เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 18 เมษายน 2024, 21:14:16
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  รวบรวมข่าวสารที่เกิดขึ้นในเชียงรายเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการพัฒนา
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] 2 พิมพ์
ผู้เขียน รวบรวมข่าวสารที่เกิดขึ้นในเชียงรายเกี่ยวกับการท่องเที่ยวและการพัฒนา  (อ่าน 25882 ครั้ง)
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« เมื่อ: วันที่ 08 มกราคม 2010, 10:11:00 »

ผมจะเอามาลงกระทู้นี้ใครอยารู้ติดตาม ครับ
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
AEK13@กว่างกรุง
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,991


กว่างกรุง


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 08 มกราคม 2010, 13:03:51 »

เอาไซมาดัก
IP : บันทึกการเข้า

วีรบุรุษไซร้ ไร้น้ำตา ร่ำสุราหยาดโลหิตคลุกเคล้า หมื่นพันอดีตกาลแสนเศร้า ยิ้มเยาะเย้ามลายสิ้น กระบี่เดียว
WEBMASTER
เจ้าสำนักใหญ่
Administrator
แฟนพันธ์แท้
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,522

บุคคลทั่วไป


« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 08 มกราคม 2010, 13:18:04 »

รออ่านอยู่ครับ
IP : บันทึกการเข้า

ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ :  https://www.facebook.com/crfocus
oyoyo *^_^*
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,013



« ตอบ #3 เมื่อ: วันที่ 08 มกราคม 2010, 14:40:09 »

รอติดตามด้วยคนครับ..
IP : บันทึกการเข้า

"มนุษย์ใช้เหตุผลทางความคิด
ในการตัดสินว่าอะไรถูกอะไรผิด
ขณะที่ธรรมชาติใช้ความจริงทางจิต
ในการตัดสินว่าอะไรเป็นบุญอะไรเป็นบาป"

วาทะดังตฤณ "ด้วยความเป็นห่วง"
modtanoy
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #4 เมื่อ: วันที่ 08 มกราคม 2010, 15:56:21 »

รออ่านเหมือนกันเจ้า
IP : บันทึกการเข้า
Ck 401
"....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 5,267


...งานหนักไม่เคยฆ่าคน...


« ตอบ #5 เมื่อ: วันที่ 08 มกราคม 2010, 16:10:43 »

 ยิ้ม รอด้วยคนครับ ขยิบตา
IP : บันทึกการเข้า

"....คณะเรา ไม่ยอมให้ด้อยถอยลง ต่ำเราต้องค้ำชูให้สูงจรุงศรี....."
....เมื่อเห็นทุกสิ่งเป็นธรรมดา  ก็ไม่มีอะไรมาทำให้ทุกข์ได้อีก...."
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #6 เมื่อ: วันที่ 08 มกราคม 2010, 20:13:48 »

ไปรษณีย์เชียงรายเตรียมพื้นที่เปิดคลังสินค้ารองรับโลจิสติกส์


8 มค. 2553 19:40 น.


นายไพบูลย์ ศักยาภินันท์ หัวหน้าไปรษณีย์จังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ไปรษณย์จังหวัดเชียงรายเร่งหาพื้นที่ เพื่อสร้างคลังสินค้าไว้รองรับและเก็บสินค้ารวมถึงสิ่งของที่ส่งมาจากประเทศจีน โดยหวังว่าจะสร้างให้เป็นจุดพักสินค้าและรอการกระจายสินค้าไปสู่จังหวัดหรือภูมิภาคอื่นๆต่อไป เบื้องต้นได้ไปหาซื้อที่ดินบริเวณอำเภอเชียงของไว้แล้วราว 5 ไร่ เพื่อใช้เป็นพื้นที่ในการก่อสร้างคลังสินค้าและเป็นจุดพักสินค้า คาดว่าในปี 2554 การก่อสร้างคงแล้วเสร็จ ในขณะนี้ได้เร่งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องรีบดำเนินการก่อสร้าง เพื่อให้ทันก่อนสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 แล้วเสร็จ เพื่อให้มีความพร้อมในการทำงานมากที่สุด และรองรับระบบการขนส่งแบบโลจิสติกส์ที่จะถูกนำมาปรับใช้กับการขนส่งของไปรษณีย์ในอนาคต

ขณะนี้ในเรื่องการขนส่งในระบบโลจิสติกส์เริ่มเข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้น ในระบบการขนส่งของไปรษณีย์ โดยเฉพาะการขนส่งระหว่างประเทศ ดังนั้น ทางไปรษณีย์จังหวัดเชียงรายจึงต้องเร่งสร้างคลังสินค้าเพื่อรองรับการเติบโตดังกล่าว แม้ว่าขณะนี้การขนส่งแบบโลจิสติกส์ยังไม่เข้ามามีบทบาทมากนักในระบบการขนส่งของไปรษณีย์จังหวัดเชียงราย แต่ทั้งนี้ เนื่องจากจังหวัดเชียงรายเป็นพื้นที่ที่เชื่องโยงกับประเทศเพื่อนบ้านและทำการค้าขายกันระหว่างประเทส ดังนั้น การเดินทางและขนส่งจึงมีบทบาทมากในด้านการอำนวยความสะดวกรวดเร็วในการขนส่งสินค้า

สำหรับสินค้าคาดว่าน่าจะมาจากจีนเป็นส่วนใหญ่ที่จะลำเลียงและส่งต่อไปยังพื้นที่ต่างๆของประเทศไทย ซึ่งในอนาคตเองหวังว่าไปรษณีย์จะมีบทบาทในการชักนำเอาระบบโลจิสติกเข้ามาใช้ร่วมกับการทำงานในระบบของไปรษณีย์ไทยเพิ่มขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มทางเลือกที่หลากหลายยิ่งขึ้นให้กับผู้ใช้บริการไปรษณีย์ไทยต่อไป

http://breakingnews.nationchannel.co...?newsid=425796
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #7 เมื่อ: วันที่ 08 มกราคม 2010, 20:15:31 »

ดึง 6 ประเทศลุ่มน้ำโขงร่วมงานใหญ่ อลังการงานแสดงสินค้าฯ ที่เชียงราย

ททท.7 ม.ค.- จ.เชียงรายร่วมกับหลายหน่วยงาน จัดงาน “อลังการงานแสดงสินค้า และวัฒนธรรมสัมพันธ์ลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 15” สร้างภาพลักษณ์ใหม่ เชิญศิลปินนักแสดงวัฒนธรรมจาก 6 ประเทศ เข้าร่วมงาน เพื่อสืบสานวัฒนธรรมล้ำค่าของกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง สานสายสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นมากขึ้น และตอกย้ำเชียงรายเป็นประตูสู่ประเทศลุ่มน้ำโขง ตั้งเป้าผู้เข้าร่วมชมงาน ตลอด 8 วันกว่า 200,000 คน

นายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย กล่าวว่า จังหวัดเชียงรายและเทศบาลนครเชียงราย โดยความร่วมมือของคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ กำหนดจัดงาน “อลังการงานแสดงสินค้า และวัฒนธรรมสัมพันธ์ลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 15 หรือ Thailand GMS Trade Fair & Cultural Show 2010” ระหว่างวันที่ 16 - 23 มกราคมนี้ ณ สนามบินทหารอากาศฝูงบิน 416 (สนามบินเก่า) จังหวัดเชียงราย เพื่อสืบสาน เผยแพร่ และสร้างความเข้มแข็งให้แก่วัฒนธรรมล้านนา และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขง ในการสานสัมพันธ์ไมตรีทางสังคมและวัฒนธรรมระหว่างกันให้ยั่งยืน รวมถึงส่งเสริมการท่องเที่ยวจังหวัดเชียงราย ตลอดจนส่งเสริมให้เชียงราย เป็นประตูทางการค้า การท่องเที่ยว การขนส่ง และโลจิสติกส์ เชื่อมโยงกับกลุ่มประเทศ GMS และ BIMSTEC โดยมีพิธีเปิดงานในวันที่ 16 มกราคม มี นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานเปิดงาน การจัดงานครั้งนี้ตั้งเป้าหมายผู้ร่วมงาน 200,000 คน ตลอดระยะเวลา 8 วัน 8 คืน

กิจกรรมประกอบด้วย 1.) การแสดงวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขง 6 ประเทศ 2.) การแสดงสินค้าจาก 6 ประเทศลุ่มน้ำโขง 400 คูหา 3.) การจัดกาดหมั้วจำลองวิถีชีวิตของชาวล้านนา 4.) การจัดนิทรรศการลุ่มน้ำโขง 5.) การบริการอาหาร-เครื่องดื่มจากการประสานงานของชมรมภัตตาคารและร้านอาหารจังหวัดเชียงราย และ 6.) ลานชมมินิคอนเสิร์ต จากศิลปินที่มีชื่อเสียงระดับประเทศ เพื่อสร้างความบันเทิงแก่ผู้มาร่วมชมงานเป็นประจำทุกคืน สลับกับการแสดงวัฒนธรรม ส่วนการจัดสัมมนาทางเศรษฐกิจ และการจับคู่เจรจาธุรกิจ จะจัด ณ โรงแรมดุสิตไอร์แลนด์ รีสอร์ท ในวันที่ 15 มกราคม

“จากการเดินทางไป Road Show กับประเทศภาคีสมาชิก ได้แก่ นครคุนหมิง - สิบสองปันนา สาธารณรัฐประชาชนจีน, กรุงเวียงจันทน์ สปป.ลาว, กรุงฮานอย เวียดนาม และกรุงย่างกุ้งสหภาพพม่า แต่ละประเทศให้ความสนใจกับการจัดงานครั้งนี้สูงมาก ทุกประเทศตอบรับตกลงที่จะมาร่วมงาน โดยนำสินค้ามาร่วมแสดง พร้อมทั้งส่งศิลปินนักแสดงด้านวัฒนธรรมมาร่วมแลกเปลี่ยน การจัดงานครั้งนี้จึงถือเป็นมิติใหม่ และนิมิตหมายที่ดีต่อการสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นและยาวนาน ซึ่งจะส่งผลดีต่อทางเศรษฐกิจ และสังคมระหว่างกันในที่สุด และโดยเฉพาะจังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นประตูสู่กลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงในอนาคต” ผู้ว่าฯเชียงราย กล่าว .- สำนักข่าวไทย

http://news.mcot.net/social/inside.p...ZudHlwZT10ZXh0

IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #8 เมื่อ: วันที่ 08 มกราคม 2010, 20:26:53 »

จากการที่ประเทศไทยมีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้านถึง 4 ประเทศ คือ พม่า สปป.ลาว กัมพูชา และมาเลเซีย แถมมีเส้นทางเชื่อมต่อยังจีนตอนใต้

ทำให้การค้าชายแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน มีมูลค่าถึงกว่าปีละ 6-7 แสนล้านบาท ส่งผลให้การค้าชายแดนกลายเป็นเส้นเลือดหลักอีกเส้นหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ แม้ปีที่ผ่านมา(2552) จะมีมูลค่าลดลงราว 13% อันเป็นผลพวงจากภาวะเศรษฐกิจ และปัจจัยอื่น อาทิ บรรยากาศทางการเมืองระหว่างไทย-กัมพูชา แต่ก็ยังมีมูลค่ารวมถึง 6.5 แสนล้านบาท แต่เมื่อเทียบกับปี 2551 ที่มีมูลค่าการค้ารวมถึงกว่า 7 แสนล้านบาทแล้ว มีมูลค่าลดลง อย่างไรก็ตามในปี 2553 หลายฝ่ายเชื่อว่า การค้าชายแดนในปีนี้ จะมีการเติบโตในทิศทางที่ดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา จนถึงขนาดหน่วยงานภาครัฐออกมาระบุว่า มีแนวโน้มขยายมูลค่าขึ้นถึงระดับ 1 ล้านล้านบาทในอนาคตอันใกล้
ทั้งนี้การค้าชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน แยกได้เป็น ไทย -พม่า มีด่านศุลกากร 7 ด่าน คือ แม่สอด-แม่สาย-ระนอง-สังขะบุรี-แม่สะเรียง-แม่ฮ่องสอน และเชียงดาว ไทย-มาเลเซีย มีด่านศุลกากร 10 ด่าน คือ สงขลา-สะเดา-ปาดังเปซาร์-ปัตตานี-ตากใบ-สุไหงโก-ลก- เบตง- กันตัง-วังประจัน และด่านสตูล ไทย-กัมพูชา มี 4 ด่าน คือ ช่องจอม-อรัญประเทศ-คลองใหญ่ และจันทบุรี และสุดท้ายด่านไทย-ลาว มี 11 ด่าน คือ เชียงแสน-เชียงของ-เชียงคาน-ท่าลี่-หนองคาย-บึงกาฬ-นครพนม-เขมราฐ-มุกดาหาร-พิบูลมังสาหาร และด่านทุ่งช้าง
พาณิชย์เล็งตั้งศูนย์ประสานงานค้าชายแดน
นายบรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาการค้าชายแดนสร้างรายได้ให้ประเทศไทยปีละ 6-7 แสนล้านบาท โดยในส่วนของการค้ากับสปป.ลาวมีการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีมูลค่าการค้าชายแดนกว่าปีละ 5.7 หมื่นล้านบาท ถือเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญกับประชาชนในพื้นที่ โดยเฉพาะสปป.ลาวมีความผูกพันกันในหลายมิติมานาน รัฐบาลจึงมุ่งเน้นการส่งเสริมการค้าชายแดนเพิ่มขึ้น โดยมีแนวคิดในการตั้งศูนย์ประสานงานการแก้ไขปัญหาและรับเรื่องร้องเรียนการค้าชายแดน เพื่อติดตามความเคลื่อนไหวของการค้าชายแดน อำนวยความสะดวกให้กับการค้าปกติ และรองรับการเปิดเสรีสินค้าเกษตรภายในอาฟต้า
ด้านนายวิจักร วิเศษน้อย อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า กระทรวงพาณิชย์มีเป้าหมายขยายการค้าในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า สปป.ลาว และกัมพูชา โดยในส่วนกัมพูชาได้กำหนดให้จังหวัดศรีสะเกษเป็นประตูนำร่องการค้าระหว่างไทยกับกัมพูชา ขณะที่การค้ากับสปป.ลาว จังหวัดอุดรธานีจะเป็นประตูการค้า เพราะมีพื้นที่เหมาะสมต่อการทำการค้า ส่วนไทยกับพม่า กำลังพิจารณาจังหวัดที่เหมาะสม
อย่างไรก็ตามแม้ว่าการค้าชายแดนกับ 4 ประเทศเพื่อนบ้าน ในปี 2551 จะมีมูลค่ากว่า 7 แสนล้านบาท แต่ในปี 2552 จากปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้มูลค่าการค้าชายแดนลดลง 13% หรือมีมูลค่าประมาณ 6.5 แสนล้านบาท แต่ในปี 2553 เชื่อว่าจะมีมูลค่า 7.2 แสนล้านบาท ขยายตัวในอัตรา 14-15% และภายใน 3 ปี หลังจากจัดระบบการค้าและภายในกรอบการเปิดเสรีอาฟต้า น่าจะทำให้มูลค่าการค้าชายแดนเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1 ล้านล้านบาท


