก่อนจะถึงเทศกาลสงกรานต์ เหตุที่คัดเลือกชามาจัดงานเพราะมีเกษตรกร ผู้ประกอบการและผลิตภัณฑ์ที่ดีอยู่แล้ว
       
       “กิจกรรมนี้เป็นเพียงการนำร่องเท่านั้น ซึ่งจะมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่องต่อไป เบื้องต้นตั้งเป้าว่าจะมีผู้เข้าชมงานตลอดงานมากกว่า 50,000 คน ทำเงินสะพัดให้จังหวัดไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท”
       
       รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ในปัจจุบันมีไร่ชาบนดอยแม่สลองทั้งหมดประมาณ 60,000 ไร่ โดยแบ่งเป็นชาอู่หลงประมาณ 18,000 ไร่และชาพื้นเมืองหรือชาอัสสัม ประมาณ 32,000 ไร่ เกษตรกรมีต้นทุนในการปลูกไร่ละประมาณ 30,000-40,000 บาท และเมื่อปลูกเสร็จก็มีค่าดูแลไร่ละ 3,000 บาทต่อเดือน ทั้งนี้ จากการพัฒนาวงการชามาอย่างต่อเนื่องทำให้มีอัตราเพิ่มขึ้นของไร่ชาประมาณ 15-20%
       
       สำหรับราคาใบชาแตกต่างกันไป โดยราคาขายส่งที่ไร่แยกเป็นชาอูหลงเบอร์ 12 กิโลกรัมละ 40-100 บาท อู่หลงเบอร์ 17 กิโลกรัมละ 60-120 บาท ขณะที่ชาที่ไม่ใช้สารเคมีหรือชาอินทรีย์จะมีราคาที่สูงกว่าชาปกติทั่วไปกว่า 10 เท่าตัว โดยชาอินทรีย์อู่หลงเบอร์ 12 มีราคาสูงถึงกว่า 2,000 บาทต่อกิโลกรัม และเบอร์ 17 กิโลกรัมละ 1,000-3,600 บาท


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000029825
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #231 เมื่อ: วันที่ 09 มีนาคม 2011, 22:29:14 »

กทท.หวั่นเชียงแสน2ขาดทุน เตรียมเจรจาธนารักษ์ลดค่าเช่า

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน   8 มีนาคม 2554 21:44 น.


       ASTVผู้จัดการรายวัน-กทท.หวั่นบริหารท่าเรือเชียงแสน 2 ขาดทุนเหตุ”ธนารักษ์”เรียกค่าแรกเข้า หารือคมนาคมขอเจรจายกเว้น เหลือแค่ค่าเช่า 2% ของรายได้ เตรียมประเมินตัวเลขต็สินค้าก่อนเจรจา ดีเดย์เปิด 1 เม.ย. 55 ตามเป้าเดิม
          นายศรศักดิ์ แสนสมบัติ รองปลัดกระทรวงคมนาคมเปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมการให้บริการท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 จ.เชียงราย วานนี้ (8 มี.ค.) ว่า การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ซึ่งคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติให้เป็นผู้บริหารท่าเรือเชียงแสน2 ได้หารือถึงกรณีที่กรมธนารักษ์จะเรียกเก็บค่าเช่าพื้นที่ในอัตรา 2% ของรายได้ และ ขอเก็บค่าแรกเข้าอีกประมาณ 50 ล้านบาทว่าหากต้องจ่ายค่าแรกเข้า กทท.จะเสี่ยงต่อการขาดทุน โดยเสนอขอยกเว้นค่าแรกเข้าดังกล่าว ดังนั้น จึงให้กทท.ศึกษาตัวเลขปริมาณตู้สินค้ารวมถึงประมาณการรายได้รายจ่ายที่ชัดเจนอีกครั้งเพื่อนำไปเจรจากับกรมธนารักษ์ต่อไป
          ทั้งนี้ กทท.ยืนยันว่า มีความพร้อมในการเข้าบริหารและให้บริการท่าเรือเชียงแสน 2 ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 255 แน่นอน โดยจะใช้เงินลงทุนประมาณ 170 ล้านบาทในการจัดหาอุปกรณ์เครื่องมือสำหรับให้บริการ ในขณะที่ผู้แทนหน่วยงานที่ต้องให้บริการในท่าเรือเชียงแสน 2 อาทิ กรมศุลกากร กรมปศุสัตว์ กระทรวงสาธารณสุข เป็นต้น ได้ยืนยันถึงความพร้อมในการให้บริการเช่นกัน
       โดยให้ทุกหน่วยงานลงพื้นที่ก่อสร้างเพื่อร่วมกันสรุปแผนการจัดสรรการใช้พื้นที่ให้เรียบร้อยภายในวันที่ 15 มี.ค. 2554 นี้
          “ทุกหน่วยงานที่มีหน้าที่ให้บริการในเขตท่าเรือ จะต้องเข้าไปดูว่า จุดที่ได้รับการจัดสรรพื้นที่เหมาะสมหรือไม่ หากมีปัญหา ก็ยังสามารถแก้ไขได้ทันเนื่องจากยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง “นายศรศักดิ์กล่าว
          อย่างไรก็คาม ในส่วนของกทท. ได้เตรียมความพร้อมด้านต่างๆ ในการเข้าบริหาร ได้แก่ด้านบุคลากร โดยจัดอัตรากำลังให้สอดคล้องกับขนาดและกิจกรรมของ ท่าเรือเชียงแสน 2 การกำหนดแผนการลงทุน ด้านระบบสารสนเทศ (ICT) การให้บริการแบบจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service) และการส่งเสริมการตลาดและประชาสัมพันธ์ เพื่อให้การให้บริการ มีประสิทธิภาพและสะดวกรวดเร็ว ครบวงจร

http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000030268
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #232 เมื่อ: วันที่ 10 มีนาคม 2011, 13:46:46 »

ชียงราย - ธุรกิจประกันฯ ส่อรุ่ง ยุคเศรษฐกิจถอยหลัง กลุ่ม “อยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.ฯ” ดันทุนท้องถิ่นเชียงรายร่วมเปิดสำนักงานตัวแทน ดึงลูกค้าร่วมออมผ่านประกันฯวันแรกได้กว่า 10 ล้าน

นายสุรชัย ลิ้นทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย ได้เป็นประธานในพิธีเปิดสำนักงานตัวแทนบริษัทอยุธยา อลิอันซ์ ซี.พี.ประกันภัย จำกัด เลขที่ 207/5 หมู่ 12 ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย โดยมีนายสตีเฟ่น แอปเปิ้ลยาร์ด กรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทฯ เดินทางไปร่วมในพิธีเปิด ,นางกรกมล จงไพบูลย์กิจ ตัวแทนจำหน่ายและเจ้าของสำนักงานดังกล่าว รวมทั้งผู้เกี่ยวข้องเข้าร่วมครบครัน

