ขอบคุณ ข้อมูลจาก มูลนิธิกระจกเงา
http://akha.hilltribe.org/thai/มิดะ ตราบาปที่ให้ไว้กับคนอ่าข่า
" บนฟ้ามีเมฆลอย บนดอยมีเมฆบัง มีสาวงามชื่อดัง อยู่หลังแดนดงป่า มีกะลาล่าเซอ มีหนุ่ม ๆ เผลอฮ้องหา มีสาวงามขึ้นมา แล้วมี มิดะ.."
นี่คือบทเพลงหนึ่งของ จรัล มโนเพชร ที่โด่งดังกึกก้องไปทั่วเมื่อหลายสิบปีก่อน จนถึงปัจจุบันบทเพลงก็ยังเป็นที่นิยม หากแต่บทเพลงที่โด่งดังนี้ ได้สร้างตราบาปให้กับผู้หญิงชนเผ่าอ่าข่าแสนสาหัส เวลาเดินทางไปที่ต่าง ๆ ก็มักจะถูกคนในสังคมถามเสมอว่า “ ทำไม คนอ่าข่าถึงมีความเสรีเรื่องเซ็กซ์ ไม่ถือตัว สามารถมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวได้ก่อนแต่งงาน ” จากคำถามของสังคมเหล่านี้เป็นเหตุทำให้เยาวชนอ่าข่าบางคนไม่กล้าที่เปิดเผย ตัวตนเพราะอาย เขาไม่ยอมรับกับสิ่งที่สังคมหยิบยื่นและสร้างให้พวกเขา เขาอยากตะโกนบอกกับสังคมว่าเขาไม่ได้เป็นแบบที่คนในสังคมส่วนใหญ่เข้าใจ แต่สังคมก็ไม่เคยได้ให้โอกาสกับพวกเขา ไม่เคยยอมฟังหรือค้นหาความจริงที่แฝงอยู่ในท่วงทำนองเพลง หรือแม้นว่าพวกเขาจะมีโอกาสในการบอกเล่าเรื่องราวความเป็นจริง แต่คนในสังคมกลับมองว่า พวกเขาไม่ยอมรับความจริงที่เคยเกิดขึ้นในอดีต ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นคงไม่มีใครตอบได้ดีกว่าคนอ่าข่า ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของวัฒนธรรม และผู้ซึ่งตกเป็นจำเลยของสังคม
“ มิดะ ” เพลงของ จรัล มโนเพชร หากฟังแค่เพียงดนตรี เพื่อความสนุกสนานโดยไม่ได้ซึมซับถึงเนื้อหาของเพลง ก็เป็นเพลงที่ฟังแล้วไพเราะ สนุกสนาน แต่หากได้ฟังถึงเนื้อหาของเพลงอย่างจริงจังแล้ว เพลงนี้กลับไม่ได้สวยงามหรือสนุกอย่างที่คิด โดยเฉพาะกับพี่น้องอ่าข่า เพราะสิ่งที่กล่าวไว้ในบทเพลงคือสิ่งที่เป็นตราบาปให้พี่พี่น้องชนเผ่าอ่า ข่า พี่น้องผู้ซึ่งไม่ได้เป็นอย่างที่กล่าวไว้ในบทเพลง พี่น้องอ่าข่าคือชนเผ่าหนึ่งที่มีการให้เกียรติกันในทุกกรณี ผู้น้อยให้เกียรติผู้ใหญ่, ผู้ชายให้เกียรติผู้หญิง โดยเราจะเห็นได้จากเวลาที่มีการประกอบพิธีกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง คนที่มีหน้าที่ทำอาหารจะมีการชิมรสชาติอาหารก่อนและจะไม่กินจนกว่าจะให้ผู้ เฒ่าผู้แก่กินก่อน แล้วค่อยกินทีหลัง นี่เป็นแค่เพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้นในการให้เกียรติและความเคารพซึ่งกัน และกันของคนชนเผ่าอ่าข่า