+++ค้าชายแดนเชียงรายโตต่อเนื่อง


เมื่อกล่าวถึงเรื่องของการค้าชายแดน เชียงราย จังหวัดเหนือสุดยอดในสยาม มีความได้เปรียบชายแดนทางด้านอื่นๆ เนื่องจากเชียงรายมีชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน 2 ประเทศ คือ พม่าและสปป.ลาว แต่ที่สำคัญที่สุด เชียงรายมีเส้นทางการคมนาคมที่เชื่อมโยงกับจีนตอนใต้ได้
การมีเส้นทางเชื่อมโยงกับจีนตอนใต้ทั้งทางบกและทางน้ำนับว่าเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้การค้าชายแดนของจังหวัดเชียงรายก้าวกระโดดจากระดับพันล้านบาทกลายมาเป็นระดับหมื่นล้านบาท และกำลังก้าวกระโดดไต่ระดับไปถึง 2 หมื่นล้านบาทในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้
การเชื่อมโยงระหว่างเชียงรายกับจีนตอนใต้ทางบก ปัจจุบันเส้นทาง R3a(ไทย-สปป.ลาว-จีน) กำลังมีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ และถ้าสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ซึ่งจะเชื่อมกับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ซึ่งคาดว่าต้นปี 2553 นี้ จะเริ่มทำการตอกเสาเข็ม หากว่าเสร็จเมื่อไหร่ เส้นทาง R3a ก็จะมีความสำคัญมากขึ้น

ส่วนทางน้ำ วันนี้กองเรือพาณิชยนาวีแม่น้ำโขงถือว่าเป็นสายเลือดใหญ่ ของการค้าชายแดนจังหวัดเชียงราย ว่ากันว่ามูลค่าการค้าไทย-จีนผ่านกองเรือพาณิชยนาวีแม่น้ำโขงนั้นสูงเกิน 60% ของมูลค่าการค้ารวมที่มีอยู่ 15,000 ล้านบาท

จากการตรวจสอบของ"ฐานเศรษฐกิจ"ถึงมูลค่าการค้าชายแดนจังหวัดเชียงรายในรอบปีงบประมาณ 2552 (ตุลาคม 2551 - กันยายน 2552) การค้าชายแดนของจังหวัดเชียงรายผ่านด่านศุลกากรทั้ง 3 แห่งคือด่านศุลกากรแม่สาย, เชียงแสน และด่านศุลกากรเชียงของ พบว่ามีมูลค่าการค้ารวมทั้งสิ้น 13,936.93 ล้านบาท แยกเป็นการนำเข้า 2,539.33 ล้านบาท การส่งออก 11,397.60 ล้านบาท และพบว่ามีการขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับปีงบประมาณ 2551 (ตุลาคม 2550 - กันยายน 2551) มีอัตราการขยายตัวที่น่าพอใจ เนื่องจากว่าในปี งบประมาณ 2551 นั้น มีมูลค่าการค้ารวมเพียง 12,962.30 ล้านบาท โดยแยกเป็นการนำเข้า 2,384.36 ล้านบาท ส่วนการส่งออก 10,577.94 ล้านบาท

นายชูชัย อุดมโภชน์ นายด่านศุลกากรแม่สาย กล่าวว่า มูลค่าการค้าชายแดนรวมของจังหวัดเชียงรายน่าจะโตขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งปีที่ผ่านๆมามีอัตราการขยายขึ้นเฉลี่ยประมาณ 10% ทุกปี เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนหน้านั้น ทั้งนี้ปัจจัยเรื่องเศรษฐกิจโลกหรือเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศจะเป็นอย่างไร การค้าชายแดนที่ตนได้ทำสถิติไว้จะเป็นอย่างนี้ทุกปี

นายบุญธรรม ทิพย์ประสงค์ รองประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงราย ฝ่ายการค้าชายแดน(แม่สาย) และประธานกรรมการหอการค้าอำเภอแม่สาย กล่าวถึงแนวโน้มการค้าชายแดนของเชียงรายในปี 2553 ว่า การค้าอย่างเป็นทางการซึ่งมีการผ่านพิธีการทางศุลกากรตามมาตรฐานสากลนั้น ตนมองว่าตัวเลขมูลค่าการค้าจะไม่หวือหวา และจะค่อยๆ ไต่ระดับขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นไปตามค่าเงินและกำลังบริโภคที่เพิ่มขึ้น

"ยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัดเจน การค้าชายแดนที่แม่สาย หากรวมเอาตัวเลขการเดินทางข้ามไปมาซื้อหาสินค้า คือคนไทยข้ามไปซื้อสินค้าจากท่าขี้เหล็ก และคนในท่าขี้เหล็กข้ามมาซื้อสินค้าในแม่สาย ผมว่ามูลค่าการค้าจะมหาศาลกว่าที่รายงานกันอย่างเป็นทางการแน่นอน แต่ตัวเลขอย่างนี้ไม่สามารถเก็บได้อย่างชัดเจน เป็นตัวเลขที่ใช้ความรู้สึก ใช้สายตาประเมินเอา จึงไม่สามารถนำไปอ้างอิงได้ ที่แม่สายผมประเมินมูลค่าการค้าที่ไม่ได้ผ่านพิธีการทางศุลกากรใน แต่ละปีจะมากกว่าตัวเลขอย่างเป็นทางการอีก 1 เท่าตัวเป็นอย่างต่ำ" นายบุญธรรม กล่าว

ด้านนายประธาน อินทรีย์ยงค์ กรรมการที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดเชียงราย ฝ่ายการค้าชายแดน กรรมการผู้จัดการท่าเรือพาณิชย์ล้านช้าง(สามเหลี่ยมทองคำ) อำเภอเชียงแสน ท่าเรือพาณิชย์เอกชนเพียงแห่งเดียวของจังหวัดเชียงราย เปิดเผยถึงแนวโน้มการขนส่งสินค้าทางเรือในแม่น้ำโขงว่า แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงที่เป็นไปในทิศทางบวกปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน คือ เริ่มมีการต่อเรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่มากขึ้น มีการต่อเรือที่ใช้บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ อย่างไรก็ตามการขนส่งสินค้าทางเรือในแม่น้ำโขงน่าจะยังไม่ขยายตัวแบบก้าวกระโดด เพราะปัจจัยเรื่องของระดับน้ำในแม่น้ำโขงยังไม่สามารถคอนโทรลได้ตลอดทั้งปี จึงเห็นได้ว่าการขนส่งสินค้าประเภทดอกไม้สด ผลไม้สดที่ต้องการความเร็วในเรื่องการขนส่งมากๆ ได้เปลี่ยนไปขนส่งทางบกบนเส้นทาง R3a จนทำให้ปริมาณการนำเข้าและส่งออกสินค้าในกลุ่มนี้ที่เชียงแสนลดลงพอสมควร เชื่อว่าน่าจะมีมูลค่านับพันล้านบาท

"แม้ว่าการก่อสร้างท่าเรือเชียงแสนแห่งที่ 2 จะแล้วเสร็จในปี 2555 แต่ว่าโอกาสที่มูลค่าการค้าทางเรือในแม่น้ำโขงจะเติบโตแบบก้าวกระโดด ไม่น่าเกิดขึ้น มูลค่าการค้าที่จะไต่ระดับไปจนถึง 2 หมื่นล้านบาท ในความเห็นของผม น่าจะต้องใช้ระยะเวลาอีกพอสมควร" กรรมการผู้จัดการท่าเรือพาณิชย์ล้านช้าง...ฟันธง

นายสามารถ ลอยฟ้า ผู้ว่าราชการจังหวัดตาก กล่าวว่า ชายแดนไทย-พม่า แม่สอด-เมียวดี ปัจจุบันมีมูลค่าการค้าราว 23,000-25,000 ล้านบาท สูงที่สุดในทุกด่านการค้าไทย-พม่า ทำให้นักธุรกิจต่างหันมาส่งออก-นำเข้าสินค้าที่ด่านแม่สอดเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งยังเป็นพื้นที่การท่องเที่ยวและการลงทุนทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามพื้นที่ชายแดน ก็มักมีปัญหาหลากหลาย เช่น การลักลอบค้ายาเสพติด-ขนคนต่างด้าว-การโจรกรรมรถ-อาชญากรรมข้ามแดน ฯลฯ ซึ่งตนเองได้เน้นย้ำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ได้เพิ่มความเข้มงวดในการปฏิบัติหน้าที่
นายบรรพต ก่อเกรียติเจริญ ประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดตาก กล่าวว่า เพื่อเป็นการส่งเสริมการค้าชายแดน ภาคเอกชนจะต้องพัฒนาด้านเศรษฐกิจ โดยประสานรัฐบาลและกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ในการเดินหน้าแผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2552 หรือโครงการเมกะโปรเจ็กต์ 1.โครงการการก่อสร้างสะพ่านมิตรภาพไทย-พม่า แห่งที่ 2 2..โครงการเปิดเส้นทางการท่องเที่ยว แม่สอด-เมียวดี-มะละแหม่ง 3.โครงการก่อสร้างถนน แม่สอด-กอกาเรก เพื่อการค้าและการท่องเที่ยวและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยจะเร่งติดตามงานทุกระยะ และเข้าไปมีบทบาทใน กรอ.จว.เพื่อพัฒนาและกระตุ้นเศรษฐกิจชายแดน