นายสตีเฟ่น กล่าวว่า การเปิดกิจการใหม่ในพื้นที่เชียงราย ครั้งนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญที่บ่งชี้อนาคตธุรกิจการประกันภัย โดยเฉพาะฝ่ายขายของบริษัทในปี 2554 นี้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพอันเกิดจากการสนับสนุนของบริษัท จึงคาดหวังว่าจากการร่วมกันจัดการประสานงานที่ดี และกลายเป็นพันธมิตรทางธุรกิจที่ดีจะนำไปสู่ความสำเร็จของกิจการใน จ.เชียงราย มากยิ่งขึ้นไปอีก

ด้านมิสซิส.แซลลี่ โอฮาร่า รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายตัวแทนบริษัทฯ กล่าวว่า บริษัทก่อตั้งมานานจนครบรอบ 60 ปีในปีนี้ ซึ่งถือเป็นสิ่งการันตีถึงความไว้วางใจของลูกค้าที่มีต่อการดำเนินการของบริษัทฯ และในส่วนของสำนักงานที่ จ.เชียงราย ก็มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จอย่างมาก เพราะเบื้องต้นมีทำเลที่ตั้งที่ดี อยู่ติดกับถนนพหลโยธินภายในเขตเทศบาลนครเชียงรายด้วย

ขณะที่นายสุรชัย ลิ้นทอง รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า นโยบายของจังหวัดคือการส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคธุรกิจมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการมีธุรกิจประกันภัยเพิ่มขึ้นอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดจึงเป็นเรื่องที่ดี และแสดงให้เห็นว่ามีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจในเชียงรายอย่างต่อเนื่อง

สำหรับกลุ่มธุรกิจ "จงไพบูลย์กิจ" เป็นกลุ่มทุนท้องถิ่นที่มีการประกอบธุรกิจหลากหลาย และในการเปิด สนง.ตัวแทนธุรกิจประกันภัยครั้งนี้ ทำให้นางกรกมล จงไพูลย์กิจ ได้รับความไว้วางใจจากผู้ที่ต้องการจะทำธุรกิจหรือใช้บริการประกันภัย โดยมีลูกค้าเข้าร่วมซื้อกรมธรรม์ตั้งแต่วันแรกรวมกันทั้งหมดประมาณ 13 ล้านบาท

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000030518
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #233 เมื่อ: วันที่ 10 มีนาคม 2011, 22:41:55 »

กาแฟขี้ชะมด เพิ่มมูลค่าแบรนด์ ‘ดอยช้าง’ (1)

เชื่อว่าเหล่าบรรดาคอกาแฟทั้งในไทยและต่างประเทศคงรู้จักชื่อของ “กาแฟดอยช้าง” เป็นแน่ เพราะกาแฟดอยช้างถือว่าเป็นกาแฟที่มีชื่อเสียงว่ามีรสชาติดี เพราะได้คว้ารางวัลชนะเลิศจากการประกวดกาแฟโลกมาแล้วเมื่อปี 2552 และยังถือว่าเป็นกาแฟที่ปลูกมาจากความภาคภูมิใจของคนไทยที่เป็นชุมชนชาวเขาเผ่าอีก้อ กลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งในจังหวัดเหนือสุด ของประเทศอย่างจังหวัดเชียงราย นอกจากปัจจุบันกาแฟชาวดอยจะมี ชื่อเสียงทั้งในประเทศและต่างชาติแล้ว ก็ ยังได้ขยายแบรนด์กาแฟยี่ห้ออื่นๆ อย่าง จัสท์ คอฟฟี่ (JUST COFFE) ออกมาเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่อีกหนึ่งแบรนด์ด้วย

โดยนางสาวรพีพรรณ เลิศปรีชา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท จัสท์ คอฟฟี่ จำกัด เล่าถึงที่มาที่ไปของ “กาแฟดอยช้าง” ว่า กาแฟดอยช้างนั้นกำเนิดมาจากบริเวณชุมชน ภูเขาดอยช้าง ที่อยู่ในจังหวัดเชียงราย ได้เคย เป็นแหล่งพื้นที่ปลูกฝิ่น และมีการปลูกกาแฟ บ้างประปราย จนเมื่อโครงการพระราชดำริของในหลวงเข้ามาในพื้นที่ และได้แจกจ่ายต้นกล้ากาแฟสายพันธุ์อะราบิก้าให้แก่ชาวบ้าน เพื่อปลูกทดแทนฝิ่น การปลูกกาแฟบนดอย จึงเริ่มขึ้น แต่ผลผลิตที่ได้กลับไม่ดีเท่าที่ควร ประกอบกับการถูกกดราคารับซื้อจากพ่อค้า คนกลาง ทำให้ชาวบ้านหลายรายล้มเลิกการ ปลูกกาแฟ ทำให้ผู้นำชุมชนภูเขาดอยช้าง นามว่า “อาเดล” ได้เล็งเห็นถึงปัญหาดังกล่าว จึงได้ลงจากดอยมาหา “คุณวิชา พรหมยงค์” เพื่อปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดีกับปัญหาดังกล่าว และทำอย่างไรให้ชาวบ้านมีความเป็นอยู่ที่ดี กว่าที่เป็นอยู่

หลังจากนั้นคุณวิชา จึงได้ไปศึกษาเรื่องกาแฟหลังจากที่ไม่เคยมีความรู้เรื่องดังกล่าวเลย และจึงได้สรุปว่าการจะหลีกเลี่ยงการถูกกดราคา นั้น ชาวบ้านต้องเพิ่มกำลังผลิตเป็นสองถึงสามพันไร่ เพื่อสร้างปริมาณของกาแฟให้มากพอที่จะ มีอำนาจไปต่อรองกับพ่อค้า นอกจากนี้ คุณภาพของกาแฟก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งด้วย

ดังนั้น กระบวนการปรับเปลี่ยนการผลิตและควบคุมคุณภาพของเมล็ดกาแฟ รวมทั้งการ สร้างความเข้มแข็งให้กับชาวบ้านและชุมชนดอยช้าง จึงได้เริ่มขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่างคุณวิชาและคุณอาเดล ร่วมกับกลุ่มชาวบ้านบนดอย และ พัฒนาสายพันธุ์กาแฟให้มีคุณภาพดียิ่งขึ้น รวมทั้ง ดูแลระบบการผลิตกาแฟให้ครบวงจร จึงทำให้ชาวบ้านพอจะลืมตาอ้าปาก ได้ก็เป็นระยะเวลากว่า 10 ปี โดยครั้งนั้นคุณวิชาก็ได้รับซื้อกาแฟจากชาวบ้านถึง 100 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งเป็นราคาที่ สูงกว่าท้องตลาด ทำให้พ่อค้าในละแวกนั้นต้องปรับราคารับซื้อเมล็ดกาแฟจากชาวบ้านให้สูงขึ้น ตามไปด้วย

