รถไฟทางคู่20ปีแห่งการรอคอย
12 July 2556 - 00:00
ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย หรือ ร.ฟ.ท. ได้ว่าจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาความเหมาะสมของโครงการก่อสร้างขยายเครือข่ายทางรถไฟบริเวณเขตพื้นที่ภาคเฉียงเหนือตอนกลาง โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม โครงการดังกล่าวรอมาเกือบ 20 ปี เนื่องจากที่ผ่านมาติดปัญหาอุปสรรคนานับประการ กับช่วงที่ผ่านมาประสบปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ได้รับผลกระทบขาดสภาพคล่องด้านงบประมาณ
สำหรับการก่อสร้างรถไฟสายนี้จะเป็นเส้นทางประวัติศาสตร์สายที่ 2 ของ ร.ฟ.ท. ที่จะสามารถก่อสร้างได้ หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติโครงการตั้งแต่ปี 2537 โดยสายแรกที่จะดำเนินการได้ก่อน คือ รถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย ที่ได้ผลักดันมาเมื่อ 50 ปีที่แล้ว ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม จะแล้วเสร็จอีก 1-2 เดือน หลังจากนั้นจึงจะยื่นอีไอเอและนำเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ปลายปีนี้ คาดว่าจะก่อสร้างได้ต้นปี 2557
แต่มาวันนี้ ร.ฟ.ท.ได้ลงนามว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษา ซึ่งมีบริษัท เอ็ม เอ เอ คอลซัลแตนท์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาหลัก เข้าสำรวจออกแบบรายละเอียดทางวิศวกรรมและจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โครงการก่อสร้างทางรถไฟสายบ้านไผ่-มหาสารคาม-ร้อยเอ็ด-มุกดาหาร-นครพนม ระยะทาง 347 กม. ใช้ระยะเวลาศึกษา 15 เดือน จากนั้นจึงจะยื่นอีไอเอใช้เวลาประมาณ 6 เดือน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ต้นปี 2558 ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 3-4 ปี แล้วเสร็จพร้อมเปิดบริการได้ประมาณปี 2561
สำหรับแนวเส้นทางก่อสร้างส่วนใหญ่จะเป็นพื้นที่ว่าง เช่น ไร่ปลูกมันสำปะหลัง จึงไม่มีปัญหาที่ส่งผลกระทบกับประชาชนมากนัก มีเพียงพื้นที่ จ.มุกดาหารและ จ.นครพนม ที่ต้องเวนคืนสิ่งปลูกสร้าง เพราะสถานีอยู่ในเมือง โดยจะเวนคืนที่ดินในเขตทางประมาณ 80 เมตร เผื่อไว้สำหรับการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงในอนาคต ซึ่งจะใช้แนวเส้นทางเดียวกันบริษัทต้องลงพื้นที่สำรวจแนวเส้นทางใหม่ทั้งหมด เพราะเป็นเส้นทางใหม่ ไม่มีแนวเส้นทางเดิม ลักษณะโครงการเป็นรางขนาด 1 เมตรและเป็นทางคู่
“รถไฟสายนี้จะเป็นรถไฟรางคู่สายใหม่ที่ไม่ได้ก่อสร้างตามแนวเส้นทางเดิม สามารถวิ่งได้ความเร็วสูงสุด 160 กม./ชม. อำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและการขนส่งสินค้าในพื้นที่ภาคอีสานได้เป็นอย่างดี ขณะเดียวกันยังเป็นเส้นทางที่จะเชื่อมการขนส่งทางภาคตะวันออกและภาคตะวันตกของประเทศเข้าด้วยกัน ส่วนพื้นที่ที่ต้องเวนคืนมากที่สุด คือ จ.มุกดาหารและ จ.นครพนม เพราะต้องเชื่อมโยงกับสถานีขนถ่ายสินค้าในพื้นที่ เพื่อขนถ่ายสินค้าเชื่อมต่อไปยังประเทศลาวผ่านสะพานมิตรภาพ”
นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการ ร.ฟ.ท. กล่าวว่า รถไฟสายนี้มีทั้งหมด 14 สถานี ผ่าน 6 จังหวัด คือ ขอนแก่น มหาสารคาม ร้อยเอ็ด ยโสธร มุกดาหาร และนครพนม เชื่อมการขนส่งสินค้าและการเดินทางกับประเทศเพื่อนบ้านที่มุกดาหาร บริเวณสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 สามารถเชื่อมต่อได้ถึงเวียดนาม และนครพนม ที่สะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 โดยเป็นโครงการภายใต้ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท จึงคาดหวังว่า พ.ร.บ.จะผ่านการพิจารณา เพราะหากไม่ผ่านจะส่งผลกระทบกับโครงการแน่นอน
“หากเริ่มการก่อสร้างโครงการได้จะถือว่าเป็นอีกเส้นทางที่จะเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านได้ ซึ่งจะทำให้การขนส่งทางรางมีความสะดวกขึ้น ทั้งนี้ เส้นทางดังกล่าวถือว่าเป็นเส้นทางที่มีการศึกษารายละเอียดมาตั้งแต่ปี 2537 แต่ยังไม่สามารถดำเนินการได้ เนื่องจากติดปัญหาเรื่องงบประมาณ ถ้าโครงการนี้ไม่ผ่านก็เสียดายโอกาส“
สำหรับงบประมาณเบื้องต้นในการสำรวจแนวเส้นทางใหม่ทั้งหมด คาดว่าจะต้องใช้เงินเวนคืนที่ดินประมาณ 3,000 ล้านบาท ส่วนค่าก่อสร้างประมาณ 38,000 ล้านบาท แนวการก่อสร้างทั้งหมดไม่ผ่านเขตอุทยาน หรือสถานที่สำคัญใดๆ โดยพื้นที่ที่จะต้องเวนคืนมากที่สุด คือ มุกดาหารและนครพนม เพราะต้องเชื่อมโยงกับสถานีขนถ่ายสินค้าในพื้นที่ ต่อไปยังลาวผ่านสะพานมิตรภาพ และเผื่อการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน) ในอนาคต ที่ใช้แนวเส้นทางเดียวกันด้วย
นี่ก็ถือว่าเป็นอีก 1 โครงการที่เป็นความหวังให้ประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ภาคเฉียงเหนือตอนกลาง ที่จะสามารถเดินทางไปมาหาสู่กันระหว่างจังหวัดได้สะดวกยิ่งขึ้น หากภาครัฐให้ความมั่นใจและจริงใจในการดำเนินโครงการ อย่างไม่มีวาระซ่อนเร้น แอบแฝงเพื่อผลประโยชน์พวกฟ้องและตัวเอง ก็ต้องเร่งเดินหน้าโครงการอย่างโปร่งใส จริงใจและดำเนินการให้เห็นเป็นรูปธรรม อย่าปล่อยให้ผ่านเลยไปจนต้องมีการศึกษาครั้งแล้ว ครั้งเล่า ซ้ำไป ซ้ำมาก อย่างไม่มีที่สิ้นสุด สุดท้ายก็จะไม่ได้อะไรกลับไปสู่วังวนเดิม ศึกษาไม่เลิกลาอย่างไม่มีวันสิ้นสุด.
http://www.thaipost.net/news/120713/76284