เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 29 มีนาคม 2024, 03:55:20
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  คนเชียงราย สังคมเชียงราย (ผู้ดูแล: bm farm, [ตา-รา-บาว], zombie01, ۰•ฮักแม่จัน©®, ⒷⒼ*, ตาต้อม, nuifish, NOtis)
| | |-+  +++ถนน R3a ท่าเรือเชียงแสน 2 และโครงการสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4+++
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: 1 2 3 4 5 6 [7] 8 9 10 11 12 13 14 15 16 พิมพ์
ผู้เขียน +++ถนน R3a ท่าเรือเชียงแสน 2 และโครงการสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4+++  (อ่าน 151964 ครั้ง)
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #120 เมื่อ: วันที่ 19 เมษายน 2011, 22:41:03 »

ความคืบหน้าถนนสาย จ3 ตอนที่2 ผังเมืองรวมเชียงรายครับ (ถนนวงแหวน)



แผนงานประจำเดือน 16.451 %
ผลงานประจำเดือน   17.202 %
แผนงานสะสม 95.071 %
ผลงานสะสม 80.682 %
ช้ากว่าแผน -14.389 % :nuts:

http://jrw52.com/index.htm

เครดิตคุณ WiiCHY
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
AOWTHAI
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 350



« ตอบ #121 เมื่อ: วันที่ 21 เมษายน 2011, 12:56:26 »

วันนี้ r3a ออกเที่ยงวันช่อง3ด้วย  ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #122 เมื่อ: วันที่ 30 เมษายน 2011, 08:02:43 »

ไทย-ลาว-จีนนัดตั้งวงถกต้นเดือนหน้า-สางปัญหาสร้างสะพานโขง 4
 
ประกาศเมื่อ 30 เมษายน 2011







หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งไทย - ลาว - จีน นัดตั้งวงหารือปัญหาสร้างสะพานน้ำโขง 4 ต้นเดือนพฤษภาฯนี้ หลังมีปัญหาจีน ยังไม่จ่ายเงิน ทำคนงานก่อนสร้างซวย
       
       เมื่อเร็วๆ นี้ คณะอธิบดีกรมการค้าของประเทศจีน ได้เดินทางไปเยือนชายแดนไทย-สปป.ลาว ที่เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ตรงกันข้าม อ.เชียงของ เพื่อตรวจดูความคืบหน้าในการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงเชื่อยไทย-สปป.ลาว และถนนอาร์สามเอไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ซึ่งเกิดจากความร่วมมือระหว่างรัฐบาลทั้ง 3 ประเทศ (จีน-ลาว-ไทย) ที่เริ่มก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธ.ค.2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือนนั้น
       

 
       ซึ่งล่าสุดการก่อสร้างสะพานดังกล่าว ได้เกิดปัญหาขึ้น เพราะคนงานที่ทำการก่อสร้างได้รับค่าแรงเพียง 50% โดยหลังจากที่เริ่มมีการลงมือก่อสร้างตามข้อตกลงทางรัฐบาลไทยได้เร่งรีบถ่ายโอนงบประมาณไปให้กับเอกชนเพื่อทำการก่อสร้างตามขั้นตอน แต่ทางประเทศจีนยังไม่มีการโอนงบประมาณให้กับเอกชนร่วมก่อสร้างดังกล่าวแต่อย่างใด
       
       นายวิรัตน์ แสนอุดม ผู้อำนวยการแขวงการทางเชียงรายที่ 2 กล่าวว่า อย่างไรก็ตามการก่อสร้างก็ยังคงเดินหน้า โดยขณะนี้คืบหน้าไปได้ประมาณ 14% แล้ว ซึ่งก็เป็นไปตามแผนและเราสามารถแก้ไขปัญหาด้านเทคนิคในการก่อสร้างได้อย่างต่อเนื่อง เช่น กรณีเจอหินใต้แม่น้ำโขง เป็นต้น ส่วนกรณีเรื่องงบประมาณในการก่อสร้าง ทางฝั่งไทยไม่มีปัญหาใดๆ


       
       ขณะที่ปัญหางบประมาณจากจีนดังกล่าว ก็จะมีการนัดประชุมกันที่ฝั่ง สปป.ลาว ในราวต้นเดือนพฤษภาคม 54 นี้ เพื่อหารือถึงปัญหาและร่วมกันแก้ไขต่อไป ซึ่งคาดว่าความชัดเจนจะมีขึ้นในการประชุมดังกล่าว ส่วนช่วงนี้ก็ยังคงมีการดำเนินการก่อสร้างไปเรื่อยๆ โดยทางบริษัทกรุงธนฯ ของไทยจะทำหน้าที่ในการก่อสร้างถนน ส่วนประกอบของสะพาน และอาคารด่านพรมแดนทั้ง 2 ฝั่งประเทศ ส่วนบริษัทไชน่าฯ ของจีนจะรับก่อสร้างตัวสะพานให้แล้วเสร็จต่อไป
       
       ด้านนายสงวน ซ้อนกลิ่นสกุล รองเลขาธิการหอการค้า จ.เชียงราย และผู้ประกอบการค้าชายแดนที่เชียงของ กล่าวว่า เชื่อว่าปัญหาทุกอย่างจะได้รับการแก้ไขและคงเป็นเพียงด้านเทคนิคเล็กน้อยจากนี้ไปก็คงจะเดินหน้าต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง จนทำให้แล้วเสร็จตามระยะเวลาดังกล่าวต่อไป
       
       รายงานข่าวแจ้งด้วยว่าสำหรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงดังกล่าวออกแบบเป็นคอนกรีตรูปกล่องมีเสาตอม่อ 4 ตอม่อ มีความกว้าง 14.70 เมตร เป็นสะพานขนาดสองช่องจราจรๆ ละ 3.50 เมตร และไหล่ทางข้างละ 2 เมตร และทางเท้าข้างละ 1.25 เมตร ความยาว 480 เมตรเมื่อรวมกับถนนติดขอบฝั่งก็จะยาวประมาณ 630 เมตร และโครงการก่อสร้างถนนตัดแยกจากถนนหมายเลข 1020 หรือสายเชียงราย-เชียงของ ในฝั่งไทย เพื่อเป็นจุดสลับการจราจรในฝั่งไทยก่อนไปถึงตัวสะพานอีกประมาณ 5 กิโลเมตร และถนนในฝั่ง สปป.ลาว อีกประมาณ 6 กิโลเมตร สวนอาคารด่านพรมแดนทั้งฝั่งไทยและ สปป.ลาว รูปทรงล้านนาประยุกติ์เพื่อใช้เป็นจุดตรวจปล่อยร่วมกัน ณ จุดเดียวตามหลักประตูเดียว (Single Stop Inspection) รวมเนื้อที่ฝั่งไทยทั้งหมดประมาณ 400 ไร่
 
แหล่งข่าว : ผู้จัดการออนไลน์
นำเสนอโดย : เชียงรายโฟกัสดอทคอ
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #123 เมื่อ: วันที่ 04 มิถุนายน 2011, 20:44:47 »

IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #124 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 18:13:37 »