“จากความเป็นมาดังกล่าวจึงได้เกิดกาแฟ ดอยช้างขึ้นตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา โดยปัจจุบันกาแฟดอยช้าง ได้รับรางวัลจากคณะกรรมการ Coffee Review : The World Leading Coffee Buyer Guide ให้คะแนนผลิตภัณฑ์กาแฟ Aged Piko’s Peaberry จำนวน 89/100 คะแนน ผลิตภัณฑ์กาแฟพรีเมี่ยม Doichang Single Estate ได้คะแนน 85/100 คะแนน ซึ่งถือได้ว่าผลิตภัณฑ์ กาแฟดอยช้างได้รับการยอมรับจากนานาชาติแล้ว”

ปัจจุบัน ร้านกาแฟดอยช้างจะเน้นไปที่การ ส่งออกไปยังต่างประเทศมากกว่า เนื่องจากกาแฟ ดอยช้างได้มีหุ้นส่วนเป็นนักธุรกิจชาวแคนาดา โดยเขามาร่วมทุนแบบไม่ขอร่วมทุนในด้านการผลิต แต่ตกลงที่จะร่วมเปิดบริษัทใหม่ในประเทศ แคนาดาแทน ภายใต้ชื่อบริษัท “บริษัท กาแฟดอยช้าง เฟรช โรสเต็ด คอฟฟี่ จำกัด” ปัจจุบันเป็นได้เปลี่ยนมาเป็น “บริษัท ดอยช้าง คอฟฟี่ ออริจินอล จำกัด” แล้วรับซื้อกาแฟดอยช้าง ในราคาต้นทุนเพื่อไปทำการคั่วและขายปลีก-ส่งที่นั่น กำไรที่ได้มาจะแบ่งกันคนละครึ่ง ความร่วมมือทางธุรกิจครั้งนี้ ทำให้กาแฟดอยช้างมีโอกาสเปิดตัวในตลาดต่างประเทศ

ผู้จัดการทั่วไป คนเดิมบอกต่อว่า นอกเหนือจากดอยช้างจะทำการผลิตกาแฟ แล้ว ยังมีสถาบันกาแฟ Doichang Academy of Coffee เปิดอบรมให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจ ได้เข้าร่วมเก็บเกี่ยวประสบการณ์ตั้งแต่วิธีการ ปลูกกาแฟ คัดเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ การ แปรรูปให้ได้มาตรฐานไปจนถึงวิธีการชงกาแฟ โดยมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญให้ความรู้ พร้อมมีที่ให้ได้ลงมือทดลองปฏิบัติจริง โดยได้เริ่ม เปิดอบรมตั้งปี 2551 จวบจนปัจจุบัน โดยจะรับปีละ5 รุ่น รุ่นละประมาณ 30 คน โดยจะมีการฝึกอบรมรุ่นละ 3 วัน 2 คืน ฉบับหน้ามาติดตามแนวทางการดำเนินธุรกิจของกาแฟดอยช้าง กระทั่งได้ แตกแบรนด์ร้านกาแฟอย่าง จัสท์ คอฟฟี่ ว่าจะเป็นไปในทิศทางใด
 


http://www.siamturakij.com/home/news/display_news.php?news_id=413351701
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #234 เมื่อ: วันที่ 12 มีนาคม 2011, 22:05:18 »

มองปัญหา"เขื่อน" ผ่าน"วันหยุดเขื่อนโลก"

