คนเห็นแก่ตัวไม่กี่คน ทำคนเดือดร้อนเป็นพัน
ชำแหละปมยก“อ่างพระราชดำริ”ให้นายทุน
ประกาศของกรมชลประทาน ที่ห้ามการให้บริการกีฬาทางน้ำในอ่างเก็บน้ำพระราชดำริ ที่นำมาติดตั้งนานแล้ว แต่นายทุนฝรั่งไม่สนใจ
ศูนย์ข่าวเชียงใหม่
“ASTVผู้จัดการ”
ได้นำเสนอข่าว ความพยายามทวงคืนอ่างเก็บน้ำห้วยสักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.ห้วยสัก อ.เมืองเชียงราย เนื้อที่ 774 ไร่ ที่ถูกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ อบต.ห้วยสัก โดยนายประเสริฐ กายาไชย อดีตนายกอบต.ห้วยสัก -ผู้ว่าราชการจังหวัดช่วงปี 2549 (นายวรเกียรติ สมสร้อย) ที่ใช้อำนาจผ่านคณะกรรมการระดับจังหวัดฯ อนุมัติให้เอกชนเข้าทำประโยชน์เป็นระยะเวลา 30 ปี นับจาก 28 ก.พ.2549 อย่างมีเงื่อนงำ มาอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่อ่างเก็บน้ำแห่งนี้เป็นอ่างเก็บน้ำถูกสร้างขึ้นตามมติ ครม.เมื่อปี 2524 ก่อนที่กรมชลประทานจะมอบให้จังหวัดดูแลช่วงก่อน และรับกลับมาดูแลในปี 2548 เพื่อยังประโยชน์ใน 3 เรื่องหลัก คือ เพื่อการเกษตร , เพื่อการอุปโภคบริโภค และเพื่อการประมง อันจะมีผลต่อการพัฒนาชีวิต ความเป็นอยู่ ของชุมชนโดยรอบเป็นหลัก
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ชาวบ้านต.ห้วยสัก ได้พยายามร้องเรียนไปถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งระดับจังหวัด-ส่วนกลาง เพื่อเรียกร้องให้แก้ปัญหานี้ นำอ่างเก็บน้ำคืนให้กับชุมชน แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนอง
จนนำไปสู่การทำเรื่องถวายฎีการ้องทุกข์ ที่นางขจีรัตน์ แรงคง ตัวแทนชาวบ้านห้วยสัก เขียนด้วยลายมือตนเอง ลงวันที่ 15 มี.ค.2553
ข้อความที่ปรากฏ มีทั้งที่สะกดถูกและผิด มีเนื้อหาโดยสรุปว่า“กราบบังคมทูลใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท .. ด้วยชาวบ้านตำบลห้วยสัก อ.เมือง จ.เชียงราย ได้รับความเดือดร้อนมาเป็นเวลา 4 ปี เนื่องจาก อบต.ห้วยสัก นำอ่างเก็บน้ำห้วยสัก ตามพระราชดำริ ให้ฝรั่งเช่าเล่นกีฬาทางน้ำเป็นเวลา 30 ปี จนประกอบอาชีพตามปกติไม่ได้ และที่ผ่านมาชาวบ้านเคยร้องเรียนต่อ อบต.-อำเภอ-จังหวัด ตลอดจนสื่อวิทยุ หนังสือพิมพ์ ทีวี หลายครั้ง แต่สุดท้ายเรื่องก็เงียบหายไป
ชาวบ้านจึงหวังพึ่งพระบารมีของพระองค์ท่าน เพื่อขอทรงแก้ปัญหาให้ชาวบ้าน ก่อนที่อ่างเก็บน้ำตามพระราชดำริแห่งนี้จะพังก่อนถึง 30 ปี
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อมขอเดชะ...ข้าพเจ้านางขจีรัตน์ แรงคง ตัวแทนชาวบ้านห้วยสัก”
สำนักราชเลขาธิการ ได้ลงเลขรับที่ 5307 วันที่ 18 มี.ค. 2553 เวลา 15.31 น. ก่อนที่จะแจ้งต่อคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตามหนังสือที่ รล 0005-4/6409 ลงวันที่ 19 เมษายน 2553 เพื่อให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามหนังสือถวายฎีกา
