จับตา"คมนาคม"แบ่งเค้กก้อนโตโครงสร้างพื้นฐาน1.9ล้านล้าน
7 January 2556 - 00:00
“ขณะนี้อยู่ระหว่างการทบทวนโครงการในแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่งปี 2556-2563 วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท และสิ่งที่กระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญมากที่สุดคือการพัฒนาระบบราง ซึ่งได้กำหนดวงเงินลงทุน 1.28 ล้านล้านบาท คิดเป็น 65.05%“
แผนการใช้งบประมาณอย่างมหาศาล ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาลพรรคเพื่อไทยได้นำเอาแผนการก่อร่างสร้างหนี้วงเงิน 2 ล้านล้านบาทเข้ามาอยู่ในแผนการดำเนินการในครั้งนี้ด้วย โดยได้มอบหมายให้กระทรวงการคลัง โดยสำนักงานเศรษฐกิจการคลังดำเนินการ ร่างกฎหมายในรูปพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานวงเงิน 2 ล้านล้านบาท ระยะเวลาการกู้ 7 ปี เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานตามคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) ซึ่งมี นายวีรพงษ์ รามางกูร (ดร.โกร่ง) ประธานคณะกรรมการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นประธาน ซึ่งแผนดังกล่าวนั้น ครอบคลุมทั้งด้านพลังงาน สื่อสาร สาธารณูปโภคและการคมนาคมขนส่งทั้งทางบก ทางอากาศ และทางน้ำ
ทั้งนี้ กรอบวงเงินลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2,274,359.09 ล้านบาท แบ่งเป็น 7 สาขา ได้แก่ 1.ระบบราง 1,201,948.80 ล้านบาท (52.85%) 2.ขนส่งทางบก 222,347.48 ล้านบาท (9.78%) 3.ขนส่งทางน้ำ 128,422.20 ล้านบาท (5.65%) 4.ขนส่งทางอากาศ 69,849.66 ล้านบาท (3.07%) 5.สาธารณูปการ 99,204.69 ล้านบาท (4.36%) 6.พลังงาน 515,689.26 ล้านบาท (22.67%) และ 7.สื่อสาร 36,897 ล้านบาท (1.62%)
การลงทุนระบบราง เป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) 845,385.01 ล้านบาท การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) 333,803.78 ล้านบาท กรมทางหลวง 16,550 ล้านบาท และกรมทางหลวงชนบท 6,210.01 ล้านบาท
ขนส่งทางบก เป็นขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) 13,162.20 ล้านบาท กรมทางหลวง 204,498 ล้านบาท กรมการขนส่งทางบก 4,687.28 ล้านบาท "ขนส่งทางน้ำ" กรมเจ้าท่า 33,075.60 ล้านบาท การท่าเรือแห่งประเทศไทย 93,492.24 ล้านบาท กรมธนารักษ์ 1,854.36 ล้านบาท การลงทุน ขนส่งทางอากาศ บมจ.ท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (ทอท.) 69,849.66 ล้านบาท ระบบสาธารณูปการ มี 2 หน่วยงานคือ การประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) 69,686.89 ล้านบาท และการประปานครหลวง (กปน.) 29,517.80 ล้านบาท
การลงทุนด้านพลังงาน เป็นของ บมจ.ปตท. 135,655.88 ล้านบาท การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) 206,431.36 ล้านบาท การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) 108,594 ล้านบาท การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) 59,060.35 ล้านบาท และ ด้านสื่อสาร แบ่งเป็น บมจ.กสท โทรคมนาคม 20,761 ล้านบาท และ บมจ.ทีโอที 16,136 ล้านบาท เมื่อพิจารณาแล้วพบว่าของกระทรวง คมนาคมถือว่าเป็นหน่วยงานที่ได้งบประมาณมากถึง 1.9 ล้านล้านบาท หรือ 80%ของวงเงินทั้งหมด
ส่วนแหล่งเงินนั้นตามกรอบแล้วจะมาจาก 5 ส่วน คือ เงินงบประมาณ 205,127.77 ล้านบาท เงินรายได้ 184,401.86 ล้านบาท เงินกู้ในประเทศ 1,124,834.60 ล้านบาท เงินกู้ต่างประเทศ 449,172.52 ล้านบาท และจากการเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐกับเอกชนในรูปแบบ PPP 310,822.33 ล้านบาท