++หอการค้าระนองฟันธงค้าไทย-พม่าปี 53 รุ่ง
นายนิตย์ อุ่ยเต็กเค่ง ประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดระนอง กล่าวถึงแนวโน้มการค้าชายแดนไทย-พม่า ด้านจังหวัดระนอง-เกาะสองว่า การค้าไทย-พม่า อยู่ในสถานการณ์ที่ดีมาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เป็นผลจากอัตราการบริโภคและแนวโน้มการบริโภคในพม่าสูงมาก รวมถึงปัจจัยทางการเมืองของพม่าค่อนข้างนิ่ง ขณะที่ความสัมพันธ์ไทย-พม่าที่เป็นไปอย่างราบรื่น อีกทั้งอาจเป็นเพราะพม่าเป็นประเทศที่มีจุดอ่อนที่ไม่มีฐานผลิตสินค้า จำเป็นจะต้องนำเข้าสินค้าเกือบทุกประเภทจากประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะประเทศไทยถือเป็นเพื่อนบ้านที่มีพรมแดนใกล้ชิดมากที่สุด ประกอบกับที่ผ่านมาสถานการณ์ของความสัมพันธ์ไทย-พม่า ทั้งระดับท้องถิ่น ภูมิภาคและระดับชาติอยู่ในสภาวะที่ดีมากๆ จึงทำให้การค้าชายแดนไทย-พม่ามีอัตราการขยายตัวค่อนข้างเป็นที่พอใจของทุกฝ่าย โดยคาดว่าน่าจะมีอัตราการขยายตัวสูงในทุกกลุ่มสินค้าทั้งอุปโภคบริโภค รวมถึงสินค้าหมวดวัสดุก่อสร้าง และน้ำมัน
แหล่งข่าวจากด่านศุลกากรจังหวัดระนอง เปิดเผยถึงสถิติสินค้านำเข้า-ส่งออก ชายแดนไทย-พม่า ด้านจังหวัดระนอง-เกาะสอง ทางด่านศุลกากรระนองในช่วงตั้งแต่เดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน 2552 ที่ผ่านมาว่า มียอดการนำเข้าสินค้าจากประเทศพม่าประมาณ 2,500 ล้านบาท ส่วนยอดสินค้าส่งออกจากไทยโดยรวมประมาณ 9,000 ล้านบาท คาดเมื่อรวมกับยอดส่งออกในเดือน ธันวาคมน่าจะเกิน 10,000 ล้านบาท ส่วนในปี 2553 คาดว่าตัวเลขการส่งออกน่าจะเพิ่มขึ้นถึง 12,000 ล้านบาท หรือเดือนละ 1,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาที่ยอดการส่งออกประมาณ 800-900 ล้านบาทต่อเดือน
นายดำรง ขจรมาศบุษป์ ประธานชมรมผู้ค้าชายแดนไทย-พม่าด้านจังหวัดระนอง-เกาะสอง ,อดีตประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดระนอง และประกอบการค้าส่งออกผลิตภัณฑ์ยาและเวชภัณฑ์รายใหญ่ กล่าวคาดการณ์สถานการณ์การค้าชายแดนไทย-พม่า ด้านจ.ระนอง-เกาะสองในปี 2553 ว่าน่าจะอยู่ในสภาวะที่ดีมาก สินค้าในหลายกลุ่มสินค้ามีแนวโน้มขยายตัวสูงโดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอาหาร สินค้าประเภทอุปโภค-บริโภค รวมถึงสินค้าในหมวดก่อสร้าง
กลุ่มสินค้าที่มียอดการส่งออกไปยังพม่ามากที่สุดในช่วงที่ผ่านมา ยังคงเป็นสินค้าในกลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภค กลุ่มต่อมาคือยารักษาโรค ผลิตภัณฑ์พลาสติก รวมถึงสินค้าวัสดุก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าสินค้าในแต่ละกลุ่มจะสามารถขยายได้อีกมากในช่วงปีนี้ รวมถึงในปี 2553 โดยมีปัจจัยที่สำคัญคือสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศของพม่า และความสัมพันธ์ของไทยพม่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนที่สำคัญที่สุด
++++ค้าชายแดนไทย-กัมพูชายังต้องลุ้น
ด้านการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ในปี 2553 ยังมีปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวบ่งชี้มูลค่าการค้า คือ ปัญหาการเมือง ที่ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศ นายประยุทธ มณีโชติ นายด่านศุลกากร คลองใหญ่ อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด เปิดเผยว่า มูลค่าการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านอำเภอคลองใหญ่ ณ จุดผ่านแดนถาวรบ้านหาดเล็ก อำเภอคลองใหญ่ จังหวัดตราด ในปีงบประมาณ 2552 พบว่า มีมูลค่าการค้า 16,778.23 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีงบประมาณ 2551 ปรากฏว่ามูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้น 327.45 ล้านบาท ที่ผ่านมาการค้าชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านจังหวัดตราดมีมูลค่าความเติบโตในระดับ 10-15% เป็นอย่างน้อย แต่ในปีงบประมาณ 2552 กลับมีความเติบโตเพียง 1.9% หรือประมาณ 2 % เท่านั้น ซึ่งสาเหตุมาจากการเติบโตของเศรษฐกิจกัมพูชาได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลก ขณะที่ปัญหาทางการเมืองระหว่าง 2 ประเทศ เกิดความขัดแย้งขึ้นส่งผลให้นักธุรกิจไม่เชื่อมั่นในสถานการณ์จึงได้ชะลอการสั่งซื้อสินค้าออกไปก่อน ส่วนปีงบประมาณ 2553 นั้น มูลค่าการค้ายังจะมีการเติบโตเช่นเดิม แต่จะตั้งเป้าหมายไว้เพียง 5% เท่านั้น
นายประเสริฐ ศิริ ประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดตราด กล่าวว่า มูลค่าการค้าของชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านจังหวัดตราด แม้ปี 2552 จะมีมูลค่าเติบโตลดลงเพียง 2 % แต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าจะวิตกกังวลเท่าไร เพราะการค้าในปี 2553 สถานการณ์จะกลับสู่สภาวะปกติและจะมีแนวโน้มเติบโตได้เหมือนทุก ๆ ปี ซึ่งคาดว่าน่าจะสูงเกิน 17,000 ล้านบาท หรืออาจจะสูงถึง 12,000 ล้านบาท แต่สำหรับชายแดนด้านจังหวัดตราด ผลกระทบจะไม่มากนัก เนื่องจากจังหวัดตราดกับจังหวัดเกาะกง มีความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันและมีความใกล้ชิด เหมือนญาติพี่น้องกัน
เมื่อมองถึงภาพรวมปี 2553 เชื่อว่า การค้าชายแดนไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน จะยังเป็นอีกปีหนึ่งที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่คงยังไม่เป็นไปในลักษณะก้าวกระโดด เพราะยังมีอีกหลากหลายปัจจัยที่เข้ามาเป็นตัวแปร ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องการคมนาคมและการเมือง


จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,493 3-6 มกราคม พ.ศ. 2553

http://www.thannews.th.com/index.php...-25&Itemid=456
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
aunpang
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,111


--อ้อมกอดอันแสนอบอุ่น--


« ตอบ #9 เมื่อ: วันที่ 08 มกราคม 2010, 23:21:57 »

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ นะคะ
IP : บันทึกการเข้า


อิ่มอร่อยกุ้งเผา
ถนนสนามบินแม่ฟ้าหลวง ตรงกันข้ามโรงแรมทีคการ์เด้นท์
0897559556
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #10 เมื่อ: วันที่ 09 มกราคม 2010, 07:35:50 »

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ 7-9 มกราคม 2553

'โสภณ'จี้บินไทยแจงเลิกโดเมสติก

"โสภณ"เต้นหอการค้าภูธรออกโรงค้านการบินไทยเลิกบิน 5 เส้นทางในประเทศ "ปิยสวัสดิ์"อ้างปรับกลยุทธ์ยกระดับสู่5ดาว เล็งเลิกบินในประเทศที่ไม่เชื่อมต่างชาติ อ้างหยุดบินเพื่อลดภาวะขาดทุน ชี้หากยังบินต่อก็ต้องเพิ่มราคาตั๋ว หอการค้าแม่ฮ่องสอน-อุดร-อุบล ลั่นกระทบแผนยุทธศาสตร์พัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัด เฉพาะเมืองสามหมอกรายได้วูบแน่นับพันล้าน

นายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่าขณะนี้ได้รับการร้องเรียนจากหอการค้าจังหวัดต่างๆ ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหากการบินไทยจะหยุดทำการบินเส้นทางบินในประเทศและให้นกแอร์เข้ามาบินแทนในเดือนมีนาคมนี้ ซึ่งขณะนี้ผมมีนโยบายให้ทางการบินไทยไปทบทวนในเรื่องนี้แล้ว โดยจะให้การบินไทยชี้แจงในประเด็นที่หอการค้าต่างๆตั้งข้อสงสัยเช่นที่บอกว่าขาดทุนเส้นทางบินในประเทศ เป็นเหตุต้องหยุดบิน แต่ทำไมในเส้นทางบินระหว่างประเทศที่ขาดทุนก็ยังทำการบินได้อยู่ ซึ่งการบินไทยต้องตอบคำถามให้สังคมรับรู้ได้ ด้วยเหตุด้วยผล แต่ทั้งนี้ผมคงจะไม่ได้ตัดสินใจแทน เพราะหากเข้าไปยุ่งก็จะถูกมองว่าเป็นการเข้าไปล้วงลูกในการบินไทย

ทั้งนี้สืบเนื่องจากข่าวการบินไทยจะทำการหยุดบินในเส้นทางภายในประเทศจำนวน 5 เส้นทาง คือ ในช่วงหลังเทศกาลตรุษจีน จำนวน 3 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ-พิษณุโลก, กรุงเทพฯ- อุบลราชธานี และกรุงเทพฯ- แม่ฮ่องสอน และในระยะถัดไป อีก 2 เส้นทาง คือ กรุงเทพฯ-อุดรธานี และกรุงเทพฯ-สุราษฎร์ธานี โดยจะให้นกแอร์ทำการบินแทน ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวคัดค้านภาคเอกชนในพื้นที่ ซึ่งนำโดยหอการค้าจังหวัดมาอย่างต่อเนื่องและมากขึ้นเรื่อยๆ

++++"ปิยสวัสดิ์"อ้างปรับกลยุทธ์

นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ยอมรับว่าการบินไทย ได้ร่วมมือกับนกแอร์ โดยจะให้นกแอร์ทำการบินในเส้นทาง พิษณุโลก อุบลราชธานี และแม่ฮ่องสอนแทนการบินไทย ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2553 เป็นต้นไป เนื่องจากการบินไทยจะเน้นนโยบายสร้างความร่วมมือกับนกแอร์ตามแผนกลยุทธ์ Two-Brand Strategy ในความร่วมมือให้บริการในเส้นทางรองภายในประเทศ

ทั้งนี้ความร่วมมือดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ และสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น ซึ่งผู้โดยสารและประชาชนจะได้รับการบริการเช่นที่เคยได้รับบริการจากการบินไทย ได้แก่ 1. ทำการบินในจำนวนเที่ยวบินที่ไม่น้อยกว่าเดิม 2. การดูแลบำรุงรักษาอากาศยานและ3. การดูแลมาตรฐานของนักบิน นอกจากนี้ยังได้มีการศึกษาผลดี ผลเสีย ประกอบกับพิจารณาเรื่องการบินในเส้นทางดังกล่าวอย่างรอบคอบ เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อผู้ใช้บริการ

"ไม่ได้หมายความว่า การที่การบินไทยหยุดบินแล้วจะยกเลิกเส้นทางนี้ไปเลย แต่จะมีนกแอร์มาบินให้บริการแทน คือ เส้นทางกรุงเทพฯ-อุบลราชธานี กรุงเทพฯ-พิษณุโลก และกรุงเทพฯ-เชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน เพราะอยู่ในแผนยุทธศาสตร์การทำธุรกิจการบิน โดยการบินไทยจะคงเส้นทางบินในประเทศเฉพาะที่เชื่อมโยงกับต่างประเทศ และต่อไปการบินไทยไม่สามารถจะไปตอบสนองลูกค้าทุกกลุ่มได้ เพราะฉะนั้นในเส้นทางบินในประเทศบางสายจะให้นกแอร์ไปบินแทน ซึ่งก็เป็นเครื่องบินลำเดียวกันของการบินไทยที่ให้นกแอร์เช่าขณะที่การบินไทยก็สามารถลดภาระการขาดทุนในเส้นทางเหล่านี้ได้ ตามเป้าหมายที่จะยกระดับการบินไทยให้เป็นสายการบินระดับ 5 ดาวภายในปี 2553 นี้ ขณะที่นกแอร์ที่ผ่านมาก็มีภาพลักษณ์สูงกว่าโลว์คอสต์แอร์ไลน์ทั่วไป ต้องปรับลดลงมาเพื่อให้แข่งขันได้"

สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือเร่งสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งในส่วนของกระทรวงคมนาคม ได้ชี้แจงให้เข้าใจถึงภาระความจำเป็นให้เข้าใจแล้ว ว่าเป็นไปตามแผนธุรกิจที่จัดทำ และอยู่ในช่วงการปรับปรุงเส้นทางบินทั้งหมดอยู่ และการบินไทยจะเร่งทำความเข้าใจกับนักธุรกิจในจังหวัดต่าง ๆ ที่ยังข้องใจอยู่ว่า เป็นความจำเป็นทางธุรกิจของการบินไทย แต่ก็เพื่อให้มีการแบ่งตลาดที่ชัดเจนระหว่างการบินไทยกับนกแอร์ต่อไป

ดังนั้นการบินไทยจึงมีความจำเป็นต้องกำหนดยุทธศาสตร์ เพื่อปรับต้นทุนการบริการให้มีศักยภาพในการแข่งขันเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน อีกทั้งผลการดำเนินงานในรอบ 5 ปีที่ผ่านมาของการบินไทยในเส้นทางพิษณุโลกขาดทุนเฉลี่ย 86.3 ล้านบาทต่อปี อุบลราชธานีขาดทุนเฉลี่ย 74.9 ล้านบาทต่อปี และแม่ฮ่องสอนขาดทุนเฉลี่ย 49.9 ล้านบาท