เชียงราย - การก่อสร้างสะพานข้ามโขง 4 เชื่อมเส้นทางคุนหมิง-กรุงเทพฯ สะดุด หลังผู้รับเหมาเกี่ยงรับ “หยวน” จากฝ่ายจีน หวั่นขาดทุนอัตราแลกเปลี่ยน คาดกระทบกำหนดสร้างเสร็จต้องเลื่อนยาวถึงปี 56 นายพินิจ หาญพาณิชย์ รองผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย เปิดเผยว่า ขณะนี้ถนนสาย R3a ไทย-สปป.ลาว-จีน มีการก่อสร้างแล้วเสร็จเกือบสมบูรณ์แล้วและสามารถใช้งานได้ดี ซึ่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว(สปป.ลาว) พร้อมพัฒนาระบบสาธารณูปโภครองรับ เพื่อให้ไทย-สปป.ลาว-จีน สามารถเชื่อมต่อไปถึงนครคุนหมิง เมืองเอกของมณฑลหยุนหนัน ตามเส้นทางคุนหมิง-กรุงเทพฯ ได้ต่อไป อย่างไรก็ตาม ถนนสายดังกล่าวกำลังประสบปัญหาเรื่องการเชื่อมต่อตรงสะพานข้ามแม่น้ำโขง ที่เมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว และ อ.เชียงของ จ.เชียงราย นายพินิจ กล่าวว่า การก่อสร้างสะพานดังกล่าวล่าช้า เพราะมีปัญหาเรื่องการจ่ายเงินเนื่องจากโครงการนี้เกิดจากความร่วมมือไทย-สปป.ลาว-จีน และทางประเทศไทย-จีน ตกลงจ่ายฝ่ายละ 50% ตามงบประมาณเต็มประมาณ 40 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อถึงเวลาการก่อสร้างจริง ฝ่ายไทยได้เบิกจ่ายงบประมาณให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้างไปตามปกติ แต่ฝ่ายจีนยังไม่ได้จ่ายเงินให้แก่ผู้รับเหมาก่อสร้าง “จีนต้องการจ่ายเป็นหยวน แต่ผู้รับเหมาไม่อยากรับหยวน โดยให้เหตุผลว่าหากรับเป็นเงินหยวน จะประสบปัญหาเรื่องค่าเงินผันผวนช่วงที่นำไปแลกเปลี่ยน ซึ่งจนถึงปัจจุบันก็ยังตกลงกันไม่ได้ ทำให้เกิดความล่าช้ามาจนถึงปัจจุบัน” นายพินิจ บอกอีกว่า ปัจจุบันฝ่ายไทยได้จ่ายเงินก่อสร้างไปแล้วกว่า 20% และขณะนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูน้ำหลากทำให้การก่อสร้างในน้ำเริ่มชะงัก โดยการก่อสร้างส่วนของสะพานคืบหน้าไปได้เพียง 6 % คาดว่าหากยังเป็นเช่นนี้จะทำให้การก่อสร้างล่าช้า อาจต้องเลื่อนออกไปอีก 9 เดือน หรือราวปลายปี 2556 จึงจะแล้วเสร็จ ซึ่งก็จะส่งผลกระทบต่อภาคขนส่ง และระบบลอจิสติกส์โดยรวมด้วย ด้านนายวิรัตน์ แสนอุดม ผู้อำนวยการแขวงการทางเชียงรายที่ 2 กล่าวว่า ตอนนี้การก่อสร้างยังคงเดินหน้าไปตามปกติ ส่วนกรณีที่อาจจะมีการเลื่อนไปนั้น ยังไม่มีรายละเอียดเป็นทางการ เป็นเพียงการนำเสนอเข้าไปของภาคเอกชน เพื่อขอเลื่อนเวลาออกไป เนื่องจากปัญหาการเบิกจ่ายค่าจ้างดังกล่าว แต่ผลสรุปว่าจะเลื่อนออกไปหรือไม่จะต้องมีการนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมการก่อสร้างสะพานอีกครั้งหนึ่งก่อน สำหรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงไทย-สปป.ลาว ที่ อ.เชียงของ ถือเป็นสะพานเชื่อมสองประเทศแห่งที่ 4 เพื่อเชื่อมแนวเศรษฐกิจเหนือ-ใต้ ของภูมิภาคนี้ ด้วยการใช้งบประมาณรวมระหว่างไทย-จีน ประมาณ 1,486.5 ล้านบาท โดยได้ว่าจ้างกลุ่มซีอาร์ 5-เคที จอยท์เวนเจอร์ ซึ่งประกอบไปด้วยบริษัทไชน่า เรลเวย์ โน.5 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด จากประเทศจีน และบริษัทกรุงธนเอ็นยิเนียร์ จำกัด ของประเทศไทย มีกำหนดก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 และสิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธ.ค.2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน แต่จากสภาพการก่อสร้างในปัจจุบันพบว่าไม่คืบหน้ามากนักทั้งๆ ที่เป็นช่วงกลางปี 2555 แล้ว เอกชนทั้งสองรายได้แบ่งงานกันทำด้วยการให้ฝ่ายไทยก่อสร้างถนนทั้งฝั่งไทยและ สปป.ลาว รวมทั้งอาคารด่านพรมแดนของทั้งสองฝั่ง เป็นถนนติดขอบฝั่งยาว 630 เมตร ถนนเป็นจุดสลับการจราจรในฝั่งไทย 5 กิโลเมตร และฝั่ง สปป.ลาว อีก 6 กิโลเมตร ส่วนเอกชนจีนก่อสร้างตัวสะพานกลางแม่น้ำโขง

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000069254
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #125 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 19:17:26 »



 เอกสารประกอบแผนการพัฒนาระบบขนส่งและจราจร พ.ศ. ๒๕๕๔-๒๕๖๓ โดยสนข. ซึ่งค.ร.ม.มีมติรับทราบเมื่อวันที่ ๑๒ เม.ย. ๒๕๕๔
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
แมงคอลั่น
ระดับ ป.ตรี
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,451



« ตอบ #126 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 20:24:41 »

ระวัง"นิคมอุตสาหกรรม" ทำลาย "วัฒนธรรมท้องถิ่น"
IP : บันทึกการเข้า
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #127 เมื่อ: วันที่ 07 มิถุนายน 2011, 22:02:17 »


เปิดเส้นทางสาย'R3'ส่งออกผลไม้ไปจีน...


วันจันทร์ ที่ 06 มิถุนายน 2554 เวลา 0:00 น

ประเทศจีนนับเป็นประเทศคู่ค้าในการส่งออกผลไม้ไทยอันดับต้น ๆ ซึ่งที่ผ่านมาไทยสามารถส่งออกผลไม้คุณภาพดีไปจีนได้ปีละกว่า 5,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในช่วงปี 2550-2552 ผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็งและแห้งส่งออกจำนวน 4,424, 4,967, 6,875 ล้านบาทตามลำดับ และช่วงเดือนมกราคม-ตุลาคม 2553 ส่งออกรวม 5,988 ล้านบาท ซึ่งผลไม้ที่ส่งออกมากที่สุดได้แก่ ทุเรียน ลำไย มังคุด มะพร้าว มะม่วง และสำหรับผลไม้แห้งที่ไทยส่งออกมากที่สุด ได้แก่ ลำไยแห้ง  มะขามแห้ง

ดังนั้นจึงนับเป็นนิมิตรหมายอันดียิ่งที่ วันนี้กระทรวงเกษตรฯ ได้ลงนามพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างไทยและจีน กับนายจือชู่ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงควบคุมคุณภาพและตรวจสอบกักกันโรคแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน (AQSIQ) อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว

นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่าการลงนามพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างไทยและจีน จะส่งผลให้ไทยส่งออกผลไม้ไปจีนผ่านเส้นทางบกสาย R3A หรือ R3E โดยเริ่มจากอำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ประเทศไทยผ่านเมืองห้วยทราย บ่อแก้ว หลวงน้ำทา บ่อเต็น ของลาว เข้าสู่เมืองโม่หาน จิ่งหง เชียงรุ้งมณฑลยูนนาน สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีระยะทางประมาณ 1,104 กิโลเมตร ทำให้เส้นทางสายนี้จะเป็นเครื่องมือให้เกิดการขยายตัวทางการค้าผลไม้ระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับกล่าวคือ ลดระยะเวลาในการขนส่งเหลือเพียง 2-3 วัน จากปกติทางเรือใช้เวลา 5-7 วัน ทำให้ผลไม้ไทยมีความสดยาวนานขึ้นและกระจายผลไม้ไปยังตลาดเมืองยูนนานมณฑลตะวันตกเฉียงใต้ของจีนได้โดยตรง จากเดิมต้องผ่านฮ่องกง-เสิ่นเจิ้น หรือตลาดเจี้ยงหนาน กวางโจวแล้วจึงกระจายต่อไปมณฑลต่าง ๆ ของจีน นอกจากนี้ผลไม้ที่นำเข้าจากจีนผ่านเส้นทางนี้จะมีคุณภาพ มาตรฐานและความปลอดภัยต่อผู้บริโภคชาวไทยมากขึ้น เนื่องจากจะมีการควบคุมคุณภาพมาตรฐานและความปลอดภัยจากต้นทางของทั้งสองประเทศ

การเปิดเส้นทางดังกล่าวในครั้งนี้ จะส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยสามารถส่งออกสินค้าไปยังประเทศจีนได้สะดวก และไม่เสียเวลาโดยผ่านเส้นทางอำเภอเชียงของจังหวัดเชียงราย-ลาว-จีน เพื่อส่งผลไม้เข้าสู่มณฑลภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน โดยคาดว่าการขนส่งผลไม้ผ่านเส้นทาง R3 จะเพิ่มโอกาสการขยายปริมาณและมูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีนมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นตลาดส่งออกผลไม้ที่สำคัญของไทย

ทั้งนี้คาดการณ์ว่า จะมีการขยายตัวทางการค้าผลไม้ระหว่างกันเพิ่มมากขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% มูลค่าประมาณ 500 ล้านบาทเนื่องจากมีการส่งออกผ่านเส้นทางบกที่กระทรวง เกษตรฯ เจรจาเปิดเส้นทางทั้งสาย R9 และ R3 ขณะเดียวกัน ยังได้หารือกับ AQSIQ ในเรื่องการขนส่งทางเส้นทางบกสาย R8 และ R12 ที่ผ่านทางจังหวัดนครพนม (ไทย)-นาพาว (ลาว)-จาลอ-วิงห์-ฮานอย (เวียดนาม)-(จีน) มณฑลกวางสี ซึ่งเส้นทางดังกล่าวนี้จะลดระยะเวลาการขนส่งในช่วงถนนผ่านลาวเข้าเวียดนามเนื่องจากมีระยะทางสั้นโดยเส้นทางนี้จะเป็นเส้นทางส่งออกผลไม้ไปยังมณฑลภาคตะวันออกของจีน รวมถึงหารือในการเปิดเส้นทางขนส่งทางแม่น้ำโขงเพิ่มเติมด้วย ทั้งนี้ก่อนการเปิดเส้นทางสายต่าง ๆ ทั้งสองฝ่ายจะมีการตั้งคณะทำงานร่วมกันซึ่งกระทรวงเกษตรฯจะได้หารือกับภาคส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมความพร้อมและศึกษาถึงข้อดีข้อเสียต่าง ๆ ด้วย

