การปฏิบัติดูแลรักษา สวนยางพารา
รู้จักพืช
บนโลกนี้มีสิ่งมีชีวิตอยู่ 2 จำพวก ก็คือสัตว์และพืช คำว่า ”สิ่งมีชีวิต” ก็แสดงว่า มีความต้องการที่จะดำรงชีวิตให้อยู่ได้อย่างเช่น คนหรือสัตว์ ก็ต้องการอาหารเพื่อการดำรงชีวิตและสืบพันธุ์ พืชก็เช่นกันก็ต้องการดำรงชีวิตและขยายพันธุ์โดยมีความต้องการอาหารเช่นเดียวกัน ซึ่งอาหารของพืช เราจะเรียกรวมๆ ว่า “ธาตุอาหาร”
พืชต้องการอะไร?
ธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของพืช มีทั้งสิ้น 17 ธาตุ แยกเป็น
1. ธาตุอาหารที่พืชได้รับจากน้ำและอากาศ (มี 3 ธาตุ)
• คาร์บอน (C)
• ไฮโดรเจน (H)
• ออกซิเจน (O)
2. ธาตุอาหารที่พืชได้รับจากดินในรูปของสารละลาย
2.1 ธาตุอาหารหลัก (มี 3 ธาตุ)
• ไนโตรเจน (N)
• ฟอสฟอรัส (P)
• โพแทสเซียม (K)
2.2 ธาตุอาหารรอง (มี 3 ธาตุ)
• แคลเซียม (Ca)
• แมกนีเซียม (Mg)
• กำมะถัน (S)
2.3 ธาตุอาหารเสริม (มี 8 ธาตุ)
• เหล็ก (Fe)
• แมงกานีส (Mn)
• ทองแดง (Cu)
• สังกะสี (Zn)
• โบรอน (B)
• คลอรีน (C1)
• โมลิบดินัม (Mo)
• นิเกิล (Ni)
และธาตุอาหารอื่นๆ อีกประมาณ 5 ธาตุ ได้แก่
• โซเดียม (Na)
• ซิลิคอน (Si)
• โคบอลต์ (Co)
• ซิลิเนียม (Se)
• อะลูมิเนียม (A1)
พืชนำธาตุอาหารไปไหน?
ก่อนอื่นต้องทราบว่า พืชสามารถรับธาตุอาหารได้ทางใดบ้าง พืชมีความสามารถรับธาตุอาหารได้ 2 ทางใหญ่ๆ คือ
1. ผ่านทางราก โดยการดูดซึมในรูปของสารละลาย
2. ผ่านทางใบและลำต้น โดยการฉีดพ่นในรูปของสารละลาย
พืชเมื่อไดรับธาตุอาหารไม่ว่าจะเป็นธาตุอาหารหลัก ธาตุอาหารรอง และธาตุอาหารเสริม ก็จะนำไปสังเคราะห์ เพื่อสร้างเป็นอาหารสำหรับการดำรงชีพและสร้างผลผลิตตามกระบวนการสังเคราะห์แสงของพืช
และนอกจากนี้ธาตุอาหารต่างๆ จะถูกนำไปสร้างเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการชีวเคมีภายในต้นพืช โดยเฉพาะเป็นส่วนหนึ่งของระบบน้ำย่อย และระบบฮอร์โมน
ซึ่งกระบวนการพัฒนาความเจริญเติบโตของต้นพืช จะต้องเกี่ยวข้องกับองค์ประกอบที่สำคัญๆ อย่างน้อยๆ 3 องค์ประกอบ คือ
1. อาหารที่พืชสร้างขึ้นมาได้
2. น้ำย่อย
3. ฮอร์โมน
ส่วนที่ 1 ใช้สำหรับการดำรงชีพในปัจจุบันและพัฒนาการเจริญเติบโต
ส่วนที่ 2 ใช้สำหรับสร้างผลผลิตและพัฒนาผลผลิต
ดังนั้นสรุปได้ว่าพืชต้องได้รับธาตุอาหารตามความจำเป็นของพืชแต่ละชนิด และในเวลาเดียวกันจะต้องอยู่ในสภาพที่ครบถ้วนพร้อมๆ กัน ทุกธาตุ และมีความสมดุลในแต่ละธาตุ เพื่อนำไปสู่การสร้างอาหารได้อย่างเพียงพอและทำให้กระบวนการชีวเคมีภายในต้นพืชดำเนินไปเป็นปกติ
หากกระบวนการสร้างอาหารเกิดขึ้นน้อย เพียงพอแค่การดำรงชีพและการพัฒนาการเจริญเติบโต นั่นก็แสดงว่า พืชก็มีอาหารเหลือน้อยหรือไม่เพียงพอต่อการนำไปสู่การสร้างผลผลิต ทำให้ผลผลิตที่ควรจะได้ก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย
พืชต้องการธาตุอาหารเมื่อไหร่?
