เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 มีนาคม 2024, 16:58:44
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  ศาสนา กิจกรรมทางวัด (ผู้ดูแล: ap.41, ลุงหนาน)
| | |-+  กระทู้ใครรู้วิธีที่จะออกจากทุกข์ได้บ้าง ? มาสนทนากันหน่อย หายไปไหนเอ่ย ?
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 [2] 3 4 พิมพ์
ผู้เขียน กระทู้ใครรู้วิธีที่จะออกจากทุกข์ได้บ้าง ? มาสนทนากันหน่อย หายไปไหนเอ่ย ?  (อ่าน 7115 ครั้ง)
ชันเทน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 256


« ตอบ #20 เมื่อ: วันที่ 15 สิงหาคม 2014, 07:00:59 »


   ก่อนคิดเรื่องของรูป  เรื่องเกี่ยวกับรูปอยู่ไหนคะ ?

   เมื่อความคิดเรื่องเกี่ยวกับรูปจบลง  ความคิดเกี่ยวกับรูปอยู่ไหนคะ ?

   ถ้าไม่หลงเรื่องเกี่ยวกับรูปที่จบไป  แล้วจะทุกข์ สุข กับอะไร ?
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #21 เมื่อ: วันที่ 15 สิงหาคม 2014, 12:51:17 »

ยิงฟันยิ้ม รู้สึกดีใจที่ยังมีสหายธรรมคอยร่วมสะสมบุญกันด้วย ทำให้รู้สึกว่าเราไม่ได้ทำเพียงคนเดียวคนอื่นเขาก็ทำกัน ยิงฟันยิ้ม

อนุโมธนาสาธุเช่นกันครับท่าน ถึงจะไม่เข้าใจปรัชญาปารมิตาทั้งหมด แต่ในความคิดผมคิดว่า คนทั่วไปมองว่ารูปไม่เที่ยงคือ มีการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมดา แต่พระโพธิสัตว์ท่านมองมากกว่านั้นคือ นอกจากคนเราเกิดมามีเกิดแก่เจ็บตายแล้ว ก็ยังมีผลของกรรมที่ส่งผลให้ไปยังภพต่างๆ จากมนุษย์อาจไปเกิดเป็น ช้าง ม้า วัว ควาย สุนัก มนุษย์ หรือไปเกิดเป็นเทวดา เทพ พรหม์ เปลี่ยนไปเรื่อยๆเวียนว่ายตายเกิดตามผลกรรมที่ได้สั่งสมเอาไว้ ดั่งนั้นรูปจึงไม่เที่ยง ท่านจึงให้มองเป็นความว่าง ไม่รู้ผมจะเข้าใจถูกหรือเปล่านะครับ ยิ้ม


         ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่าน สบายแมนด้วยครับ

         ส่วนคำถามที่ถามมานั้นขออนุญาติตอบดังนี้

         ถ้าท่าคิดว่าถูก  มันก็ถูก  ถ้าท่านคิดว่าผิด  มันก็ผิด  ก่อนที่ท่านจะคิดเรื่อง ถูกหรือผิด

ถูกและผิดอยู่ไหน ครับ ?


ตามความเห็นของผม ผมคิดว่า
ถูกก็คือเข้าใจถูกตามความหมายที่แท้จริงของปรัชญาปารมิตาตามที่พระโพธิสัตว์ท่านได้อธิบาย ส่วนผิดก็คือเข้าใจคลาดเคลื่อนไปจากที่พระโพธิสัตว์ท่านได้อธิบาย ดังนั้น"ถูกและผิดอยู่ที่ตัวเราครับ" ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
fulltime
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 131


« ตอบ #22 เมื่อ: วันที่ 15 สิงหาคม 2014, 18:00:02 »

ขออนุญาติครับ  ท่าน สบายแมน

ในปรัชญาปารมิตรากล่าวไว้ว่า  รูป เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ ล้วนเป็นของว่าง

ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า ตามความเห็นของผม  ผมคิดว่า  ก็ไม่ใช่ความจริงซิครับ
 
เพราะถ้า  รูป  เวทนา สัญญา  สังขาร  วิญาณ  ล้วนเป็นของว่าง  แล้ว  จะมีตัวผมเป็นคน

แสดงความเห็น  หรือ มีผมมาคิดได้อย่างไร ?  ความเห็น และความคิดที่กล่าวมาทั้งหมด 

จึงเป็นเรื่องของความคิดที่เกิดจาก  สังขาร เขา  เมื่อสังขาร เกิดขึ้นชั่วขณะแล้วดับไปแล้ว 

มันจึงกลายเป็นของว่าง  ตามปรัชญาปารมิตรากล่าวไว้
IP : บันทึกการเข้า
naylex
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,993



« ตอบ #23 เมื่อ: วันที่ 15 สิงหาคม 2014, 19:41:04 »


   ก่อนคิดเรื่องของรูป  เรื่องเกี่ยวกับรูปอยู่ไหนคะ ?

   เมื่อความคิดเรื่องเกี่ยวกับรูปจบลง  ความคิดเกี่ยวกับรูปอยู่ไหนคะ ?

   ถ้าไม่หลงเรื่องเกี่ยวกับรูปที่จบไป  แล้วจะทุกข์ สุข กับอะไร ?

ยากเกินไปครับ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า

ปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดั่งใจจง
ชันเทน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 256


« ตอบ #24 เมื่อ: วันที่ 16 สิงหาคม 2014, 06:59:54 »


   ก่อนคิดเรื่องของรูป  เรื่องเกี่ยวกับรูปอยู่ไหนคะ ?

   เมื่อความคิดเรื่องเกี่ยวกับรูปจบลง  ความคิดเกี่ยวกับรูปอยู่ไหนคะ ?

   ถ้าไม่หลงเรื่องเกี่ยวกับรูปที่จบไป  แล้วจะทุกข์ สุข กับอะไร ?

ยากเกินไปครับ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ

     ถ้ายังไม่ได้คิดเรื่อง  ยากเกินไป  มันจะมีเรื่อง  ยากเกินไปไหมคะ ?
IP : บันทึกการเข้า
naylex
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,993



« ตอบ #25 เมื่อ: วันที่ 16 สิงหาคม 2014, 15:39:10 »


   ก่อนคิดเรื่องของรูป  เรื่องเกี่ยวกับรูปอยู่ไหนคะ ?

   เมื่อความคิดเรื่องเกี่ยวกับรูปจบลง  ความคิดเกี่ยวกับรูปอยู่ไหนคะ ?

   ถ้าไม่หลงเรื่องเกี่ยวกับรูปที่จบไป  แล้วจะทุกข์ สุข กับอะไร ?

ยากเกินไปครับ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ

     ถ้ายังไม่ได้คิดเรื่อง  ยากเกินไป  มันจะมีเรื่อง  ยากเกินไปไหมคะ ?
ใช่ครับ ถ้ายังไม่คิด ก็ไม่มี
พอคิดมันก็เกิดมีขึ้นมา
หรือทุกอย่างไม่มี ตั้งแต่ต้น....

 ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า

ปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดั่งใจจง
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #26 เมื่อ: วันที่ 16 สิงหาคม 2014, 23:05:49 »

ไหว้สา พระธัมมวินัย  สายบุญ

มหายาน เป็น ธัมมะเพี้ยน ออกไปเข้าข่ายมิจฉาทิฏฐิ มิใช่น้อย ครับ 

มีผู้รู้ กล่าวว่า  พระไตรปิฏก ที่ พระถังซำจั๋ง มาอัญเชิญ จาก อินเดีย  เป็น  ฉบับที่มีการแต่งเติมเข้าไป  เท่านั้นยังไม่พอ ก็โดนต่อเติมจาก นักการศาสนาชาวจีนอีกในกาลต่อมา

ต้องกราบขอบพระคุณ ท่านสบม. ผู้เอาบทปารมิตา มาลง   มั๊ก ๆ ครัช

ใน คำแปล พระสารีบุตร  อัครสาวกเบื้องขวา      กำลัง ได้รับการสั่งสอน จาก ใผ อยู่  ?   