“เส้นทาง R3 จะเป็นเครื่องมือสำคัญ ทำให้เกิดการขยายตัวทางการค้าผลไม้ระหว่างกันเพิ่มมากขึ้น โดยประโยชน์ที่ไทยจะได้รับคือ เป็นการลดระยะเวลาในการขนส่งเหลือเพียง 2-3 วัน จากการขนส่งทางเรือซึ่งใช้เวลา 5-7 วัน ทำให้ผลไม้ไทยมีความสดยาวนานขึ้น และที่สำคัญจะเพิ่มโอกาสการขยายปริมาณและมูลค่าการค้าระหว่างไทย-จีนมากขึ้น ซึ่งการลงนาม ในครั้งนี้ได้พยายามให้เกิดขึ้นทันกับช่วงระยะเวลาที่ประเทศไทยมีผลไม้ออกสู่ตลาดจำนวนมาก คือ ช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคม จะช่วยให้ราคาผลไม้ภายในประเทศไม่ตกต่ำ  อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ ไทยต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านสุขอนามัยและสุขอนามัยพืชและมาตรการที่ได้กำหนดไว้ในพิธีสารฯ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับจีนว่าผลไม้ไทยที่ส่งออกไปจีนมีคุณภาพ ปลอดจากโรคและศัตรูพืช และไม่มีการปลอมปนผลไม้จากประเทศอื่นระหว่างการขนส่ง โดยมีมาตรการกำกับดูแลก่อนการส่งออก เช่น การตรวจสอบและออกใบรับรองสุขอนามัยพืชก่อนส่งออก การระบุหมายเลขตู้สินค้า และหมายเลขกำกับการปิดผนึกตู้สินค้า โดยต้องไม่มีการเปิดตู้สินค้าระหว่างการขนส่งจนกว่าจะถึงด่านปลายทาง”

นับเป็นข่าวดียิ่งสำหรับพี่น้องเกษตรกรไทยและผู้ส่งออกนำเข้าผลไม้ไทยและจีนที่จะสามารถมีการขนส่งและนำเข้าผลไม้ระหว่างกันได้สะดวกและรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นการช่วยลดต้นทุนการผลิตและลดปัญหาความเสียหายจากการขนส่งสินค้าที่ต้องการระยะเวลาที่รวดเร็ว ที่สำคัญคาดว่าเส้นทาง R3 จะทำให้มูลค่าส่งออกสินค้าผลไม้ไทยไปจีนสูงขึ้นในอนาคต.

http://www.dailynews.co.th/web/index.cfm?page=content&categoryId=676&contentID=143273
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #128 เมื่อ: วันที่ 09 มิถุนายน 2011, 18:47:20 »

เชียงราย - ทูตจีนนำทีมตัวแทนหลายหน่วยงานจากหยุนหนัน ออนทัวร์เส้นทาง R3a พร้อมนัดประชุมร่วมไทยที่เชียงแสน แต่เจอปมด่านฯเชียงแสน-ต้นผึ้ง สปป.ลาว ไร้ข้อตกลงข้ามแดน ทำเวทีหารือล่ม




รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า จ.อ.อนิรุต จำรูญ หัวหน้าขนส่งทางน้ำที่ 1 สาขาเชียงราย ได้รับการประสานงานจากคณะของ Mr.Gao Wantuan อัคราชทูตฝ่ายเศรษฐกิจและการค้า สาธารณประชาชนจีน ประจำประเทศไทย เย็นวันที่ 8 มิ.ย.54 ขอเข้าประชุมหารือกับคณะ จ.เชียงราย ณ ท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 1 อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เกี่ยวกับด้านเศรษฐกิจและการค้า ซึ่ง จ.เชียงราย มีการค้ากับจีนตอนใต้ปีละจำนวนมหาศาล
       
       คณะจากประเทศจีนได้เดินทางมาทางรถยนต์ จากเขตปกครองตนเองสิบสองปันนา มณฑลหยุนหนัน จีนตอนใต้ มาตามถนน R3a ผ่านแขวงหลวงน้ำทา แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว จนถึงเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว ตรงกันข้าม อ.เชียงของ โดยเข้าเยี่ยมโครงการของกลุ่มทุนดอกงิ้วคำ ซึ่งดำเนินการโดยบริษัทจิน มู่ เหมิน จำกัด จากประเทศจีน ภายใต้ชื่อ Kings Romans of Laos Asian & Tourism Development Zone เพื่อสร้างโรงแรม บ่อนกาสิโน เขตการค้า ท่าเรือ เขตพาณิชยกรรม อุตสาหกรรมแปรรูป พื้นที่การเกษตร ฯลฯ ที่เมืองต้นผึ้ง แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว บริเวณสามเหลี่ยมทองคำ ก่อนที่จะข้ามมายังฝั่งตรงกันข้ามคือ อ.เชียงแสน
       
       กระทั่งช่วงเย็นคณะจากประเทศจีน ได้แจ้งจะข้ามฝั่งมายัง อ.เชียงแสน แต่ปรากฏว่าด่านสากลที่สามเหลี่ยมทองคำของ สปป.ลาว กับจุดผ่านแดนถาวร อ.เชียงแสน ไม่ได้มีการทำข้อตกลงในการข้ามแดนกันอย่างเป็นทางการ จึงทำให้คณะทั้งหมดต้องเดินทาง กลับไปเมืองห้วยทรายซึ่งห่างออกไปอีกประมาณ 58 กิโลเมตรอีกครั้งหนึ่ง ทำให้เสียเวลาจนถึงเย็น จึงมีการติดต่อประสานงานกับคณะของทาง จ.เชียงราย ซึ่งรออยู่ที่ท่าเรือแม่น้ำโขงแห่งที่ 2 โดยมีนายสุรชัย ลิ้นทอง ผู้ว่าราชการ จ.เชียงราย นำคณะหัวหน้าส่วนราชการรออยู่ โดยขอเลื่อนการนัดประชุมออกไปก่อนทำให้การประชุมยกเลิกไปโดยปริยาย
       
       จ.อ.อนิรุต กล่าวว่า เราจำเป็นต้องขอเลื่อนการระชุมหารือกันไปก่อน เพราะเกิดปัญหาขัดข้องทางเทคนิค หลังจากก่อนหน้านี้ได้มีการกำหนดเวลาการประชุมและแจ้งเชิญหน่วยงานส่วนราชการต่างๆ เอาไว้
       
       ทั้งนี้ กรมเจ้าท่าได้เตรียมรายความคืบหน้าด้านท่าเรือแม่น้ำโขงเชียงแสนแห่งที่ 2 แก่ที่ประชุมด้วย โดยเป็นท่าเรือแห่งใหม่ที่ใช้ทดแทนแห่งแรก ที่คับแคบและอยู่กลางใจเมืองเชียงแสน โดยปัจจุบันกรมเจ้าท่าได้ว่าจ้างเอกชนทำการก่อสร้างตรงปากแม่น้ำกก ซึ่งไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่หมู่บ้านสบกก ต.บ้านแซว อ.เชียงแสน เนื้อที่ 402 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวา ด้วยงบประมาณ 1,546,400,000 ล้านบาท กำหนดก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 13 พ.ค.2552-28 ธ.ค.2554 ซึ่งหลังโครงการแล้วเสร็จหน่วยงานแดน เช่น ศุลกากร เจ้าท่า การท่าเรือ ฯลฯ จะย้ายไปยังท่าเรือใหม่ดังกล่าว
       
       สำหรับรูปแบบโครงการจะมีการสร้างท่าเทียบเรือ 5 จุด คือ ท่าเรือแบบทางลาด 2 ระดับ ด้านทิศเหนือยาว 300 เมตร และทิศใต้ยาว 300 เมตร ท่าเรือแนวดิ่งภายในแอ่งจอดเรือยาว 629 เมตร บริเวณต่อกับแอ่งจอดเรือด้านทิศเหนือยาว 554 เมตร บริเวณต่อกับแอ่งจอดเรือด้านทิศใต้ยาว 300 เมตร และท่าเรือสำหรับเรือตรวจการณ์ยาว 226 เมตร โครงการป้องกันตลิ่งเป็นเขื่อนกันตลิ่งยาวรวม 3,447 เมตร โดยแยกเป็นเขื่อนป้องกันตลิ่งในแม่น้ำโขงยาว 500 เมตร เขื่อนป้องกันตลิ่งเกาะช้างตายซึ่งเป็นเกาะกลางแม่น้ำโขงยาว 765 เมตร เขื่อนป้องกันตลิ่งสองฝั่งแม่น้ำกกด้านละ 660 เมตรและ 1,525 เมตรตามลำดับ
       
       นอกจากนี้ จะมีการขุดลอกร่องน้ำทางเดินเรือในแม่น้ำโขงกว้าง 40 เมตร ยาว 1.4 กิโลเมตร ลึก 1.5 เมตร จากระดับน้ำต่ำสุด และขุดลอกส่วนที่เป็นแอ่งจอดเรือ จึงทำให้จะมีการขุดลอกดินขึ้นมาทั้งสิ้น 1,050,000 ลูกบาศก์เมตร และจะมีการขุดลอกบำรุงรักษาประจำปีประมาณ 181,700 ลูกบาศก์เมตร
       
