เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 18 เมษายน 2024, 07:50:42
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  ไหว้อะไร ?
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน ไหว้อะไร ?  (อ่าน 1402 ครั้ง)
ร้อยป่า
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,864



« เมื่อ: วันที่ 29 สิงหาคม 2014, 07:40:21 »


“…การยึดถืออาจารย์จะเป็นกรงขังวิญญาณของผู้ยึด

การถอนความยึดถือติดแน่นในลัทธิและนิกายนั้น
ย่อมหมายถึงการไม่ยึดถือในบุคคล
หรือวัตถุภายนอกอื่น ๆ ด้วย.
การยึดถือบุคคลภายนอก เช่น
ความยึดว่าบุคคลผู้นี้
หรืออาจารย์คนนั้นเป็นพระอรหันต์,
หรืออาจารย์ของเราบรรลุมรรคผลขั้นนั้นขั้นนี้
เพื่อจะได้มีความเชื่อความเลื่อมใส
และยึดเอาเป็นที่พึ่งแต่ผู้เดียว
เช่นนี้เป็นสิ่งที่อันตรายอย่างหนัก.
การยึดถือเช่นนั้นแทนที่จะส่งเสริม
กลับกลายเป็นกรงที่กักขังดวงวิญญาณของผู้ยึดไว้
ให้กลายเป็นลูกนกที่อ่อนแอ

ถ้าเป็นผู้ตื่นอาจารย์เกินไป
ก็เป็นโอกาสที่จะถูกหลอกลวง
จากอาจารย์ที่เป็นอลัชชีหรือลวงโลก.
ถึงแม้ว่าบุคคลที่ตนยึดถือนั้น
จะเป็นพระอรหันต์จริง ๆ ก็ตาม
การยึดถือนั้นก็ยังไม่มีประโยชน์อันใด
เพราะว่าตนจะรู้จักพระอรหันต์ไม่ได้
เว้นแต่ตนเป็นพระอรหันต์เองมาแล้ว;
การยึดถือของตน จึงยึดไม่ถูกองค์พระอรหันต์
แต่ไปยึดถูกทิฏฐิที่โง่เขลาหรืออ่อนแอ
อย่างใดอย่างหนึ่งเข้าเท่านั้น,
หรืออย่างดีที่สุด ก็ไปยึดเข้า
ที่เปลือกกายของพระอรหันต์
จะมีประโยชน์บ้างบางอย่างก็แต่ในขั้นศีลธรรม
แต่เป็นของมืดมัวสำหรับความหลุดพ้นของจิต.
เพราะฉะนั้น จึงต้องพยายาม
ที่จะเห็นธรรมหรือองค์อรหันต์ที่แท้จริง
แทนการพยายามยึดถือผู้นั้นผู้นี้ว่า เป็นพระอรหันต์.

การกราบไหว้พระภิกษุสงฆ์
มิใช่ด้วยความยึดถือในบุคคลนั้น ๆ
แต่เป็นการกราบไหว้ ธง หรือ
เครื่องหมายของพระอรหันต์
ทำนองเดียวกับที่เรากราบไหว้พระพุทธรูป
อันเป็นเครื่องหมายแทนองค์พระพุทธเจ้า,
หรือกล่าวอย่างธรรมดาที่สุด
ก็เช่นเดียวกับราษฏรทุกคนเคารพผ้าธงไตรรงค์
อันเป็นเครื่องหมายแทนชาติ.
หรือถ้าเรามองเห็นคุณความดีอย่างอื่นประจักษ์ชัด
เรากราบไหว้คุณความดีนั้น ๆ เท่าที่รู้กันอยู่,
แต่เราไม่ควรทึกทักเอาว่านั่นเป็นพระอรหันต์
อย่างพวกที่ตื่นพระอรหันต์.

เราใช้ตัวเราเองพิจารณาเองว่า
ตามที่ท่านผู้นั้นกระทำอยู่นั้น
จะเป็นการถอนตนออกจากโลก หรือทุกข์ หรือหาไม่
และเราจะทำตามอย่างท่านได้
ก็เฉพาะแต่ข้อที่ทำไปก็เห็นไปพร้อมกัน
ว่าสามารถละกิเลสได้เพียงไร,
และละได้แล้วจริง ๆ.
เพราะฉะนั้น เราอาจกราบไหว้
สิ่งที่ควรกราบไหว้ทั่วไปก็ได้
โดยปราศจากความยึดถือ
ชนิดที่เป็นกรงกักขังหัวใจ
เป็นแต่กราบไหว้ด้วยปัญญา
ที่รู้สิ่งที่ควรกระทำ.