สิ่งแวดล้อม 13 มีนาคม 2554 - 00:00
  ในวันที่ 14 มีนาคมของทุกปีเป็น "วันหยุดเขื่อนโลก" ซึ่งจุดเริ่มต้นมาจากภาคพลเมืองเครือข่ายระดับโลกที่ต่อต้านความหายนะที่มาจากเขื่อนมารวมตัวกัน ทั้งจากเครือข่ายคัดค้านเขื่อนแห่งบราซิล (MAB) เครือข่ายหยุดเขื่อนแห่งชิลี เครือข่ายแม่น้ำนานาชาติ (IRN) ขบวนการปกป้องนาร์มาดาแห่งอินเดีย เครือข่ายแม่น้ำแห่งยุโรป (ERN) และตัวแทนจากประเทศไทย ได้ร่วมกันจัดการประชุมนานาชาติของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเขื่อนครั้งที่ 1 ขึ้น ณ เมืองคิวริทิบา ประเทศบราซิล เมื่อวันที่ 11-14 มีนาคม 2540 เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์การต่อสู้เรื่องเขื่อน โดยที่ประชุมได้ตกลงให้มีคำประกาศคิวริทิบาเพื่อ "ยืนหยัดการมีสิทธิความเป็นมนุษย์และวิถีชีวิตของประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากเขื่อน" และได้กำหนดให้วันที่ 14 มีนาคมของทุกปีเป็น "วันหยุดเขื่อนโลก" ด้วย โดยมีคำขวัญที่จะใช้ร่วมกันว่า "น้ำเพื่อชีวิตไม่ใช่เพื่อความตาย"
     ดังนั้น ในบ้านเราปัญหาของ "เขื่อน" ก็ยังคงเป็นประเด็นร้อนอยู่ แม้จะไม่ได้มีการพูดถึงมากนัก อย่างกรณี "เขื่อนปากมูล" ที่เพิ่งผิดหวังจากการตัดสินใจของคณะรัฐมนตรี ในเวทีประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 8 มีนาคมที่ผ่านมา ที่ชาวบ้านเรียกร้องให้เปิดเขื่อนปากมูลถาวร 5 ปี แม้จะมีนักวิชาการผู้ศึกษาผลกระทบเข้าชี้แจงต่อที่ประชุม แต่รัฐบาลอ้างถึงข้อมูลของปริมาณน้ำว่าจะขาดแคลนหรือไม่หากต้องมีการเปิดเขื่อน เพราะผลการศึกษาที่ผ่านมาเราไม่ได้เจอแค่วิกฤติน้ำโขงเท่านั้น นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จึงมอบหมายให้คณะกรรมการศึกษาเขื่อนปากมูล ที่มี นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการแก้ไขปัญหาเขื่อนปากมูลไปศึกษาเรื่องนี้อีกครั้ง ในเวลา 45 วัน และให้นำกลับเข้ารายงานที่ประชุม ครม.เพื่อพิจารณา ขณะที่กลุ่มเครือข่ายประชาชนชาวอุบลราชธานีต้องขนข้าวของกลับบ้านอย่างผิดหวัง หลังมาปักหลักชุมชนที่ลานพระบรมรูปทรงม้าร่วมเดือน
     ขณะที่เรื่องวิกฤติน้ำโขงที่ตอนนี้ถูกนำมาเป็นโจทย์ผูกโยงกับเขื่อนปากมูล เนื่องจากเขื่อนปากมูลอยู่ห่างจากแม่น้ำโขงเพียงแค่ 6 กิโลเมตร ก็กำลังเป็นประเด็นปัญหา เพราะเมื่อเข้าช่วงหน้าแล้ง ลำน้ำโขงก็มักจะวิกฤติ บางช่วงน้ำแห้ง เรือไม่สามารถแล่นผ่านได้ แท้จริงแล้วเรื่องของวิกฤติน้ำโขงนั้นเป็นเพราะภัยแล้ง หรือโลกร้อน หรือเป็นเพราะ "เขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ" ที่กำลังระดมสร้างลงในแม่น้ำโขงสายหลังตั้งแต่สาธารณรัฐประชาชนจีน จนมาถึงลุ่มน้ำโขงตอนล่างที่ประเทศกัมพูชา
     เวลาเดียวกัน "เขื่อนไซยะบุรี" ที่แก่งหลวง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (สปป.ลาว) กำลังเดินหน้าอย่างต่อเนื่อง ในเวทีเสวนาเครือข่ายภาคประชาชนลุ่มน้ำโขง ได้สะท้อนภาพของแม่น้ำโขงวันนี้ ที่ชาวบ้านต่างคิดเห็นตรงกันว่าผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งเกิดน้ำท่วมและน้ำแห้ง มาจากการสร้างเขื่อนปิดกั้นลำน้ำที่สาธารณรัฐประชาชนจีน โดย นายนิวัติ ร้อยแก้ว กลุ่มรักษ์เชียงของ จ.เชียงราย บอกว่า หากติดตามเรื่องนี้มาตลอดจะพบว่าก่อนสร้างเขื่อนน้ำในแม่น้ำโขงระดับน้ำจะสูงกว่านี้มาก หลังจากการสร้างเขื่อนที่จีนน้ำโขงก็ลดระดับลงเรื่อยๆ แม้ว่าที่ผ่านมาทางจังหวัดเชียงรายจะแก้ไขปัญหาโดยการสร้างฝาย แต่มองว่าเป็นการแก้กันคนละเรื่อง เพราะการสร้างฝายไม่ใช่การแก้ปัญหา แต่ปัญหาคือ การไม่ยอมรับในประเด็นปัญหาของแม่น้ำโขงจากรัฐบาล ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วแม่น้ำโขงวิกฤติอยู่ที่การสร้างเขื่อน
     "จากงานวิจัยหลายฉบับบอกว่าเขื่อนเป็นสาเหตุของน้ำโขงแห้ง ซึ่งถ้าเกิดจากโลกร้อนจริง ทำไมแม่น้ำสาละวินจึงไม่แห้ง ชาวบ้านท้องถิ่นก็รู้ว่าเมื่อก่อนไม่เป็นอย่างนี้ หลังจากแม่น้ำโขงมีคนมาบังคับและจัดการแล้ว เวลานี้รัฐบาลไทยได้หารือปัญหากับรัฐบาลจีนหรือยัง และต้องถามว่า กรมทรัพยากรน้ำรู้ปัญหานี้จริงหรือไม่ ทุกวันนี้ไม่ยอมรับว่าแม่น้ำโขงแห้งเพราะเขื่อน เนื่องจากไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไรใช่หรือไม่" นายนิวัติกล่าว
     ขณะที่ช่วงนี้หลายพื้นที่เริ่มประสบปัญหาภัยแล้ง ปริมาณน้ำในแม่น้ำจะลดระดับลงตามธรรมชาติ นายมิติ ยาประสิทธิ์ นักวิชาการเครือข่ายรักษ์เชียงแสน จ.เชียงราย บอกว่า ในเมื่อมีการสร้างเขื่อนที่จีนไปแล้ว จีนต้องเปิดเผยข้อมูลการกักน้ำ และการปล่อยน้ำจากเขื่อนให้ไทยทราบ และรัฐบาลไทยควรนำเรื่องนี้ เจรจากับรัฐบาลจีนอย่างจริงจัง เพราะถือว่าคนท้ายน้ำก็เป็นคนที่ใช้แม่น้ำสายเดียวกัน และเป็นปัญหาระดับชาติที่รัฐบาลต้องเป็นฝ่ายแก้ไข และอย่าคิดแต่เรื่องผลประโยชน์เพียงอย่างเดียว
     ส่วน "เขื่อนไซยะบุรี" ที่ประเทศลาว ก็กำลังเร่งเครื่องเดินหน้า หลังคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติไปมีมติเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ให้ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) รับซื้อไฟฟ้าถึง 1,220 เมกะวัตต์ จากกำลังการผลิต 1,285 เมกะวัตต์ จากเขื่อนไซยะบุรี ที่ บริษัท ช.การช่าง เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง โดยมี 4 ธนาคารพาณิชย์ของไทยให้เงินกู้ถึง 95% จากเงินลงทุน 105,000 ล้านบาท ซึ่งทางการลาวประกาศเดินหน้าสร้างเขื่อนเร่งด่วน ทั้งๆ ที่ผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (MRC) ที่ประกอบด้วย 4 ประเทศ ได้แก่ เวียดนาม ลาว กัมพูชา และไทย จะระบุว่า หากสร้างจะเกิดผลกระทบข้ามพรมแดนอย่างมหาศาล และการให้ข้อมูลการก่อสร้างยังคลุมเครือ ทีมงานของ MRC จึงทำบทสรุปเสนอว่า ควรเลื่อนเวลาการสร้างเขื่อนไปอีก 10 ปี เพื่อให้เกิดการศึกษาอย่างรอบด้านเสียก่อน ขณะที่เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา รัฐบาลลาวได้ออกแถลงการณ์ละจุดยืนที่ชัดเจนในการเดินหน้าโครงการต่อโดยไม่ยอมขยายเวลาให้ไทย โดยให้เหตุผลว่า ได้จัดทำรายงานผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม (EIA) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และมีการศึกษาความเป็นไปได้ทั้งด้านเทคนิค วิศวกรรม โดยยืนยันว่าไม่มีผลกระทบใดๆ ทั้งสิ้น อีกทั้งยังเป็นการสร้างเขื่อนในพื้นที่ของลาวด้วย