++++เล็งเลิกเที่ยวบินในประเทศ

ขณะที่นายอำพน กิตติอำพน ประธานกรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า หากการบินไทยไม่ให้นกแอร์ทำการบินในประเทศใน 3 เส้นทางนี้ การบินไทยก็ไม่มีทางเลือก ที่ต้องขึ้นราคาค่าโดยสาร เพื่อลดภาระการขาดทุน เพราะเครื่องบินโบอิ้ง 737-400 ที่ใช้ในการเดินทางภายในประเทศเป็นเครื่องบินที่ใช้เดินทางระหว่างประเทศด้วย การใช้เครื่องบินรุ่นนี้มาบินในเส้นทางบินระยะสั้น การแบกน้ำหนักต่างๆ เหล่านี้ทำให้มีต้นทุนสูง เมื่อนกแอร์เช่าเครื่องไป ก็จะนำไปปรับปรุง(โมดิฟายด์)เครื่องให้เหมาะสมกับการบินระยะสั้น ก็เพื่อเป็นการประหยัดและแข่งขันได้ และการบินไทยก็ไม่ต้องขึ้นค่าตั๋ว ซึ่งจะสร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนมากกว่า

ด้านนายพฤทธิ์ บุปผาคำ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้หารือร่วมกับนกแอร์ ถึงแนวทางการสร้างความมั่นใจแก่ผู้โดยสารในการใช้บริการว่า จะได้รับสิทธิประโยชน์จากการบินไม่ต่างจากที่เคยใช้บริการของการบินไทย โดยได้เสนอให้นกแอร์ จัดทำบริการที่จะเปิดให้ผู้โดยสารสามารถเคลมตั๋ว และสะสมไมล์ในการเดินทางได้เช่นเดียวกับของการบินไทย ซึ่งนกแอร์ก็จะเร่งดำเนินการ โดยจะโปรโมตการเปิดตัวบริการดังกล่าวในเร็วๆนี้
"การทำงานร่วมกันระหว่างการบินไทยและนกแอร์ ถือเป็นสิ่งที่ดี เพราะในตลาดการบินโลก สายการบินชั้นนำของประเทศต่างๆก็จะมีการจัดตั้งสายการบินต้นทุนต่ำ เพื่อร่วมกันส่งเสริมธุรกิจระหว่างกัน ซึ่งนอกจากเส้นทางบินกรุงเทพฯ-พิษณุโลก , กรุงเทพฯ-อุบลราชธานี และเส้นทางเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน ที่ยกให้นกแอร์มาบินแทนแล้ว การบินไทยก็ตั้งเป้าหมายว่าจะทยอยยกเลิกเที่ยวบินในประเทศในทุกเส้นทางที่ไม่ได้เป็นจุดเชื่อมต่อกับเที่ยวบินระหว่างประเทศให้นกแอร์บินเพิ่มอีก(ยกเว้น เส้นทางบินระหว่างกรุงเทพฯสู่เชียงใหม่,เชียงราย,หาดใหญ่,ภูเก็ต) หลังเดินแผนเพิ่มทุนในนกแอร์แล้วเสร็จ" +++หออุบลย้ำเชื่อมอินโดจีน
ด้านนางเพ็ญพักตร์ ศรีทอง ประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดอุบลราชธานี กล่าวว่า หอการค้าอุบลราชธานีไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการประชุมหารือกับคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ มีมติออกมาว่า ขอให้ยับยั้งการยกเลิกเที่ยวบินในเส้นทาง กรุงเทพฯ-อุบลฯ-กรุงเทพฯ ซึ่งได้ทำหนังสือถึงหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้อง และถึงรัฐมนตรีว่ากระทรวงคมนาคม

สาเหตุที่ขอให้ยับยั้งเพราะ เชื่อมั่นในคุณภาพ บริการ และความปลอดภัยของการบินไทย นอกจากนี้ตามแผนยุทธศาสตร์จังหวัดอุบลราชธานีและหอการค้า ได้กำหนดให้ อุบลราชธานี เป็นศูนย์กลางการคมนาคมของภูมิภาคอินโดจีน เนื่องจากอยู่ในจุดเหมาะสมทางสภาพภูมิศาสตร์ และ สนามบินอุบลราชธานี ก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสนามบินนานาชาติ ของประเทศไทยแล้ว อีกทั้งการบินไทย ยังได้ให้บริการแก่ประชาชนในภาคอีสานตอนใต้หลายจังหวัด อาทิ เช่น อำนาจเจริญ มุกดาหาร ยโสธร ศรีสะเกษ และสุรินทร์ รวมทั้งประชาชนจากประเทศเพื่อนบ้าน คือ สปป.ลาว (แขวงจำปาสัก, สาละวัน, เซกอง, อัตตะปือ และ สะหวันนะเขต) ซึ่งนับวันประชาชนผู้ใช้บริการดังกล่าวมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกที หอการค้าจังหวัดอุบลราชธานี มีความเห็นว่า การบินไทย ยังมีความจำเป็นที่จะคงการให้บริการของการบินไทยที่สนามบินนานาชาติอุบลราชธานี และยังจะต้องรักษาความเป็นศูนย์กลางการคมนาคมของภูมิภาคอินโดจีนอยู่ต่อไป

+++หอแม่ฮ่องสอนขอมีส่วนร่วม
ก่อนหน้านี้นายสุพจน์ กลิ่นปราณีต ประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดแม่ฮ่องสอน เปิดเผยว่า คณะกรรมการหอการค้าจังหวัดได้นำทีมนักธุรกิจ ผู้ประกอบการ พ่อค้า ประชาชน นำหนังสือคัดค้านนโยบายเลิกบินของบริษัทการบินไทยฯ โดยขอทบทวนการยกเลิกเส้นทางบินเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว เศรษฐกิจ สังคมของจังหวัดโดยรวม ผ่านนายกำธร ถาวรสถิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน นายเทวัญ ดำรงหัด ผู้จัดการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน)สาขาแม่ฮ่องสอน พร้อมทำใบปลิวแถลงการณ์ข้อเรียกร้องว่า ชาวแม่ฮ่องสอน ต้องการการบินไทย โดยใบปลิวได้เรียกร้องว่า 1.ให้การบินไทย ทบทวนการยกเลิกเที่ยวบินเชียงใหม่-แม่ฮ่องสอน-เชียงใหม่ 2.ให้การบินไทยเป็นผู้ทำการบินต่อไปโดยไม่ยกเส้นทางบินให้สายการบินอื่นมาทำการบินแทน 3.ไม่ลดจำนวนเที่ยวบินลง และเพิ่มเที่ยวบินให้เพียงพอต่อความต้องการ และ4.การเปลี่ยนแปลงใดๆ เกี่ยวกับการบินในเส้นทางนี้ ขอให้ชาวแม่ฮ่องสอนได้มีส่วนในการร่วมพิจารณา

"การบินไทย เป็นสายการบินที่มีความสำคัญต่อพี่น้องชาวจังหวัดแม่ฮ่องสอนเป็นอย่างมาก ด้วยปัญหาของเส้นทางคมนาคมที่ยากลำบาก พื้นที่ส่วนใหญ่ของจังหวัดเป็นป่าไม้ 80 % ระยะทางที่ใช้ในการเดินทางตามทางหลวงมีความโค้งชันทำให้ต้องใช้เวลาในการเดิน ประกอบกับแม่ฮ่องสอน มีรายได้หลักจากการท่องเที่ยว จึงจำเป็นต้องพึ่งรัฐ และถ้าหยุดบินจะทำให้การท่องเที่ยวทรุดลงไปอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 70% เพราะว่านักท่องเที่ยวคนไทยที่ไป จะเป็นนักท่องเที่ยวที่วันหยุดติดกันเท่านั้น แต่ปกติแล้วไม่ค่อยมีใครไป และจะไปเฉพาะฤดูหนาว ฤดูอื่นก็ไม่เดินทางกัน เพราะฉะนั้นผมเชื่อว่า 70% นักท่องเที่ยวจะหายไปหมดมูลค่าความเสียหายก็หลายพันล้านบาท"

++++หออุดรค้านผ่าน"โสภณ"

ด้านนายธีระ ตั้งหลักมั่นคง ประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดอุดรธานี เปิดเผยว่า ได้ทำหนังสือถึงนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ลงวันที่ 9 ธันวาคม 2552 ขอให้ทบทวนการยกเลิกบินในเส้นทาง กรุงเทพฯ-อุดรธานี-กรุงเทพฯของการบินไทย เนื่องจากตามแผนยุทธศาสตร์จังหวัด และกลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 (อุดรธานี หนองคาย หนองบัวลำภู และเลย) กำหนดให้จังหวัดอุดรธานี เป็นศูนย์กลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ด้านการค้าการลงทุน การคมนาคมขนส่ง ทั้งทางบกและทางอากาศ ที่สำคัญปัจจุบันท่าอากาศยานนานาชาติอุดรธานี เป็นสนามบินที่มีความสำคัญ มีสายการบินทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น กรุงเทพฯ-อุดรธานี ,อุดรธานี-เชียงใหม่,อุดรธานี-ภูเก็ต และอุดรธานี-หลวงพระบาง ดังนั้นคณะกรรมการหอการค้ากลุ่มจังหวัด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 จึงมีความเห็นว่า การบินไทยยังมีความจำเป็นที่ต้องคงการให้บริการของการบินไทยที่สนามบินอุดรธานี

นอกจากนี้คณะกรรมการหอการค้าจังหวัดอุดรธานี พร้อมด้วยหอการค้ากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน 1 ยังได้เข้าพบกับนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2552 ซึ่ง นายโสภณ กล่าวว่าในกรณีดังกล่าวได้ให้การทักท้วงไปแล้ว แต่ก็เป็นเรื่องของบอร์ดการบินไทยที่จะเป็นผู้พิจารณา

++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

การบินไทย เชียงรายหายห่วงไม่ยอกเลิกแน่นอน
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #11 เมื่อ: วันที่ 09 มกราคม 2010, 10:15:35 »

ท่องเที่ยว52เข้าเป้า ปีใหม่เชียงรายคึกคัก
เศรษฐกิจ 8 มกราคม 2553

รายงานข่าวจากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาเปิดเผยถึงสภาวะการท่องเที่ยวของไทยในปี 2552 ว่าสถานการณ์ของธุรกิจท่องเที่ยวในปีที่ผ่านมาถือว่ากลับเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว โดยพิจารณาได้จากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยตลอดปี 2552 มีจำนวนกว่า 14 ล้านคน ส่งผลให้รายได้จากการท่องเที่ยวตลอดทั้งปี 2552 จำนวน 527,000 ล้านบาท มากกว่าที่หลายฝ่ายคาดไว้

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้การท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัว ส่วนหนึ่งมาจากมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาลที่ทำได้ตามเป้าหมาย จนทำให้สถานการณ์การท่องเที่ยวของประเทศพลิกฟื้นดีขึ้นไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ตามลำดับ

นายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย เปิดเผยว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมา มีนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติเดินทางท่องเที่ยวที่เชียงรายประมาณ 1.2 ล้านคน มีเงินสะพัดประมาณ 2,000 ล้านบาท ส่วนในปีนี้ตั้งเป้าหมายนักท่องเที่ยวเดินทางเที่ยวเชียงรายประมาณ 3 ล้านคน

ทั้งนี้ เพื่อกระตุ้นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้เดินทางเที่ยวเชียงรายมากขึ้น ขณะนี้ได้มีการประสานงานไปยังกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อขอให้นักท่องเที่ยวชาวจีนตอนใต้สามารถใช้บัตรผ่านแดนชั่วคราวเดินทางผ่านประเทศลาวเข้ามาท่องเที่ยวที่เชียงรายได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า หากดำเนินการได้สำเร็จ จะมีชาวจีนเข้ามาเชียงรายเพิ่มขึ้นประมาณ 1 ล้านคนต่อปี สร้างรายได้ประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท.

http://www.thaipost.net/news/080110/16067
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #12 เมื่อ: วันที่ 09 มกราคม 2010, 10:28:30 »

ผู้ว่าฯเชียงรายชวนนักท่องเที่ยว พิชิตดอยผาตั้งชมซากุระเมืองไทย 
 
 
 
 เชียงราย:นายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย นำคณะหัวหน้าส่วนราชการ ข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน ที่ร่วมโครงการผู้ว่าพาเที่ยว วันเดียวเที่ยวเชียงราย เยือนดอยผาตั้ง ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ ต.ปอ อ.เวียงแก่น จ.เชียงราย อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 1,635 เมตร มีจุดชมวิวอยู่หลายที่สำหรับชมความงามของทะเลหมอกในยามเช้า และทิวทัศน์ของฝั่งชาวแดนไทย-ลาว รวมทั้งสายน้ำของแม่น้ำโขงที่ไหลลดคดเคี้ยวจากฝั่งประเทศไทยเข้าสู่ประเทศลาว