       ส่วนงานด้านอาคารมีทั้งอาคารสำนักงานท่าเรือและอาคารเอนกประสงค์ โรงพักสินค้า สำนักงานโรงพักสินค้าประตูทางเข้า ฯลฯ ลานจอดรถพักรอพื้นที่รวม 26,600 ตารางเมตร งานก่อสร้างถนนยาวรวม 4,036 เมตร นอกจากนี้ ยังมีโครงการอื่นๆ เพื่อสำรองเอาไว้และเก็บกองดินทรายที่ขุดลอกขึ้นมาใหม่โดยคำนวณปริมาณดินตะกอน ที่สามารถรองรับได้ 605,146.54 ลูกบาศก์เมตร
       
       ส่วนการค้าชายแดนผ่านทางท่าเรือแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงแสน ตั้งแต่เดือน ต.ค.2553 จนถึง เม.ย.ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นการค้ากับจีนตอนใต้ ยังมีพม่า และ สปป.ลาว โดยเป็นการการส่งออกสินค้าจำนวน 4,982 ล้านบาท คาดว่าเมื่อครบปีจะมีมูลค่ามากกว่าปีที่ผ่านมา เพราะตลอดทั้งปีงบประมาณ 2553 มีการส่งออกมูลค่า 5,630 ล้านบาท ส่วนนำเข้ามีมูลค่า 736 ล้านบาท

http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000070363
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #129 เมื่อ: วันที่ 14 มิถุนายน 2011, 21:06:40 »

คุนหมิงแฟร์ ครั้งที่ 19

โดย แสงแดด   14 มิถุนายน 2554 15:48 น.



เมื่อปลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้ “แสงแดด” ได้สบโอกาสเดินทางไปประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน เมืองคุนหมิง มณฑลยูนนาน เพื่อร่วมทั้งประชุมและสังเกตการณ์ “คุนหมิงแฟร์ ครั้งที่ 19 (Kunming Fair 19th )” ซึ่งคุนหมิงเป็นเจ้าภาพจัดทุกปี และปี 2011 เป็นปีที่ 19
       
       การจัดงานคุนหมิงแฟร์ครั้งที่ 19 นี้ เป็นการจัดการแสดงสินค้าที่ครอบคลุมกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียน (Asean) บวกกับกลุ่มประเทศเอเชียใต้ (South Asia) ซึ่งหมู่มวลสมาชิกที่มาร่วมประชุมนั้น เริ่มตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีที่เกี่ยวกับการค้า การพาณิชย์ ที่หมายรวมถึง “เศรษฐกิจ” ตลอดจนรัฐมนตรีช่วยฯ ผู้ช่วยรัฐมนตรี จนมาถึงปลัดกระทรวงฯ อธิบดี และแม้กระทั่งที่ปรึกษาระดับอาวุโส
       
       ดังนั้น ผู้เข้าร่วมประชุมและเปิดงาน “คุนหมิงแฟร์ ครั้งที่ 19” จึงมีจำนวนมากถึง 40 กว่าคน ในกรณีเฉพาะระดับผู้นำ ส่วนระดับเจ้าหน้าที่และผู้ติดตามนั้น ขอเรียนว่าหลักหลายร้อยคนอย่างแน่นอน การประชุมกิจกรรมในครั้งนี้ จึงมีผู้เข้าร่วมนับหลายร้อยคน
       
       การประชุมกิจกรรมครั้งนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 6-10 มิถุนายน เพียงแต่วันเปิดนั้น เริ่มตั้งแต่ช่วงเย็นวันอาทิตย์ที่ 5 มิถุนายน และช่วงเช้าวันจันทร์ที่ 6 โดยช่วงเย็นผู้ว่ามณฑลยูนนานเป็นเจ้าภาพเลี้ยงเฉพาะระดับผู้นำที่ร่วมกิจกรรมเท่านั้น
       
       แต่ในขณะเดียวกัน จะมีการเปิดบูท (Booth) ของสมาชิกจากกลุ่มประเทศอาเซียนและเอเชียใต้นับจำนวนหลายร้อยบูทเช่นเดียวกัน ซึ่งจะมีทั้งบรรดาเฟอร์นิเจอร์ไม้ ผลิตภัณฑ์ไม้แกะสลัก ผลไม้ อัญมณี สมุนไพร แม้กระทั่งผลิตภัณฑ์สิ่งทอ และผลิตภัณฑ์พื้นบ้าน ตลอดจนสารพัดยาต่างๆ โดยเฉพาะยาหม่องที่ชาวจีนนิยมมาก
       
       “คุนหมิงแฟร์” หรือเรียกทางภาษาวิชาการเรียกว่า “งานแสดงสินค้า The 19th China Kunming Import + Export Commodities Fair 2011” และ “The 4th South Asian Countries Trade Fair 2011” โดยจัดที่ “หอประชุมขนาดใหญ่ (Convention Center)”
       
       ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา “การค้าการลงทุนระหว่างไทย-ยูนนาน” มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2011 ประเทศไทยส่งออกมายังมณฑลยูนนานมีมูลค่า 83.59 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2,507 ล้านบาท) และไทยนำเข้าสินค้าจากมณฑลยูนนานมูลค่าประมาณ 102.27 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3,068 ล้านบาท) โดยที่ไทยเราขาดดุลการค้ากับจีนมูลค่าประมาณ 18.68 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 560 ล้านบาท)
       
       อย่างไรก็ตาม การนำเข้าผลไม้ไทยสู่มณฑลยูนนานนั้น เพื่อให้เป็น “ประตู (Gate Way)” ศูนย์กลางกระจายสู่มณฑลอื่นๆ ในประเทศจีน เนื่องด้วยมณฑลยูนนานเป็นระยะทางที่สั้นที่สุด จะทำให้ผลไม้ไทยที่นำเข้ามีความสดใหม่ คุณภาพดี โดยเฉพาะทางบก ถนน R3 และทางน้ำ โดยแม่น้ำโขงซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการของฝั่งไทย แต่ส่วนของประเทศจีนนั้น ต้องเรียนว่า เขาได้สร้างถนนและท่าเรือมาจ่อที่ฝั่งไทยเรียบร้อยแล้ว และได้ทราบว่าทางฝั่งไทยกำลังเร่งดำเนินการก่อสร้างอยู่ ซึ่งเชื่อว่าน่าจะแล้วเสร็จอีกไม่น่าจะเกิน 2-3 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ต้องยอมรับความจริงว่า ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะหันมาสนใจในกรณีนี้หรือไม่
       
       ภายในงานแสดงสินค้าผลไม้ไทย โดยเฉพาะมังคุดที่นำเข้าจากไทยเราจำนวน 500 ตัน หรือประมาณ 500,000 กิโลกรัม ปรากฏว่า “ขายหมดเกลี้ยง!” ภายในระยะเวลา 3 วันเท่านั้น จากกลุ่มผู้ประกอบการจากจังหวัดระยอง ส่วนทุเรียนและเงาะนั้นได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน
       
       จริงๆ แล้ว การค้าขายของไทยในมณฑลยูนนานนั้น เท่าที่สังเกตดูจากสภาพการณ์ช่วงที่อยู่นั้น ต้องยอมรับว่า สินค้าไทย ไม่ว่า ผลิตภัณฑ์ไม้ เฟอร์นิเจอร์ และผลไม้ไทย ได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม ยกตัวอย่าง ตุ๊กตาผู้หญิงล้านนาไทยพนมมือไหว้สูงประมาณหนึ่งเมตร สนนราคาตกตัวละ 10,000 กว่าบาท ทั้งๆ ที่ราคาต้นทุนที่ อ.หางดง เชียงใหม่ น่าจะไม่เกิน 3,000-3,500 บาท บวกกับค่าขนส่งสูงสุดตัวละไม่เกิน 5,000 บาท เพราะฉะนั้น เราฟาดกำไรตัวละ 5,000-6,000 บาทอย่างแน่นอน ซึ่งขอย้ำว่า “ขายดีมาก!”
       