     ในเวทีเสวนาโต๊ะกลมเรื่อง "การลงทุนของไทยในประเทศเพื่อนบ้านและความรับผิดชอบทางสังคมและสิ่งแวดล้อม มองผ่านโครงการเขื่อนไซยะบุรีบนแม่น้ำโขง" ที่จัดขึ้นที่สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้สะท้อนภาพของการลงทุนของประเทศไทยในการสร้างเขื่อนไซยะบุรี จากนักวิชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี คณะทำงานองค์กรแม่น้ำนานาชาติ (International rivers) และเครือข่ายโครงการฟื้นฟูนิเวศวิทยาภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ถึงประเด็นปัญหาการสร้างเขื่อนไซยะบุรีจากการลงทุนของไทยในประเทศเพื่อนบ้าน และปัญหาสิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศแม่น้ำโขงที่อาจจะส่งผลกระทบข้ามพรมแดน
     โดยกรณีเขื่อนไซยะบุรีมีความน่าสนใจหลายมิติ แม้ว่าจะยังไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในวันนี้ แต่ก็เป็น 1 ใน 12 เขื่อนใหญ่ที่มีแผนการจะสร้างในลุ่มแม่น้ำโขงตอนล่างเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า หลังจากมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ ระหว่างบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) กับรัฐบาลลาว และได้ว่าจ้าง บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัดเป็นผู้ศึกษา สำรวจข้อมูลโครงการ และศึกษาความเหมาะสมของโครงการ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2550 และสิ้นสุดในเดือนเมษายน 2551
     หลังจากผ่านเรื่องของการศึกษาความเหมาะสมในการสร้างเขื่อนไซยะบุรีให้เป็นเขื่อนทดน้ำ เช่นเดียวกับเขื่อนปากมูลในประเทศไทย เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า ด้วยขนาดกำลังการผลิตติดตั้ง 1,280 เมกะวัตต์ มูลค่าการก่อสร้างมากกว่า 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6 หมื่น 5 พันล้านบาทแล้ว ตามแผนจะก่อสร้างให้แล้วเสร็จในปี 2562 และเตรียมผลิตกระแสไฟฟ้าขายให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. ได้ประมาณ 7,370 กิกะวัตต์-ชั่วโมง/ปี
     คำถามที่ตามมาคือ ความต้องการใช้พลังงานไฟฟ้าของไทยมีมากมายขนาดนี้เลยหรือ ในประเด็นนี้ เปรมฤดี ดาวเรือง ผู้อำนวยการโครงการฟื้นฟูนิเวศวิทยาภูมิภาคลุ่มน้ำโขง บอกว่า ความต้องการด้านพลังงานไฟฟ้าของไทยเป็นการชี้ขาดว่า ลาวควรจะสร้างหรือไม่สร้างเขื่อนในลำน้ำโขงเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า เพราะเมื่อเปรียบเทียบจากการประมาณการของแต่ละประเทศในลุ่มน้ำโขงมีความต้องการพลังงานเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย แต่ที่น่าสังเกตร้อยละ 96 เป็นความต้องการจากไทยและเวียดนาม โดยไทยเป็นผู้ซื้อไฟรายใหญ่ที่สุดจากโครงการแม่น้ำโขงสายหลักตอนล่าง ซึ่งหากไทยและเวียดนามตัดสินใจไม่รับซื้อไฟฟ้า โครงการสร้างเขื่อนก็จะไม่ถูกผลักดันให้เกิดขึ้น ขณะที่อีก 5 ปีข้างหน้ายังจะมีเขื่อนไฟฟ้าขนาดใหญ่ในน้ำสาขาของแม่น้ำโขงอีก 41 โครงการ และในประเทศจีนอีก 8 โครงการ
     "มองว่าความต้องการส่วนใหญ่มาจากภาคอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มากกว่าภาคประชาชน เพราะหากเปรียบเทียบการใช้ไฟของประชาชนชาวบ้านทั่วไปก็ใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แล้วทำไมชาวบ้านต้องจ่ายเงินให้ภาคอุตสาหกรรม และต้องเสียทรัพยากรธรรมชาติไปกับสิ่งที่ตัวเองไม่ได้รับประโยชน์ ดูแล้วไม่ยุติธรรมเลย" เปรมฤดีกล่าว
     แม้ปัจจัยด้านพลังงานจะกลายเป็นชนวนสำคัญทำให้เกิดโครงการเขื่อนไซยะบุรีโดยอาศัยช่องว่างของกฎหมายที่อ่อนแอของ สปป.ลาว ในการเดินหน้า ขณะที่การจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบด้านสังคมหรือ SIA โดย บริษัท ทีม คอนซัลแทนท์ ที่บริษัท ช.การช่างได้ว่าจ้างให้จัดทำขึ้น ก็เป็นเพียงแค่การสำรวจข้อมูลเบื้องต้น และสำรวจจำนวนผู้ที่ได้รับผลกระทบก็เป็นเพียงการคาดการณ์เท่านั้น แต่ไม่สามารถใช้ได้กับสภาพความเป็นจริง
     เรื่องนี้ อาจารย์สุรสม กฤษณะจูฑะ อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ในฐานะผู้ที่อ่านรายงานการประเมินผลกระทบด้านสังคม หรือ SIA ของโครงการเขื่อนไซยะบุรี กล่าวว่า จากรายงานฉบับนี้มีข้อที่น่าสังเกตหลายเรื่อง ทั้งเรื่องของข้อมูลการสำรวจของพื้นที่ไม่ตรงกับหลักการ และเหตุผลที่เป็นจริง และในบางบทของรายงานยังไม่สอดคล้องกัน โดยการประเมินผลกระทบทางสังคมมีการกำหนดมาตรการในการลดผลกระทบ มีทั้งแผนการดำเนินงาน งบประมาณเพื่อเสนอต่อรัฐบาลลาว รวมทั้งจัดให้มีกิจกรรมการปรึกษาหารือสาธารณะกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และนำข้อเสนอเหล่านี้มาใช้ในการลดผลกระทบทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม แต่รายงานฉบับนี้กลับไม่มีทั้งข้อเสนอหรือแผนการลดผลกระทบที่ชัดเจน หรือมีการนำข้อมูลจากเวทีที่หารือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียบรรจุเข้าไว้ในรายงาน จึงไม่มีความสมบูรณ์ และไม่สามารถะนำมาใช้ได้จริง
     ขณะที่การรายงานการประเมินสิ่งแวดล้อมเชิงยุทธศาสตร์ หรือ SEA ของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง หรือ MRC ได้จัดทำขึ้นเมื่อเดือนตุลาคม 2553 เพื่อเป็นฐานในการตัดสินใจการก่อสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายหลัก โดยได้มีการประเมินผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอันเกิดจากการผลิตไฟฟ้า มาเปรียบเทียบกับต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมและชุมชนริมแม่น้ำ ตลอดจนเศรษฐกิจท้องถิ่นของชุมชน เนื่องจากเขื่อนที่สร้างขึ้นปิดกั้นลำน้ำ จะคุกคามนิเวศวิทยาของแม่น้ำโขงอย่างไม่สามารถเรียกคืนได้ และยังสร้างความเสี่ยงต่อวิถีชีวิตและความมั่นคงทางอาหารของประชาชนนับล้านคนที่ต้องพึ่งพาทรัพยากรแม่น้ำโขงด้วย คณะกรรมการ MRC จึงได้แนะนำให้ชะลอการตัดสินใจสร้างเขื่อนเหล่านี้ออกไปอีก 10 ปีจนกว่าจะมีการศึกษาอย่างรอบด้าน
     นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งของปัญหาและผลกระทบที่เกิดจากการสร้างเขื่อน ทั้งเขื่อนปากมูลที่ต้องแลกด้วยวิถีชีวิตชาวประมงพื้นบ้าน และเขื่อนไซยะบุรีที่กำลังเดินหน้า อนาคตอาจจะต้องแลกกับการสูญเสียภาคเกษตรริมโขง ที่เป็นแหล่งผลิตพืชผลทางการเกษตร รวมถึงวิถีชีวิตคนลุ่มน้ำและปลานานาชนิดในแม่น้ำโขง โดยเฉพาะปลาบึกที่ใกล้สูญพันธุ์
     ทั้งหมดทั้งมวลนี้เพื่อแลกกับความมั่นคงทาง "พลังงานไฟฟ้า" แต่ทว่า "เขื่อนผลิตไฟฟ้าพลังน้ำ" คือคำตอบสุดท้ายหรือหนทางที่ดีที่สุดแล้วหรือ สำหรับความต้องการใช้ไฟฟ้าที่สวนทางกับการรณรงค์ให้ประหยัดพลังงาน.!!