เนื้อหาในเพลงให้นิยามเกี่ยวกับมิดะ ว่าตำแหน่งที่ขึ้นชื่อในชนเผ่าอ่าข่าในเรื่องการสอนเรื่องบนเตียง( การมีเพศสัมพันธ์)ให้กับชายหนุ่มที่ยังบริสุทธิ์ ชายหนุ่มที่จะแต่งงานต้องได้รับการสอนจาก มิดะ ให้รู้จักการปรนนิบัติมอบความสุขให้กับคนรักจากผู้หญิง หรือภรรยาคู่ชีวิตของตนต่อไป ถือว่าเป็นการเรียนรู้ขั้นพื้นฐาน นี่คือสิ่งที่สังคมใจเข้าใจมาโดยตลอด
มิดะ หมายถึงอะไร....หมายความอย่างที่สังคมเข้าใจหรือเปล่านั้น คงไม่มีใครตอบได้ดีกว่าคนอ่าข่า ผู้เขียนคิดว่า
มิดะที่สังคมเข้าใจ คงจะหมายถึง “ หมี่ดะ ” ที่มีในสังคมของอ่าข่า เพราะว่า “ หมี่ดะ ” คือคำที่ใช้เรียกผู้หญิงอ่าข่าที่ยังไม่ได้แต่งงาน เราลองมาทำความเข้าใจและรู้จักผู้หญิงอ่าข่ากันดีกว่า
อ่าข่าได้แบ่งผู้หญิง ออกเป็น 4 ช่วงของชีวิต ช่วงแรก เรียกว่า “ อ่าบู๊หญ่า ” แปลว่า เด็กน้อย ซึ่งเด็กน้อยนี้มีอายุตั้งแต่เกิดจนถึง 13 ปี ส่วนเด็กอายุตั้งแต่ 13 ปีถึง 18 ปี เรียกว่า “ หมี่ เตอ เตอ จ๊อ ” แปลว่า เข้าสู่วัยสาว และเมื่อเข้าสู่อายุตั้งแต่ 18 ปีถึง 25 ปี เรียกว่า “ จ๊อมา หมี่ โล้ ” แปลว่าหญิงสาวที่พร้อมจะออกเรือนแล้ว และหากหญิงที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป อ่าข่าเรียกว่า “ หมี่ ดะ ดะ โอ้ว ” หรือ “ หมี่ ดะ ช้อ หม่อ ” แปลว่าสาวแก่ สัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงช่วงอายุดูได้จากการแต่งกาย เช่น หมวก คำเหล่านี้คือคำที่ชาวอ่าข่าใช้เรียกกับผู้หญิง หากแต่ปัจจุบัน เมื่อชาวอ่าข่าเจอผู้หญิงสาวก็มักจะเรียกว่า “ หมี่ดะ ” ตลอด ถึงแม้นว่าจะเรียกแบบนี้ก็ไม่ผิดเพราะมีความหมายถึงหญิงสาวที่ยังไม่ได้แต่ง งานเหมือนกัน ในส่วนของผู้ชายอ่าข่า สามารถแบ่งได้เป็น 2 ช่วง คือช่วงแรกตั้งแต่เกิด จนถึงอายุ 13 ปี เรียกว่า “ อ่าลี หญ่า ” แปลว่าเด็กชาย และ หลังจาก 13 ปีขึ้นไป เรียกว่า “ ห่า เจ๊ หญ่า โย ” แปลว่าเป็นผู้ชายเต็มตัว พร้อมที่จะมีเหย้ามีเรือนแล้ว สิ่งเหล่านี้คือความจริงที่สามารถพบเจอได้ในสังคมของอ่าข่า