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาดูแล้ว ร่าง พ.ร.บ.กู้เงินดังกล่าวได้นำจุดดีของการกู้เงินในโครงการไทยเข้มแข็ง รวมถึงกฎหมายกู้เงินอื่นๆ มาดำเนินการ โดยจะมีรายชื่อและรายละเอียดโครงการทั้งหมด แนบไปกับร่าง พ.ร.บ.เงินกู้ดังกล่าว เพื่อให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณา หากไม่เห็นชอบก็สามารถตัดโครงการหรือเพิ่มโครงการใหม่ได้เหมือนการพิจารณางบประมาณรายจ่ายของรัฐบาล คาดว่าจะเสนอไปยังคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2556 ก่อนที่จะเสนอเข้าต่อที่ประชุมรับสภาต่อไป เพื่อให้สภาพิจารณาเห็นชอบเป็นกฎหมายมีผลบังคับใช้ต่อไป คาดว่าจะเห็นเป็นรูปเป็นร่างภายในเดือนมีนาคม 2556
สำหรับในส่วนของกระทรวงคมนาคม ซึ่งถือว่าเป็นหน่วยงานที่ได้รับการจัดสรรงบประมาณเยอะที่สุด ความคืบหน้าของโครงการ คือ ที่ผ่านมาได้จัดสัมมนาโครงการประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และร่วมรับฟังความคิดเห็นของสาธารณชนต่อแผนการลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่ง พ.ศ.2556-2563 ทุกภาคของประเทศไทย ซึ่งกระทรวงคมนาคมต้องเฟ้นหาโครงการที่ตรงกับวัตถุประสงค์และความเหมาะสมเป็นหลัก โดยจะจัดสรรในส่วนของขนส่งระบบราง 60% ขนส่งระบบถนน 33% ขนส่งทางน้ำ 3% และขนส่งทางอากาศ 1.9% จะเห็นว่างบประมาณถูกจัดสรรไปที่ระบบรางเป็นหลัก เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยทิ้งระบบรางไปนานและจำเป็นจะต้องเชื่อมต่อกับประเทศในอาเซียน และในอนาคตน้ำมันแพงขึ้นคนจะหันมาใช้รถไฟแทน
นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ได้ระบุว่า “ขณะนี้อยู่ระหว่างการทบทวนโครงการในแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคมนาคมขนส่งปี 2556-2563 วงเงิน 1.9 ล้านล้านบาท และสิ่งที่กระทรวงคมนาคมให้ความสำคัญมากที่สุดคือการพัฒนาระบบราง ซึ่งได้กำหนดวงเงินลงทุน 1.28 ล้านล้านบาท คิดเป็น 65.05%“
ทั้งนี้ ในส่วนของระบบรางนั้นได้เสนอไป 33 โครงการ วงเงิน 1.164 ล้านล้านบาท เบื้องต้นกระทรวงการคลังส่งสัญญาณว่า ในส่วนของระบบรางที่ได้เสนอโครงการไปนั้นโครงการมีความชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นโครงการรถไฟความเร็วสูง, รถไฟทางคู่, ปรับปรุงทางรถไฟ ล้วนแล้วแต่เป็นโครงการที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญ เช่น ระบบรถไฟทางคู่ 6 สาย 131,252 ล้านบาท มีฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย 11,348 ล้านบาท ลพบุรี-ปากน้ำโพ 19,408 ล้านบาท มาบกะเบา-ชุมทางถนนจิระ 28,087 ล้านบาท ชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น 28,410 ล้านบาท นครปฐม-หนองปลาดุก-หัวหิน 27,332 ล้านบาท และประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร 16,665 ล้านบาท
ยังมีโครงการสร้างรถไฟสายใหม่ 140,019 ล้านบาท 4 สาย อาทิ ช่วงเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ 47,929 ล้านบาท ช่วงบ้านไผ่-มหาสารคาม-มุกดาหาร 42,305 ล้านบาท ช่วงอรัญประเทศ-ปอยเปต 2,822 ล้านบาท และสายเชื่อมท่าเรือฝั่งอ่าวไทย-อันดามัน ระยะที่ 1 วงเงิน 46,961 ล้านบาท รถไฟความเร็วสูง 481,066 ล้านบาท 4 สาย วงเงิน 4.8 แสนล้านบาท และโครงการรถไฟฟ้า 10 สาย 475,498 ล้านบาท
รองลงมาคือการขนส่งทางบก หรือถนน 4.7 แสนล้านบาท สัดส่วน 24.2% เช่น การก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง 5 สาย วงเงิน 2 แสนล้านบาท เช่น ทางหลวงเชื่อมระหว่างประเทศ 6,434 ล้านบาท วงแหวนรอบที่ 3 วงเงิน 157,700 ล้านบาท ทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ (N1, N2 และ N3) 85,069 ล้านบาท, ขนส่งทางน้ำ 1.2 แสนล้านบาท สัดส่วน 6.51% เช่น เขื่อนยกระดับในแม่น้ำเจ้าพระยา 1.4 หมื่นล้านบาท ทางอากาศ และขนส่งทางอากาศ 8.3 หมื่นล้านบาท สัดส่วน 4.24% เช่น ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 วงเงิน 6.2 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตาม แม้ว่านโยบายของรัฐบาล ภายใต้การนำของนายกฯ หญิงคนแรก นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และเน้นการบริหารงานแบบ ”ประชานิยม” 1 ปีกับ 5 เดือน กลับต้องปรับคณะรัฐมนตรีถึง 3 ครั้ง และทุกครั้งที่ปรับคณะรัฐมนตรีก็มักจะมีนโยบายต่างๆ ออกมา โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน ก่อนที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์มานั่งบริหารประเทศเป็นมาอย่างไรทุกอย่างก็ยังอยู่เช่นนั้น