การกราบไหว้ ทำด้วยปัญญา ไม่ต้องยึดถือ

การกราบไหว้เฉพาะอิฐปูน
ที่เขาก่อเป็นพระพุทธรูป
หรืออนุสาวรีย์อย่างอื่น ๆ
ถือกันว่า เป็นการกระทำ
ของคนที่ปราศจากความรู้
หรือของคนโง่เขลา.
ความจริง; ท่านประสงค์ให้กราบไหว้
คุณความดี ของบุคคลที่
เขาสร้างอนุสาวรีย์นั้น ๆ ให้เท่านั้น.
เมื่อท่านผู้นั้นมีชีวิตอยู่
ตัวท่านหรือร่างกายของท่าน
เป็นผู้ที่รับการกราบไหว้
แทนคุณงามความดีในตัวท่าน.
เมื่อท่านตายแล้ว ผู้อื่นช่วยกันสร้างอนุสาวรีย์
ให้เป็นที่รับการกราบไหว้แทนร่างกายท่าน.
เพราะฉะนั้น ใจความสำคัญจึงมีอยู่ว่า
ไม่ได้กราบอิฐปูน,
แต่กราบไหว้คุณงามความดีของเขา,
และทั้งกระทำโดยไม่ต้องยึดถือ.
ทั้งนี้เพราะเหตุว่า
เราจะไปยึดถือคุณงามความดีของผู้อื่นไม่ได้
ทำได้ก็แต่เพียงบูชาเขาด้วยน้ำใจที่ยุติธรรม
หรือถือเอาเขาเป็นบุคคลตัวอย่าง
ในคุณความดีอันประจักษ์ชัดแล้วนี้.

การไหว้พระพุทธรูปเหมือนเซ่นผีเป็นความยึดถือผิด

แต่เมื่อสังเกตดูโดยถี่ถ้วนแล้ว
เราส่วนมากได้ละเลยความจริงอันนี้
และได้ปล่อยให้การยึดถือเข้าครอบงำหนักขึ้น.
แม้ในหมู่พวกพุทธบริษัทเอง
ก็มีไม่ใช่น้อยที่ทำไปด้วยความยึดถือ
และกระทำแก่พระพุทธรูปซึ่งเป็นอิฐปูนนั้น
ราวกะทำแก่คนที่มีชีวิตจิตใจจริง ๆ
และเป็นคนที่ละโมบเสียด้วย.

พระพุทธรูปถูกประดับประดาด้วยผ้าสีต่าง ๆ
เช่นเดียวกับเทวรูปของฮินดู
ถูกประดับด้วยทอง เงิน
และเปลี่ยนให้ตามฤดูกาลในปีหนึ่ง ๆ
พระพุทธรูปได้รับการถวายอาหารคาวหวาน
คล้ายกับเครื่องเซ่นผี
ได้รับการพรมน้ำหอม
และอื่น ๆ อีกมากเหลือที่จะพรรณา.
ทั้งหมดนี้เมื่อพิจารณาดูแล้ว
ก็ไม่มีเหตุผลอย่างอื่นใด
นอกจากความยึดถืออันผิดๆ
และเลยกระทงแห่งศีลธรรมที่ดีงามไปเสียลิบลับ,
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งให้ผลร้าย คือ
การกักกั้นจิตไม่ให้เข้าถึงพุทธธรรม
ชนิดที่พระพุทธองค์ทรงประสงค์ให้สาวกเข้าถึง.

ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระชนม์ชีพอยู่
ไม่มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นบูชา
ไม่มีการไหว้รูปเคารพ
มีบ้างก็แต่เจดีย์สร้างขึ้น
เป็นอนุสาวรีย์แก่คนชั้นพระศาสดา
เพื่อเกิดความสังเวชแก่ผู้พบเห็น
เรียกสังเวชนียสถาน
และเป็นกุศลแก่ผู้ได้ความสังเวช.
แต่ในสมัยนี้มีการสร้าง
พระพุทธรูปขึ้นเกลื่อนกลาด
บูชากันอย่างรูปเคารพ
ได้รับการกระทำเช่นเดียวกันกับ
การเซ่นผีหรือการเล่นตุ๊กตาของเด็กเล็ก ๆ ;
ซึ่งถ้าหากพระผู้มีพระภาคเจ้า
ยังทรงพระชนม์อยู่ถึงเวลานี้
หรือได้เสด็จมาเห็นเหตุการณ์
ที่พลิกแพลงไปถึงเพียงนี้
คงจะทรงเห็นพ้องด้วยพระมะหะหมัด
ศาสดาแห่งชนชาวอิสลาม
ในการที่ห้ามสร้างรูปเคารพ
ที่สร้างขึ้นเพื่อหลงติด
เขวออกไปนอกทาง
แห่งการเข้าถึงพุทธธรรม
และคงทรงห้ามมิให้ปล่อยความเชื่อถือหรือนับถือ
ให้ไหลไปโดยปราศจากเหตุผลเช่นนี้
จนผิดจากความประสงค์เดิม.

เรากราบไหว้พระพุทธเจ้าในฐานะทรงเป็นดวงประทีป

เรากราบไหว้พระผู้มีพระภาคเจ้า
ด้วยอำนาจที่เรามีจิตแจ่มใส
มีปิติปราโมทย์ในพระองค์
เพราะได้ทรงค้นพบสิ่งอันเร้นลับ
หรือพุทธธรรมดังกล่าวแล้ว.
เราได้ฟังธรรมที่พระองค์ทรงประกาศ
พร้อมทั้งอรรถะพยัญชนะ
พร้อมทั้งเหตุผลบริสุทธิ์บริบูรณ์
ไพเราะทั้งในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด
พอที่จะให้เกิดความเชื่อขึ้นในตนเอง
โดยไม่ต้องเชื่อตามพระองค์
ว่าถ้าทำไปเช่นนั้นจริง ๆ
ความทุกข์จะหมดไปได้

เรากราบไหว้ในชั้นนี้โดยไม่ต้องยึดถือ
ว่าพระองค์เป็นอะไร มากไปกว่า
ผู้ที่ส่องประทีปให้เราเดินไปเอง
และแสงสว่างแห่งดวงประทีปนั้นเราก็เห็นชัดอยู่
โดยนัยนี้จึงไม่มีการยึดถือ
ชนิดที่จะพลิกคว่ำพระองค์ลงมาเป็นเจ้าผี
ที่คอยอำนวยสิ่งต่าง ๆ ให้
ตามที่ผู้เซ่นไหว้เขาต้องการ.
ทั้งไม่ต้องยึดถือแม้แต่เพียงว่า
พระองค์จะช่วยเราหรือพาเราไป,
เพราะพระองค์ตรัสว่า เราจะต้องเดินไปเอง
พระองค์ส่องไฟให้เราจุดดวงไฟ
ชนิดเดียวกับของพระองค์ขึ้นเพื่อเราเอง…”

เนื้อหาข้อความ จากหนังสือที่ได้รับคำพยากรณ์ว่า “จะไม่ตาย”

“วิถีแห่งการเข้าถึงพุทธธรรม” (ที่หน้า 92-97)
ของท่าน พุทธทาส อินทปัญโญ
IP : บันทึกการเข้า
ร้อยป่า
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,864



« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 29 สิงหาคม 2014, 07:49:10 »



 
กราบพระพุทธ อย่าสะดุดเอาทองคำ

คำว่าฤกษ์งามยามดีจึงหมายความว่าสะดวกเมื่อไหร่ก็ทำเมื่อนั้น
เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าท่านได้ตรัสสอนไว้ว่า
"นกฺขตฺตํ ปฏิมาเนตฺตํ อตฺโถ พาลํ อุปจฺจคา"
ประโยชน์ย่อมล่วงเลยคนปัญญาอ่อนที่ไปนั่งดูดาว ดูเดือนอยู่
"อตฺโถ อตฺถสฺส นกฺขตฺตํ กึ กริสฺสนฺติ ตารกา"
ประโยชน์มันเป็นฤกษ์อยู่ในตัวแล้ว ดวงดาว ในท้องฟ้าจะช่วยอะไรได้
 