ชำแหละปมยก“อ่างพระราชดำริ”ให้นายทุน
แต่ไม่ว่าภาครัฐจะดำเนินการใด กลุ่มทุนฝรั่งไม่สนใจ กลับเปิดให้บริการอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้จากการตรวจสอบเอกสาร ที่มาของการยกอ่างเก็บน้ำตามพระราชดำริแห่งนี้ให้นายทุนทำประโยชน์ทางธุรกิจ พบว่า อบต.ห้วยสัก ในยุคที่มีนายประเสริฐ กายาไชย เป็นนายก ได้ทำข้อตกลงยกอ่างเก็บน้ำตามพระราชดำริแห่งนี้ให้แก่บริษัทนายทุนทำประโยชน์ โดยเสนอผ่านผู้ว่าฯเชียงราย ยุคที่นายวรเกียรติ สมสร้อย นั่งเก้าอี้อยู่
นายวรเกียรติ ได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาเรื่องนี้ ตามคำสั่งที่ 469/2549 ลงวันที่ 24 ก.พ.2553 ประกอบด้วยนายอำเภอเมืองเชียงราย เป็นประธานฯ มีหัวหน้าโครงการชลประทานเชียงราย - ทสจ.,ประมงจังหวัดฯ,เกษตรจังหวัดฯ,ผอ.สนง.ททท.ภาคเหนือเขต 2 เชียงราย ,ผอ.ศูนย์ กกท.เชียงราย เป็นกรรมการ และมีนายก อบต.ห้วยสัก เป็นกรรมการและเลขานุการ
คณะทำงานชุดนี้ ก็มีคำสั่งอนุญาตให้ทำประโยชน์ในอ่างเก็บน้ำตามพระราชดำริแห่งนี้ ในวันที่ 27 ก.พ. 2549 จากนั้นจังหวัดเชียงราย โดยนายวรเกียรติ สมสร้อย อดีตผู้ว่าฯ มีหนังสือที่ ชร 0016.2/5463 ลงวันที่ 28 ก.พ. 2549 อนุมัติให้บริษัท แบ๊ค-อาร์ แพลนเน็ต เวคบอร์ด จำกัด ดำเนินการก่อสร้างโครงการคอมเพล็กซ์กีฬา “กลีซ” ในอ่างเก็บน้ำดังกล่าวทันที
และ อบต.ห้วยสัก จะทำข้อตกลงร่วมกับบริษัท แบ๊ค-อาร์ แพลนเน็ต เวคบอร์ด จำกัด ในวันที่ 26 เม.ย. 2549 เป็นบริษัทแบ๊ค-อาร์ แพลนเน็ต เวคบอร์ด ด้วยทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท โดยมีกรรมการ 2 คนคือ น.ส.ปิยะกาล ญาณกาย และนายเบคแกร์ จิล เคล้าค แพทริค ที่เพิ่งจดทะเบียนก่อตั้งบริษัทเมื่อ 14 ก.พ.2549 หรือก่อนหน้าที่จะตั้งแท่นเดินเรื่องนี้ไม่กี่วันเท่านั้น
ทำให้อ่างเก็บน้ำห้วยสักตามพระราชดำริ ที่ให้จัดสร้างขึ้นเพื่อยังประโยชน์ให้ราษฎรพื้นที่โดยรอบอ่าง ถูกบริษัทนายทุนเข้าครอบครอง แสวงประโยชน์ทางธุรกิจตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งยังนำป้าย “ห้ามเข้า .. ที่ส่วนบุคคล” ติดตั้งไว้ด้วย
ชำแหละปมยก“อ่างพระราชดำริ”ให้นายทุน
นายเบคแกร์ จิล เคล้าค แพทริค หนึ่งในผู้ถือหุ้น
โดยที่ อบต.ห้วยสัก ตลอดจนชุมชนต่าง ๆ ในพื้นที่ ไม่เคยได้รับผลตอบแทนใด ๆ จากบริษัท แบ๊ค-อาร์ แพลนเน็ต เวคบอร์ด จำกัด
“พวกเราสงสัยว่านี่เป็นโครงการในพระราชดำริ และเป็นสถานที่สาธารณะที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์มานาน เหตุใดจึงอนุญาตให้เอกชน ซึ่งเป็นฝรั่งเข้าไปลงทุนทำเช่นนี้ได้ เสมือนยึดเป็นสถานที่ส่วนบุคคล ที่สำคัญชาวบ้านก็ไม่ได้ประโยชน์ แถมได้รับผลกระทบโดยถ้วนหน้า” นางขจีรัตน์ เคยกล่าวยืนยันต่อ “ASTVผู้จัดการรายวัน”