http://www.thaipost.net/sunday/130311/35638
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #235 เมื่อ: วันที่ 14 มีนาคม 2011, 16:39:43 »

ชงรัฐพัฒนาถนนเชื่อม R3a-R3b ร่วมอีสต์-เวสต์ต่อภาพเส้นทางธุรกิจหนุน“แม่สอด”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   14 มีนาคม 2554 13:54 น.


   

นายเทอดเกียรติ ชินสรนันท์ นายกเทศมนตรีนครแม่สอด
       ตาก - เสนอรัฐพัฒนาเส้นทางเชื่อม R3a-R3b และEast-West Economic Corridor ต่อภาพถนนธุรกิจ การค้าชายแดน การลงทุน การท่องเที่ยวและวัฒนธรรม รับแผนยกระดับ “ ทน.แม่สอด-เขตเศรษฐกิจชายแดน”
       
       นายเทอดเกียรติ ชินสรนันท์ นายกเทศมนตรีนครแม่สอด กล่าวว่า เทศบาลฯ ได้ทำหนังสือผ่านนายสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก เพื่อนำเสนอรัฐบาลให้ดำเนินโครงการก่อสร้างถนนเชื่อมเส้นธุรกิจ เศรษฐกิจการค้าชายแดน การลงทุน การส่งเสริมภาคการเกษตร และอุตสาหกรรมเพื่อการเกษตร ระหว่างเส้นทาง R3a-R3b และEast-West Economic Corridor -EWEC โดยผลักดันให้เป็นเส้นทางสายเศรษฐกิจสำคัญในภูมิภาคและสร้าง “นครแม่สอด” เป็นเมืองเศรษฐกิจหมายเลข 1 ก่อนที่รัฐบาลจะผลักดันให้พื้นที่ชายแดนแม่สอดเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ และการยกฐานะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ “นครแม่สอด”
       
       เขาเสนอว่า ควรจะมีการขุดเจาะอุโมงค์ระหว่างเส้นทางสายตาก-แม่สอด จากเดิมระยะทาง 86 กิโลเมตร(กม.)ให้เหลือเพียง 28- 30 กม. ซึ่งใช้เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญได้ด้วย
       
       นอกจากนี้ยังจะเป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าและลดระยะเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางมากกว่าครึ่ง ถือว่าคุ้มค่าต่อการลงทุนอย่างยิ่ง เช่น ลดเวลาการเดินทางจากเดิมแม่สอด-ตาก 1 ชั่วโมง(ชม.)เหลือเพียงไม่เกิน 20 นาทีเท่านั้น
       
       เส้นทางดังกล่าว จะเชื่อมระหว่างไทย-จีน-ลาวและเวียดนาม จากเชียงรุ่ง(จีน)-บ่อเต็ง(ลาว)-เชียงแสน-เชียงของ(ไทย)และ บูรณาการเส้นทางเชื่อมกับเส้นทาง EWEC ตัดผ่านที่นครแม่สอด ไปยังสะหวันเขต(ลาว)และดานัง-เวียดนาม ด้วย
       
       นายเทอดเกียรติ กล่าวต่อว่า จากการที่ทีมผู้บริหาร สมาชิกสภานครแม่สอดและส่วนราชการของนครแม่สอดได้เดินโดยรถยนต์จากชายแดนแม่สอดไปยังเชียงรายและเข้าสู่ลาวไปจีนที่สิบสองปันนา พบว่าเป็นเส้นทางที่น่าจะมีการพัฒนาเชื่อมโยงกัน โดยการเดินทางจากชายแดนไทย-พม่า-ลาวเข้าสู่จีน ตามเส้นทางนี้ใช้เวลาประมาณ 15 ชม. หากมีการพัฒนาแล้วจะเหลือระยะเวลาไม่เกิน 7 ชม.เท่านั้น
       
       ขณะที่นายสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก กล่าวว่า จ.ตากสนับสนุนการที่ท้องถิ่นจะเสนอให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจในท้องถิ่น ก่อนที่จะมีการยกฐานะ “นครแม่สอด” เพราะเป็นนโยบายในการพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจชายแดนของรัฐบาล ตนเห็นว่านอกจากการสนับสนุนเส้นทาง EWEC ควรพัฒนาเส้นทาง R3a-R3bควบคู่เป็นเส้นทางที่เชื่อมโยงกันด้วย
       
       ส่วนความคืบหน้าการก่อสร้างเส้นทาง EWEC ระหว่างตาก-แม่สอด ได้ขยายเป็น 4 ช่องทางจราจรแล้ว รวมทั้งการร่วมกับพม่าพัฒนาเส้นทางจากนครแม่สอด-เมียวดี ไปยังเมืองสำคัญทางเศรษฐกิจในพม่า ซึ่งในปี 2554 เป็นต้นไปจะได้งบเข้ามาก่อสร้างอีกกว่า 1,000 ล้านบาท

IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #236 เมื่อ: วันที่ 14 มีนาคม 2011, 19:31:55 »

ชาวสวนยางพะเยาเดินหน้าตั้งสหกรณ์/หนีพ่อค้าคนกลางกดราคา-ทุนใหญ่ ย่อยเข้าพื้นที่ตรึม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   14 มีนาคม 2554 17:35 น.