       การเดินทางไปครั้งนี้ ได้ร่วมประชุมและสังเกตการณ์ว่า “ดีมาก!” ทั้ง ความรู้สึก การค้าการขาย การลงทุนทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว ที่มีแนวโน้มดีทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความรู้สึกของชาวจีนมณฑลยูนนานนั้น ใกล้ชิดกับทางประเทศไทยมาก เนื่องด้วยชนกลุ่มน้อย “สิบสองปันนา” ที่ยังคงปักถิ่นฐานอยู่ที่มณฑลยูนนาน และภาษาไทยยังคงเป็นภาษาท้องถิ่นที่ใช้กันอยู่ ทั้งนี้ อาจจะเพี้ยนบ้าง แต่สามารถเจรจากันได้
       
       เศรษฐกิจประเทศจีนต้องนับว่า “สูงสุดเกือบ 12%” ของอัตราการเจริญเติบโตหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ หรือเรามักเรียกกันว่า “จีดีพี (GDP)” ที่สูงที่สุดในโลกขณะนี้ เพียงแต่ว่า “จีดีพี” ของจีนนั้น ค่อนข้างมั่นใจว่า “เชิงมหภาค (Macro)” ที่มุ่งเน้นทางด้านอุตสาหกรรมส่งออก อุตสาหกรรมการลงทุนขนาดใหญ่ อสังหาริมทรัพย์ และสร้างการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเชิงระบบขนส่ง และ/หรือโลจิสติกส์
       
       การเร่งสร้าง “นโยบายสร้างชนชั้นกลาง” ซึ่งน่าเชื่อว่า ทางรัฐบาลจีนมุ่งเน้นสร้าง “ประชากรระดับกลาง” ให้มีมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันตัวเลขประชากรระดับกลางกำลังเจริญเติบโตอย่างมาก จากประชาชนระดับรากหญ้า หรือพูดภาษาชาวบ้านว่า “จีนเร่งสร้างชนชั้นกลาง” เพื่อรองรับการเจริญเติบโตที่สอดคล้องกันระหว่างเศรษฐกิจมหภาค และเศรษฐกิจจุลภาค
       
       การเดินทางจากภาคเหนือไทยนั้น สะดวกที่สุด ถ้าเดินทางโดยทางรถยนต์ด้วยถนน R3 ผ่านเชียงของ และเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ส่วนท่าเรือก็เช่นเดียวกัน แต่ถ้าทางสายการบินนั้น มีเพียงการบินไทยเท่านั้น ซึ่งมิได้บินทุกวัน ต้องเรียกว่าน่าเสียดาย ทั้งนี้ ต้องขอชื่นชมกงสุลพาณิชย์ไทยร่วมประชุมอย่างแข่งขัน และเชื่อว่า “ไทยโชคดีแน่!”


http://www.manager.co.th/Daily/ViewNews.aspx?NewsID=9540000072624
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #130 เมื่อ: วันที่ 19 มิถุนายน 2011, 21:32:42 »

นที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 14:03:24 น.
เส้นทางหลวงคุนหมิง-กรุงเทพฯ ในจีน ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว
Share


 
 
   ข้อมูลรายงานจากบจก.การลงทุนบุกเบิกพัฒนาเส้นทางถนนมณฑลยูนนานระบุว่า เส้นทางหลวงจากเสี่ยวเหมิงหยาง-บ่อหานซึ่งเป็นเส้นทางช่วงสุดท้ายของเส้นทางหลวงคุนหมิง-กรุงเทพฯ ในจีน ได้ผ่านการตรอบสอบความเรียบร้อยของการก่อสร้างทั้งหมดเสร็จสิ้นแล้วเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. 2554 ซึ่งแสดงว่าเส้นทางหลวงคุนหมิง-กรุงเทพฯ ช่วงเส้นทางในจีนได้ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์แล้ว
     
 
 เส้นทางหลวงคุนหมิง-กรุงเทพฯ ช่วงเส้นทางจากเสี่ยวเหมิงหยาง-บ่อหาน มีจุดเริ้มต้นที่ตำบลเสี่ยวเหมิงหยางของเมืองจิ่งหง เขตสิบสองปันนา และสิ้นสุดที่เขตการค้าชายแดนบ่อหาน อำเภอเหมิ่งล่า ซึ่งมีระยะทางรวม 200 ก.ม. ประกอบด้วยเส้นทางด่วน 17 ก.ม. เส้นทางหลวงระดับ 1 จำนวน 18 ก.ม. เส้นทางหลวงระดับ 2 จำนวน 149 ก.ม. และเส้นทางหลวงระดับอื่น ๆ อีกจำนวน 14 ก.ม. ตลอดเส้นทางมีสะพานรวมทั้งหมด 327 แห่ง และอุโมงค์จำนวน 34 แห่ง โดยได้ใช้งบประมาณการก่อสร้างรวมทั้งสิ้น 6,395 ล้านหยวน ทั้งนี้ เส้นทางหลวงจากเสี่ยวเหมิงหยาง-บ่อหาน ได้เริ่มลงมือก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2548 โดยเริ่มเปิดใช้งานเมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2551 และผ่านการตรวจสอบทั้งหมดเสร็จสิ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 7 มิ.ย. ที่ผ่านมา

       ข้อมูลเพิ่มเติม : เส้นทางหลวงคุนหมิง-กรุงเทพฯ ช่วงเส้นทางจากเสี่ยวเหมิงหยาง -บ่อหาน ถือเป็นส่วนประกอบของเส้นทางด่วนนครฉงชิ่ง-นครคุนหมิง-ด่านบ่อหาน ซึ่งถูกบรรจุอยู่ใน ”แผนพัฒนาเส้นทางด่วนแห่งชาติจีน” และเป็นส่วนประกอบสำคัญของเส้นทางหลวงหมายเลข 213 จากนครหลานโจว (มณฑลกานซู่)-ด่านบ่อหาน อีกทั้งเป็นช่วงเส้นทางที่สุดท้ายของเส้นทางหลวงคุนหมิง-กรุงเทพฯ ในจีน ซึ่งมีความสำคัญในการเชื่อมต่อมณฑลยูนนานรวมถึงมณฑลใกล้เคียง กับกลุ่มประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศลาวกับไทย
 
จาก ศูนย์ข้อมูลธุรกิจไทยในจีน
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #131 เมื่อ: วันที่ 08 กรกฎาคม 2011, 13:38:04 »

สะพานข้ามโขง 4 เลื่อนเปิด 1 ปี เจอปัญหาซ้ำน้ำหลาก-หินแข็งใต้น้ำโขง

โดย ASTVผู้จัดการรายวัน   5 กรกฎาคม 2554 22:08 น.



รูปแบบสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ที่คาดว่าต้องเลื่อนออกไปอีก 1 ปี เพราะเจอปัญหาหลายอย่าง

       เชียงราย - แผนงานก่อสร้างสะพานข้ามน้ำโขง 4 เชื่อมเชียงของ - สปป.ลาว-จีน เจอปัญหาซ้ำ หลังเคยป่วนด้วยปัญหาจีนจ่ายค่าจ้างเป็นหยวนมาแล้ว ล่าสุดเจอหินแข็งท้องน้ำโขง-น้ำหลาก อาจต้องเลื่อนวันฉลอง 1 ปี
       
       รายงานข่าวจาก จ.เชียงราย แจ้งว่า การก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว ที่รัฐบาลไทยและจีน ตกลงจัดงบประมาณสนับสนุนฝ่ายละ 50% ต่อมามีการว่าจ้างกลุ่มซีอาร์ 5-เคที จอยท์เวนเจอร์ ประกอบไปด้วยบริษัทไชน่า เรลเวย์ โน.5 เอ็นจิเนียริ่ง กรุ๊ป จำกัด จากประเทศจีน และบริษัทกรุงธนเอ็นยิเนียร์ จำกัด ของประเทศไทย กำหนดตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธ.ค.2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน ด้วยงบประมาณ 1,486.5 ล้านบาท
       
       ล่าสุดพบว่า โครงการก่อสร้างยังคงเป็นไปด้วยความล่าช้า และปัจจุบันการตอกเสาเข็มเพื่อวางเสาตอม่อต้องยุติลงชั่วคราว เนื่องจากเข้าสู่ฤดูน้ำหลาก ทำให้น้ำโขงลึกมากขึ้น จึงเหลือเพียงงานก่อสร้างริมฝั่งและถนนเท่านั้น ขณะที่การก่อสร้างในภาพรวมคืบหน้าไปได้เพียงประมาณ 6%
       
       นายสุวัฒน์ ด้วงปั้น นายด่านศุลกากร อ.เชียงของ เปิดเผยว่า ทางศุลกากร ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการกำกับโครงการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ก็ได้เฝ้าติดตามความคืบหน้าของโครงการอย่างต่อเนื่อง เพราะในอนาคตจะมีความเกี่ยวข้องกับการนำเข้าและส่งออกสินค้าทางด้าน อ.เชียงของ เชื่อมกับ สปป.ลาว-จีนตอนใต้ บนถนน R 3a อย่างมาก
       
       ทั้งนี้ พบว่า การก่อสร้างสะพานได้ล่าช้ากว่าแผนที่กำหนดเอาไว้ประมาณ 1.7% โดยเฉพาะการก่อสร้างสะพานที่ยังไม่สามารถตอกเสาเข็มลงเสาตอม่อได้และกำลังพบกับอุปสรรคของฤดูน้ำหลากพอดี ส่วนการก่อสร้างถนนและอาคารด่านพรมแดนในฝั่งไทยถือว่าเร็วกว่าที่กำหนดบวก 3% แต่ในฝั่ง สปป.ลาว ติดลบ 7%
       
       ดังนั้น จากการที่คาดการณ์กันว่าน่าจะทำให้โครงการล่าช้าออกไปประมาณ 9 เดือน สรุปได้ว่าจะมีความล่าช้าเพิ่มออกไปเป็น 1 ปี โดยปัญหาหลักเกิดจากการยังไม่ได้ก่อสร้างเสาตอม่อ หรือสร้างฐานรากของตัวสะพานให้ได้ และปัญหาเรื่องที่ทางการจีนจ่ายงบประมาณก่อสร้างเป็นเงินหยวน ซึ่งเมื่อเปลี่ยนเป็นเงินดอลลาร์และนำไปจ่ายให้เอกชนเกรงจะมีความผันผวน
       