ผมรู้ตัวดี ว่า        ลุงหนาน  ,  Ck 401  หรือ ใครก็ตาม         ที่ จ้องไล่ลบ หัวข้อ รวมถึง กระทู้ต่าง ๆ ที่หนานธง มาลง ไม่อยากให้เข้ามาร่วมเสวนา ในนี้

ผม ไม่น่าจะ เป็น ที่ต้องการ ของคนใน เวบนี้      บ้างก็ บอก กับ ผมตรง ๆ ให้เลิกเข้ามาในเวบนี้ ได้แล้ว

คาดว่า ธัมมะ ที่ผมนำมาเสวนา  อาจไม่ใช่ เป็น ธัมมสัปปายะ  ธัมมะไม่สมควร กับ ความต้องการ สำหรับคนจำนวนไม่น้อย ก็มาก ในเวบ อาจเป็นไปได้     


กราบขอ สมาอภัย  ที่ผมยังมายุ่งพัวพัน ใน เวบนี้อยู่ ด้วยเด้อ       ยิงฟันยิ้ม   
         



      ในปรัชญาปารมิตรา  ท่านสารีบุตรกำลังได้รับคำสั่งสอนจากพระพุทธองค์อยู่จ่ะ

      แล้วธรรมะที่ลุงหนานทองเอามาเสวนา  เป็นคำสอนของใครหรือคะ ?



ไหว้สา  พระธัมมวินัย  สายบุญ

น้องไฮ  อย่าใช้เฉพาะ  อารมณ์  ความรู้สึก  มาปน  เอา  สายตา กับ จิตใจ มาประกอบเถิด
รีเชค แล้วเบรค คลิบ  ราวนาที ที่ 1.00 ถึง 1.05 เอาคนเดียวแล้วกัน 

ครูอาจารย์สายมหายานผมนับถือมีอยู่  แต่  ผมยึดเอาพระรัตนตรัยไว้สูงกว่า พ่อแม่บุพพการีชน  ครูอาจารย์ คัรชชชช

พระองคเจ้าสัพพัญญู  วางมหาปเทส 4 กับ กาลมสูตร เป็น มรดกธัมมะ ให้ โลกิยธัมมะ  โลกุตรธัมมะ   หลักนี้ดีแล้วแล ฯ




สาธุชน จงได้โปรดพิจารณาให้จงดี

ด้วยความเคารพครับ  จาก  หนานธง ขี้อู้หำยาน


ด้วยบุญ กุศล หรือ ความดีงาม ความฉลาด จาก ธัมมทานนี้  จงมีแด่ สายบุญทุกดวงจิต ใน จักรวาล ฮอด อนันตจักรวาลเทอญ   

สาธุ ๆ  ๆ  อนุโมทามิ
IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
ชันเทน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 256


« ตอบ #27 เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2014, 07:43:16 »


   ก่อนคิดเรื่องของรูป  เรื่องเกี่ยวกับรูปอยู่ไหนคะ ?

   เมื่อความคิดเรื่องเกี่ยวกับรูปจบลง  ความคิดเกี่ยวกับรูปอยู่ไหนคะ ?

   ถ้าไม่หลงเรื่องเกี่ยวกับรูปที่จบไป  แล้วจะทุกข์ สุข กับอะไร ?

ยากเกินไปครับ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ

     ถ้ายังไม่ได้คิดเรื่อง  ยากเกินไป  มันจะมีเรื่อง  ยากเกินไปไหมคะ ?
ใช่ครับ ถ้ายังไม่คิด ก็ไม่มี
พอคิดมันก็เกิดมีขึ้นมา
หรือทุกอย่างไม่มี ตั้งแต่ต้น....

 ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ

    จ่ะ  เจ๋ง เจ๋ง เจ๋ง
IP : บันทึกการเข้า
ชันเทน
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 256


« ตอบ #28 เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2014, 07:46:59 »




[/quote]

ไหว้สา  พระธัมมวินัย  สายบุญ

น้องไฮ  อย่าใช้เฉพาะ  อารมณ์  ความรู้สึก  มาปน  เอา  สายตา กับ จิตใจ มาประกอบเถิด รีเชค แล้วเบรค คลิบ  ราวนาที ที่ 1.00 ถึง 1.05 เอาคนเดียวแล้วกัน 

ครูอาจารย์สายมหายานผมนับถือมีอยู่  แต่  ผมยึดเอาพระรัตนตรัยไว้สูงกว่า พ่อแม่บุพพการีชน  ครูอาจารย์ คัรชชชช

พระองคเจ้าสัพพัญญู  วางมหาปเทส 4 กับ กาลมสูตร เป็น มรดกธัมมะ ให้ โลกิยธัมมะ  โลกุตรธัมมะ   หลักนี้ดีแล้วแล ฯ




สาธุชน จงได้โปรดพิจารณาให้จงดี

ด้วยความเคารพครับ  จาก  หนานธง ขี้อู้หำยาน


ด้วยบุญ กุศล หรือ ความดีงาม ความฉลาด จาก ธัมมทานนี้  จงมีแด่ สายบุญทุกดวงจิต ใน จักรวาล ฮอด อนันตจักรวาลเทอญ   

สาธุ ๆ  ๆ  อนุโมทามิ

[/quote]

    ขอบคุณค่ะลุ
หนานทอง
IP : บันทึกการเข้า
สบายแมน
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4,485



« ตอบ #29 เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2014, 19:37:03 »

ที่จริงแล้วผมก็ยังไม่เข้าใจความหมายที่ท่านต้องการจะสื่อนะครับ เอาเป็นว่าขอชี้แจงตามความเข้าใจเป็นข้อๆล่ะกันครับผิดถูกประการใดต้องขออภัยด้วยครับ ยิ้ม

ขออนุญาติครับ  ท่าน สบายแมน

ในปรัชญาปารมิตรากล่าวไว้ว่า  รูป เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ ล้วนเป็นของว่าง

ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า ตามความเห็นของผม  ผมคิดว่า  ก็ไม่ใช่ความจริงซิครับ (*ตรงนี้ที่ยังไม่เข้าใจครับ)
เพราะถ้า  รูป  เวทนา สัญญา  สังขาร  วิญาณ  ล้วนเป็นของว่าง  แล้ว  จะมีตัวผมเป็นคน

แสดงความเห็น  หรือ มีผมมาคิดได้อย่างไร ? (ตามความเห็นของผม ผมคิดว่า ตัวเรานั้นก็เป็นความจริงครับ แต่ตั้งอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง "พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสิ่งต่างๆนั้นไม่เที่ยง ไม่ได้หมายความว่าไม่เป็นความจริงครับ" )

ความเห็น และความคิดที่กล่าวมาทั้งหมด  

จึงเป็นเรื่องของความคิดที่เกิดจาก  สังขาร เขา  เมื่อสังขาร เกิดขึ้นชั่วขณะแล้วดับไปแล้ว  

มันจึงกลายเป็นของว่าง  ตามปรัชญาปารมิตรากล่าวไว้ (ตรงความเห็นนี้ผมก็ยังไม่แจ้ง เฉพาะประโยคที่ท่านพิมพ์ก่อนนะครับไม่เกี่ยวกับความหมายของปัชญาปารมิตา เพราะถ้าคิดแบบนั้นแล้วกุศลและอกุศล บาปบุญ ผลของกรรมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าคิดแบบนั้นคนก็จะไม่กลัวบาปกลัวกรรม ไม่เชื่อเรื่องกุศลผลบุญ ถ้าเกิดคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริงใช่ไหมครับ)
[/color]