       พะเยา - กลุ่มเกษตรกรสวนยางพะเยาดันตั้ง “สหกรณ์ชาวสวนยางพาราพะเยา” สร้างอำนาจต่อรองสกัดพ่อค้าคนกลางกดราคา หวังถึงขั้นกำหนดราคากลางเหมืองปักษ์ใต้ในอนาคต ขณะที่รัฐเดินหน้าหนุนปลูกยางต่อเนื่องทั้งที่เนินเขา-พื้นราบ ทำกลุ่มทุนทั้งรายใหญ่-รายย่อยแห่เข้าพื้นที่เพียบ
       
       นายประยูร ใจกว้าง ประธานกลุ่มตลาดประมูลยางพาราท้องถิ่นจังหวัดพะเยา กล่าวว่า หลังจากเกษตรกรชาวสวนยาง ได้รวมกลุ่มกันขายยางพารา ทำให้ยางพาราแผ่นดิบมีราคาสูงขึ้น เกษตรกรมีรายได้อย่างงดงาม จึงมีแผนเดินหน้าในการจัดตั้งวิสาหกิจชุมชน หรือสหกรณ์ชาวสวนยางพาราจังหวัดพะเยา ในอนาคตเพื่อสร้างความเข้มแข็งในระบบการตลาดให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางไม่ต้องประสบปัญหาการถูกกดราคาจากพ่อค้าคนกลางอีกต่อไป และหากสามารถรวมตัวและจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลได้แล้วโอกาสจะได้รับการสนับสนุนงบประมาณหรือความช่วยเหลือใด ๆ จากรัฐบาลจะมีมากขึ้น
       
       “แต่สิ่งที่กลุ่มเกษตรกรห่วงคือหากจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลแล้ว รัฐบาลจะรีดภาษีจากพวกเรา ตรงนี้คือความวิตกอย่างมาก เพราะทุกวันนี้ในการประมูลตลาดยางพาราท้องถิ่น ผู้ที่ประมูลเพื่อส่งออกจะต้องเสียภาษียางพาราแผ่นดิบให้กับรัฐบาลกิโลกรัมละ 5 บาท” นายประยูร กล่าว
       
       ด้านนายเจตพร สังข์ทอง เกษตรกรหมู่ 6 ต.แม่ลาว อ.เชียงคำ จ.พะเยา กล่าวว่า การตั้งสหกรณ์ชาวสวนยางฯพะเยา ถือว่าไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเกษตรกรที่จะรวมตัวกัน หากทางราชการเป็นพี่เลี้ยงในการจัดตั้งคาดว่า เมื่อกลุ่มเกษตรกรมีข้อมูล เอกสารหลักฐานพร้อม ภายใน 2 วันสามารถจดทะเบียนจัดตั้งเป็นสหกรณ์ฯ ได้ทันที ระยะแรกอาจจะต้องหารือกันในกลุ่มของผู้นำเกษตรกร เพื่อหาทางออกเรื่องทุนจดทะเบียน เมื่อมีแหล่งทุน การประชุมดำเนินการระหว่างขั้นตอนก่อนจดทะเบียนจนถึงความพร้อมทั้งหมดแล้ว นำเอกสารหลักฐาน ส่งชุดผู้นำซึ่งเป็นว่าที่คณะกรรมการสหกรณ์ ฯ เข้าดำเนินการจดทะเบียน
       
       ส่วนเรื่องภาษีจะเป็นมาตรการต่อไปที่จะต้องหารือและเสนอให้รัฐบาลพิจารณาปรับลดเพื่อไม่ให้เกษตรกรถูกเอาเปรียบอีกต่อไป
       
       “หลังจากที่สามารถจัดตั้งสหกรณ์ฯ ได้แล้ว การที่จะพัฒนาตลาดยางพาราจังหวัดพะเยา ให้เป็นตลาดกลางยางพาราในภาคเหนือ จนสามารถกำหนดราคากลางยางพาราได้เหมือนตลาดกลางทางภาคใต้ ไม่ใช่เรื่องเกินความสามารถอีกต่อไป” นายเจตพร กล่าว
       
       ด้านนายนเรศ ฝีปากเพราะ นักวิชาการเกษตร สำนักงานเกษตรจังหวัดพะเยา กล่าวว่า เนื่องจากขณะนี้อาชีพการปลูกยางพารากลายเป็นอาชีพที่สร้างรายได้หลักอีกทางหนึ่งให้แก่เกษตรกรชาวพะเยา โดยเฉลี่ยเกษตรกรจะมีรายได้จากการกรีดยางพาราไร่ละ 200-300 บาทต่อวัน ทั้งเจ้าของสวนและแรงงานรับจ้างต่างอยู่ได้ ซึ่งภาครัฐก็ได้มีการส่งเสริมเกษตรกรปลูกยางพาราอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่ราบและที่เนินดอย โดยมีข้อแนะนำเกษตรกรให้เลือกหาพันธุ์ยางพาราปลูกให้เหมาะสมกับพื้นที่ด้วย
       
       อาทิ พื้นที่เนินดอย พันธุ์ที่จะใช้ปลูก เช่น RRM 600 ขณะที่พื้นที่ราบไม่มีน้ำท่วมขัง พันธุ์ที่เหมาะสมคือ 251 เมื่อหาพันธุ์ที่เหมาะสมแล้วก็ต้องดูแลบำรุงด้วยน้ำและปุ๋ยอินทรีย์ น้ำยางจะมีคุณภาพ
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานการณ์ราคายางพาราที่สูงขึ้นต่อเนื่องจนเป็นรายได้หลักของเกษตรกรชาวพะเยาและหลายจังหวัดทางภาคเหนือ ทำให้พื้นที่ดินทำกินในภาคเหนือกลายเป็นทำเลทองของนายทุนผู้ประกอบอาชีพยางพาราจากภาคใต้ ที่ขึ้นมาหาซื้อดินเพื่อปลูกยางพารา เพาะกล้ายาง รับซื้อแผ่นดิบ และจัดทำโรงงานธุรกิจยางพาราครบวงจร
       