       “แต่ถ้าลงเสาตอม่อแล้วเสร็จ จะทำให้งานคืบหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะเมื่อมีฐานรากสิ่งก่อสร้างต่างๆ ด้านบนก็จะมีความสะดวกมากขึ้น และจากความล่าช้าออกไปเล็กน้อยดังกล่าวก็ได้ ทำให้กรมศุลกากรมีเวลาในการรอการส่งมอบที่ดินในการก่อสร้างด่านศุลกากรแห่งใหม่บริเวณห่างจากตัวสะพานประมาณ 1 กิโลเมตร ซึ่งหากไม่มีสิ่งขัดข้องใดๆ คงจะสามารถก่อสร้างอาคารแห่งใหม่ได้ในเดือนพ.ย. 54 " นายสุวัฒน์ กล่าว
       
       ด้านนายสมพอน ปันยาดา ประธานสภาการค้าและอุตสาหกรรม แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว กล่าวว่า ความล่าช้าในการก่อสร้างสะพานเริ่มมีมาตั้งแต่การรอเรื่องพิธีวางศิลาฤกษ์ แต่จากนั้นเมื่อมีการลงมือก่อสร้าง เอกชนที่รับจ้างก่อสร้างก็ได้แบ่งงานกันโดยให้เอกชนจีนสร้างตัวสะพานและเอกชนไทยสร้างถนนและอาคารด่านพรมแดน แต่ปรากฏว่าเอกชนจีนเจอปัญหาเรื่องหัวเจาะใต้ท้องแม่น้ำโขง เพื่อจะวางเสาตอม่อ โดยเมื่อเจาะลงชั้นใต้ดินลงไปถึงหินประมาณ 151 เมตร พบสภาพเป็นหินที่แข็งมากจนทำให้หัวเจาะเสียหายไปหลายอัน เป็นผลทำให้ไม่สามารถวางเสาตอม่อได้และเกิดสภาพน้ำหลากมาเสียก่อน นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านการเงินดังกล่าวด้วย
       
       อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าท้ายที่สุดการก่อสร้างจะสามารถเดินหน้าไปได้ตามปกติ และทำให้สะพานแห่งนี้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่ภูมิภาคนี้ต่อไป
       
       สำหรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 ดังกล่าว ออกแบบให้มีเสาตอม่อ 4 ตอม่อ มีความกว้าง 14.70 เมตร โดยเป็นสะพานขนาดสองช่องจราจรๆ ละ 3.50 เมตร และไหล่ทางข้างละ 2 เมตร และทางเท้าข้างละ 1.25 เมตร ความยาว 480 เมตรเมื่อรวมกับถนนติดขอบฝั่งก็จะยาวประมาณ 630 เมตร และโครงการก่อสร้างถนนตัดแยกจากถนนหมายเลข 1020 หรือสายเชียงราย-เชียงของ ในฝั่งไทย เพื่อเป็นจุดสลับการจราจรในฝั่งไทยก่อนไปถึงตัวสะพานอีกประมาณ 5 กิโลเมตร และถนนในฝั่ง สปป.ลาว อีกประมาณ 6 กิโลเมตร สวนอาคารด่านพรมแดนทั้งฝั่งไทยและ สปป.ลาว รูปทรงล้านนาประยุกต์เพื่อใช้เป็นจุดตรวจปล่อยร่วมกัน ณ จุดเดียวตามหลักประตูเดียว (Single Stop Inspection) รวมเนื้อที่ฝั่งไทยทั้งหมดประมาณ 400 ไร่
       
       สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เคยประมาณการณ์ว่า สะพานแห่งนี้จะทำให้มูลค่าการค้าผ่านด่านศุลกากรเชียงของ เพิ่มมากขึ้นเป็นปีละกว่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าจะมีมูลค่ามหาศาล จากปัจจุบันก็มีอัตราการเพิ่มขึ้นของมูลค่านำเข้าและส่งออกเดือนต่อเดือน จนทำให้ตัวเลขการค้ารวมตั้งแต่ต้นปีงบประมาณ 2554 ถึงเดือน มิ.ย.มีมูลค่าประมาณ 4,900 ล้านบาทแล้ว เท่ากับมูลค่าการค้าตลอดทั้งปีงบประมาณ 2553 ขณะที่ในปีงบประมาณนี้ยังเหลือเวลาอีกกว่า 3 เดือนหรือ 1 ไตรมาสถึงจะหมดปีงบประมาณ ดังนั้นมูลค่าการค้าตลอดปีงบประมาณนี้จะเพิ่มมากขึ้นกว่าปีก่อนจำนวนมากแน่นอน
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #132 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2011, 09:49:09 »

ชงแผน5ปี5ยุทธศาสตร์ เสนอรัฐมนตรีใหม่         

โดย กอง บก.ฐานเศรษฐกิจ      
วันศุกร์ที่ 05 สิงหาคม 2011 เวลา 10:29 น.
คมนาคมตั้งแท่นชงแผน5 ยุทธศาสตร์ระยะ 5 ปี  วงเงินรวมกว่า 1.5 ล้านล้านบาท เสนอรัฐมนตรีคนใหม่ เผยยุทธศาสตร์ครอบคลุมทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม

มุ่งเน้นวางรากฐานการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการยกระดับคุณภาพชีวิตในการเดินทางของประชาชนและการขนส่งสินค้า ชี้การพัฒนาระบบขนส่งเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตใช้งบสูงสุดกว่า 7 แสนล้าน โครงการเอ็นจีวี 4,000 คันยังติดอยู่ในแผนเช่นเคย
           นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า ขณะนี้ได้จัดทำแผนยุทธศาสตร์การดำเนินงานของกระทรวงคมนาคม เพื่อเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมคนใหม่พิจารณาเรียบร้อยแล้ว  โดยได้รวมโครงการในระดับเมกะโปรเจ็กต์และโครงการทั่วไปของทุกหน่วยงานในสังกัด ซึ่งมีแผนจะดำเนินการในช่วง 5 ปีนับตั้งแต่ปี  2554-2558  มีมูลค่าการลงทุนเบื้องต้นประมาณ 1.5 ล้านล้านบาท ขณะนี้สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.)ได้รวบรวมส่งมาให้กระทรวงเรียบร้อยแล้ว
           โดยโครงการภายใต้ยุทธศาสตร์ 5  ด้าน ประกอบไปด้วย 1.ยุทธศาสตร์การเชื่อมโยงโครงข่ายระบบขนส่งภายในประเทศ และพัฒนาจุดเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน 2.ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบโลจิสติกส์การขนส่ง 3.ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบขนส่งให้ได้มาตรฐานความปลอดภัย 4.ยุทธศาสตร์การพัฒนาการให้บริการระบบขนส่งเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต และ 5.ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการระบบขนส่งและการจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ วงเงิน 10,140.92 ล้านบาท
          "แผนยุทธศาสตร์ดังกล่าวครอบคลุมใน 3 มิติหลัก คือ เศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดยมีแนวคิดหลักเพื่อการพัฒนา บำรุงรักษา และปรับปรุงการใช้ประโยชน์โครงสร้างพื้นฐานและบริหารระบบขนส่งมวลชนที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด  มุ่งเน้นวางรากฐานการพัฒนาเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ และการยกระดับคุณภาพชีวิตในการเดินทางของประชาชนและการขนส่งสินค้า นำไปสู่การพัฒนาระบบขนส่งและจราจรที่ยั่งยืนต่อไป"
          ปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า สำหรับวงเงินลงทุนรวม 1.5 ล้านล้านบาทนั้น จะครอบคลุมทั้งการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน การพัฒนาระบบรางรถไฟ ซึ่งรวมถึงโครงการตามแผนปฏิรูปการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) วงเงิน 1.7 แสนล้านบาท ในส่วนที่ยังไม่ได้รับการอนุมัติวงเงินลงทุน และการพัฒนาระบบรถไฟฟ้าตามแผนแม่บท ซึ่งกำหนดว่าจะก่อสร้างรถไฟฟ้าในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลรวม 12 เส้นทาง มูลค่ากว่า 8 แสนล้านบาท การพัฒนารถไฟความเร็วสูงรวม 5 เส้นทาง โดยเส้นทางแรกที่จะดำเนินการ คือเส้นทางกรุงเทพฯ-หนองคาย ระยะทาง 615 กิโลเมตร รวมทั้งโครงการก่อสร้างท่าเรือ งานก่อสร้างและซ่อมบำรุงถนน
             ด้านนางสร้อยทิพย์  ไตรสุทธิ์ ผู้อำนวยการ สนข. กล่าวว่า แต่ละยุทธศาสตร์อาจมีรายละเอียดที่ใกล้เคียงหรือเหมือนกันบ้าง เช่น โครงการระบบรางที่จะมีส่วนร่วมทั้งยุทธศาสตร์ระบบโลจิสติกส์ และยุทธศาสตร์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต อีกทั้งในแต่ละยุทธศาสตร์อาจจะต้องไปเกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงานด้วยเช่นกัน
          "เป็นแผน 5 ปี คือ ปี 2554-2558 เพราะตระหนักถึงการขนส่งและจราจรที่จะมีบทบาทสำคัญเพื่อส่งเสริม สนับสนุนให้เศรษฐกิจสามารถพัฒนาได้อย่างยั่งยืน การส่งเสริมและพัฒนาระบบขนส่งให้มีประสิทธิภาพ มีต้นทุนที่เหมาะสม สะดวก รวดเร็ว ตลอดจนการให้บริการสังคมอย่างทั่วถึง มีคุณภาพ ปลอดภัย และมีอัตราค่าบริการที่เหมาะสม เพื่อให้สังคมน่าอยู่ เข้มแข็งและเท่าเทียมกัน นอกจากนั้นยังช่วยประหยัดพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเรื่องการใช้เชื้อเพลิง"
              สำหรับรายละเอียดของแผนยุทธศาสตร์ที่ 1 เรื่องการเชื่อมโยงโครงข่ายระบบขนส่งภายในประเทศ และพัฒนาจุดเชื่อมต่อกับประเทศเพื่อนบ้าน วงเงินรวม 322,531 ล้านบาท จะครอบคลุมหน่วยงานกรมทางหลวง เสนอโครงการสำคัญ ๆ เช่น พัฒนาโครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศ โครงการเร่งรัดขยายทางสายประธานให้เป็น 4 ช่องจราจร(ระยะที่ 2) กรมทางหลวงชนบท เสนอโครงการก่อสร้างทางสนับสนุนโครงการพระราชดำริและโครงการหลวง โครงข่ายทางหลวงชนบทเพื่อการท่องเที่ยวบริษัทขนส่ง จำกัด(บขส.) เสนอโครงการก่อสร้างอาคารจุดพักรถสถานีเดินรถเชียงราย  งานจัดหาที่ทำการสถานีเดินรถเชียงของ
              การรถไฟแห่งประเทศไทยเสนอโครงการรถไฟความเร็วสูง 4 เส้นทาง ด้านการขนส่งทางอากาศของกรมการบินพลเรือน เสนอก่อสร้างปรับปรุงและขยายทางวิ่งสนามบินในภูมิภาค  และของบริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด(มหาชน) เสนอสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เพิ่มเติม และโครงการใช้ประโยชน์ท่าอากาศยานดอนเมือง และบริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย จำกัด เสนอพัฒนางานระบบห้วงอากาศอาเซียนให้ครอบคลุมประเทศเพื่อนบ้านด้านการบริหารจราจรทางอากาศ
           ส่วนยุทธศาสตร์ที่ 2 เรื่องการพัฒนาระบบโลจิสติกส์การขนส่ง วงเงินรวม 318,587 ล้านบาท ครอบคลุมด้านการขนส่งทางบก ไม่ว่าจะเป็นกรมการขนส่งทางบกเสนอโครงการก่อสร้างสถานีขนส่งสินค้าในจังหวัดสำคัญ ๆ  โครงการสร้างศูนย์เปลี่ยนถ่ายสินค้า กรมทางหลวง เสนอโครงการทางหลวงสนับสนุนการขนส่งแบบต่อเนื่อง โครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง 5 สายทาง กรมทางหลวงชนบท เสนอโครงการสร้างโครงข่ายทางหลวงชนบทเพื่อการเชื่อมต่อระบบขนส่ง บริษัทขนส่ง จำกัด เสนอโครงการปรับปรุงรถโดยสารเพื่อนำไปใช้ในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ด้านการขนส่งทางรางของการรถไฟแห่งประเทศไทย เสนอโครงการจัดหารถจักร โบกี้บรรทุกสินค้า การก่อสร้างทางคู่ การปรับปรุงทางรถไฟระยะที่ 5,6 การก่อสร้างไอซีดีแห่งที่ 2 ด้านการขนส่งทางน้ำของกรมเจ้าท่า เสนองานก่อสร้างท่าเทียบเรืออเนกประสงค์คลองใหญ่ จังหวัดตราด งานก่อสร้างสถานีขนส่งสินค้าทางลำน้ำเพื่อการประหยัดพลังงาน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และโครงการก่อสร้างทางเรือน้ำลึกปากบารา จังหวัดสตูล และท่าเรือน้ำลึกสงขลา แห่งที่ 2 โครงการเขื่อนยกระดับในแม่น้ำเจ้าพระยา และน่านเพื่อการเดินเรือ

           การท่าเรือแห่งประเทศไทยเสนอการพัฒนาศูนย์การขนส่งสินค้าทางรถไฟที่ท่าเรือแหลมฉบัง การพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 การขนส่งทางอากาศ ของบริษัทการบินไทย จำกัด(มหาชน) เสนอโครงการจัดหาเครื่องบิน โครงการจัดตั้งสายการบินต้นทุนต่ำ ไทย ไทเกอร์  ด้านนโยบายและแผน เสนอโครงการศึกษาความเหมาะสมและออกแบบระบบรถไฟทางคู่เพื่อการขนส่งและการจัดการโลจิสติกส์ช่วงชุมทางถนนจิระ-ขอนแก่น ช่วงประจวบคีรีขันธ์-ชุมพร และโครงการศึกษาออกแบบทางรถไฟสายใหม่ เส้นทางช่องเม็ก-อุบลราชธานี


             ยุทธศาสตร์ที่ 3 เรื่องการพัฒนาระบบขนส่งให้ได้มาตรฐานความปลอดภัย วงเงินรวม 347,542 ล้านบาท ครอบคลุมงานของหน่วยงานกรมการขนส่งทางบก โดยกรมทางหลวงเสนอโครงการบำรุงรักษาทางหลวง งานบูรณะโครงข่ายทางหลวงสายหลัก สะพานข้ามจุดตัดทางรถไฟ และงานพัฒนาทางหลวงให้มีความปลอดภัย กรมทางหลวงชนบท เสนอโครงการก่อสร้างทางต่างระดับข้ามทางรถไฟ งานติดตั้งเครื่องกั้นพร้อมสัญญาณไฟวาบอัตโนมัติ บขส.เสนอโครงการจัดซื้อรถโดยสารทดแทนรถโดยสารของบขส.ที่ปลดระวางและโครงการปรับปรุงรถโดยสาร กรมการขนส่งทางบก เสนอโครงการปรับปรุงสนามทดสอบขับรถ ปรับปรุงการตรวจสภาพรถ ศูนย์ทดสอบยานยนต์ ศูนย์ฝึกและทดสอบขับรถมาตรฐาน

             ยุทธศาสตร์ที่ 4 เรื่องการพัฒนาการให้บริการระบบขนส่งเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต วงเงินรวม 770,006 ล้านบาท ครอบคลุมงานด้านการขนส่งทางบก เสนอโครงการก่อสร้างสถานีขนส่งผู้โดยสาร ศึกษาแผนแม่บทการเดินรถโดยสารประจำทางทั่วประเทศ กรมทางหลวงเสนอโครงการเพิ่มประสิทธิภาพทางหลวง โครงการแก้ไขปัญหาจราจรในพื้นที่กทม.-ปริมณฑลและเมืองหลัก โครงการบูรณะและปรับปรุงสะพานทั่วประเทศ กรมทางหลวงชนบทเสนอโครงการ ยกระดับมาตรฐานทาง โครงการก่อสร้างถนนเชื่อมต่อถนนราชพฤกษ์-ถนนกาญจนาภิเษกแนวเหนือ-ใต้และตะวันออก-ตะวันตก

             การทางพิเศษแห่งประเทศไทย เสนอโครงการพัฒนาพื้นที่ในเขตทางพิเศษ โครงการศึกษาความเหมาะสมระบบทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือ N1-N2-N3 โครงการก่อสร้างทางพิเศษสาย ศรีรัช-วงแหวนรอบนอกกทม. องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.)เสนอโครงการจัดหารถโดยสารปรับอากาศใช้ก๊าซธรรมชาติเอ็นจีวี 4,000 คัน ด้านการขนส่งทางรางของการรถไฟแห่งประเทศไทย  เสนอโครงการก่อสร้างทางคู่ 5 เส้นทาง โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงช่วงบางซื่อ-รังสิตและบางซื่อ-ตลิ่งชัน โครงการจัดหารถโดยสารรุ่นใหม่สำหรับบริการเชิงพาณิชย์ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย เสนอโครงการรถไฟฟ้าสายต่าง ๆ

             ด้านการขนส่งทางน้ำ เสนอโครงการก่อสร้างเขื่อนป้องกันตลิ่งพัง การกัดเซาะ การก่อสร้างท่าเรือสินค้า ท่องเที่ยวและท่าเรือโดยสาร(โป๊ะ) ด้านการขนส่งทางอากาศ เสนอโครงการ พัฒนาระบบควบคุมเครื่องกั้นทางผ่านเสมอระดับแบบคานอัตโนมัติ และด้านนโยบายและแผนเสนอโครงการศึกษาพัฒนาระบบการเชื่อมต่อการเดินทางบริเวณศูนย์คมนาคมพหลโยธิน