หาก มีคนภายนอกเข้าไปในหมู่บ้านอ่าข่า คำถามที่ชนเผ่าอ่าข่าไม่อยากได้ ยิน และไม่อยากให้มีคนถามคือ “ บ้านนี่มี “ มิดะ ” หรือเปล่า ” “ อยากกอด “ มิดะ ” จัง ” และเมื่อเขาไม่เจอ “ มิดะ ” เหมือนกับในบทเพลงของจรัล ก็จะเกิดการตั้งคำถามขึ้นว่าว่าหมู่บ้านนี้เป็นอ่าข่าจริงๆหรือเปล่า เนื่องจากไม่มี มิดะ คล้ายกับว่า “ มิดะ ” เป็นตัวแทนของของหญิงสาวชาวอ่าข่าในการสอนชายหนุ่มที่ยังบริสุทธิ์ในเรื่อง ของเพศสัมพันธ์ ผู้เขียนก็ได้อธิบายถึงความหมายของคำว่า “ มิดะ ” กับผู้ที่เข้ามาเยือนหมู่บ้านอ่าข่าในเรื่องของความเป็นจริง นอกจากนั้นก็ได้บอกเล่าเรื่องราวความเป็นจริงเกี่ยวกับมิดะว่า คนอ่าข่ามีแต่ “ หมี่ดะ ” ผู้ซึ่งยังไม่เคยแต่งงานมาก่อน หรือยังครองความโสดไว้อยู่ เนื่องจากพวกคนจากสังคมภายนอกได้รับรู้ข้อมูลด้านเดียวจากบทเพลงของ จรัล มโนเพชรและจากคำบอกเล่าต่าง ๆ แต่ไม่เคยได้รับรู้มูลหรือเรื่องราวจริงจากปากของคนอ่าข่าโดยตรง ทำให้คนจากภายนอกคิดไปว่าหมู่บ้านอ่าข่ามี “ มิดะ ” เหมือนในบทเพลงจริงๆ
หากคนภายนอกได้เข้าไปเยือนหมู่บ้านอ่า ข่าที่ยังมีการนับถือดั้งเดิมอยู่ ก็จะได้สัมผัสกับวิถีการร้องรำทำเพลงในลานที่มีชื่อว่า “ แดห่อง ” ซึ่งแปลได้ว่า ลานกว้าง หรือหากจะเรียกว่า ลานวัฒนธรรมก็ถูกต้องที่สุด เพราะโดยเจตนาในการสร้างสถานที่นี้ขึ้นมาเพื่อเป็นสถานที่ร่วมถ่ายทอดและ เรียนรู้ แลกเปลี่ยนเรื่องราวทางวัฒนธรรมของคนอ่าข่า ไม่ว่าจะเป็นการร้องเพลงโต้ตอบกัน, การเล่านิทาน หนุ่มสาวเมื่อกลับมาจากไร่สวนก็จะมาเจอกันที่ลานแห่งนี้ เพราะลานแห่งนี้เปรียบเสมือนชีวิตและจิตใจของพวกเขา เขาจะได้มาเจอเพื่อนๆ ได้มาร่วมขับกล่อมบทเพลงอ่าข่า นอกจากนั้นสถานที่แห่งนี้จะไม่มีการกระทำการใดที่เป็นการล่วงเกินหรือเป็น การไม่ให้เกียรติกับผู้หญิง ชาวอ่าข่าจะให้เกียรติกับสถานที่แห่งนี้อย่างมาก เนื่องจากสถานที่แห่งนี้คือ ศาสนสถานที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของชาวอ่าข่า
สิ่งที่ผู้เขียนอยากบอกคือ เรื่องเพศหรือความสัมพันธ์กันนั้นในกลุ่มชนเผ่าอ่าข่าก็เป็นเรื่องธรรมชาติ ซึ่งก็เหมือนกับคนทุกกลุ่มในสังคมนั่นเอง แต่อ่าข่าก็ให้เกียรติกับผู้หญิง หากชายอ่าข่าจะจีหญิงสาวชาวอ่าข่าต้องเข้าประตูทางหลังบ้านและต้องมีพ่อแม่ ร่วมพูดคุยด้วย หรือบางคนหากไม่กล้าเข้าไปก็จะใช้วิธีเป่าขลุ่ย หรือ ดีดจิ๊งหน่อง เพื่อเป็นสัญญาณบอกว่าคนรักกำลังเฝ้าอยู่ข้างนอกให้ออกมาพบด้วย ผู้เฒ่าผู้แก่มักจะเล่าว่า ผู้หญิงเวลาจะเลือกผู้ชายใดมาเป็นคู่ครองมักจะจับมือแล้วลูบดูว่า มีเนื้อแข็งๆที่ฝ่ามือหรือไม่เพราะเป็นการแสดงว่าชายคนนั้นทำงานหนัก สามารถทำงาน หาเลี้ยงดูละให้ความคุ้มครองหญิงคนนั้นได้ เพราะเขาเคยลำบากมาก่อน และทำงานจับมีด ถือจอบเป็น