ขณะที่นายณรงค์ ปรางมณี นายก อบต.ห้วยสัก คนใหม่ กล่าวว่า เขาเพิ่งเข้ามาบริหารงาน อบต.ห้วยสัก ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดผู้บริหารชุดเก่าจึงให้เอกชนเข้าไปใช้พื้นที่ตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริได้ เพราะอ่างเก็บน้ำแห่งนี้ชาวบ้านใช้ในการหาปลา เมื่อมีเรือแล่นเช่นนี้ปลาก็ไม่วางไข่ การหาปลาก็ทำไม่ได้ เมื่อถึงเวลาจะนำน้ำไปใช้เพื่อการเกษตรทางเอกชนที่เข้าทำสัญญาก็ไม่ยอมให้เปิดน้ำจากอ่างเก็บน้ำไปใช้อีก
รวมทั้งเมื่อนำน้ำไปใช้เพื่อการประปาใน 4 หมู่บ้านของ ต.ห้วยสัก คือหมู่ 3 หมู่ 4 หมู่ 5 และหมู่ 27 ปรากฏว่า นับตั้งแต่มีการทำกิจการนี้น้ำประปาก็ขุ่นจนใช้ไม่ได้ ทำให้ที่ผ่านมาชาวบ้านพยายามเข้าไปเจรจาหารือกับเอกชน แต่บริษัทนี้ไม่ยอมพบปะใดๆ กับชาวบ้านและตั้งหน้าตั้งตาประกอบกิจการนี้อย่างเดียว
“ผมไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงให้สัญญาเช่ากับเอกชนนานถึง 30 ปีโดยไม่ระบุรายได้ที่ทาง อบต.ควรจะได้รับจากเอกชน" นายณรงค์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ความหวังที่จะทวงคืนอ่างเก็บน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ แห่งนี้เริ่มเรืองรองขึ้น หลังกรมชลประทาน โดยนายชลิต ดำรงค์ศักดิ์ อธิบดีกรมชลประทาน ออกประกาศ สรุป ว่า “ห้ามใช้เรือในอ่างเก็บน้ำห้วยสักตามพระราชดำริ” โดยอาศัยอำนาจตามความในมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ.2485 ห้ามผู้ใดนำเรือยนต์ประเภทเรือเร็วเข้ามาใช้ภายในอ่างเก็บน้ำห้วยสักตามพระราชดำริ หากฝ่าฝืนจะมีความผิดต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามมาตรา 36 ตรี แห่งพระราชบัญญัติการชลประทานหลวง พ.ศ.2485 ลงวันที่ 9 ก.ค.2553
โครงการชลประทานเชียงราย นำไปติดตั้งรอบอ่าง เมื่อ 15 กรกฎาคม 2553 พร้อมกับแจ้งให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง นำอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกจากเขตอ่าง รวมไปถึงการเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อ สภ.เมืองเชียงราย เมื่อ 18 ต.ค. 2553 ซึ่งพนักงานสอบสวนได้สรุปสำนวนและมีความเห็นสั่งฟ้องใน 22 กรรม เสนอต่ออัยการจังหวัดเมื่อ 18 พ.ย. 2553
อัยการจังหวัดเชียงราย ได้เริ่มเรียกตัวแทนบริษัทเอกชนเข้าให้ปากคำ เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. 2553 และได้เลื่อนการให้ปากคำในชั้นอัยการออกไปเป็นวันที่ 25 ม.ค. 2554
เป็นการนำปัญหาความเดือดร้อนของชุมชนรอบอ่างเก็บน้ำห้วยสักอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่ถูกหน่วยงานรัฐ “ยก” ให้แก่บริษัทเอกชนอย่างมีเงื่อนงำ ส่อไปในทางทุจริต จนส่งผลกระทบต่อชุมชนโดยรอบ และกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม**
เพื่อให้ “อ่างเก็บน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ” แห่งนี้ ยังประโยชน์ให้ตรงตามวัตถุประสงค์หลักต่อไป