ตรง * ที่บอกว่ายังไม่เข้าใจ เพราะไม่เข้าใจความหมายวjk ท่านจะบอกว่าความคิดเห็นของผมนั้นไม่เป็นความจริงหรือปล่าว ถ้าตามนี้ก็ขอตอบตามข้อความผิดถูกที่ตอบไปก่อนหน้านั้นครับ
แต่ถ้าหมายความว่าตัวผมนั้นเป็นของว่าง ก็ขอตอบตามข้อความตัวสีน้ำเงินที่พิมพ์ไป และอีกประการหนึ่งในการพิมพ์ตอบคำถามผมก็ไม่ได้ใช้ปรัชญาปารมิตาตอบ เหตุเพราะไม่รู้วิธีใช้หรือความหมายที่แท้จริงครับ แล้วมันจะใช่ความว่างจริงหรือปล่าว
 ผมคิดว่าในที่นี่ก็ยังไม่มีใครที่รู้ความหมายที่แท้จริงของปรัชญาปารมิตาอันลึกซึ้ง เพราะขนาดพระสารีบุตรพระอรหันต์ผู้มีปัญญายังต้องทูลถามความหมายกับพระโพธิสัตว์ จึงยากที่ปุถุชนธรรมดาจะมาอธิบายได้ถึงความหมายที่แท้จริงลึกซึ่ง หรือหากใครทราบก็อาจเป็นเรื่องของปัจจัตตังซึ่งอธิบายให้เข้าใจได้ยากเป็นเรื่องรู้เฉพาะบุคคล เหมือนดังผมบอกว่าสีแดง หลายคนก็รู้จักสีแดงแต่แดงแบบไหนอย่างไรก็ไม่อาจอธิบายให้เข้าใจเหมือนได้ยกเว้นเข้าคนนั้นจะได้เห็น
ส่วนข้อความที่ผมพิมพ์ว่า “ผมเห็นว่า , ตามความเห็นของผม หรือประโยคที่เน้นว่าเป็นความคิดของผม “ นั้นเป็นเพราะในการสนทนานี้ ถ้าหากท่านผู้อื่นเข้ามาอ่านจะได้ทราบว่า นี้เป็นเพียงความเห็นของคนๆหนึ่งเท่านั้น อาจผิดถูกเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริงก็ได้  ไม่ได้ยกมาจากคัมภีร์ หรือหนังสือที่ไหน  เป็นเพียงความคิดๆหนึ่งที่แสดงออกมา ผมจึงต้องพิมพ์ให้ชัดเจนกันผู้อ่านเขาเข้าใจผิด คิดว่าผมไปเอาความรู้มาจากไหน ท่านผู้อ่านจะได้พิจารณาคิดก่อนเชื่อ เพราะผมกลัวว่าจะเป็นบาปหากพาเขาเข้าใจผิด
วันนี้พิมพ์เยอะหน่อยนะครับ นานๆมาที แต่ขอบอกตามตรงว่าขอความที่พิมพ์นี้พิมพ์เพื่อแสดงความคิดเห็นเท่านั้นนะครับ ไม่ได้เป็นการตอบโต้ทางเว็บบอร์ดแต่อย่างได พยายามหาข้อความที่ตรงไปตรงมาและนุ่มนวลแต่ก็ต้องขอกล่าวเพื่อกันการเข้าใจผิดไว้ก่อนครับ
ทิ้งท้ายด้วย ผมคิดว่า คนเรานั้นยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ถ้าเราจิตใจของเราให้สะอาดตั้งอยู่บนบุญกุศล สิ่งเหล่านั้นก็จะเป็นกำลังทำให้เราดีขึ้นเรื่อยๆ  จนเป็นสุขและเข้าใจธรรมะที่ถูกต้องตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนได้ ในวันหนึ่งครับ ยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #30 เมื่อ: วันที่ 18 สิงหาคม 2014, 22:39:24 »

ไหว้สา พระธัมมวินัย สายบุญ

ผมคาดเดา ว่า ฝ่ายมหายานได้แต่งเอาเอง 
เพื่อ ให้เห็นความสำคัญ ของ มนตราปารมิตา   เอาพระแม่กวนอิม หรือ อวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ กับ พระสารีบุตรเป็น ตัวเอกในการเดินเรื่อง

ขันธ์ 5 เป็น ความว่าง  อนัตตา มิใช่ตัวตน  คือ  สิ่งสมมุติ  คือแก่นธัมมะ จาก ปารมิตามนตรา

มนตรา มีพลัง แต่ พระพุทธเจ้า หาได้ให้ความสำคัญแก่มนตรา ให้เหนือกว่าพระธัมมวินัย    ในโมรปริตร อันเป็น มนตราหนึ่ง มีในพระธัมมวินัย อยู่ในชาดกอดีตชาติพระยานกยูงทองมหาโพธิสัตว์ ก็คือ พระศากยมุนีนี้

พระยายูงทอง ท่องมนตราประจำ พอโดนจับถวายพระยามหากษัตริย์ นกยูงได้เล่าถวายเจ้าพระยาผู้นั้น ได้ทรงทราบบังเกิดจิตเมตตาการุณย์ รอดจากความตายคราโน้น

พระพุทธเจ้าทรงพบเจอด้วยพระองคเอง  แต่ ยังยกเอาพระพุทธะ พระธัมมะ พระสังฆะ เป็น รัตนสามอันสูงสุด   คือ  ไตรสรณคม

ไม่ทรง ผนวก ว่า  ปารมิตา สรณังคัจฉามิ     มิฉะนั้น จะมี จะเป็น   จตุสรณคม


สาธุ ครับ 

หนานธง สนใจวิถีมหายาน มาจากการที่คุณพ่อซิมบุ่นอิม หรือ นายบุญอิ่ม(แซ่ซิ้ม) โสรัจจกิจ  ผู้เป็นพ่อ นำพาผมไปเปิดหูเปิดตา  พาเที่ยวเข้าไปชมวัดจีนนิกาย ที่แปดริ้ว
ครานั้น นับว่าพ่อเป็น คนแรกของโลก ในชีวิตข้าพเจ้าตั้งเมื่อละอ่อน พาลูกบ่าว ไปไหว้สรีระร่างกายหลวงจีนที่ตายไม่เน่าเปื่อยในท่านั่งสมาธิภาวนา

เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดของผมที่เห็น คนตายไม่เน่าเปื่อย 




IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
fulltime
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 131


« ตอบ #31 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2014, 10:12:52 »

ที่จริงแล้วผมก็ยังไม่เข้าใจความหมายที่ท่านต้องการจะสื่อนะครับ เอาเป็นว่าขอชี้แจงตามความเข้าใจเป็นข้อๆล่ะกันครับผิดถูกประการใดต้องขออภัยด้วยครับ ยิ้ม

ขออนุญาติครับ  ท่าน สบายแมน

ในปรัชญาปารมิตรากล่าวไว้ว่า  รูป เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ ล้วนเป็นของว่าง

ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า ตามความเห็นของผม  ผมคิดว่า  ก็ไม่ใช่ความจริงซิครับ (*ตรงนี้ที่ยังไม่เข้าใจครับ)
เพราะถ้า  รูป  เวทนา สัญญา  สังขาร  วิญาณ  ล้วนเป็นของว่าง  แล้ว  จะมีตัวผมเป็นคน

แสดงความเห็น  หรือ มีผมมาคิดได้อย่างไร ? (ตามความเห็นของผม ผมคิดว่า ตัวเรานั้นก็เป็นความจริงครับ แต่ตั้งอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง "พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ว่าสิ่งต่างๆนั้นไม่เที่ยง ไม่ได้หมายความว่าไม่เป็นความจริงครับ" )

ความเห็น และความคิดที่กล่าวมาทั้งหมด  

จึงเป็นเรื่องของความคิดที่เกิดจาก  สังขาร เขา  เมื่อสังขาร เกิดขึ้นชั่วขณะแล้วดับไปแล้ว  

มันจึงกลายเป็นของว่าง  ตามปรัชญาปารมิตรากล่าวไว้ (ตรงความเห็นนี้ผมก็ยังไม่แจ้ง เฉพาะประโยคที่ท่านพิมพ์ก่อนนะครับไม่เกี่ยวกับความหมายของปัชญาปารมิตา เพราะถ้าคิดแบบนั้นแล้วกุศลและอกุศล บาปบุญ ผลของกรรมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าคิดแบบนั้นคนก็จะไม่กลัวบาปกลัวกรรม ไม่เชื่อเรื่องกุศลผลบุญ ถ้าเกิดคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไม่เป็นความจริงใช่ไหมครับ)
[/color]