 อีกทั้งยังมีสถานที่ท่องเที่ยวเช่น ผาบ่อง ประตูสยามสู่ประเทศลาว ที่มีลักษณะเป็นหน้าผาหินขนาดใหญ่ กลางหน้าผามีช่องเขาขนาดใหญ่เป็นเสมือนประตูผ่านเข้า-ออก ในอดีตใช้เป็นช่องทางผ่านไปยังประเทศลาว ศาลาอนุสรณ์นายพลหลี่ เป็นศาลารูปทรงจีนที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์สำหรับนายพล หลี่ เหวิน ฟาน อดีตผู้นำทหารจีนคณะชาติ กองพล 93 ที่อพยพเข้ามาตั้งรกรากที่ดอยผาตั้งเป็นกลุ่มแรก

 ป่าหินยูนนาน ซึ่งเป็นกลุ่มของก้อนหินทั้งขนาดเล็กและใหญ่รวมกันเป็นหน้าผาสีขาว มีลักษณะคล้ายกับหินที่มณฑลยูนนาน ประเทศจีน และจุดชมวิวช่องเขาขาด ซึ่งเป็นผาหินที่ขาดออกจากกัน สามารถชมวิวดวงอาทิตย์ขึ้น และทะเลหมอกผ่านช่องเขาขาดได้ พร้อมชมความงามของดอกพญาเสือโคร่งหรือดอกซากุระเมืองไทย ที่ผลิดอกสีชมพูบานสะพรั่งเต็มขุนเขา ท่ามกลางอากาศหนาวเย็น 
 
วันที่ 8/1/2010

http://www.naewna.com/news.asp?ID=194306
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #13 เมื่อ: วันที่ 10 มกราคม 2010, 14:47:09 »

ทล.เตรียมลงนามสัญญาจ้างก่อสร้างสะพานเศรษฐกิจห้วยทราย-เชียงของ

กรุงเทพฯ 10 ม.ค.- นายวีระ เรืองสุขศรีวงศ์ อธิบดีกรมทางหลวง เปิดเผยว่า ตามที่ รัฐบาลไทยกับรัฐบาลแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ตกลงร่วมกันในการจัดการด้านการเงินสำหรับงานก่อสร้างโครงการสะพานข้ามแม่น้ำโขงตามแนวเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (ห้วยทราย-เชียงของ) ของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยร่วมกันรับผิดชอบฝ่ายละเท่ากัน ในวงเงินค่าก่อสร้างเป็นเงิน 1,624 ล้านบาท ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2552 ในวงเงินค่าก่อสร้างในส่วนที่รัฐบาลไทยต้องรับผิดชอบเป็นเงิน 812 ล้านบาท และค่าควบคุมงานในส่วนที่รัฐบาลไทยต้องรับผิดชอบอีกเป็นเงิน 45.5 ล้านบาท

และในขณะนี้ กลุ่มบริษัทร่วมค้าระหว่างบริษัทของไทยกับจีน จำนวน 4 ราย ประกอบด้วย กลุ่ม Joint Venture CKYS กลุ่ม CTN Joint Venture กลุ่ม VC Joint Venture และ กลุ่ม CR5-KT Joint Ventureได้ เข้ายื่นซองประกวดราคาเพื่อคัดเลือกเป็นผู้ดำเนินงานก่อสร้าง ปรากฏว่า กลุ่ม CR5-KT Joint Venture ได้เสนอราคาต่ำสุด 43,158,581 .11 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 1431,138,545 บาท จากราคากลาง 43,772,060.20 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งกลุ่ม CR5-KT Joint Venture ประกอบด้วย China Railway No.5 Engineering Group Co ,Ltd ประเทศจีน และบริษัทกรุงธนเอนยิเนียร์ จำกัด (ประเทศไทย) คาดว่าจะสามารถตรวจสอบผลการประกวดราคาและลงนามสัญญาจ้างเพื่อเริ่มงานก่อสร้างได้ในเดือนมีนาคม 2553 และใช้ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน

ทั้งนี้ โครงการสะพานข้ามแม่น้ำโขงตามแนวเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (ห้วยทราย-เชียงของ) ของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ตั้งอยู่บริเวณบ้านปักอิง ต.ศรีดอนไชย อ.เชียงของ จ.เชียงราย ส่วนฝั่งลาวนั้นจะเป็นบริเวณทางตอนใต้ของเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ประเทศลาว มีความยาวรวมทั้งสิ้น 11.6 กิโลเมตร ประกอบด้วย ส่วนสะพานข้ามแม่น้ำโขง เป็นสะพานขนาด 2 ช่องจราจรพร้อมทางเท้า ความยาวสะพานช่วงข้ามแม่น้ำโขง 480 เมตร และสะพานเชิงลาดฝั่งไทย 150 เมตร รวม 630 เมตร

ส่วนถนนฝั่งไทยมีความยาวประมาณ 5 กิโลเมตร เป็นทางหลวงลาดยางขนาด 4 ช่องจราจรพร้อมอาคารด่านพรมแดนรูปแบบสถาปัตยกรรมล้านนา มีจุดเปลี่ยนทิศทางจราจร (Traffic Changeover) เป็นทางแยกควบคุมด้วยสัญญาณไฟจราจร สำหรับสลับทิศทางการขับขี่จากซ้ายเป็นขวา แล้วลดความกว้างเป็นขนาด 2 ช่องจราจรต่อเนื่องกับตัวสะพาน และส่วนถนนฝั่ง สปป.ลาว มีความยาวประมาณ 6 กิโลเมตร เป็นทางหลวงลาดยางขนาด 2 ช่องจราจรพร้อมด่านพรมแดนรูปแบบสถาปัตยกรรมล้านช้าง เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ จะก่อให้เกิดประโยชน์ กับอนุภูมิภาคแห่งนี้ ในด้านการค้าการลงทุน ความสะดวกในการคมนาคม การติดต่อกัน รวมทั้งศักยภาพด้านการท่องเที่ยวระหว่างเชียงรายถึงคุนหมิง.- สำนักข่าวไทย

http://news.mcot.net/economic/inside...ZudHlwZT10ZXh0
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #14 เมื่อ: วันที่ 11 มกราคม 2010, 23:39:42 »

ดึงคีย์แมนเศรษฐกิจลุ่มน้ำโขงขึ้นเวทีเชียงรายชี้ทิศทาง“GMSในทศวรรษใหม่”


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 มกราคม 2553 14:18 น.

เชียงราย – เตรียมเปิดเวที “GMSในทศวรรษใหม่” ที่เชียงราย ระดมคีแมนหลักภาคเศรษฐกิจทั้งไทย-พม่า-ลาว-จีน-เวียดนาม ขึ้นอภิปรายแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงบนพื้นที่เศรษฐกิจใหม่ หลังโครงข่ายคมนาคมเชื่อมชาติสมาชิก – เขตการค้าเสรีอาเซียน +1 มีผลบังคับใช้ ก่อนเปิดงานวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงครั้งที่ 15 เสาร์นี้(16 ม.ค.)


รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า ระหว่างวันที่ 14-16 ม.ค.นี้ จังหวัดเชียงราย ร่วมกับคณะกรรมการเพื่อโครงการสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ (คสศ.) หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ มีกำหนดกิจกรรมส่งเสริมการพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศลุ่มน้ำโขงขึ้น เริ่มจาก วันที่ 14 ม.ค. ที่ คสศ.จะจัดประชุมครั้งที่ 4/2552 ณ โรงแรมพิมานอินน์ จ.เชียงราย วันที่ 15 ม.ค.จะมีการจัดการสัมมนาเรื่อง “GMS ในทศวรรษใหม่” ณ ห้องดอยตุง โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์ รีสอร์ท จ.เชียงราย และวันที่ 16 ม.ค.ตั้งแต่เวลา 09.00-12.00 น.การเจรจาจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ณ โรงแรมดุสิตไอส์แลนด์รีสอร์ท

จากนั้นเวลา 17.30 น.วันเดียวกัน (16 ม.ค.) มีกำหนดเปิดงาน “อลังการงานแสดงสินค้า และวัฒนธรรมสัมพันธ์ลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 15” ณ สนามบินทหารอากาศ ฝูงบิน 416(สนามบินเก่า) อ.เมือง ซึ่งงานนี้จะจัดไปถึง 23 ม.ค.53 ซึ่งภายในงานมีการแสดงศิลปะและวัฒนธรรมจากชาติต่างๆ ลุ่มแม่น้ำโขง เช่น ไทย จีน สปป.ลาว พม่า เวียดนาม ฯลฯ รวมทั้งมีการจัดแสดงสินค้าจากชาติต่างๆ

นายพัฒนา สิทธิสมบัติ ประธาน คสศ.หอการค้า 10 จังหวัดภาคเหนือ กล่าวว่า ในเวทีสัมมนาเรื่อง "GMS ในทศวรรษใหม่" จะมีผู้ทรงคุณวุฒิซึ่งสามารถสะท้อนสภาพเศรษฐกิจของกลุ่ม GMS ร่วมแสดงทัศนะหลายคน ไม่ว่าจะเป็นนางเหยาง เหยียน ปิง ประธานหอการค้ามณฑลหยุนหนัน ประเทศจีน , ผู้แทนจากสภาหอการค้าและอุตสาหกรรมประเทศพม่า ,สภาหอการค้า สปป.ลาว และผู้บริหารระดับอธิบดีรวมทั้งฑูตพาณิชย์จากเวียดนาม ซึ่งจะช่วยให้ภาครัฐ-เอกชนที่สนใจได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการของ GMS และปัญหาอุปสรรคต่างๆ

นายพัฒนา กล่าวอีกว่า ปัจจุบันพัฒนาการตามกรอบข้อตกลงและยุทธศาสตร์ของ GMS ขับเคลื่อนไปอย่างต่อเนื่อง โดยสังเกตได้จากพื้นที่ใกล้ตัวคือการพัฒนาด้านการคมนาคมขนส่งเกี่ยวกับแผนงานพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor) ผ่านถนน R3A ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ หรือทางเรือในแม่น้ำโขง ฯลฯ ขณะที่แผนงานพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor)จากพม่า-ไทย-สปป.ลาว-เวียดนาม ก็คืบหน้าไปแล้วเช่นกัน

ดังนั้น เวทีนี้จึงเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ข้อมูลว่า เชียงราย และภาคเหนือของไทยจะสามารถเก็บเกี่ยวประโยชน์จากการพัฒนาการดังกล่าวได้อย่างไร โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาสินค้าเพื่อจัดส่งไปตามเส้นทางต่างๆ ดังกล่าว

นอกจากนี้ วันที่ 1 ม.ค.53 เป็นต้น ยังมีการใช้ข้อตกลงการค้าเสรีหรือ FTA ในกลุ่มประเทศอาเซียนทั้งหมด และยังมีอาเซียน-จีน ก็จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนในพื้นที่ทางเศรษฐกิจในกลุ่มประเทศสมาชิกอย่างต่อเนื่องด้วย

นายพัฒนา กล่าวอีกว่า ส่วนงานอลังการงานแสดงสินค้าและวัฒนธรรมสัมพันธ์ลุ่มน้ำโขงเดิมมีอยู่เพียง 4 ประเทศลุ่มแม่น้ำโขงคือไทย จีนตอนใต้ สปป.ลาว และพม่า ต่อมาเพิ่มเป็นประเทศกัมพูชา-เวียดนามเป็น 6 ประเทศ ภายในงานมีการจัดแสดงสินค้านานาชาติกว่า 100 บูท และของไทยจำนวน 300 บูท และบนบนเวทีมีการแสดงวัฒนธรรมลุ่มน้ำโขงจาก 6 ประเทศหมุนเวียนกันไปตลอดงาน

รวมทั้งมีการจัดกาดหมั้วครัวแลงจำลองวิถีชีวิตของชาวล้านนา การจัดนิทรรศการลุ่มน้ำโขง การบริการอาหารและเครื่องดื่มจากชมรมภัตตาคารและร้านอาหาร จ.เชียงราย รวมทั้งมีลานชมคอนเสิร์ตจากศิลปินที่มีชื่อเสียงด้วย

สำหรับ GMS หรือ Greater Mekong Subregion เป็นความร่วมมือของ 6 ประเทศ คือ ไทย พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และจีน (มณฑลหยุนหนัน) เพื่อส่งเสริมให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ สนับสนุนการจ้างงานและยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในพื้นที่ให้ดีขึ้น โดยมีธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งเอเชีย (Asian Development Bank-ADB) เป็นผู้ให้การสนับสนุนหลัก

ที่ผ่านมามีกรอบความร่วมมือหลากหลาย เช่น การพัฒนาคมนาคมขนส่ง การลงทุน การสื่อสาร พลังงาน การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สิ่งแวดล้อม การค้า การท่องเที่ยว การเกษตร และที่ผ่านมามีการพัฒนาตามแผนงานต่างๆ เช่น แผนงานพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridor) แผนงานพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตะวันออก-ตะวันตก (East-West Economic Corridor) แผนงานพัฒนาแนวพื้นที่เศรษฐกิจตอนใต้ (Southern Economic Corridor) แผนงานพัฒนาเครือข่ายโทรคมนาคม (Telecommunications Backbone) แผนงานการอำนวยความสะดวกการค้าและการลงทุนข้ามพรมแดน (Facilitating Cross-Border Trade and Investment) ฯลฯ

http://www.manager.co.th/Local/ViewN...=9530000003549
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
bm farm
หัวหมู่ทะลวงฟัน
ผู้ดูแลบอร์ด
แฟนพันธ์แท้
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 9,576


canon eos


« ตอบ #15 เมื่อ: วันที่ 12 มกราคม 2010, 07:21:39 »

 ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ...ขอบคุณข้อมูล-ข่าวสารดีๆครับ..
IP : บันทึกการเข้า

ยิ้มกว้างๆ .....อ่านกฏ,กติกาการใช้งานเวบบอร์ดด้วยครับ.....
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #16 เมื่อ: วันที่ 12 มกราคม 2010, 21:26:31 »

กูรูท่องเที่ยวเชียงรายวางเข็มทิศปี 53 มุ่งเป้าสร้างเมืองวัฒนธรรม-ประตูสี่เหลี่ยมศก.



นายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย (กลาง)

เชียงราย – กูรูท่องเที่ยวเมืองพ่อขุนฯ ตั้งวงเสวนาถกอนาคตเมืองเชียงรายปี 53 วางเป้าเป็น “เมืองแห่งวัฒนธรรม-ประตูสี่เหลี่ยมศก.” พร้อมเร่งสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศ ผู้ว่าฯย้ำให้จัดงานกระตุ้นตลอดปี ไม่เน้นเฉพาะหน้าหนาว

สมาคมท่องเที่ยวเชียงรายและสภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว จ.เชียงราย ได้จัดการเสวนาในหัวข้อ "ทิศทางการพัฒนาการท่องเที่ยว จ.เชียงราย ปี 2553" ณ ห้องประชุม โรงแรมเดอะริเวอร์เฮ้าส์ รีสอร์ท แอนด์ สปา อ.เมือง จ.เชียงราย เมื่อเร็ว ๆ นี้ โดยมีนายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เป็นประธานและผู้ร่วมเสวนาประกอบไปด้วยนายพรหมโชติ ไตรเวช ผู้อำนวยการศูนย์การท่องเที่ยวและกีฬา จ.เชียงราย นายอิศรา สถาปนาเศรษฐ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานเชียงราย ตัวแทนจากองค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาลนครเชียงราย และผู้ประกอบการด้านธุรกิจท่องเที่ยวใน จ.เชียงราย เข้าร่วม

ผู้เข้าร่วมเสวนาแต่ละคนต่างแสดงทัศนะว่า ต้องการให้การท่องเที่ยวของเชียงรายอนาคตมีเป้าหมายอย่างไร และเมื่อตั้งเป้าแล้วจะมีปัญหาอุปสรรคและการดำเนินการอย่างไร เพื่อให้ถึงเป้าหมาย ซึ่งส่วนใหญ่มีความเห็นว่า ควรตั้งเป้าให้เชียงรายเป็น "เมืองแห่งวัฒนธรรมล้านนา" เพราะถือเป็นจุดแข็งที่ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือน เห็นควรให้ทุกฝ่ายร่วมกันอนุรักษ์ขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรมล้านนา สอดแทรกลงไปในกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวต่างๆ รวมทั้งอนุรักษ์ธรรมชาติ ใช้ประโยชน์จากการเป็นเมืองแห่งการเป็นประตูสู่สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ เพราะมีชายแดนติดกับ สปป.ลาว พม่า เชื่อมไปถึงมณฑลหยุนหนัน จีนตอนใต้ ผ่านทางบก – ทางเรือในแม่น้ำโขง และทางอากาศ

นายสุเมธ กล่าวว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ได้มีสมาคมนักธุรกิจไทย-จีน และนักธุรกิจจากจีนประมาณ 60 คน เดินทางเข้าพบปะหารือกับตนที่ศาลากลางเชียงราย เกี่ยวกับการจัดโครงการเมืองเชียงรายน่าเที่ยวโดยจะพาคนจีนเข้ามาท่องเที่ยว ในเดือนเมษายน 2553 และเมื่อได้นำมาประมวลกับศักยภาพด้านต่างๆ ของ จ.เชียงราย และสะท้อนจากความเห็นของนานาประเทศที่ให้ความสนใจแล้วเห็นว่า เชียงราย ควรมีเข็มทิศมุ่งไปสู่การเป็นเมืองแห่งการท่องเที่ยวเป็นหลัก ซึ่งจังหวัดก็มีนโยบายเพื่อให้ทุกฝ่ายได้ถือปฏิบัติอยู่แล้วตามยุทธศาสตร์ 3 ด้านคือ "เพิ่ม" เพิ่มสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ และจำนวนนักท่องเที่ยวอยู่เสมอ "ลด" คือการลดปัญหาอุปสรรคต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น และ "คงที่" คือการอนุรักษ์สิ่งดีงามที่เคยมีอยู่เดิม

นายสุเมธ กล่าวอีกว่า ปี 2552 พบว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนเชียงราย ประมาณ 1.6 ล้านคน ซึ่งถือว่าสวนกระแส เพราะทุกฝ่ายร่วมแรงร่วมใจกัน โดยเฉพาะการจัดงานเทศกาลเชียงรายดอกไม้บานโดยองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) เชียงราย การจัดงานถนนคนเดินทุกวันเสาร์ของเทศบาลนครเชียงราย ฯลฯ และในปี 2553 ก็ตั้งเป้าที่จะให้มีจำนวนนักท่องเที่ยวให้ถึง 3 ล้านคน โดยจะเน้นให้มีการจัดงานกิจกรรมต่างๆ ตลอดทั้งปี เพื่อให้นักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนได้ทุกฤดูไม่ว่าจะเป็นฤดูฝน ร้อน หนาว ไม่ใช่เน้นเฉพาะฤดูหนาวเหมือนเดิมอีก

ล่าสุดหลังเทศกาลปีใหม่จะมีการจัดงาน "อลังการงานแสดงสินค้า และวัฒนธรรมสัมพันธ์ลุ่มน้ำโขง ครั้งที่ 15" ณ สนามบินทหารอากาศ ฝูงบิน 416(สนามบินเก่า) อ.เมือง จ.เชียงราย ซึ่งเป็นงานระดับนานาชาติ ซึ่งจะมีนักแสดงจากประเทศลุ่มแม่น้ำโขง เช่น จีน สปป.ลาว พม่า ฯลฯ นำนักแสดงมาร่วมแสดงทางวัฒนธรรม-ออกร้านแสดงสินค้าต่างๆ มากมาย จากนั้นวันที่ 14 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันแห่งความรักหรือวาเลนไทน์ก็จะจัดกิจกรรม "second honeymoon" หรือการฮันนีมูนรอบที่สองกับคู่รักคนเดิมบนดอยแม่สลอง อ.แม่ฟ้าหลวง ฯลฯ จากนั้นก็จะจัดไปเรื่อยๆ ตลอดทั้งปี

ทั้งนี้ทุกกิจกรรมจะเน้นให้เป็นเมืองวัฒนธรรม เช่น การจัดงานถนนคนเดินใน อ.เมือง ควรจะเน้นให้คนขายและผู้เกี่ยวข้องแต่งกายชุดล้านนาทั้งหมด เป็นต้น

ด้านนายพรหมโชติ กล่าวว่า ในมุมมองของนักท่องเที่ยวมองภาคเหนือว่าเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมล้านนาและธรรมชาติสวยงาม ในอดีตมอง จ.เชียงใหม่ ว่าเป็นเมืองแห่งดอกไม้ และเชียงรายเป็นเมืองวัฒนธรรม แต่ปัจจุบันเชียงใหม่มุ่งเป้าไปเป็นเมืองแห่งการประชุมสัมมนา ซึ่งถือว่าไขว้เขวออกไปจากมุมเดิม ทำให้เชียงรายมีความโดดเด่นมากขึ้น ดังนั้นศักยภาพนี้ยังคงใช้ได้ตลอดไป แต่ก็ยังคงเกิดปัญหาขึ้นบ้าง เช่น ปัจจุบันปฏิทินการท่องเที่ยวไม่ได้รับความร่วมมือจากหลายฝ่าย การจัดงานระดับจังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น ฯลฯ เป็นไปในลักษณะต่างคนต่างจัดจนซ้ำซ้อนกัน

นอกจากนี้ยังเกิดความสับสนของหลายองค์กรที่จะจัดกิจกรรมต่างๆ มักจะขอการสนับสนุนจากจังหวัดเป็นหลัก ทั้งๆ ที่ในปัจจุบันงบประมาณจังหวัดมีเพียง 10% เท่านั้น ขณะที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ มีบทบาทมากขึ้น ต่อไปจึงควรจะมีการบูรณาการจากทุกฝ่าย และสุดท้ายอยากให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวปรับกลยุทธ์เพิ่มศักยภาพตัวเอง มากกว่าการพึ่งพาธุรกิจท่องเที่ยวที่กรุงเทพฯ เป็นหลักเหมือนเดิม

นายอิศรา กล่าวว่า เชียงรายมีจุดแข็ง คือ นอกจะเป็นเมืองแห่งวัฒนธรรมล้านนา และยังเป็นประตูสู่สี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถเชื่อมเครือข่ายการท่องเที่ยวเข้าไปยังประเทศต่างๆ ได้ด้วย ดังนั้นการพัฒนาในอนาคตคงต้องผสมผสมกันระหว่างการอนุรักษ์สิ่งดีงามที่มีอยู่แล้ว กับการสร้างเครือข่ายระหว่างประเทศด้วย


โดย ASTVผู้จัดการรายวัน 11 มกราคม 2553 22:31
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #17 เมื่อ: วันที่ 13 มกราคม 2010, 22:53:06 »

สายการบินนกมินิเปิดบินเชียงใหม่-สิบสองปันนา 1 เม.ย.53


สายการบินนกมินิ เดินหน้าเปิดเที่ยวบินเส้นทางเชียงใหม่-เชียงราย-สิบสองปันนา ในวันที่ 1 เมษายน 53 หลังเตรียมความพร้อมทุกด้านใกล้ลงตัวแล้ว

ช่วงชัยกิจการ รองผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด สายการบินนกมินิ เปิดเผยว่า ภายหลังจากทางสายการบินได้หารือกับทางสิบสองปันนา ประเทศจีนเพื่อเปิดเส้นทางบิน จากเชียงราย เชียงราย ถึงสิบสองปันนา ขณะนี้การดำเนินการ เพื่อเตรียมความพร้อม ได้เสร็จเรียบร้อยไปแล้วกว่า 80% ทั้งในเรื่องของเอกสาร และขั้นตอนการผ่านเข้า-ออกต่างๆของตัวเครื่องบิน

ล่าสุด ได้ดำเนินการยื่นจดทะเบียนเครื่องบินจากกรมการบินพลเรือน เพื่อให้เครื่องบินลำใหม่นี้ เปลี่ยนเป็นสัญชาติไทย และในตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเจรจาเรื่องสัญญาต่างๆกับทางสิบสองปันนา ซึ่งคาดว่าปลายเดือนมกราคมนี้จะเสร็จสิ้น

ส่วนการดำเนินงานในเขตปกครองตนเองสิบสองปันนานั้น ได้ส่งทีมงานเข้าไปจัดการ และดูแลความเรียบร้อย เพื่อเช็คในส่วนของระบบรองรับต่างๆ คาดว่าพร้อมเปิดให้บริการในเดือนเมษายน 2553

“สำหรับเครื่องบิน SABB 340 ได้เดินทางมาถึงประเทศไทยแล้ว และจะบินไปจอดไว้ที่สนามบินเชียงใหม่ เพื่อบินเส้นทางแรก เชียงใหม่-อุดรธานีเป็นเที่ยวแรก ในวันที่ 17 มกราคม 2553 และเมื่อการเตรียมความพร้อมทุกอย่างในส่วนของการบินระหว่างเส้นทาง เชียงใหม่ -เชียงราย -สิบสองปันนา แล้วเสร็จ จะเปิดบินอย่างเป็นทางการใน วันที่ 1 เมษายน 2553 ”นายวันชัย กล่าว

ด้านนายยุทธนา จิตรอบอารีย์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานานาชาติเชียงราย กล่าวว่า สำหรับสายการบินนกมินิกำลังจะเปิดเส้นทางการบินระหว่าง เชียงใหม่ -เชียงราย -สิบสองปันนา โดยจะเป็นการเพิ่มจำนวนผู้โดยสารที่เข้ามาใช้บริการสนามบินนานาชาติเชียงรายแล้ว และเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยว ตลอดจนกระตุ้นการค้าในบริเวณรอบๆ ให้ดีขึ้นด้วย

ดังนั้น สนามบินนานาชาติเชียงราย จึงพร้อมให้ความร่วมมือทั้งในการต้อนรับผู้โดยสาร และให้ความอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้กับทางผู้โดยสาร

สนามบินนานาชาติเชียงรายมีความพร้อมในด้านการให้บริการและการตรวจสอบด้านต่างๆ โดยเฉพาะความปลอดภัยภายในสนามบินที่มีความพร้อมมากกว่า 100% ดังนั้น จึงอยากให้ทางสายการบินนกมินิมีความมั่นใจและเชื่อมั่นในการให้บริการของสนามบินนานาชาติเชียงราย

โดยทางสนามบินนานาชาติเชียงรายมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่จะมีสายการบินที่บินตรงจากต่างประเทศเข้ามาในจังหวัดเชียงราย และขยายเส้นทางการบินระหว่างประเทศ ไปสู่ประเทศอื่นๆและทวีปอื่นๆต่อไป


http://www.bangkokbiznews.com/home/d...#3586;.53.html

 
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #18 เมื่อ: วันที่ 14 มกราคม 2010, 10:48:33 »

จีนโหม“คุน-มั่น กงลู่”ถนนสู่อาเซียน(จบ)ทุนLogisticมังกรยึดถนนR3aเชื่อมไทย


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 มกราคม 2553 15:12 น.