       นอกจากนี้ ในพื้นที่ อ.เชียงคำ อ.จุน จ.พะเยา และ จ.เชียงราย ยังมีกลุ่มทุนขนาดใหญ่ เช่น บริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ ซีพี , บ.บุญรอด ฯ หรือ แม้แต่บริษัทไทยเบฟ ฯ รวมถึงบริษัทผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่ ก็ได้มาซื้อที่และลงทุนประกอบกิจการเกี่ยวกับยางพาราทางภาคเหนือมากขึ้น เพราะพื้นที่จังหวัดพะเยาอนาคตมีแนวโน้มกลายเป็นแหล่งผลิตยางใหญ่แห่งหนึ่งในภาคเหนือและของประเทศด้วย

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000032666
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #237 เมื่อ: วันที่ 15 มีนาคม 2011, 19:16:27 »

หอฯลำปาง เล็งใช้โอกาสจาก R3a ดึงนักลงทุนเข้าพื้นที่

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   15 มีนาคม 2554 12:43 น.


   

นายอนุวัตร ภูวเศษฐ ประธานหอการค้าจังหวัดลำปาง
       ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ - หอฯลำปาง เล็งดึงโอกาสทางการค้า การลงทุน หลัง R3a เปิดใช้เต็มตัว-สถานข้ามโขงแห่งที่ 4 เสร็จ ดึงนักลงทุนเข้าพื้นที่ ชูศักยภาพศูนย์กลางขนส่งกระจายสินค้าภาคเหนือตอนบน
       
       นายอนุวัตร ภูวเศษฐ ประธานหอการค้าจังหวัดลำปาง เปิดเผยว่า ขณะนี้หอการค้าจังหวัดลำปาง กำลังจะเร่งจัดทำแนวทางพัฒนาพื้นที่ นำเสนอข้อมูลที่ชัดเจนเผยแพร่ให้กับนักลงทุนทั้งในท้องถิ่น-ส่วนกลาง เพื่อดึงดูให้เข้ามาลงทุนในพื้นที่เพิ่มขึ้น โดยจะหยิบยกเอาโอกาสที่จะเกิดขึ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจตามแนวระเบียงเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ โดยเฉพาะเส้นทางR3a ที่เชื่อมจีนตอนใต้ - สปป.ลาว - สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 อ.เชียงของ จ.เชียงราย ที่ต้องผ่านจังหวัดลำปางเข้ากรุงเทพฯ-แหลมฉบัง ซึ่งจะเป็นเส้นทางขนส่งสินค้า - คน ทางบกที่สำคัญสะดวกรวดเร็ว
       
       จังหวัดลำปางเองก็คาดหวังว่าจะมีนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะหรือจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน ชาวลาว หลั่งไหลผ่านเส้นนี้ เพื่อมาท่องเที่ยวในประเทศไทย หรือนักท่องเที่ยวจากต่างชาติ ที่จะเดินทางผ่านเส้นนี้เพื่อเข้าไปท่องเที่ยวประเทศจีน
       
       ขณะเดียวกันลำปางเองก็มีความโดดเด่น และมีความพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางการกระจายสินค้า เพราะสามารถเชื่อมต่อหลายจังหวัดในภาคเหนือ และมีระบบขนส่งทั้งทางถนนและทางรถไฟ อีกทั้งที่ดินในจังหวัดลำปางราคายังไม่สูงมากนักหากเทียบกับหลายจังหวัดในภาคเหนือ ระบบสาธารณูปโภค ก็พร้อมทั้งน้ำ ไฟฟ้า สอดคล้องและเหมาะสำหรับการลงทุนเพื่อสร้างเป็นโกดังสินค้าเพื่อกระจายต่อไปในภูมิภาคอื่นๆได้เป็นอย่างดี
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #238 เมื่อ: วันที่ 16 มีนาคม 2011, 21:14:16 »

จันทบุรีเตรียมลงนาม MOU ซื้อขายผลไม้ 54

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์   16 มีนาคม 2554 18:04 น.


        จันทบุรี - จังหวัดจันทบุรีเตรียมจัดประชุมลงนามความตกลง (MOU) ซื้อขายผลไม้ปี 2554
       
       นายวรวิศว์ เมฆนพรัตน์ พาณิชย์จังหวัดจันทบุรี เปิดเผยว่า ด้วยจังหวัดจันทบุรี โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดจันทบุรี จะดำเนินการประชุมลงนามความตกลง (MOU) ซื้อขายผลไม้ จังหวัดจันทบุรี ในวันที่ 25 มีนาคม 2554 ที่ห้องจุลมณี 1 โรงแรมเคพีแกรนด์ จันทบุรี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ เตรียมการรองรับสถานการณ์ผลไม้ ปี 2554
       
       ทั้งนี้ มีเป้าหมายผู้เข้าประชุม ประกอบด้วย ผู้ประกอบการปลายทาง ได้แก่ ตลาดค้าส่ง ค้าปลีกผลไม้ จำนวน 11 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา สุรินทร์ อุบลราชธานี มุกดาหาร อุดรธานี ขอนแก่น ร้อยเอ็ด พิษณุโลก เชียงราย นครสวรรค์ และราชบุรี ผู้ประกอบการค้าส่งออก ผู้ประกอบการค้าชายแดน ผู้ประกอบการการค้าเครือข่ายของธนาคาร ธ.ก.ส.
       
       รวมถึงห้างสรรพสินค้า (Modern Trade) บริษัทผู้ผลิตผลไม้แปรรูปของจังหวัดต่างๆ และผู้ประกอบการค้าต้นทาง ได้แก่ สหกรณ์การเกษตร องค์กรการปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการการค้าท้องถิ่นรายใหญ่ ผู้นำเกษตรกร/ผู้บริหารสถาบันการเกษตรกร และเจ้าของสวนผลไม้จังหวัดจันทบุรี
       
       จึงอยากขอเชิญชวนสหกรณ์การเกษตร องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ผู้ประกอบการค้าท้องถิ่น ผู้นำเกษตรกร/ผู้บริหารสถาบันเกษตร และเจ้าของสวนผลไม้จังหวัดจันทบุรีมาร่วมประชุมในวันและเวลาดังกล่าว โดยติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานพาณิชย์จังหวัดจันทบุรี เลขที่ 1162/2 ถ.ท่าแฉลบ ต.ตลาด อ.เมือง จ.จันทบุรี 22000 ในวันและเวลาราชการ หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 039-311 357

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000033870
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
mmm16
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 431


« ตอบ #239 เมื่อ: วันที่ 16 มีนาคม 2011, 21:16:21 »

 ;Dใ
IP : บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 [12] 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 ... 37 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!