ศาสนาพุทธนี้เป็นศาสนาแห่งความรู้ ความตื่น ความเบิกบานด้วยธรรม
เป็นศาสนาที่ดึงคนที่ยังหลงใหลโง่งมให้หลุดพ้น
ดังนั้นผู้ใดที่ยังหลงใหลกับไสยศาสตร์เรื่องงมงายเช่นนี้ ไม่ถือว่าเป็นชาวพุทธเลย
คนที่ยังหมกมุ่นมัวเมากับสิ่งเหล่านี้ ทำได้แต่เพียงเขียนอ้างลงไปในทะเบียนบ้านว่าเป็นชาวพุทธเท่านั้น
ชาวพุทธที่แท้ต้องใช้ปัญญาในการไตร่ตรอง พิจารณาก่อนที่จะเชื่อในสิ่งใดๆว่าสมควรเชื่อหรือไม่
แต่หากเราถือตนว่าเป็นชาวพุทธ เราไม่ควรเชื่อในสิ่งงมงาย
การที่เราพูดเช่นนี้ หมายความรวมถึงพระเครื่อง ตะกุด เครื่องรางของขลังที่หลวงพ่อหลวงปู่ต่างๆทำขึ้นมา
เราไม่ได้พูดว่า สิ่งเหล่านี้ไม่มีจริง ไม่ศักดิ์สิทธิ์จริง เพียงแต่ว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงสอนให้ยึดเอาสิ่งเหล่านี้เป็นที่พึ่ง
การนับถือพระพุทธรูป ขอให้นับถือเอาเพียงว่านี่สร้างขึ้นมาเพื่อให้ระลึกถึงความดีที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้
แต่อย่าได้ยึดเอา ถือเอาว่านี่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ต้องกราบไหว้บูชาแล้วเราจะได้ตามสิ่งที่เราปรารถนา
เพราะหากทำเช่นนั้นแล้ว เราสามารถสำเร็จสิ่งที่ต้องการ แคล้วคลาดจากอันตรายทั้งปวงได้
พระพุทธเจ้าคงไม่สอนพวกเราเช่นนี้ว่า
พาหุงเว สะระณัง ยันติ ปัพพะตานิ วะนานิจะ อารามะ รุกขะ เจตยานิ มะนุสสา ภะยะตัสชิตา
มนุษย์เมื่อมีภัยคุกคามแล้ว ก็ถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง อารามและรุกขเจดีย์บ้าง เป็นสรณะ
เนตังโข สะระณัง เขมัง เนตัง สะระณะ มุตตะมัง เนตัง สะระณะ มาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ
นั่นมิใช่สรณะอันเกษมเลย นั่นมิใช่สรณะอันสูงสุด เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระณัง คะโต จัตตาริ อริยะสัจจานิ สัมมัปปัญญายะ ปัจฉะติ
ส่วนผู้ใดถือเอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้วเห็นอริยสัจคือความจริงอันประเสริฐสี่ด้วยปัญญาอันชอบ
ทุกขัง ทุกขะสะมุปปาทัง ทุกขัสสะ จะ อะติกกะมัง อริยัญจัตถังคิกัง มักคัง ทุกขูปะสะมะคามินัง
คือเห็นความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้ และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐเครื่องถือความระงับทุกข์
เอตัง โข สะระณังเขมัง เอตังสะระณะมุตตะมัง เอตังสะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ
นั่นแหละเป็นสรณะอันเกษม นั่นเป็นสรณะอันสูงสุด เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