การเดินเรือในแม่น้ำโขงยังคงเฟื่องฟู ขณะที่การคมนาคมทางบกที่่ผ่านถนน R 3 a และ R 3b ก็ได้รับความนิยมมากขึ้น ที่การขนส่งสินค้า และการท่องเที่ยว


ศูนย์ข่าวเชียงใหม่ – สารพัดกลุ่มทุนขนส่งจีนพาเหรดเข้าหาพาร์ตเนอร์ท้องถิ่น ลุยโปรเจกต์รองรับเส้นทาง “คุน-มั่น กงลู่” และข้อตกลงจีน – อาเซียน ล่าสุดกลุ่ม “ทัวร์GMSสิบสองปันนา” คว้าใบอนุญาตวิ่งรถจีน-ลาว-ไทย ผ่าน R3a เป็นรายแรก พร้อมเปิด สนง.ที่เชียงราย-ห้วยทราย(ลาว) ขณะที่ทุน Logistic ยักษ์หยุนหนัน ดีลผ่าน “ทุนไทย-เกาหลีใต้”รอส่งสินค้าจีนผ่าน “แหลมฉบัง” ด้านสายการบิน “SGA”เล็งเปิดบินเข้าเชียงรุ่งเมษาฯ 53 รองรับ บริษัททัวร์ไทยเตรียมส่งเรือ “สัญชาติไทย” ลำแรกลงน้ำโขงแล้ว

ขณะที่สะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ จ.เชียงราย เข้ากับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้วสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว( สปป.ลาว )จุดเริ่มต้นถนน R3a ที่เป็นส่วนหนึ่งของคุน-มั่น กงลู่ มีกำหนดการ (เบื้องต้น) เปิดประมูลวันที่ 7 มกราคม2553 เพื่อก่อสร้างให้เสร็จในปี 2555 อันจะทำให้โครงข่ายคมนาคมสายนี้สมบูรณ์ 100%นั้น ในกลุ่มธุรกิจขนส่งทั้งคน-สินค้า ก็มีความเคลื่อนไหวเข้ายึดกุมโอกาสทางธุรกิจที่เปิดขึ้นตามเส้นทางคมนาคมเช่นกัน

Ji Jin ผู้จัดการใหญ่ บริษัทรถทัวร์ GMS สิบสองปันนา จำกัด กิจการร่วมทุนระหว่างทางการสิบสองปันนา – เอกชนจีน เปิดเผย ASTVผู้จัดการรายวัน เมื่อคราวร่วมคณะเลขาฯพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประจำสิบสองปันนา เยือนเชียงใหม่-เชียงราย ระหว่างวันที่ 1-3 ธันวาคม 2552 ว่า บริษัทของเขามีสำนักงานเครือข่ายกระจายอยู่ในตัวเมืองหลัก ๆ ของหยุนหนัน ทั้งคุนหมิง ลี่เจียง สิบสองปันนา ฯลฯ ให้บริการทั้งรถประจำทาง รถทัวร์เช่า ฯลฯ ล่าสุดได้ร่วมมือกับบริษัทหย่าไทร้เอเชี่ยนทัวร์ จำกัด และบริษัทเทียนเฉิน จำกัด(จีน) ตั้งศูนย์กระจายสินค้าและการท่องเที่ยวสิบสองปันนา-เชียงราย ขึ้น ณ ที่ทำการของบริษัทหย่าไทร้ฯ บริเวณ 5 แยกพ่อขุนฯ กลางเมืองเชียงราย

ทั้งนี้ เพื่อเป็นศูนย์ประสานงาน-ฐานข้อมูลสำหรับธุรกิจต่างๆ เกี่ยวกับการเดินทางไปมาระหว่างเชียงราย-จีนตอนใต้ โดยมีทางการจีนให้การรับรองเพียงรายเดียวของไทย รวมทั้งเป็นเครือข่ายให้บริการลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการรถทัวร์ของบริษัทเดินทางไปมาระหว่างจีน-ไทย ผ่านเส้นทาง R3a ที่บริษัทมีใบอนุญาตจากทางการลาวเพียงรายเดียวในการวิ่งรถข้ามทั้ง 3 ประเทศ

นอกจากนี้บริษัทยังเปิดสำนักงานในลักษณะเดียวกันนี้ ที่เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เพื่อให้บริการลูกค้า ที่มีต้นทางที่ห้วยทราย – คุนหมิง หรือเมืองท่องเที่ยวต่าง ๆ ของหยุนหนันด้วย

“เราเริ่มเปิดให้บริการวิ่งรถผ่าน 3 ประเทศเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม 2552 นี้เอง ถือเป็นบริษัทในหยุนหนันรายแรกที่วิ่งรถได้ทั้ง 3 ประเทศแล้ว ที่ผ่านมามีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากกว่า 2,000 คนแล้ว”

Ji Jin บอกว่า ในอนาคตบริษัทจะขยายเครือข่ายให้บริการครอบคลุมประเทศในกลุ่ม GMS ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น จีน ลาว พม่า ไทย กัมพูชา เวียดนาม เมื่อเส้นทางคมนาคม และกฎระเบียบต่าง ๆ เอื้ออำนวยให้มากขึ้น จะทำให้คนในภูมิภาคนี้ สามารถเดินทางไปมาหาสู่กันได้ทั้งหมด

ขณะที่นายพงษ์ทร ชยาตุลชาต กรรมการผู้จัดการ บริษัทหย่าไทร้เอเชี่ยนทัวร์ จำกัด ยืนยันว่า บริษัทรถทัวร์GMS สิบสองปันนา จำกัด วิสาหกิจจีน ได้รับอนุญาตจากทางการลาว นำรถบัสนำเที่ยวขนาด 32 ที่นั่งและ 57 ที่นั่ง เปิดให้บริการบนถนน R3a เชื่อมเชียงราย-สปป.ลาว ผ่านแขวงบ่อแก้ว-แขวงหลวงน้ำทา-เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2552 ในอนาคตจะเปิดให้บริการไปยังกรุงเทพฯ เพื่อให้สุดทางถนนคุนหมิง-กรุงเทพฯ หรือคุน-มั่น กงลู่ รวมทั้งจะขยายต่อไปยังประเทศมาเลเซีย-สิงคโปร์ด้วย

โดยคิดค่าบริการแบบเช่าเหมาสายเชียงราย-บ่อเต็น แขวงหลวงน้ำทา สปป.ลาว ชายแดนติดกับประเทศจีน รถบัสขนาด 40 ที่นั่งขึ้นไป ราคา 43,000 บาท และรถบัสตั้งแต่ 30-40 ที่นั่ง ราคา 41,500 บาท สำหรับผู้ที่ต้องการเริ่มต้นเดินทางจาก อ.เชียงของ ชายแดนไทย-สปป.ลาว ติดกับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ไปยังเมืองบ่อเต็นหรือเส้นทางเชียงของ-บ่อเต็น คิดราคาจากรถบัส 40 ที่นั่งขึ้นไป ราคา 35,000 บาท และรถบัส 30-40 ที่นั่ง ราคา 32,000 บาท และเส้นทางห้วยทราย-บ่อเต็น สำหรับรถบัส 40 ที่นั่งขึ้นไปราคา 28,000 บาท และรถบัส 30-40 ที่นั่ง ราคา 26,000 บาท

“ตลาดท่องเที่ยวบน R3a ยังโตได้อีกมาก ยิ่งถ้ามีการผ่อนคลายกฎระเบียบ ให้คนจีนใช้เอกสารบอร์เดอร์พาสแทนพาสปอร์ตเข้าไทยได้ ก็จะทำให้มีคนจีนเดินทางเข้ามาเชียงราย หรือภาคเหนือของไทยไม่น้อยกว่า 2 หมื่นคนต่อวันแน่นอน”
ขณะที่บริษัทไทยพัฒนกิจขนส่ง จำกัด ที่บริหารงานโดย บริษัทชัยพัฒนาขนส่งเชียงใหม่ จำกัด หรือกรีนบัส ผู้ให้บริการรถโดยสารขนส่งมวลชนรายใหญ่ของภาคเหนือ ได้ทำการเซ็นสัญญากับท่าตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสาร Green bus ณ บ้านห้วยทราย จุดจำหน่ายบัตรจุดแรกในประเทศลาว เมื่อเร็ว ๆ นี้ เพื่อเชื่อมผู้โดยสารลาว-ประเทศไทย รองรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศไปยังแหล่งท่องเที่ยวเมืองหลวงพระบาง และยังเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทาง R3a และขยายเครือข่ายจำหน่ายตั๋วร่วมไปถึงคุนหมิง เมืองเอกของหยุนหนันต่อไป



ดร.สิชา สิงห์สมบูรณ์ ประธานบริษัทเอเอซี กรีนซิตี้ลาว จำกัด ผู้รับสัมปทานพื้นที่บริเวณจุดก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อมเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว (ฝั่งลาว)


ด้าน ดร.สิชา สิงห์สมบุญ ประธานบริษัทเอเอซี กรีน ซิตี้ ลาว จำกัด บริษัทร่วมทุนไทย-เกาหลีใต้ ที่เข้าสัมปทานพื้นที่ 1,200 ไร่ บริเวณบ้านดอนขี้นก จุดก่อสร้างสะพานมิตรภาพข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ฝั่งเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ซึ่งมีโครงการก่อสร้างโรงแรม รีสอร์ต สปา สนามกอล์ฟ ฯลฯ ด้วยงบลงทุน 1,320 ล้านบาท ล่าสุดลงทุนปรับพื้นที่-พัฒนาสาธารณูปโภคพื้นฐานไปแล้ว กว่า 200 ล้านบาท กล่าวว่า หากเคลียร์ปัญหาเรื่องแนวก่อสร้างถนนเชื่อมสะพานข้ามแม่น้ำโขง 4 และจุดก่อสร้างอาคารด่านพรมแดน บนพื้นที่ผ่านพื้นที่สัมปทานของโครงการได้ ก็จะทำให้แผนงานต่าง ๆ ของบริษัทเดินหน้าต่อไปได้

ก่อนหน้านี้ ได้ตกลงเบื้องต้นกับกลุ่มขนส่งยักษ์ใหญ่ของหยุนหนันไว้ คือ กลุ่ม พีค็อก ว่า เมื่อขนส่งสินค้าจากจีนลงมาตามเส้นทาง R3a ก็จะเข้ามาพักเปลี่ยนหัวลากในพื้นที่ของบริษัท ก่อนที่จะลำเลียงเข้าไทยต่อไปที่ท่าเรือแหลมฉบัง ผ่านบริษัทที่เป็นพันธมิตรกันอย่างสยามสตีล เพื่อส่งสินค้าออกสู่ตลาดโลกต่อไป

SGAเล็งเปิดบินเชียงราย-เชียงรุ่ง

ด้านนายสงวน ซ้อนกลิ่นสกุล รองเลขาธิการฝ่ายพัฒนาระบบ Logistic หอการค้าจังหวัดเชียงราย ระบุเพิ่มเติมว่า ยอมรับว่าตอนนี้มีกลุ่มทุนจีนเข้ามาหาช่องทางลงทุนตามแนวถนนคุน-มั่น กงลู่ อย่างคึกคัก หลากหลายกลุ่ม โดยระยะแรกจะเป็นการแสวงหาพาร์ตเนอร์ในท้องถิ่น ก่อนที่จะเริ่มเดินเครื่องอย่างจริงจังต่อไป ทั้งกลุ่มธุรกิจขนส่ง – ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ฯลฯ

นายวันชัย ช่วงชัยกิจการ รองผู้อำนวยการฝ่ายการขายและตลาดของสายการบินเอสจีเอ กล่าวเมื่อคราวร่วมพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงระหว่างการท่องเที่ยวสิบสองปันนา – สภาอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวเชียงรายเมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2552 ว่า เอสจีเอ มีแผนจะทำการบินระหว่างเชียงใหม่-เชียงราย-สิบสองปันนา ด้วยเครื่องรุ่น 304 ขนาด 33 ที่นั่ง ซึ่งปัจจุบัน เอสจีเอ ได้สั่งซื้อและเตรียมเครื่องบินเอาไว้แล้วที่ออสเตรเลีย 2 ลำ โดยจะบินมาไทยในเดือนนี้ (มกราคม 2553) และตั้งเป้าว่าจะเปิดบินเชียงราย ให้ได้ในเดือนเมษายน หรือพฤษภาคม 2553 และพร้อมจะเชื่อมธุรกิจกับเอกชนจีนต่อไป โดยจะเดินเรื่องขออนุญาตและกฎระเบียบต่างๆ ให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อจะเปิดให้เร็วกว่ากำหนด

