เชียงราย - สำนักนโยบายและแผนการขนส่งฯเดินหน้าทำพิมพ์เขียวคมนาคม 4 จังหวัดเหนือ มุ่งเน้นเชื่อม สป.จีน เป็นเป้าหลัก พร้อมดันทำระบบขนส่งมวลชนเต็มที่ ชี้ รัฐบาลเดินผิดทาง มุ่งแต่สร้างถนน แต่ละเลยขนส่งมวลชน อ้างไม่คุ้มทุน ด้านรองผู้ว่าฯเชียงราย จี้เร่งคืนชีพรถไฟเด่นชัย-เชียงราย หลังถูกดองมา 50 ปี วันนี้ (19 เม.ย.) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กระทรวงคมนาคม ได้จัดประชุมกลุ่มย่อยบูรณาการ 4 จังหวัด ตามโครงการ “ศึกษาสำรวจการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อพัฒนาระบบโครงข่ายด้านการขนส่งและจราจรในเขตพื้นที่กลุ่มยุทธศาสตร์ชายแดนจังหวัดภาคเหนือตอนบน 2 (เชียงราย พะเยา แพร่ และน่าน)” ณ โรงแรมริมกกรีสอร์ท อ.เมือง จ.เชียงราย
โดยมี นายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เป็นประธานในพิธีเปิด และคณาจารย์จากสถาบันการศึกษาหลายแห่ง ซึ่งออกจัดเก็บข้อมูลใน 4 จังหวัด นำโดย ผศ.ดร.พนกฤษณ คลังบุญครอง, รศ.ลำดวน ศรีศักดา, ดร.รังสรรค์ อุมศรี และ ผศ.ดร.มนสิชา เพชรานนท์ นำเสนอข้อมูล และมีตัวแทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนเข้าร่วมคับคั่ง
นายวิจิตต์ นิมิตรวานิช ผู้อำนวยการ สนข.เปิดเผยว่า โครงการนี้มีระยะเวลาดำเนินการ 15 เดือน ปัจจุบันดำเนินการมาได้ 3 เดือนแล้ว โดยเก็บข้อมูลและนำมาวางแผนสำหรับพิจารณาดำเนินการก่อสร้างตามโครงการคมนาคมต่างๆ ให้เหมาะสมกับความต้องการ สภาพความเป็นจริง สิ่งแวดล้อม ความเหมาะสม งบประมาณ ฯลฯ และเชื่อมโยงระหว่างยุทธศาสตร์ระดับประเทศและพื้นที่เข้าด้วยกัน ซึ่งผลการศึกษาจะนำเสนอไปยังกระทรวงคมนาคมพิจารณาแยกแยะว่าโครงการใดเป็นหน้าที่ของรัฐบาล กระทรวงและส่วนท้องถิ่นต่างๆ เพื่อนำไปปฏิบัติให้เหมาะสมต่อไป
นายวิจิตต์ กล่าวว่า ซึ่งผลการศึกษา 3 เดือนที่ผ่านมาพบหลากหลายประเด็น เช่น บางโครงการมีการก่อสร้างอย่างเร่งด่วน ไม่มีงบประมาณรองรับ และนโยบายส่วนกลางแทรกแซง เป็นต้น และผลจากข้อมูลต่างๆ ทั้งหมดก็จะมีการนำมาประชุม ลงพื้นที่จริง จากนั้นราวเดือน ก.ย.2554 จะกลับไปนำเสนอในการสัมมนาใหญ่ที่ เชียงราย อีกครั้งก่อนนำเสนอให้รัฐบาลราวต้นปี 2555 เพื่อนำไปดำเนินการต่อไป
นายวิจิตต์ ย้ำว่า การวางแผนทั้งหมดของเราขึ้นอยู่หลายด้าน เช่น ต้องปรับให้เข้ากับยุทธศาสตร์ของประเทศจีนที่มีการขยายโครงข่ายคมนาคมและเศรษฐกิจลงทางใต้ผ่านประเทศไทยมากขึ้น ซึ่งผลในปัจจุบันก็เห็นชัดเจนในโครงการต่างๆ ของประเทศไทยที่มีรองรับเอาไว้แล้ว เช่น ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2-สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่ อ.เชียงของ ฯลฯ
“อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาทั้งหมดพบว่า การก่อสร้างไม่ใช่คำตอบของการวางแผนด้านการคมนาคม แต่คำตอบที่แท้จริงคือ การพัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้มีคุณภาพ” นายวิจิตต์ กล่าว
ซึ่งด้วยความเจริญเติบโตของสังคมตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และไปสู่อนาคต ทำให้ทราบว่าไม่ว่าจะก่อสร้างถนน เพิ่มเส้นทางคมนาคมอื่นๆ อย่างไร ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาความแออัดและความต้องการของประชากรได้ แต่ต้องพัฒนาระบบขนส่งมวลชน เช่น ระบบราง รถเมล์ ฯลฯ ไม่เช่นนั้นประชาชนผู้ใช้เส้นทางคมนาคมก็จะต้องเป็นทุกข์เช่นนี้เรื่อยไป
นายวิจิตต์ กล่าวอีกว่า ปีที่ผ่านมา ไทยมีรถยนต์เพิ่มขึ้น 500,000-700,000 คน บางปีเศรษฐกิจดีก็ทะลุขึ้นถึง 800,000 คน แต่รัฐขยายระบบขนส่งมวลชนน้อยมาก กลับไปทุ่มงบประมาณกับการก่อสร้างถนนหนทางปีละนับหมื่นล้านบาท เพราะมักจะไปผูกมัดกับแนวคิดที่ว่าโครงการขนส่งมวลชนไม่คุ้มทุน ทั้งที่ความเป็นจริงต้องมองความจำเป็นในการอำนวยความสะดวกให้ประชาชน เช่น กรณีรถไฟสายเชียงราย-เด่นชัย จ.แพร่ ซึ่งศึกษามานานแต่ไม่ก่อสร้างเพราะมองเรื่องการคุ้มทุนนั้น ควรมองในมิติใหม่ เพียงแต่โครงการนี้ ก็ยอมรับว่ามีปัญหามากเพราะรถไฟต้องใช้ระยะเวลาก่อสร้างยาวนานจึงต้องอาศัยรัฐบาลที่มีความต่อเนื่อง
ด้าน นายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า เชียงราย มีความต้องการรถไฟสายเด่นชัย-เชียงราย มานานหลายสิบปี เพราะมียุทธศาสตร์เชื่อมโยงกับจีนตอนใต้และอำนวยความสะดวกด้วยระบบรางในด้านอื่นๆ แต่กลับมาศึกษาความคุ้มทุนใหม่อยู่ร่ำไป กระทั่งล่าสุดมีการศึกษาอีก ตนคาดว่า หากจะก่อสร้างจริงก็น่าจะเป็นอีกประมาณ 3 ปีข้างหน้า และหากไม่ก่อสร้างต้นทุนก็จะสูงขึ้นเรื่อยๆ และความคุ้มทุนก็จะลดลงมากขึ้นตามมาด้วย
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับโครงรถไฟเด่นชัย-เชียงราย ยืดเยื้อมายาวนานร่วม 50 ปี กระทั่งเมื่อปี 2544 การรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) ได้เคยศึกษาและออกแบบก่อสร้างเส้นทางแล้วเสร็จแต่ก็ยังไม่ดำเนินการ กระทั่งปี 2553-2554 รัฐบาลได้ให้ศึกษาอีกครั้งด้วยงบประมาณ 200 ล้านบาทให้ศึกษารถไฟรางคู่ขนาดกว้าง 1.453 เมตร เชื่อมเด่นชัย-เชียงราย ระยะทาง 246 กิโลเมตรและจากเชียงราย-สันยาว 40 กิโลเมตรเลี้ยวซ้ายไปทาง อ.เชียงแสน และจากสันยาว-เชียงของ จุดก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงไทย-สปป.ลาว-ถนนอาร์สามเอ-จีนตอนใต้ อีก 40 กิโลเมตรด้วย
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000047959