ผู้เขียนอยากบอกกับทุกๆคน เวลามีเรื่องราวอะไรก็ตามที่อยากรู้ อยากเห็น ให้เข้าไปติดต่อหรือสอบถามจากผู้รู้ในชุมชนหรือคนที่เป็นเจ้าของเรื่องราว ที่เราต้องการรู้ข้อมูลก่อนเพราะหากคุณเข้าไม่ถึงผู้รู้จริงๆ คุณอาจไม่ได้สิ่งที่คุณต้องการ หรือว่าอาจได้ แต่ข้อมูลคาดเคลื่อน ไม่ตรงกับความเป็นจริง ดังนั้นผู้เขียนจึงอยากย้ำเรื่องนี้ว่า หากอยากได้ข้อมูลที่เป็นจริง เราต้องเข้าถึงแหล่งข้อมูล นั่นคือผู้รู้ที่สามารถจะบอกกล่าวและให้ข้อมูลกับคุณได้อย่างละเอียด หากมีปัญหาเรื่องการสื่อสารก็ต้องให้คนที่รู้และสามารถแปลข้อมูลเหล่านั้น ได้มาช่วย อีกเรื่องที่ผู้เขียนอยากจะบอกให้กับคนที่จะนำข้อมูลต่าง ๆ ออกเผยแพร่นั้นต้องนำกลับมาให้ชุมชนหรือผู้รู้มีส่วนในการตรวจสอบว่าข้อมูล ที่ได้ไปถูกต้องหรือไม่ เพราะบางครั้งอาจทำให้วัฒนธรรมดีๆ หรือเรื่องราวที่มีดำรงมาอย่างสวยงาม ต้องมีตราบาปที่ เป็นมลทินให้กับเขาเหล่านั้นก็เป็นได้ แม้จะเป็นแค่เพียงการขีดเขียนตัวหนังสือขึ้นมาแล้วนำไปเผยแพร่ออก คุณอาจสร้างให้เขามีตราบาป ซึ่งก็ไม่สามารถที่จะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงข้อมูที่พวกเขารับรู้มาตั้งแต่แรก เริ่มได้แล้ว เหมือนกับที่พี่น้องอ่าข่าเป็นต้องพบเจออยู่ทุกวันนี้ เราพยายามบอกต่อสังคมภายนอกว่าอ่าข่าไม่มีตำแหน่งที่ชื่อ “ มิดะ ” แต่ว่าสังคมภายนอกไม่เชื่อ เนืองจากข้อมูลที่เรารับรุ้มาก่อนหน้านี้นั้นบอกว่าอ่าข่าเคยมีและเคยเป็น “ มิดะ ” เพียงแต่คนรุ่นหลังไม่รู้ข้อมูลเท่านั้น นี่เป็นความคิดและความรู้สึกของคนในสังคมภายนอก เมื่อเกิดเรื่องราวต่าง ๆ ขึ้นมา คนอ่าข่ารุ่นใหม่ออกมาบอกเล่าเรื่องราวที่แท้จริงก็จะถูกว่าเป็นการแก้ตัว ไม่รู้ข้อมูลที่แท้จริง นี่ไงคือสังคมที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว สังคมที่ไม่ให้โอกาสในการอธิบายถึงสิ่งที่เป็นความจริง สังคมที่ไม่ได้คำนึงถึงจิตใจของผู้ถูกกล่าวหา ว่าเขาต้องอยู่อย่างหลบๆซ่อนๆ เขาต้องลำบากขนาดไหนกว่าที่จะมาสร้างความเข้าใจให้เกิดขึ้นกับสังคมอีกครั้ง เพียงเพราะคำไม่กี่คำที่คุณได้สร้างไว้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า บทความนี้จะเป็นอุทาหรณ์ให้กับทุกๆคน และหวังว่าสังคมไทยจะให้โอกาสกับชนเผ่าอ่าข่าในการที่จะชี้แจงถึงความเป็น จริง ถึงตัวตน ที่พวกเราคนอ่าข่า เป็นอยู่ทุกวันนี้ และ ทุกๆวัน ตลอดไป