ตรง * ที่บอกว่ายังไม่เข้าใจ เพราะไม่เข้าใจความหมายวjk ท่านจะบอกว่าความคิดเห็นของผมนั้นไม่เป็นความจริงหรือปล่าว ถ้าตามนี้ก็ขอตอบตามข้อความผิดถูกที่ตอบไปก่อนหน้านั้นครับ
แต่ถ้าหมายความว่าตัวผมนั้นเป็นของว่าง ก็ขอตอบตามข้อความตัวสีน้ำเงินที่พิมพ์ไป และอีกประการหนึ่งในการพิมพ์ตอบคำถามผมก็ไม่ได้ใช้ปรัชญาปารมิตาตอบ เหตุเพราะไม่รู้วิธีใช้หรือความหมายที่แท้จริงครับ แล้วมันจะใช่ความว่างจริงหรือปล่าว
 ผมคิดว่าในที่นี่ก็ยังไม่มีใครที่รู้ความหมายที่แท้จริงของปรัชญาปารมิตาอันลึกซึ้ง เพราะขนาดพระสารีบุตรพระอรหันต์ผู้มีปัญญายังต้องทูลถามความหมายกับพระโพธิสัตว์ จึงยากที่ปุถุชนธรรมดาจะมาอธิบายได้ถึงความหมายที่แท้จริงลึกซึ่ง หรือหากใครทราบก็อาจเป็นเรื่องของปัจจัตตังซึ่งอธิบายให้เข้าใจได้ยากเป็นเรื่องรู้เฉพาะบุคคล เหมือนดังผมบอกว่าสีแดง หลายคนก็รู้จักสีแดงแต่แดงแบบไหนอย่างไรก็ไม่อาจอธิบายให้เข้าใจเหมือนได้ยกเว้นเข้าคนนั้นจะได้เห็น
ส่วนข้อความที่ผมพิมพ์ว่า “ผมเห็นว่า , ตามความเห็นของผม หรือประโยคที่เน้นว่าเป็นความคิดของผม “ นั้นเป็นเพราะในการสนทนานี้ ถ้าหากท่านผู้อื่นเข้ามาอ่านจะได้ทราบว่า นี้เป็นเพียงความเห็นของคนๆหนึ่งเท่านั้น อาจผิดถูกเป็นความจริงหรือไม่เป็นความจริงก็ได้  ไม่ได้ยกมาจากคัมภีร์ หรือหนังสือที่ไหน  เป็นเพียงความคิดๆหนึ่งที่แสดงออกมา ผมจึงต้องพิมพ์ให้ชัดเจนกันผู้อ่านเขาเข้าใจผิด คิดว่าผมไปเอาความรู้มาจากไหน ท่านผู้อ่านจะได้พิจารณาคิดก่อนเชื่อ เพราะผมกลัวว่าจะเป็นบาปหากพาเขาเข้าใจผิด
วันนี้พิมพ์เยอะหน่อยนะครับ นานๆมาที แต่ขอบอกตามตรงว่าขอความที่พิมพ์นี้พิมพ์เพื่อแสดงความคิดเห็นเท่านั้นนะครับ ไม่ได้เป็นการตอบโต้ทางเว็บบอร์ดแต่อย่างได พยายามหาข้อความที่ตรงไปตรงมาและนุ่มนวลแต่ก็ต้องขอกล่าวเพื่อกันการเข้าใจผิดไว้ก่อนครับ
ทิ้งท้ายด้วย ผมคิดว่า คนเรานั้นยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ถ้าเราจิตใจของเราให้สะอาดตั้งอยู่บนบุญกุศล สิ่งเหล่านั้นก็จะเป็นกำลังทำให้เราดีขึ้นเรื่อยๆ  จนเป็นสุขและเข้าใจธรรมะที่ถูกต้องตามที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสอนได้ ในวันหนึ่งครับ ยิ้ม


           ขออนุญาติครับท่าน สบายแมน

           ผมขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านสบายแมนอีกครั้ง  ที่จะพยายามอธิบาย

ปรัชญามิตตรา  เพื่อให้เกิดความเข้าใจต่อผู้ที่สนใจ

           ผมเห็นด้วยกับเหตุและผล  ที่ท่านได้แสดงความคิดเห็นมาทั้งหมดครับ ท่านสบาย

แมน  ถ้าท่านถูก  เราก็ถูกทั้งสองคนครับ  ถ้าท่านผิด  เราก็ผิดทั้งสองคนครับ  ถ้าเราสองคน

ยังหลงเรื่องผิด ๆ ถูก ๆ   เกิดมีคนว่าเราสองคนผิด  มันก็ต้องมีการอธิบายโต้ตอบกันไปมา 

แล้วความผิดและถูกมันจะจบลงตรงไหน ?

            แต่ถ้าเราสองคนไม่หลงเรื่องผิด ๆ ถูก ๆ  เพราะเข้าใจตามที่พระพุทธองค์ตรัสบอก

ว่า มันไม่เที่ยง  เป็นทุกข์ มันเป็นอนัตตา  ไม่ใช่ตัวใช่ตนที่จะยึดไว้ได้  มันจะไปมีปัญหาไหม

ครับ ?

            ปัญหามันอยู่ที่เราต่างก็ยึดติดในความคิดของเรา  เลยสุข ทุกข์ กับเรื่องที่คิดหรือ

เปล่า ? 

            ตกลงกายและใจที่ชาวโลกเข้าใจว่าเป็นตัวเป็นตนนี่  มันเป็นตัวเป็นตนของเราได้

จริง ๆ หรือ ?  หรื่่อว่ามันไม่ใช่ตัวใช่ตน  แต่เป็นเพียงสิ่งที่เกิดจากเหตุ  คือจากความคิด 

แล้วหลงในความคิด จึงไปทำกรรม  ดีบ้าง ชั่วบ้าง  ตามที่พระพุทธองค์ตรัสบอกไว้ 

             ถ้ามันไม่ใช่ตัวตนของเรา  มันก็เป็นตัวตนที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ที่เกิด ๆ

ดับ ๆ  ของขันธ์ 5  เขา  เรื่องเกี่ยวกับตัวเราจะเป็นความจริงได้อย่างไร ?   ในเมื่อมีแต่ขันธ์

5  ที่เกิดมา       

              ผมพิมพ์ได้ช้ามาก  เพราะใช้เนทไม่ค่อยเป็น  จึงไม่อาจแสดงความคิดเห็นได้     

ยาว ๆ ต้องขอภัยถ้าทำให้สับสน 
















ุ่้

ุ้
ุ้
IP : บันทึกการเข้า
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #32 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2014, 21:02:31 »

ไหว้สา พระธัมมวินัย  สายยบุญ

ปารมิตาสูตร  ผู้แต่งเป็นอาจารย์ ท่านต้องการสื่อให้รู้  ว่า  ขันธ์ 5 เป็น  อนัตตา   มนตราคาถานี้ มุ่งเรื่อง ของ อนัตตา เป็นสำคัญ

อนัตตา ไม่มีตัวตน เป็นความว่าง สุญญตา  สัพพสิ่งล้วนสมมุติ ของโกหก หลอกลวง

อนัตตา เป็น ธัมมนิยาม ใน ไตรลักษณะ  ผู้ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง ธัมมอนัตตา ก็เกี่ยวพันกับอนิจจัง ทุกขัง ไปเอง ถึงกัน เข้าหากันได้

อวิชชา  วิชชา  ก็อนัตตา  ว่างสูญ          มี อวิชชา จึงมี วิชชา      มีวิชชา จึงมี อวิชชา  มีดำจึงมีขาว  มีขาวจึงมีดำ  ดำขาว  ขาวดำปล่อยให้มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น  

: ปล่อยหื้อมันอยู่หั้น ก็จะเป็น ความว่าง  สุญญตา อุเบกขา ป๋งวาง ปล่อยวาง                 ไม่มี หรือ มี ทั้งสิ้น     จริงไม่มี  ไม่จริงไม่มี  ว่าง ไม่ว่าง ก็ ไม่มีหรือมี

รูปัง  อนิจจัง รูปัง ทุกขัง รูปัง อนัตตา รูปไม่เที่ยง รูปเป็นทุกข์  รูปไม่มีตัวตน  ในมนตราคาถาเถรวาท ภาษาบาลี    ไปเป็น ภาษาสันสกฤตมหายาน คือ ปรัชญาปารมิตา

ผู้แต่งมนตรา ขึ้นมากลัวจะไม่ขลัง คือ ไม่เป็นที่ยอมรับนับถือสัทธาเลื่อมใส ของ ผู้ใด  จึง ยัดใส่พระโอษฐ์พระพุทธเจ้า พระสารีบุตร พระอวโลกิเตศวร  เป็น ตัวละคร ในปรัชญานี้