แม้ว่า นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม ยังออกมาระบุเองว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้เร่งรัดให้เดินหน้าโครงการรถไฟฟ้า เพราะเห็นว่าที่ผ่านมาถือว่าโครงการรถไฟฟ้าตามนโยบายของรัฐบาลทั้ง 10 สายทางนั้นมีความล่าช้ามาก ทั้งในส่วนของที่รับผิดชอบโดยการรถไฟฟ้าแห่งประเทศไทย (รฟม.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ซึ่งจะต้องเร่งให้มีการดำเนินการให้ได้ภายในปี 2556
ประกอบด้วย รถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-ปากเกร็ด-มีนบุรี ระยะทาง 36 กม. วงเงิน 38,730 ล้าน รถไฟฟ้าสายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี ระยะทาง 20 กม. วงเงิน 73,070 ล้านบาท รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม ช่วงสมุทรปราการ-บางปู ระยะทาง 7 กม. วงเงิน 10,150 ล้านบาท รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน ช่วงบางซื่อ-พญาไท มักกะสัน/บางซื่อ-หัวลำโพง รวมวงเงิน 36,960 ล้านบาท รถไฟฟ้าสีแดงอ่อน ช่วงศิริราช-ตลิ่งชัน ระยะทาง 6 กม. วงเงิน 4,281 ล้านบาท รถไฟฟ้าสีแดงเข้ม ช่วงรังสิต ม.ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต ระยะทาง 10 วงเงิน 5,252 ล้านบาท รถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ ช่วงดอนเมือง-บางซื่อ ระยะทาง 13.9 กม. วงเงิน 19,400 ล้านบาท
และยังมีอีก 4 โครงการแม้ว่าจะได้เริ่มกระบวนการไปแล้วบางส่วน แต่ก็มีความล่าช้าอย่างมาก เพราะตามแผนแล้วจะต้องมีการดำเนินการประกวดราคาในปี 2555 แต่จนแล้วจนรอดยังไม่เกิดขึ้นสักที จนนายกรัฐมนตรีต้องสั่งการให้เร่งรัดดำเนินการประกวดราคาในปี 2556 ประกอบด้วย รถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ระยะทาง 11.4 กม. วงเงิน 36,405 ล้านบาท และช่วงสะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 7 กม. วงเงิน 23,507 ล้านบาท รถไฟฟ้าสีแดง ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา 14 กม. วงเงิน 9,950 ล้านบาท และรถไฟแอร์พอร์ตลิงค์ ช่วงบางซื่อ-พญาไท ระยะทาง 7.9 กม. วงเงิน 13,590 ล้านบาท คาดว่าจะเริ่มประกวดราคาได้ประมาณต้นปี 2556
"ที่ผ่านมาถือว่าโครงการรถไฟฟ้ายังดำเนินการล่าช้าอยู่ ซึ่งภายในปี 2556 นี้ จะต้องมีการเร่งรัดการประกวดราคาให้เรียบร้อย" นายชัชชาติกล่าว
ส่วนความคืบหน้าสถานีปลายทางของรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-ปากเกร็ด-มีนบุรีนั้น ที่ก่อนหน้านี้ ส.ส.ในพื้นที่ต้องการให้สถานีปลายทางสิ้นสุดที่สุวินทวงศ์นั้น แต่สุดท้ายได้ข้อสรุปที่จะสิ้นสุดที่มีนบุรี อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวได้สั่งการให้ รฟม.ไปศึกษาเรื่องการให้บริการประชาชนด้วยว่าจะเป็นอย่างไร
อย่างไรก็ตาม หลังจากปีเก่าผ่านไป ก้าวเข้าสู่ปีใหม่ ก็หวังว่าประชาชนจะได้รับสิ่งดีๆ จากรัฐบาลกันบ้าง โดยเฉพาะโครงการที่เป็นโครงสร้างขั้นพื้นฐานที่ประชาชนควรจะได้รับ ไม่ว่าจะเป็นการคมนาคมขนส่ง ทางบก ราง น้ำ และอากาศ ล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่ง และหากรัฐบาล ”ปู 3” เห็นความสำคัญก็ควรจะเร่งผลักดันและมีความจริงใจในการแก้ไขปัญหากับความทุกข์ยากของประชาชน ก็ขอฝากความหวังว่ารัฐบาลจะหันมามองไม่ใช่เอาแต่ดูแลพวกพ้องน้องพี่ตัวเองเท่านั้น.
+++++++++++++++++++
http://www.thaipost.net/news/070113/67647