ปัจจุบันเอสจีเอ มีเครื่องบินเล็กจำนวน 3 ลำให้บริการโดยมีเชียงใหม่ เป็นศูนย์กลางการบินเชื่อมกับ อ.เมืองแม่ฮ่องสอน อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน จ.เชียงราย และ จ.น่าน จ.อุดรธานี
ขณะที่ Den Xiping รองประธานบริษัทหยุนหนัน แอร์พอร์ตกรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ถ้าสายการบิน เอสจีเอเปิดบินจริง ทางท่าอากาศยานนานาชาติสิบสองปันนา ก็จะให้ส่วนลดไม่ต้องเสียค่าลงจอดในปีแรกทันที 100% ปีที่สองลด 50% ปีที่สามลด 80% แต่ถ้าหาก 2-3 ปียังมีปัญหาด้านการลงทุนก็สามารถยกเว้นให้ได้อีกต่อไป

สอดคล้องกับ Jiang Pusheng เลขาพรรคคอมมิวนิสต์จีน ประจำสิบสองปันนา ที่ย้ำผ่านเวทีประชุมร่วมทั้งที่เชียงใหม่ – เชียงราย ว่า การเปิดเส้นทางบินระหว่างภาคเหนือของไทย กับสิบสองปันนา รอบใหม่นี้ รับรองไม่ขาดทุนแน่นอน

เตรียมเรือไทยลำแรกลงแม่น้ำโขง

หลังข้อตกลงเปิดเดินเรือพาณิชย์ฯในแม่น้ำโขงตอนบน ระหว่าง ไทย พม่า ลาว จีน เริ่มมีผลตั้งแต่เมษายน 2544 เป็นต้นมา ปรากฏว่า เรือสินค้า-นำเที่ยวนับร้อย ๆ ลำที่วิ่งขึ้นล่องในแม่น้ำโขง ล้วนแต่เป็นเรือสัญชาติจีนทั้งสิ้น
แต่นับจากนี้จะมีเรือนำเที่ยวสัญชาติไทยวิ่งแล้ว

นางสาวผกายมาศ เวียร์รา ประธานกรรมการบริษัทแม่โขงเดลต้าทราเวล เอเจนซี จำกัด ผู้ให้บริการนำเที่ยวในสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ ทั้งทางบก ผ่านเส้นทาง R3a / R3b และทางน้ำผ่านแม่น้ำโขงตอนบน จากเชียงแสน – เชียงรุ่ง มากว่า 2 ปี บอกว่า บริษัทกำลังปรับปรุงเรือท่องเที่ยวขนาด 80 ที่นั่ง (ชั้นธุรกิจ 40 ที่นั่ง VIP 40 ที่นั่ง สามารถปรับเป็นห้องประชุมสัมมนาลอยน้ำได้ กว้าง 5 เมตร ยาว 41 เมตร กินน้ำลึก 60 ซม.) ที่สั่งต่อกันที่หลวงพระบาง สปป.ลาว โดยใช้วิศวกรจาก 3 ชาติ (ไทย ลาว จีน) ร่วมกันคุมงาน ที่นำมาเทียบท่าริมน้ำโขงหน้าสำนักงานบริษัทที่เชียงแสนอยู่ ก่อนจะเริ่มทดลองวิ่งในแม่น้ำโขงอย่างจริงจังต่อไป

“ลำนี้ จะเป็นเรือสัญชาติไทยลำแรกที่วิ่งในแม่น้ำโขง ถ้าไม่นับพวกเรือหางยาว เรือแจวที่ทำมาหากินในแม่น้ำโขงกันมานาน”

นางสาวผกายมาศ บอกว่า เรือลำนี้ จะจดทะเบียนที่ประเทศไทย เป็นเรือสัญชาติไทย ใช้ชื่อไทย ส่วนกัปตันถ้าขึ้นไปทางเชียงแสน จากสามเหลี่ยมทองคำ – สิบสองปันนา ก็ใช้กัปตันจีน ลูกเรือจีน ถ้าล่องลงหลวงพระบาง ก็ใช้คนลาว นายน้ำลาว ลูกเรือผสมกันระหว่างจีน – ลาว แต่ฝ่ายต้อนรับทั้งหมด จะใช้คนไทย ที่มีทักษะดีกว่า

เธอบอกว่า หลังจากนี้จะต่อเพิ่มอีกลำ และจะทำที่ไทย สร้างเรือให้ตรงตามกฎหมายไทย ก่อนที่จะขออนุญาตวิ่งเข้าจีน ลาว เพื่อวิ่งเข้าหลวงพระบางด้วย

ทั้งนี้ที่ผ่านมาบริษัทแม่โขงเดลต้าเคยร่วมมือกับ บริษัทขนส่งเทียนต๋าสิบสองปันนา รัฐวิสาหกิจของสิบสองปันนา ทั้งเรือ “นกยูงทอง” เรือท่องเที่ยวที่มีห้องพักในตัว รองรับผู้โดยสารได้ 76 คน (ขยายได้ 130 คน) เรือสามเหลี่ยมทองคำ 8 จุผู้โดยสารได้ 68 คน กับเรือเทียนต๋า 1 และ 2 ที่สามารถจุผู้โดยสารได้ลำละ 48 คน ก็จะค่อย ๆ ปลดระวางไป เพราะบางลำ จะสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงมาก บางลำเริ่มมีปัญหากับอายุการใช้งานที่มากขึ้น เพราะกระแสน้ำในแม่น้ำโขง แตกต่างจากน้ำทะเล และแหล่งน้ำอื่น ๆ มาก ก็ต้องหาช่องทางแก้ปัญหา

เธอมองว่า อนาคตของการท่องเที่ยวแถบสามเหลี่ยมทองคำ – การท่องเที่ยวผ่านแม่น้ำโขง ยังไปได้ คนชอบ แต่การเดินทางแม่น้ำโขงต้องใช้เวลานับสิบๆชั่วโมง ทำให้คนเบื่อได้ คนจะตื่นเต้นระยะแรก ที่ได้ลงเรือแม่น้ำโขง

แต่สิ่งที่จะต้องทำก็คือ การสร้างกิจกรรมรองรับบนเรือ เช่น เคาน์เตอร์บาร์ ห้องอาหาร ฯลฯ แต่ไม่ควรเป็นเรือนอน เพราะคนกลัวที่จะนอนระหว่างทางในแม่น้ำโขง เช่น หาจุดพักกลางทาง เช่น หมู่บ้านลาว หรือสบโหลย ฝั่งพม่า ที่ปัจจุบันกลายเป็นชุมทางสินค้า – คนมากขึ้น โดยเฉพาะเกาหลีเหนือที่ทะลักมาพักรอเดินทางเข้าไทยอยู่เป็นจำนวนมาก

ส่วนเรือโดยสารก็สามารถบริหารจัดการได้ตามปริมาณผู้โดยสาร เช่น ช่วงพีกเดิมเคยวิ่งเชียงแสน-เชียงรุ่ง (สิบสองปันนา) ไปกลับสัปดาห์ละ 6 เที่ยว (ขาขึ้นจันทร์ พุธ ศุกร์ ,ขาล่อง อังคาร พฤหัสบดี เสาร์) ก็ปรับเหลือสัปดาห์ละ 2 เที่ยว (ไปกลับรวม 4 เที่ยว) และเมื่อถึงไฮซีซันก็เพิ่มความถี่สูงขึ้นเท่านั้น

ส่วนทางบก ผ่าน R3a (ไทย ลาว จีน) ส่วนหนึ่งของคุน-มั่น กงลู่ หรือคุนหมิง – กรุงเทพฯโดยมากจะเน้นหนักเรื่องการเดินทางติดต่อค้าขายมากกว่า เพราะตลอดเส้นทางวนเวียนอยู่ในภูเขา ขณะที่ สปป.ลาว เองก็กำลังอยู่ระหว่างการจัดระเบียบเดินรถอยู่ เพื่อปกป้องธุรกิจสัญชาติลาวเอง

ขณะที่ R3b (ไทย พม่า จีน) ที่แม้จะก่อสร้างเสร็จมานานหลายปี ที่จีนปิดพรมแดนมาร่วม 3-4 ปี ล่าสุดจีนก็เปิดพรมแดนต้าล่อ หรือต้าลั่ว สิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน ที่เชื่อมต่อกับปลายทาง R3b ที่เมืองลา เขตเศรษฐกิจพิเศษที่ 4 แห่งสหภาพพม่า ของกลุ่ม “อูไซลิน”

แต่ในฝั่งพม่า ยังไม่เปิดพรมแดนให้ โดยส่วนหนึ่งมาจากปัญหาการสู้รบระหว่างรัฐบาลพม่า – ชนกลุ่มน้อย ที่พม่า เองก็ยังไม่สามารถคุมได้ตลอดเส้นทาง และการจัดสรรผลประโยชน์กับกลุ่ม “อูไซลิน” ที่ปกครองพื้นที่อยู่ ทั้งเรื่องค่าผ่านทาง ไกด์ วีซ่า(เข้าเขตปกครอง)

อย่างไรก็ตาม ผกายมาศ บอกว่า เส้นทาง R3b ก็ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวไทยอยู่เนือง ๆ เพียงแต่ยังไม่สามารถเดินทางทะลุเข้าจีนผ่านทางนี้ได้เท่านั้น

เช่นเดียวกับคนจีน (ไทลื้อ) ที่เดินทางไปมาหาสู่กับญาติพี่น้องในแถบนี้มานาน ก็ยังคงใช้บอร์เดอร์พาสเข้าพม่า มาจนถึงท่าขี้เหล็ก (ตรงข้าม อ.แม่สาย จ.เชียงราย) อยู่ บางกลุ่มขับรถมากันเองด้วยซ้ำ เพียงยังไม่สามารถข้ามฝั่งมาถึงไทยได้

http://th.newspeg.com/จีนโหมคุน-มั่น...-55436125.html
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,111


« ตอบ #19 เมื่อ: วันที่ 15 มกราคม 2010, 09:00:07 »

ท่าอากาศเชียงรายทุ่ม100ล.ปรับลานบิน-รับแอร์บัส

14 มค. 2553 20:46 น.


นายยุทธนา จิตรอบอารีย์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานานาชาติเชียงราย เปิดเผยว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2552 จนถึงขณะนี้ มีนักท่องเที่ยวจำนวนมากเดินทางเข้ามาในจังหวัดเชียงรายโดยสายการบิน โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่ผ่านมาทุกเที่ยวบินเต็มหมดทุกสายการบิน จนทำให้สายการบินไทย ต้องเปลี่ยนเครื่องบินจากเครื่องบินโบอิง 737 ที่สามารถรองรับผู้โดยสารได้เพียง 150 ที่นั่ง เป็นเครื่องบินแอร์บัส 330 ที่รองรับผู้โดยสารได้กว่า 330 - 350 ที่นั่ง ซึ่งสามารถให้บริการเพิ่มจากเดิมกว่า 1 เท่าตัว อย่างไรก็ตาม จากนี้ไป คาดว่าการเดินทางของนักท่องเที่ยวก็จะมีเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ สังเกตได้จากจำนวนผู้โดยสารชาวยุโรปและเอเชีย ที่เดินทางเพิ่มขึ้นกว่า 20-30 % ในช่วงที่ผ่านมา จึงถือเป็นนิมิตหมายอันดีว่าในปี 2553 เป็นต้นไป จำนวนผู้โดยสารและนักท่องเที่ยวที่เดินทางโดยเครื่องบินจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างแน่นอน



นายยุทธนา กล่าวอีกว่า ขณะนี้ทางสนามบินได้เตรียมพร้อมในการรองรับอย่างเต็มที่ โดยการเพิ่มหลุมจอดเครื่องบินแอร์บัสจาก 4 หลุม เป็น 5 หลุม และลงทุนเพิ่มอีกกว่า 100 ล้านบาท ในการปรับปรุงพื้นผิวลานบินให้ปลอดภัยมากขึ้นในการใช้งาน ลดการเกิดปัญหาและความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น อีกทั้งยังปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์บริเวณโดยรอบสนามบิน ให้มีความสวยงามและเป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น โดยเน้นเรื่องของความสะดวกสบายและความปลอดภัยเป็นสำคัญ ทั้งนี้ สนามบินนานาชาติเชียงรายสามารถรองรับผู้โดยสารได้ถึง 3 ล้านคน ต่อปี แต่จำนวนผู้โดยสารที่มาใช้บริการมีเพียง 8 แสนคนต่อปี เท่านั้น


http://breakingnews.nationchannel.co...?newsid=426817
__________________
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
หน้า: [1] 2 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!