คำสอนนี้ที่ท่านให้ถือเอาพระพุทธ เป็นสรณะ ไม่ใช่ถือเอาพระพุทธรูปเป็นสรณะ
เราพึงทำความเข้าใจก่อนว่า พระพุทธรูปที่เราเห็นกันนี้ ไม่เคยมีการสร้างขึ้นในสมัยพุทธกาลเลย
หลังจากที่พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานไม่นาน ในยุคนั้นจะประดิษฐ์รูปต้นโพธิ์ หรือธรรมจักร เป็นสัญลักษณ์เปรียบเทียบ
จะไม่มีการสร้างรูปปั้นแทนพระพุทธเจ้า เพราะถือว่าเป็นการดูหมิ่น ไม่ให้เกียรติพระองค์
แต่ในยุคหลังหลายร้อยปีต่อมา กองทัพของอเลกซานเดอร์ได้เข้ามารุกรานอินเดียแล้วมีนายทหารบางคนหันมาสนใจนับถือพระพุทธศาสนา
เมื่อนับถือแล้ว ก็ได้ทำการสร้างพระพุทธรูปเพื่อแทนพระพุทธเจ้าเหมือนที่พวกเขาได้สร้างรูปปั้นแทนเทพเจ้าเซอุส
ดังนั้นพระพุทธรูปในยุคแรกนั้น จะมีหน้าตาคล้ายอย่างกับเทพเจ้าในตำนานกรีก
ทุกครั้งที่เรากราบพระพุทธรูป จึงควรรู้ว่าเรากราบเพื่ออะไร
จะกราบพระพุทธ อย่าไปสะดุดเอาทองคำ
จะกราบพระธรรม อย่าไปขยำเอาใบลาน
จะกราบพระสงฆ์ อย่าไปถูกเอาลูกชาวบ้าน
นั่นคือจะกราบจะนับถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ให้กราบไปให้ถึงพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์
อย่าได้ไปสะดุดหยุดอยู่กับเพียงเปลือกนอก
อย่างบางคนรู้สึกเสื่อมศรัทธาในพระศาสนาเพราะสมมติสงฆ์บางรูปปฏิบัติตัวไม่ดี
เช่นนี้แปลว่ากราบพระสงฆ์แล้วไปถูกเอาลูกชาวบ้าน
เพราะพระสงฆ์เหล่านั้นเป็นเพียงสมมติสงฆ์ เป็นเพียงสถานะสมมติขึ้นมา แต่สุดท้ายก็คือคนธรรมดา
เป็นมนุษย์ปุถุชนธรรมดาที่พยายามฝึกตัวเพื่อหลุดพ้น หรือบางคนอาจบวชเข้ามาเพราะสิ่งอื่น
พระสงฆ์ที่เป็นหนึ่งในพระรัตนตรัยนั้นคือพระอริยสงฆ์ชั้นโสดาบันขึ้นไป
นั่นหมายความว่าสงฆ์ท่านนั้นอาจไม่ได้บวชแต่สำเร็จโสดาบันก็นับเป็นอริยสงฆ์ที่เราสมควรแก่การกราบไหว้บูชาเช่นกัน
 
คนไทยส่วนมากเมื่อคิดจะทำบุญไหว้พระก็จะต้องหาซื้อดอกไม้ธูปเทียนบูชาพระ
บางคนสงสัยว่า เราไหว้พระ จำเป็นต้องมีดอกไม้ธูปเทียนด้วยหรือไม่
คำตอบขออธิบายดังนี้คือ
การไหว้พระนั้นเป็นปฏิบัติบูชาที่ให้เราระลึกถึงคุณความดีของพระรัตนตรัย
หากเราเอาดอกไม้ธูปเทียนเหล่านั้นมากราบไหว้ขอพร ขอให้รวย ให้แข็งแรง เช่นนี้ไม่ใช่การไหว้พระที่ถูกต้อง
คนโบราณนั้น ที่ระบุเอาดอกไม้ธูปเทียนมาใช้กราบไหว้บูชาพระ เพราะมีอุบายให้ระลึกถึงพระรัตนตรัย
การที่เราจุดธูป 3 ดอกนั้น เป็นการบูชาพระพุทธ ระลึกถึงคุณ 3 ประการของพระพุทธองค์
นั่นคือพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ
ที่พระองค์ทรงตรัสรู้หลักธรรมอันบริสุทธิ์ และไม่ทรงเก็บสิ่งที่รู้ไว้เพียงผู้เดียว แต่ทรงสั่งสอนสรรพสัตว์ให้รู้ตาม
เทียน 2 เล่มที่เราใช้จุดนั้น เป็นการบูชาพระธรรมและพระวินัย
ซึ่งเป็นการเปรียบเปรยเทียนที่จุดส่องสว่าง เหมือนกับพระธรรมและพระวินัยที่เป็นแสงส่องทางนำเราจากความมืดบอด
ส่วนดอกไม้นั้นใช้หมายแทนพระสงฆ์
เนื่องด้วยพระสงฆ์แต่ละรูปมาจากบ้านเรือนครอบครัวที่หลากหลาย
เมื่อได้รับการอบรมสั่งสอน ปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอน ก็สามารถบรรลุธรรมเป็นที่น่าเลื่อมใสกราบไหว้บูชา
เปรียบเหมือนดอกไม้หลายพันธุ์จากต่างที่ต่างถิ่นกัน แต่เมื่อนำมาจัดวางอย่างดีแล้ว ก็กลายเป็นช่อดอกไม้ที่สวยงาม
ดังนั้นหากเราไม่มีดอกไม้ธูปเทียน แต่เมื่อเรากราบไหว้บูชาแล้ว กาย วาจา ใจระลึกถึงคุณความดีของพระรัตนตรัย
ก็ย่อมมีผลมีประโยชน์มากกว่าการจุดธูปจุดเทียนไหว้พระเพื่อขอพรหลายเท่านัก
 