พระธัมมวินัยนี้  พระพุทธเจ้า ทรงตรัสสอนด้วยมคธบาลีภาษา  ภาษาของในจักรวาลนี้ เป็น พุทธประเพณีของนายกโลกทุกพระองคเจ้าที่ตั้งศาสนาขึ้น  แล้วทรงมีพุทธานุญาตให้เอาไปแปลสอนกันต่อด้วยภาษาสมมุติโลกตามภาษาของผู้เล่าเรียนศึกษาเอง เพื่อ ให้เข้าใจสะดวก

แต่ ต้องเอาพระบาลี เป็นแม่บท  ฝ่ายเถรวาท ทำตามพระศาสดา    ส่วนมหายาน ทำตามความคิดเห็น ของ ครูอาจารย์ที่สอนตน เอาแนวครูที่ตนถือ  เหมือน คำเมือง ว่า ศิษย์ต่างบ้าน  อาจารย์ต่างวัด  

บางทีมหายานอาจเรียกเป็น อาจาริยวาท  ทีนี้วัชรยาน แนวมนตราคาถาจิตวิญญาณทรงเจ้าเข้าผีแบบทิเบต นอกสายเถรวาทไป  ผู้ศึกษาแนวประวัติศาสนาพุทธ นักวิชาการศาสนาพุทธ  อาจอนุโลมเข้าเป็น แนวมหายาน


ในบทคาถา ให้ปล่อยวาง การที่ยึดมั่นในร่างกายสรีระ ว่า กายไม่งาม  ของ เถรวาท  บาลีเรียก บทอสุภกัมมัฏฐาน  ศุภะ สุภะคือ โสภา คือ งามสวย  อ คือ ไม่  อสุภ คือ ไม่สวย  เป็นการวางจิตไปตามบทคาถา ว่า กายไม่งาม  น่าเบื่ิอหน่าย

มหายาน สอนวางจิต ให้ ว่าง ๆ  อนัตตา  สวย งาม  ไม่สวย  ไม่งาม  นั้นมันก็ไม่มี หรือ มี    สวยก็สมมุติ  ไม่สวยก็สมมุติ   สมมุติ คือ หลอก คือ โกหก คือ ไม่จริง  ล้วนแต่ว่าง สุญญตา

สวย ก็ อนัตตา ไม่สวย ก็ อนัตตา  ไม่มีอะไร  มันเป็นอยู่อย่างนั้นนั่นแหละ  : ป่อยหื้อมันอยู่หั้นเตอะ  : เป็นอยู่อย่างนั้น : ตถคตา  : is  am  are          
ไปยึด ว่า สวย ก็ต้องมีสวย          ไปยึดว่า ไม่สวย ก็มี ไม่สวย เกิดขึ้นมา กลายเป็น ว่า เกิดอุปาทาน       ยึดว่า มีรูป ก็ต้องมีรูป หรือ ไม่มีรูป

                               ถ้ามา คิด ยึดติด  ว่า     มีรก ก็มี (ลบ) รก  

    ปารมิตาปรัชญา   ให้ละ อุปาทาน        


การ มี ไม่มี เป็น ไม่เป็น  วิชชา อวิชชา มีรูป ไม่มีรูป   เป็น ความว่าง ๆ ๆ  สุญญตา  โพธิสวาหะ  สภาวพุทธิปัญญาปารมีธัมมะ              

ย่อมข้ามจากฝั่งหนึ่ง ไปฝั่งสอง  จาก โลกิยธัมมะ ไปหาโลกุตรธัมะ  พ้นจาก สิ่งสมมุติ สิ่งโกหก สิ่งหลอกลวง  ไปสู่ พุทธปัญญา หลุดพ้นจาก ภาวะอันเป็น ทุกข์ยาก ลำบากใด ๆ


คนไม่ยอมคิด  มีมาก ๆ            คนคิด แต่ ไม่ได้ คิดไม่ออก มีมาก            คนคิดได้ คิดออก มีน้อย        คนคิดได้ แล้วทำได้ด้วย  ยิ่งมีน้อย


             พระพุทธเจ้า ท่านเอาไปเปรียบเป็น   เขาโค กับ ขนโค  


แม้ กระนั้น ผู้ทำได้ ละวางอุปาทาน หลุดพ้นโลกิยะ  เข้าภาวะพ้นทุกข์ โพ้นโลก เป็น โลกุตรธัมมะ ไปแล้ว  มีจำนวนที่น้อยที่สุด คือ ผู้พ้นทุกข์ระดับเป็น พระพุทธเจ้าที่มีมาแล้ว แต่ในอดีต ก็ ยังมีมากกว่า เม็ดทราย ใน มหาสมุทร เสียอีก


ธัมมทานนี้ จักมี ความดีงาม ฉลาดหลวกแหลม ใดๆ ที่หนานธง พึงมี พึงได้      ขอจงมี แด่ สายบุญทุกดวงจิต ในจักรวาล ฮอด อนันตจักรวาล


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 21 สิงหาคม 2014, 23:07:19 โดย nantong » IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
naylex
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,993



« ตอบ #33 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2014, 21:49:13 »

หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพาน3 เดือน พระสงฆ์จำนวน500รูป
ผู้ที่ได้ฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า
ทำสังคายนา  ณ ถ้าสัตบรรณคูหา เกิดเป็นพระไตรปิฎก เกิดเป็นนิกายเถรวาท
มีความเคร่งครัดตามคำสอนที่เชื่อว่าตรงและใกล้เคียงกับคำสอนของพระพุทธเจ้ามากที่สุด

แต่ด้วยเหตุที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับพระอานนท์ไว้ว่า
“ดูกรอานนท์ โดยกาลล่วงไปแห่งเรา ถ้าสงฆ์ต้องการก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียบ้างก็ได้” (มหาปรินิพพานสูตร 10/141) พุทธดำรัสดังกล่าวไม่ชัดเจนเพียงพอ ทำให้เกิดมีปัญหาในการตีความว่า สิกขาบทไหนเรียกว่าเล็กน้อย

ต่อมาอีก100 ปี เมื่อมีการสังคายนาอีกครั้ง ในครั้งนี้สงฆ์ส่วนใหญ่ มหาสังฆิกะ
แยกตนออกจากเถรวาทเดิม ด้วยขัดแย้งเรื่องข้อวัตรปฏิบัติ เกิดเป็นนิกายต่างๆ 18 นิกาย

ต่อมาถึงราวพุทธศตวรรษที่ 5 ก็เกิดกลุ่มสงฆ์และคฤหัสถ์ เรียกตัวเองว่า มหายาน
ซึ่งคาดว่าเกิดมาจากมหาสังฆนิกาย ผสมกับปรัชญาของอีก18นิกาย รวมถึงเถรวาทเดิมด้วย กำเนิดเป็นลัทธิมหายานขึ้นมา

ในชั้นแรก มหายานทัศนะตรงกับเถรวาทที่ว่า พระพุทธเจ้ามีพระกายเพียง 2 เท่านั้นคือ ธรรมกาย และ นิรมานกาย แต่ต่อมา ฝ่ายมหายานกำหนดให้พระพุทธเจ้ามีกายที่3เพิ่มขึ้น
คือ สัมโภคกาย ซึ่งมีแต่พระโพธิสัตว์เท่านั้นที่จะเห็นกายนี้ เป็นทิพยภาวะมีรัศมีรุ่งเรืองแผ่ซ่านทั่วไป
พระพุทธองค์ยังทรงอาจสดับคำสวดมนต์ต์ของเรา แม้พระองค์จะดับขันธปรินิพพานไปแล้วก็ดี ทั้งนี้ก็ด้วยการดับขันธปรินิพพานนั้นเป็นเพียงการสำแดงให้เห็นปรากฏในรูปนิรมานกายเท่านั้น

ความคิดเรื่องสัมโภคกายนี้ มหายานได้รับจากนิกายมหาสังฆิกะ และในหมู่คณาจารย์ของมหายานก็ไม่มีความเห็นพ้องกันในเรื่องนี้

หลักสำคัญของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน คือโพธิสัตวภูมิเป็นเหตุ พุทธภูมิเป็นผล
งอยู่ที่การบำเพ็ญบารมีตามแนวทางพระโพธิสัตว์ เพื่อนำพาสรรพสัตว์สู่ความหลุดพ้นจากวัฏสงสารให้หมดสิ้น

พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมิได้ปฏิเสธ พระไตรปิฎกดั้งเดิม หากแต่ถือว่าอาจยังไม่เพียงพอ เนื่องจากเกิดมีแนวคิดว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นโลกุตรสภาวะ ไม่อาจดับสูญ ที่ชาวโลกคิดว่าพระพุทธองค์ดับสูญไปแล้วนั้นเป็นเพียงภาพมายาของรูปขันธ์ แต่พระธรรมกายอันเป็นสภาวธรรมของพระองค์เป็นธาตุพุทธะบริสุทธิ์ยังดำรงอยู่ต่อไป


มหายานถือว่ามนุษย์ทุกคนมี พุทธธาตุ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า หากมีกิเลสอวิชชาบดบังธาตุพุทธะจึงไม่ปรากฏมหายานมีแนวคิดว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิและมีความสามารถที่จะบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ และสามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ หากฝึกฝนชำระจิตใจจนบริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยบารมีทั้ง 10 ประการ

พระโพธิสัตว์ของฝ่ายมหายานจึงมีมากมาย แม้พระพุทธเจ้าก็มีปริมาณที่ไม่อาจคาดคำนวณได้ และพระโพธิสัตว์ทุกองค์ย่อมโปรดสรรพสัตว์เช่นเดียวกับจริยาของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระโพธิสัตว์จึงมีน้ำหนักเท่ากับพระไตรปิฎก ในพุทธศาสนามหายานจึงมีคัมภีร์สำคัญระดับเดียวกับพระไตรปิฎกเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก เพื่อให้เหมาะสมกับจริตและอินทรีย์ของสรรพสัตว์แต่ละจำพวก อีกทั้งเพื่อเป็นกุศโลบายในการสั่งสอนพุทธธรรม ทั้งนี้ก็เพื่อเจตจำนงจะเกื้อกูลสรรพชีวิตทั้งมวลให้ถึงพุทธรรมและบรรลุความหลุดพ้นจากสังสารวัฏ

คัมภีร์ของมหายานดั้งเดิมเขียนขึ้นด้วยภาษาสันสกฤต แต่ก็มิใช่สันสกฤตแท้ หากเป็นภาษาสันสกฤตที่ปะปนกับภาษาปรากฤตตลอดจนบาลีและภาษาท้องถิ่นอื่นๆ เรียกว่าภาษาสันสกฤตทางพุทธศาสนา

แม้นว่ามหายานจะมีทั้งพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม แต่พระวินัยของมหายานนั้น นอกจากจะมี 250 ข้อแล้ว ยังไม่ได้เป็นหมวดหมู่แบบเถรวาท สังฆกรรมต่าง ๆ ของฝ่ายมหายานต้องใช้คัมภีร์วินัยของสรวาสติวาท ธรรมคุปตะ มหาสังฆิกะ และมหิศาสกะ
ดังนั้น กุลบุตรฝ่ายมหายานเมื่ออุปสัมปทากรรมแล้วก็จะต้องรับศีลโพธิสัตว์
ห้ามภิกษุฉันเนื้อสัตว์ ของสดคาว และหัวหอม หัวกระเทียม เพราะสิ่งเหล่านี้ช่วย ส่งเสริมให้เกิดกำหนัดราคะกางกั้นจิตมิให้บรรลุสมาธิ และการกินเนื้อสัตว์นี้อาจกินถูกเนื้อบิดามารดาในชาติก่อน ๆ ของตน ผู้รับศีลโพธิสัตว์จึงต้องถือมังสะวิรัติอย่างเคร่งครัด

ยาวนิดหนึ่งครับ ไม่อยากตั้งกระทู้มากครับ
เครดิต : วิกิพีเดีย ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 19 สิงหาคม 2014, 21:51:39 โดย naylex » IP : บันทึกการเข้า

ปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดั่งใจจง
naylex
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,993



« ตอบ #34 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2014, 22:11:22 »

หีนยาน (บาลี; สันสกฤต: हीनयान Hīnayāna) แปลว่า ยานชั้นเลวหรือยานชั้นต่ำ เป็นคำที่คณาจารย์ฝ่ายมหายานใช้เรียกแนวการปฏิบัติใด ๆ ในศาสนาพุทธที่ไม่ได้ยึดแนวทางแบบพระโพธิสัตว์ แต่เน้นการปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้นเฉพาะตนแบบพระสาวกหรือพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงเรียกอีกอย่างว่าสาวกยานและปัจเจกยาน ต่างจากมหายานซึ่งเป็นแนวทางที่เน้นให้ผู้ปฏิบัติเป็นพระโพธิสัตว์บำเพ็ญบารมีมุ่งบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อจะได้ช่วยเหลือสรรพสัตว์จำนวนมากได้พ้นทุกข์ตามไปด้วย แนวทางอย่างหลังนี้จึงเรียกว่า มหายาน แปลว่ายานใหญ่

คำว่า “หีนยาน” และ “มหายาน” ปรากฏครั้งแรกในคัมภีร์ปรัชญาปารมิตาสูตร ต่อมามีคณาจารย์พระพุทธศาสนาช่วงพุทธศตวรรษที่ 6 ได้ปฏิรูปคำสอนและการปฏิบัติในพระพุทธศาสนา โดยถือเอาวิถีทางพระโพธิสัตว์เป็นอุดมคติแทนที่การบรรลุเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้ ซึ่งเป็นแนวปฏิบัติดั้งเดิมที่มีมาตั้งแต่ศาสนาพุทธยุคแรก จึงเรียกกลุ่มตนเองว่า มหายาน และเรียกกลุ่มเดิมว่า หีนยาน โดยมีนิกายเถรวาทเป็นหนึ่งในนั้น อย่างไรก็ตามหีนยานกลุ่มที่มหายานวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดคือนิกายสรวาสติวาท (ซึ่งต่อมาได้แตกออกเป็นไวภาษิกะและเสาตรานติกะ)

เครดิต : วิกิพีเดีย ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า

ปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดั่งใจจง
naylex
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,993



« ตอบ #35 เมื่อ: วันที่ 19 สิงหาคม 2014, 23:01:42 »

 พระเจ้ากนิษกะมหาราช กษัตริย์องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์กุษาณะ (ศตวรรษที่ 1 แห่งคริสต์ศักราช) ทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกพระองค์แรกของนิกายมหายาน ได้ทรงปลูกฝังพระพุทธศาสนามหายานอย่างมั่นคงในราชอาณาจักรของพระองค์ และทรงส่งธรรมทูตออกเผยแพร่ยังนานาประเทศ เปรียบได้กับพระเจ้าอโศกมหาราชของฝ่ายเถรวาท

เชื่อกันว่ากษัตริย์ ในสมัยอาณาจักรนครศรีธรรมราช (ศรีวิชัย) มีพระนามอย่างเป็นทางการว่า พระเจ้าจันทรภาณุ เป็นกษัตริย์พระองค์ที่ 2 ของราชวงศ์ศรีธรรมาโศกราช เชื่อว่ามีพระวรกายเป็นสีเข้ม เป็นกษัตริย์นักรบที่แกร่งกล้า เมื่อสถาปนาอาณาจักรศรีวิชัยได้อย่างมั่นคงแล้ว จึงได้สมัญญานามว่า "ราชันดำแห่งทะเลใต้" หรือมีอีกราชสมัญญานามนึงว่า "พญาพังพกาฬ" และต่อมาสำเร็จวิชาจตุคามศาสตร์ และทรงบำเพ็ญบุญเพื่อสร้างบารมีอธิษฐานจิตเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อบรรเทาทุกข์แก่มนุษย์ทั้งปวง
ปัจจุบันเรารู้จักและเคารพบูชาท่านในพระนาม องค์จุตคามรามเทพ


เครดิต : วิกิพีเดีย ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ ยิ้มกว้างๆ
IP : บันทึกการเข้า