ดินที่ขาดความอุดมสมบูรณ์จะมีผลทำให้พืชที่ปลูกไม่เจริญเติบโตเท่าที่ควร แคระแกร็น ผลผลิตตกต่ำ การใส่ธาตุอาหารเพิ่มลงไปจะช่วยยกระดับธาตุอาหารที่ขาดแคลนให้มีปริมาณเพียงพอกับความต้องการของพืช
ระยะความต้องการธาตุอาหารของพืชแต่ละชนิดจะแตกต่างกันออกไป แต่พอจะแบ่งระยะความต้องการธาตุอาหารของพืชแต่ละชนิดได้เป็น 3 ช่วง คือ
ช่วงที่ 1 เริ่มตั้งแต่พืชเริ่มงอกหรือหลังการเก็บเกี่ยวผลผลิต ซึ่งเป็นการเจริญเติบโตในระยะแรก ความต้องการธาตุอาหารน้อยและช้าเพราะยังมีรากน้อยและต้นยังเล็ก
ช่วงที่ 2 พืชจะมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว มีการสร้างใบแตกกิ่งก้านสาขาอย่างเต็มที่ และเริ่มสร้างตาดอก จะเป็นระยะที่มีความต้องการธาตุอาหารมาก
ช่วงที่ 3 เป็นช่วงที่พืชเจริญโตอย่างเต็มที่แล้ว เป็นระยะที่กำลังสร้างผลหรือสร้างเมล็ด ความต้องการของธาตุในระยะนี้จะลดลงเรื่อยๆ จนกระทั้งผลแก่และเมล็ดแก่พร้อมเก็บเกี่ยว
ดังนั้น ระยะที่พืชต้องการธาตุอาหารในปริมาณมากและรวดเร็วคือ ช่วงที่ 2 เพราะเป็นช่วงที่พืชกำลังเจริญเติบโต ต้องการสะสมอาหารในต้นและใบให้เพียงพอ เพื่อสร้างผลและเมล็ดที่จะเกิดขึ้นในช่วงที่ 3
การดูแลและเพิ่มผลผลิต ยางพารา
การให้อาหารในสวนยางพาราสามารถแยกออกได้ 3 กรณี คือ
กรณีที่ 1: สวนยางพาราก่อนเปิดกรีด (ตั่งแต่เริ่มปลูกจนถึงก่อนเปิดกรีดอายุ 0-7 ปี)
กรณีที่ 2: สวนยางพาราหลังเปิดกรีด (ตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป)
กรณีที่ 3: สวนยางพารามีปัญหา (ตายนึ่ง/หน้าแห้ง)
กรณีที่ 1: สวนยางพาราก่อนเปิดกรีด
ใช้ไคโตซานเม็ด 4 กระสอบ (100 กก.) ผสมกับอินทรีย์ผง 1 กก. หรือาจผสมกับปุ๋ยเคมีตามที่เคยใช้ในอัตราส่วนของ ปุ๋ยเคมี:ไคโตซานเม็ด = 1:2 โดยแยกออกได้เป็น 2 ช่วง คือ
ช่วงที่ 1 : อายุ 1-4 ปี อัตราการใช้ 0.25-1.00 กก. /ต้นโดยวิธีการโรยรอบทรงพุ่ม ทุกๆ 3 เดือน
ช่วงที่ 2 : อายุ 4 ปีขึ้นไป อัตรา 50-100 กก./ไร่ โดยวิธีการหว่านในระหว่างแถวปลูกทุกๆ 3 เดือน
กรณีที่ 2: สวนยางพาราหลังเปิดกรีด
ใช้ไคโตซานเม็ด 4 กระสอบ (100 กก.) ผสมกับอินทรีย์ผง 1 กก. หรือาจผสมกับปุ๋ยเคมีตามที่เคยใช้ในอัตราส่วนของ ปุ๋ยเคมี:ไคโตซานเม็ด = 1:3 ถึง 1:4 โดยใช้ในอัตรา 100-150 กก./ไร่ อย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี
สำหรับการดูแลรักษาหน้ายางที่เปิดกรีดแล้ว ควรฉีดพ่นด้วย
ไคโตซาน อัตรา 20-40 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
อินทรีย์น้ำ อัตรา 20-40 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
สมุนไพร อัตรา 20 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
อินทรีย์ผง อัตรา 1ช้อน ต่อน้ำ 20 ลิตร
ฉีดพ่นทุก 15-30 วัน
กรณีที่ 3: สวนยางพารามีปัญหา
ในกรณีต้นยางพาราที่ประสบปัญหาตายนึ่งหรือหน้ายางแห้ง ให้ หยุดการให้ปุ๋ยเคมี และอาหารจะหายช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับความรุนแรงของปัญหาและเป็นมานานแค่ไหน โดยมีขั้นตอนในการปฏิบัติดูแลรักษา ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1: การล้างดิน
ให้ฉีดพ่นล้างดินด้วยไคโตซานพืช 1 ลิตร ผสมกับอินทรีย์ผง 1 กก. ต่อน้ำ 200 ลิตร ฉีดพ่นในพื้นที่สวนยาง 1 ไร่
ขั้นตอนที่ 2: การใส่ปุ๋ยทางดิน
โดยใช้ไคโตซานเม็ด 4 กระสอบ (100 กก.) ผสมด้วยอินทรีย์ผง 1 กก. หว่านรอบทรงพุ่มอย่างน้อยต้นละ 3-5 กก.
ขั้นตอนที่ 3: การฟื้นหน้ายางที่มีปัญหา
ให้ใช้ดินทาหน้ายาง 1 ถุงและไคโตซาน 100 ซีซี ผสมน้ำแล้วนำไปทาหน้ายางที่ตายนึ่ง 15 วัน/ครั้ง
และฉีดพ่นด้วย
ไคโตซาน อัตรา 20-40 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
อินทรีย์น้ำ อัตรา 40 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
สมุนไพร อัตรา 40 ซีซี ต่อน้ำ 20 ลิตร
อินทรีย์ผง อัตรา 2ช้อน ต่อน้ำ 20 ลิตร
โดยฉีดพ่นทุกๆ 7 วัน โดยทำซ้ำติดต่อกัน 3 ครั้ง แล้วหลังจากนั้นขยายการฉีดพ่นเป็น 15-30 วัน/ครั้ง ทำต่อเนื่องไปจนกว่าอาหารจะดีขึ้น
สอบถามเพิ่มเติม
โทร.082-0397633,088-4091752
mail :
kungluang_cri@hotmail.comwww.cri-direct.com