เราเป็นชาวพุทธควรทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่าศาสนาพุทธสอนอะไร
อย่าได้หลงกับมิจฉาทิฐฐิ ต้องเดินไปสู่สัมมาทิฐฐิตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าทรงสอน
เรื่องเครื่องลางของขลังนั้น ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงก็เป็นมิจฉาทิฐฐิ พระพุทธเจ้าไม่ทรงสรรเสริญ
เมื่อเดินเข้าไปแล้วก็ยากที่จะพ้นทุกข์ ได้แต่หลงมัวเมากับความมืดบอดนั้น
แต่ถ้าไม่มีจริงแล้วหลงนับถือ เราจะไม่ได้ชื่อว่าเป็นคนโง่ให้คนเค้าหลอกเอาหรอกหรือ
ตัวพระสงฆ์เองที่ทำน้ำมนต์ ปลุกของขลัง ขายพระเครื่องเองก็ไม่ใช่การปฏิบัติกิจของสงฆ์
เพราะนอกจากจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนให้มอมเมาศาสนิกชนอีกด้วย
จะอ้างว่าเงินปัจจัยที่ได้นั้นเอามาสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างโรงเรียน ทำแล้วเกิดประโยชน์ก็ไม่ควร
เพราะนี่หมายความว่า แม้แต่พระก็ยังหลงอยู่กับตัวเงิน ไม่สร้างคน สร้างปัญญา แต่กลับสร้างเอาวัตถุสิ่งของ
เงินที่ได้มาจากการหลอกลวง ได้มาจากความโง่ความหลงของคน จะยังประโยชน์อะไรแก่พระศาสนาได้
แม้แต่พระพุทธองค์ก็ยังทรงปฏิเสธที่จะรับปัจจัยที่ได้จากการกระทำนั้นเช่นกัน
เราทุกคนเมื่อได้มีโอกาสรู้จักพระพุทธศาสนาแล้ว ก็อย่าได้ใกล้เกลือกินด่าง
พระธรรมที่พระพุทธองค์ทรงสอนเปรียบเหมือนเพชรไม่ยอมศึกษาเรียนรู้
แต่ไปคว้าเอาสิ่งก้อนดินก้อนหินมาถือมาแบกเอาไว้ด้วยเข้าใจว่าเป็นสิ่งมีค่า

http://devilcupid.spaces.live.com/default.aspx






IP : บันทึกการเข้า
ร้อยป่า
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,864



« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 29 สิงหาคม 2014, 07:55:51 »

พระพุทธรูป ในมุมมองของท่านพระพุทธทาส



"อาจารย์ขาก้อนศิลาบ้านข้าเจ้า
ลุกขึ้นเต้นเร่าเร่าน่าเลื่อมใส
ทำพุทธรูปกันเถิดหนาเลิศกว่าใคร
"เออ, ทำได้ " แน่หนาท่านอาจารย์

"ถ้าอย่างนั้นไม่ได้แล้วไม่ได้แน่
เหตุว่าแกสงสัยไม่ฉาดฉาน
ขืนทำไปไม่มั่นมันป่วยการ
พุทธรูปตายด้านเพราะลังเล

ถ้าในใจเชื่อมั่นมันก็ได้
ถ้าในใจสงสัยมันก็เขว
เป็นพุทธจริงตรงที่ใจไม่เกเร
มันไหลเทออกจากใจข้างในเรา

พุทธะจริงข้างในมีดีอยู่แล้ว
พุทธรูปหินหรือแก้วมักพาเขลา
มีพุทธจริงแล้วจะวิ่งเที่ยวหาเอา
อะไรเล่ามาหมอบไหว้ให้ยุ่งเอย ฯ"