ปรารถนาสารพัดในปฐพี เอาไมตรีแลกได้ดั่งใจจง
harmony
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 144


« ตอบ #36 เมื่อ: วันที่ 20 สิงหาคม 2014, 10:14:26 »

ที่ออกจากทุกข์ไม่ได้ พ้นทุกข์ไม่ได้ ดับทุกข์ ไม่ได้เพราะว่า
1. เกียจคร้านในการปฏิบัติ เกียจคร้านในการแสวงหาวิธีการปฏิบัติ
2. หัวดื้อรั้นไม่ฟังความคิดความเห็นใคร หลงงมงาย เชื่อในสิ่งที่ไม่มีเหตุผล
3. เป็นคนบ้ากาม คำว่า กาม หมายถึง กิน นอน เที่ยว เล่น สืบพันธ์ สนุกสนานไปวัน ๆ
    แล้วก็ อุบัติเหตุ เจ็บ ป่วย แล้วก็ตายไป
IP : บันทึกการเข้า
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #37 เมื่อ: วันที่ 20 สิงหาคม 2014, 23:14:36 »

ไหว้สา พระธัมมวินัย สายบุญ

ว่าด้วยเรื่อง ปรัชญาปารมิตา ความหมาย

ปรัชญา น่าจะมาจากคำว่า ปัญญา  อันหมายถึง ความรู้ รู้รอบ รู้กว้าง รู้ลึก การรู้จักแยกแยะได้ 

ความรู้ ปัญญา มีทั้งแบบโลกิยะ แบบโลกุตรธัมมะ             ความรู้ในการหาอยู่ หากิน นี่เป็น ระดับโลก  โลกิยธัมมะ   ความรู้ในพระสัทธัมมะระดับพ้นทุกข์ได้ เป็น โลกุตรธัมมะ

ปารมิตา  น่าจะมาจาก ปารมี คือ บารมี  หมายถึง  ความเพียบพร้อม  ความพร้อม ความสมควร   

อย่างคำว่า คนมีบุญบารมี หมายว่า คนผู้มีความพร้อมในความดีงามตามสมควรระดับหนึ่ง  ผู้มาเกิด เป็น คน  พระว่า มีบุญบารมี พอสมควรมีศีล 5 จึงเป็น คนปกติ 
คนมีเหตุดีบุญหนุนแตกต่างกันออกไปอีก มีกัมม์ส่วนตัว เกิดมาแล้วก็ได้รับผลกัมม์ตามเหตุ ที่ส่งผลต่างกันไป  แม้นคู่แฝด ยังมีความเหมือนที่แตกต่างกันไป

ปรัชญาปารมิตา  ปัญญาปารมี  สื่อให้  รู้ละอุปาทาน การยึดติด                มี ก็ไม่มี  ไม่มี ก็ไม่มี           เพราะ ว่า มี จึงไม่มี เพราะ ไม่มี จึง มี  เพราะว่า มีขาว  เลยมีดำ  มีดำ จึงมีขาว         มีอวิชชา  จึงมี วิชชา       

โพ้น จาก อุปาทานอย่างเด็ดขาด     เหนือกว่าจากการยึดว่า มี ไม่มี ตามสมมุติ อันหลอก ๆ ของ  โลกิยะ     จึงจะเป็น โลกุตระ


                                                  ด้วยปัญญาปารมี ความรู้รอบกว้างไกล ใน พุทธธัมมะ

พุทธมหายาน  แนวเขา ดี แต่มีตำหนิ มีรอยบอบช้ำ ชอบเล่นของสูง  อย่างการ เอาพระพุทธเจ้า มานั่งเป็น ประธาน เอาพระสารีบุตร มาสอบถามเจ้าแม่กวนอิม คือ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ แล้ว พระอวโลกิ์ จึงสอน การทำปัญญาปารมีให้พระสารีบุตร  มหาสาวกผู้เลิศด้วยปัญญา  ยกให้เจ้าแม่กวนอิมมีปัญญาเหนือกว่าพระอรหันต์  พระอวโลกิ์ได้ปัญญาปารมีแล้ว จึงสำเร็จเป็นอรหันต์

การเป็น อรหันต์ คือ หมดอวิชชา ตรัสรู้ธัมม์ การรู้แจ้งธัมมะสูงสุด  ผู้อรหันตบุคคล หากไม่ทำการบวชในพุทธศาสนา จะดับขันธปรินิพพาน ตายในวันนั้น  บ้าง ว่า ตายใน 7 วัน ด้วยเพศคฤหัสถ์รองรับไม่ได้

โพธิสัตว์ คือ  ผู้มีตัณหา  ความอยาก ในการสั่งสมความดีงามสะสมบุญ ทำความพร้อมคือปารมีธัมมะ  เพื่อทำพุทธภูมิ ตั้งพระศาสนาพุทธ หลังพุทธันดร ต่อกับพุทธกาลใหม่


ผลบุญใด จาก ธัมมทานนี้  ขอจงมี แด่ พ่อแม่ บุพพการีชน อีกทั้ง สายบุญ ทุกดวงจิต ในจักรวาล ฮอด อนันตจักรวาลด้วยเทอญ

สาธุ ๆ ๆ  อนุโมทามิ




IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
fulltime
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 131


« ตอบ #38 เมื่อ: วันที่ 21 สิงหาคม 2014, 08:09:50 »

ไหว้สา พระธัมมวินัย  สายยบุญ

ปารมิตาสูตร  ผู้แต่งเป็นอาจารย์ ท่านต้องการสื่อให้รู้  ว่า  ขันธ์ 5 เป็น  อนัตตา   มนตราคาถานี้ มุ่งเรื่อง ของ อนัตตา เป็นสำคัญ

อนัตตา ไม่มีตัวตน เป็นความว่าง สุญญตา  สัพพสิ่งล้วนสมมุติ ของโกหก หลอกลวง

อนัตตา เป็น ธัมมนิยาม ใน ไตรลักษณะ  ผู้ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง ธัมมอนัตตา ก็เกี่ยวพันกับอนิจจัง ทุกขัง ไปเอง ถึงกัน เข้าหากันได้

อวิชชา  วิชชา  ก็อนัตตา  ว่างสูญ          มี อวิชชา จึงมี วิชชา      มีวิชชา จึงมี อวิชชา  มีดำจึงมีขาว  มีขาวจึงมีดำ  ดำขาว  ขาวดำปล่อยให้มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น 

: ปล่อยหื้อมันอยู่หั้น ก็จะเป็น ความว่าง  สุญญตา อุเบกขา ป๋งวาง ปล่อยวาง                 ไม่มี หรือ มี ทั้งสิ้น     จริงไม่มี  ไม่จริงไม่มี  ว่าง ไม่ว่าง ก็ ไม่มีหรือมี

รูปัง  อนิจจัง รูปัง ทุกขัง รูปัง อนัตตา รูปไม่เที่ยง รูปเป็นทุกข์  รูปไม่มีตัวตน  ในมนตราคาถาเถรวาท ภาษาบาลี    ไปเป็น ภาษาสันสกฤตมหายาน คือ ปรัชญาปารมิตา

ผู้แต่งมนตรา ขึ้นมากลัวจะไม่ขลัง คือ ไม่เป็นที่ยอมรับนับถือสัทธาเลื่อมใส ของ ผู้ใด  จึง ยัดใส่พระโอษฐ์พระพุทธเจ้า พระสารีบุตร พระอวโลกิเตศวร  เป็น ตัวละคร ในปรัชญานี้

พระธัมมวินัยนี้  พระพุทธเจ้า ทรงตรัสสอนด้วยมคธบาลีภาษา  ภาษาของในจักรวาลนี้ เป็น พุทธประเพณีของนายกโลกทุกพระองคเจ้าที่ตั้งศาสนาขึ้น  แล้วทรงมีพุทธานุญาตให้เอาไปแปลสอนกันต่อด้วยภาษาสมมุติโลกตามภาษาของผู้เล่าเรียนศึกษาเอง เพื่อ ให้เข้าใจสะดวก

แต่ ต้องเอาพระบาลี เป็นแม่บท  ฝ่ายเถรวาท ทำตามพระศาสดา    ส่วนมหายาน ทำตามความคิดเห็น ของ ครูอาจารย์ที่สอนตน เอาแนวครูที่ตนถือ  เหมือน คำเมือง ว่า ศิษย์ต่างบ้าน  อาจารย์ต่างวัด 