ถ้าเชื่อ ก้อนดินก็เป็นพระพุทธรูปได้ ! แต่พระพุทธรูปชนิดนี้ยังเป็นของภายนอกเกินไป.
ส่วนพระพุทธเจ้าแท้จริง อยู่ที่ใจที่หมดสงสัยลังเลต่อชีวิตแล้ว
พระพุทธรูปภายนอกนั้นพาให้ลังเล. ถ้าพบ "พระ" ในใจแล้ว "พระ" นั้นคุ้มครองในทุกแห่งหน.


ฟังคำอธิบายเพิ่มเติมจากท่านพระพุทธทาส:
http://www.youtube.com/watch?v=LpS-wywKWL8

ที่มา:
http://www.buddhadasa.org/html/life-work/theatre/jit_to_jit/08.html


* image.jpg (52.91 KB, 419x457 - ดู 157 ครั้ง.)

* image.jpg (122.18 KB, 720x540 - ดู 133 ครั้ง.)

* image.jpg (170.86 KB, 650x945 - ดู 183 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
ร้อยป่า
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,864



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 29 สิงหาคม 2014, 08:06:50 »

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่โบสถ์เก่าแก่ ในจังหวัดจันทบุรี โดยวัดนี้ได้เคยมีเจ้าอาวาสที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ชื่อว่าหลวงพ่อขุน โดยหลวงพ่อขุนเป็นพระที่รักษาวินัยสงฆ์อย่างเคร่งครัด
โดยเมื่อก่อนถ้ามีพระหรือเณรที่ไม่รักษาศีล และปฏิบัติไปในทางที่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมเสียแล้วละก็ หลวงพ่อขุนจะเข้าฝัน พระและเณร องค์นั่น ๆ ว่าถ้าไม่สามารถรักษาศีลและปฏิบัติดีได้ก็ขอให้สึกจากเพศบรรพชิตไปซะ อย่าได้มาทำให้เพศบรรพชิตต้องเสียหายเลย ทำเอาพระและเณรที่ได้พบเจอหลวงพ่อขุน ต่างไม่กล้าทำผิดศีลผิดธรรมอีกต่อไป
ล่าสุดมีพระธุดงค์เดินทางมาจากพัทลุง มาพำนักพักพิงอยู่ที่วัดแห่งนี้ และได้ขออนุญาตเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันเข้าไปทำสมาธิที่โบสถ์เก่าของวัด เมื่อถึงเวลาพระธุดงค์ก็ได้เข้าสู่สมาธิ แต่เมื่อได้เข้าสู่สมาธิไปซักพักก็ได้ยินเสียงเหมือใครมาพับเสื่ออยู่ข้างหน้า จึงเกิดความสงสัยได้ลืมตาดูแต่ไม่พบใคร เมื่อถึงตอนเช้าจึงเล่าให้เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันฟัง เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันท่านบอกว่า หลวงพ่อขุน เป็นพระนักปฏิบัติท่านชอบนั่งสมาธิและนั่งที่โบสถ์ตรงที่เดียวกับที่พระธุดงค์นั่งเมื่อคืนนี้ เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบันยังบอกว่าหลวงพ่อขุนคงมาทักทายพระธุดงค์ละมั้ง


* image.jpg (40.84 KB, 492x353 - ดู 175 ครั้ง.)
IP : บันทึกการเข้า
naylex
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,993



« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 29 สิงหาคม 2014, 16:49:48 »

การกราบไหว้ หิน ดิน ทราย ที่นำมาก่อเป็นพระพุทธรูปนั้น
ไม่ได้เป็นการกระทำของคนเขลา เพียงอย่างเดียว
ผู้มีปัญญาก็กราบได้


เห็นคนกราบพระพุทธรูปอยู่ ภายนอกมีใครบอกได้ว่า
คนผู้นั้นกราบเพราะอวิชชา หรือ กราบด้วยปัญญา.....

เชื่อว่าพระพุทธรูป ถูกสร้างขึ้นภายหลังที่พระพุทธเจ้าทรงดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว๖๐๐ ปี
มาจากลัทธิเทวนิยมของโรมัน หรือไม่ก็อียิป
พระพุทธรูปไม่ใช่ พุทธะ (ความรู้ ความตื่น ความเบิกบาน)

ทั้งยังไม่ใช่แก่นของ พุทธะ
พุทธะ เป็น สภาวของจิต เกิดขึ้นที่ จิต
ผู้จะเห็นพุทธะ จะต้องฝึกปฏิบัติ เชื่อว่าต้องปฏิบัติกรรมฐาน และเป็นวิปัสสนากรรมฐาน
ผู้กราบไหว้พระพุทธรูปทุกเช้าค่ำ ไม่มีทางเห็นพุทธะ หากผู้นั้นกราบด้วยอวิชชา คือความไม่รู้
กราบด้วยความสงสัย เห็นแต่รูปหิน ดิน ทราย เบื้องหน้า
แต่ไม่เห็นพุทธะภายใน

คนกราบพระ ปล่อยเขากราบไปเถอะครับ อย่างน้อยก็แสดงถึงศรัทธา มีศรัทธา ก็ฝึกให้เกิดปัญญาภายหลังได้

เว้นแต่พวกเดรัจฉานวิชา กราบพระพุทธรูปไปก็เท่านั้น....
 ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ



IP : บันทึกการเข้า

ปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดั่งใจจง
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 31 สิงหาคม 2014, 04:01:56 »

ไหว้สา พระธัมมวินัย  สายบุญ

พุทธบริษัท คือ  ผู้ยอมรับ นับถือ ใน พระพุทธเจ้า  อันประกอบด้วย คนวัด กับ คนบ้าน คือได้แก่ ภิกษุ สามเณร ภิกษุณี  สามเณรี อุบาสก  อุบาสิกา

ไตรสรณคมณะ  ไตสรณคมณ์ สามสิ่งสูงสุดอันเป็นที่พึ่งในพระพุทธศาสนา มี  พระพุทธเจ้า  พระธัมมวินัย  และ  พระสงฆ์

พระสงฆ์ ท่านหมายเอา  พระอรหัตบุคคล ผู้หมดกิเลส  พระพุทธะท่านยังไม่ได้ให้เหมาเอา พระอริยบุคคลต่ำกว่าอรหันตบุคคล ไว้ในรัตนสามอันสูงสุด ของ ชาวพุทธบริษัท เลยเสียด้วยซ้ำ        จงจำไว้ 

ทว่า  คนในบริษัทของท่านทำตนเป็น  อริสัตรู กับ พระองคเจ้า  อาจตกอยู่ในอำนาจมาร  กิเลสมาร  เทพบุตรมาร ด้วยเหตุใดก็ตามแต่  มักหักล้างคำสั่งสอน ของ  พระพุทธเจ้า  โดย ที่รู้ก็ตาม  ไม่รู้ก็ตาม

คนในศาสนาอื่น  เขาพูดประมาณว่า คนไทย ที่ นับถือศาสนพุทธ จริง ๆ มีถึง 5 เปอร์เซนต์ไหม ?  
บางสิ่ง ที่มีผู้มาอ้างว่า มีมาในคำกล่าวตรัส ของ พระพุทธเจ้า  เขายังแนะนำให้ผมถามเขาว่า  มีอยู่ในพระไตรปิฏกตอนไหน  บทใด  เล่มใด ?

บุคคลดังกล่าว มีตัวตนอยู่จริง  คนหนึ่ง ชื่อ นายสุไอนี  เพียรดี  คนสอง เป็น บาทหลวง เอกชัย  โสรัจจกิจ  หนานธงไม่ได้แต่งเรื่องเอาเอง

คนศาสนิกอื่น เขาก็ห่วงพุทธศาสนิกชน คนร่วมชาติ แต่ ต่างศาสนา      ก็คงเหมือน ๆ กับ คนบ้าน ห่วงคนวัด คนร่วมศาสนา แต่  ต่างสภาวะ สถานภาพ


มาร  ซาตาน  ไชตอน ทำงานเพื่อ เบื้องล่าง        พระเจ้า  พระศาสดาเจ้า  ทำงานเพื่อ  เบื้องบน จนถึงพ้นเหนือโลก      เราจะเป็นแบบใหน ก็ตามแบบที่เราทำ  เราเลือกทำ







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 31 สิงหาคม 2014, 04:04:33 โดย nantong » IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!