บางทีมหายานอาจเรียกเป็น อาจาริยวาท  ทีนี้วัชรยาน แนวมนตราคาถาจิตวิญญาณทรงเจ้าเข้าผีแบบทิเบต นอกสายเถรวาทไป  ผู้ศึกษาแนวประวัติศาสนาพุทธ นักวิชาการศาสนาพุทธ  อาจอนุโลมเข้าเป็น แนวมหายาน


ในบทคาถา ให้ปล่อยวาง การที่ยึดมั่นในร่างกายสรีระ ว่า กายไม่งาม  ของ เถรวาท  บาลีเรียก บทอสุภกัมมัฏฐาน  ศุภะ สุภะคือ โสภา คือ งามสวย  อ คือ ไม่  อสุภ คือ ไม่สวย  เป็นการวางจิตไปตามบทคาถา ว่า กายไม่งาม  น่าเบื่ิอหน่าย

มหายาน สอนวางจิต ให้ ว่าง ๆ  อนัตตา  สวย งาม  ไม่สวย  ไม่งาม  นั้นมันก็ไม่มี หรือ มี    สวยก็สมมุติ  ไม่สวยก็สมมุติ   สมมุติ คือ หลอก คือ โกหก คือ ไม่จริง  ล้วนแต่ว่าง สุญญตา

สวย ก็ อนัตตา ไม่สวย ก็ อนัตตา  ไม่มีอะไร  มันเป็นอยู่อย่างนั้นนั่นแหละ  : ป่อยหื้อมันอยู่หั้นเตอะ  : เป็นอยู่อย่างนั้น : ตถคตา  : is  am  are         
ไปยึด ว่า สวย ก็ต้องมีสวย          ไปยึดว่า ไม่สวย ก็มี ไม่สวย เกิดขึ้นมา กลายเป็น ว่า เกิดอุปาทาน       ยึดว่า มีรูป ก็ต้องมีรูป หรือ ไม่มีรูป

                                ถ้ามา คิด ยึดติด  ว่า    มีรก ก็มี (ลบ) รก 

      ปารมิตาปรัชญา   ให้ละ อุปาทาน          


การ มี ไม่มี เป็น ไม่เป็น  วิชชา อวิชชา มีรูป ไม่มีรูป   เป็น ความว่าง ๆ ๆ  สุญญตา  โพธิสวาหะ  สภาวพุทธิปัญญาปารมีธัมมะ               

ย่อมข้ามจากฝั่งหนึ่ง ไปฝั่งสอง  จาก โลกิยธัมมะ ไปหาโลกุตรธัมะ  พ้นจาก สิ่งสมมุติ สิ่งโกหก สิ่งหลอกลวง  ไปสู่ พุทธปัญญา หลุดพ้นจาก ภาวะอันเป็น ทุกข์ยาก ลำบากใด ๆ


คนไม่ยอมคิด  มีมาก ๆ            คนคิด แต่ ไม่ได้ คิดไม่ออก มีมาก            คนคิดได้ คิดออก มีน้อย        คนคิดได้ แล้วทำได้ด้วย  ยิ่งมีน้อย


             พระพุทธเจ้า ท่านเอาไปเปรียบเป็น    เขาโค กับ ขนโค  


แม้ กระนั้น ผู้ทำได้ ละวางอุปาทาน หลุดพ้นโลกิยะ  เข้าภาวะพ้นทุกข์ โพ้นโลก เป็น โลกุตรธัมมะ ไปแล้ว  ระดับน้อยที่สุด คือ ระดับเป็น พระพุทธเจ้าในอดีต ก็ ยังมีมากกว่า เม็ดทราย ใน มหาสมุทร เสียอีก


ธัมมทานนี้ จักมี ความดีงาม ฉลาดหลวกแหลม ใดๆ ที่หนานธง พึงมี พึงได้      ขอจงมี แด่ สายบุญทุกดวงจิต ในจักรวาล ฮอด อนันตจักรวาล


              สาธุ  สาธุ  สาธุ

         ผู้เห็นแสงสว่างอยู่ในความมืด  สมควรแก่การคารวะ
IP : บันทึกการเข้า
nantong
ปั๋น กั๋นฮู้ แล้วก่อยเอาไปกึ๊ดอ่าน กั๋น แหมกำ อาจมีผิดถูก ฯ
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,579



« ตอบ #39 เมื่อ: วันที่ 21 สิงหาคม 2014, 23:02:52 »

ไหว้สา พระธัมมวินัย  สายยบุญ

ปารมิตาสูตร  ผู้แต่งเป็นอาจารย์ ท่านต้องการสื่อให้รู้  ว่า  ขันธ์ 5 เป็น  อนัตตา   มนตราคาถานี้ มุ่งเรื่อง ของ อนัตตา เป็นสำคัญ

อนัตตา ไม่มีตัวตน เป็นความว่าง สุญญตา  สัพพสิ่งล้วนสมมุติ ของโกหก หลอกลวง

อนัตตา เป็น ธัมมนิยาม ใน ไตรลักษณะ  ผู้ใคร่ครวญ ไตร่ตรอง ธัมมอนัตตา ก็เกี่ยวพันกับอนิจจัง ทุกขัง ไปเอง ถึงกัน เข้าหากันได้

อวิชชา  วิชชา  ก็อนัตตา  ว่างสูญ          มี อวิชชา จึงมี วิชชา      มีวิชชา จึงมี อวิชชา  มีดำจึงมีขาว  มีขาวจึงมีดำ  ดำขาว  ขาวดำปล่อยให้มันเป็นของมันอยู่อย่างนั้น  


                        ฯลฯ 



มหายาน สอนวางจิต ให้ ว่าง ๆ  อนัตตา  สวย งาม  ไม่สวย  ไม่งาม  นั้นมันก็ไม่มี หรือ มี    สวยก็สมมุติ  ไม่สวยก็สมมุติ   สมมุติ คือ หลอก คือ โกหก คือ ไม่จริง  ล้วนแต่ว่าง สุญญตา

สวย ก็ อนัตตา ไม่สวย ก็ อนัตตา  ไม่มีอะไร  มันเป็นอยู่อย่างนั้นนั่นแหละ  : ป่อยหื้อมันอยู่หั้นเตอะ  : เป็นอยู่อย่างนั้น : ตถคตา  : is  am  are          
ไปยึด ว่า สวย ก็ต้องมีสวย          ไปยึดว่า ไม่สวย ก็มี ไม่สวย เกิดขึ้นมา กลายเป็น ว่า เกิดอุปาทาน       ยึดว่า มีรูป ก็ต้องมีรูป หรือ ไม่มีรูป

                               ถ้ามา คิด ยึดติด  ว่า     มีรก ก็มี (ลบ) รก  

    ปารมิตาปรัชญา   ให้ละ อุปาทาน        

                       
                         ฯลฯ   


              สาธุ  สาธุ  สาธุ

         ผู้เห็นแสงสว่างอยู่ในความมืด  สมควรแก่การคารวะ



ไหว้สา พระธัมมวินัย สายบุญ

หลายครั้ง ผมปิดไฟ นั่งโพสต์หัวข้อ กระทู้ มาเสวนาธัมมทาน      หน้าจอมีแสง ก็เอียงหน้าจอโนตบุ๊คลง พอได้เห็นแป้นพิมพ์   โดนหัวโขมยเข้าห้องลักโนตบุคไป  ต้องขอขอบคุณเขา ที่มาเอาไป ไม่งั้นสายตาแย่ด้วยแสงไม่พอเพียง

กราบขอบพระคุณ ท่านfulltime ที่มาหยอกกัน  ยิงฟันยิ้ม    ยิงฟันยิ้ม     ยิงฟันยิ้ม

สาธุ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: วันที่ 21 สิงหาคม 2014, 23:44:07 โดย nantong » IP : บันทึกการเข้า

หนานขี้อู้หำยาน : นายจิราวัฒน์  โสรัจพงศ์เกษม / หนานธง   อีเมล : k e n g k a b h e n g @ g m a i l . c o m    มือถือ  081 777  51 76
หน้า: 1 [2] 3 4 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!