             และยุทธศาสตร์ที่ 5 เรื่องการบริหารจัดการระบบขนส่งและการจราจรอย่างมีประสิทธิภาพ วงเงินรวม 10,140 ล้านบาท ครอบคลุมงานด้านการขนส่งทางบกที่เสนอโครงการก่อสร้างและปรับปรุงอาคารสำนักงานขนส่ง ด้านการขนส่งทางน้ำ เสนองานพัฒนาบุคลากรด้านการพาณิชยนาวี ด้านการขนส่งทางอากาศเสนองานพัฒนาระบบการเดินอากาศด้วย PBN ภายในเขตควบคุมจราจรทางอากาศ งานผลิตและพัฒนาบุคลากรด้านการบิน  และด้านนโยบายและแผน ที่เสนอโครงการบริหารจัดการระบบตั๋วร่วมและโครงการศึกษาจัดทำแผนแม่บทและบูรณาการโครงข่ายถนน สะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาและการจราจรในเขตกทม.-ปริมณฑล เป็นต้น

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,659  7 - 10  สิงหาคม พ.ศ. 2554ร
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
louis
สมาชิกลงทะเบียน
ระดับ ป.ตรี
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1,478



« ตอบ #133 เมื่อ: วันที่ 08 สิงหาคม 2011, 10:24:14 »

ระวัง"นิคมอุตสาหกรรม" ทำลาย "วัฒนธรรมท้องถิ่น"
ทำลายแน่ๆครับ   คนท้องถิ่นได้อะใร จากสิ่งที่กำลังจะมา
้ร้อนต้นไม้โดนตัด  2ปีเเล้วที่ชาวบ้านต้องทนอยู่กับฝุ่น
เพื่อสนองนายทุน 
 
IP : บันทึกการเข้า

อย่าเอามีดไปฟันหิน
นอกจากจะไร้ค่า
ยังทำให้มีดเสียคม
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #134 เมื่อ: วันที่ 25 สิงหาคม 2011, 15:30:25 »

เชียงราย - ทางการจีน เคลียร์เงินก่อสร้างสะพานข้ามน้ำโขงแห่งที่ 4 แล้ว หลังติดปัญหาผู้รับเหมาเกี่ยงสกุลเงินมาระยะหนึ่ง เชื่อทำงานก่อสร้างเร็วขึ้นตั้งแต่แล้งหน้า อธิบดีกรมศุลฯคาด หนุนการค้าไทย-เพื่อนบ้านอีกเพียบ
       



       นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมศุลกากร เปิดเผย ในโอกาส เดินทางไปปฏิบัติภารกิจที่ด่านศุลกากรแม่สาย จ.เชียงราย เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า ปัจจุบันกรมศุลกากรมีนโยบายให้ด่านการค้าทุกแห่งที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้านได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยทางศุลกากรจะร่วมกับเจ้าหน้าที่ในฝั่งประเทศต่างๆ ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดกฎหมาย ส่งเสริมเศรษฐกิจร่วมกัน เนื่องจากในปี 2558 กลุ่มอาเซียนก็จะเข้าสู่ข้อตกลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community :AEC)
       
       หากมีการกระทบกระทั่งกับประเทศใดประเทศหนึ่ง ก็จะทำให้ประเทศไทยเสียโอกาสทางการค้า เพราะประเทศที่เป็นคู่กรณีก็จะสามารถไปทำการค้า หรือนำเข้าสินค้าจากอีกประเทศหนึ่งได้อย่างเสรี จนทำให้สินค้าไทยเสียตลาดไปในที่สุด
       
       นายประสงค์ กล่าวว่า เมื่อประมาณ 3 เดือนก่อนตนได้ไปประชุมผู้บริหารเกี่ยวกับเศรษฐกิจในกลุ่มอาเซียนที่เมืองเนปิดอว์ เมืองหลวงของประเทศพม่า ซึ่งก็มีการหารือกันเพื่อวางแผนการร่วมกันในการเข้าสู่ข้อตกลง AEC โดยในปีนี้ประเทศพม่าถือว่าได้รับการยอมรับให้เป็นประธานกลุ่มอาเซียนต่อจากประเทศไทยซึ่งเป็นประธานในปีที่ผ่านมาแล้ว ดังนั้น เราจึงควรใช้เวลาดังกล่าวในการประสานความสัมพันธ์ระหว่างกัน
       
       โดยเฉพาะเชียงราย มีจุดการค้าเชื่อมโยงกับกลุ่ม AEC หลายจุดไม่ว่าจะเป็นด่านศุลกากรแม่สาย ด่านศุลกากรเชียงแสน และด่านศุลกากรเชียงของ รวมทั้งสามารถเชื่อมโยงการค้าไปถึงประเทศจีนด้วย
       
       ที่ผ่านมาถือว่ามูลค่าการค้าของทุกด่านเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น กรณีประเทศพม่ายกเลิกสินค้านำเข้า 15 รายการจากประเทศเมื่อประมาณ 1 เดือนก่อน ก็ทำให้มูลค่าการค้าเพิ่มขึ้น โดยก่อนสิ้นปีงบประมาณ 2554 จนถึงปัจจุบันมีมูลค่าการค้าตลอดทั้งปีแล้วประมาณ 8,900 ล้านบาท มากกว่าปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่าทั้งปี 6,800 ล้านบาทไปแล้ว รวมทั้งคาดว่าน่าจะทะลุถึง 10,000 ล้านบาทด้วย เช่นเดียวกับด่านอื่นๆ
       
       อธิบดีกรมศุลกากร กล่าวว่า นอกจากนี้กรมศุลกากร ยังได้ให้ความสำคัญกับการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 เชื่อม อ.เชียงของ กับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว เพื่อเชื่อมกับถนนR 3 aไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ ซึ่งทราบว่า ก่อนหน้านี้มีปัญหาด้านเทคนิคจึงทำให้โครงการถูกคาดการณ์ว่าจะล่าช้าออกไปประมาณ 1 ปี เนื่องจากเดิมมีการตกลงระหว่างรัฐบาลไทยและจีนที่จะร่วมกันใช้งบประมาณเพื่อการก่อสร้างประเทศละ 50% แต่มีความขัดข้องเกี่ยวกับการจ่ายเงินจากประเทศจีนทำให้มีเพียงประเทศไทยที่ออกงบประมาณในการก่อสร้างช่วงแรกๆ
       
       ล่าสุดการแก้ไขปัญหารวดเร็วกว่าที่หลายฝ่ายคาดคิด โดยจีนได้ทำการจ่ายงบประมาณเพื่อการก่อสร้างงวดแรกออกมาแล้ว ทำให้เลื่อนระยะเวลาก่อนสร้างแล้วเสร็จจากเดิมเลื่อนไปประมาณ 1 ปีเหลือเพียงประมาณ 6 เดือนแล้ว และเมื่อสะพานแล้วเสร็จจะใช้เพื่อการค้าขายระหว่างไทย-สปป.ลาว-จีน ต่อไป ซึ่งก็ถือว่าการเลื่อนออกไปเพียงเล็กน้อยไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการค้าใดๆ เนื่องจากในปัจจุบันก็มีการค้าขายชายแดนด้าน อ.เชียงของ มีมูลค่าที่มากขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว
       
       รายงานข่าวแจงว่าสำหรับการก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 มีกำหนดก่อสร้างตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 สิ้นสุดสัญญากับเอกชนวันที่ 10 ธ.ค.2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน ด้วยงบประมาณ 1,486.5 ล้านบาท แต่ช่วงก่อสร้างที่ผ่านมาประสบปัญหาล่าช้า เพราะมีหินใต้ดินมากและปัญหาการจ่ายเงินค่าจ้างจากประเทศจีนที่ล่าช้า ทำให้เดือน ก.ค.ที่ผ่านมางานล่าช้ากว่ากำหนดประมาณ 1.7% ตรงกันข้ามกับงานก่อสร้างถนนและอาคารพรมแดนฝั่งไทยที่คืบหน้า 3%
       
       แต่ล่าสุดหลังการแก้ไขปัญหาทางการเงินจากประเทศจีนแล้วเสร็จ ทำให้เอกชนเริ่มมีการก่อสร้างอย่างคึกคักอีกครั้ง
       
       ทั้งนี้สะพานดังกล่าวออกแบบให้มีเสาตอม่อ 4 ตอม่อ มีความกว้าง 14.70 เมตร มีสองช่องจราจรๆ ละ 3.50 เมตร และไหล่ทางข้างละ 2 เมตร และทางเท้าข้างละ 1.25 เมตร ความยาว 480 เมตรเมื่อรวมกับถนนติดขอบฝั่งก็จะยาวประมาณ 630 เมตร มีการก่อสร้างถนนตัดแยกจากถนนหมายเลข 1020 หรือสายเชียงราย-เชียงของ ในฝั่งไทย เพื่อเป็นจุดสลับการจราจรในฝั่งไทยก่อนไปถึงตัวสะพานอีกประมาณ 5 กิโลเมตร และถนนในฝั่ง สปป.ลาว อีกประมาณ 6 กิโลเมตร
       
       ส่วนอาคารด่านพรมแดนทั้งฝั่งไทยและ สปป.ลาว จะสร้างในรูปทรงล้านนาประยุกต์เพื่อใช้เป็นจุดตรวจปล่อยร่วมกัน ณ จุดเดียวตามหลักประตูเดียว (Single Stop Inspection) รวมเนื้อที่ฝั่งไทยทั้งหมดประมาณ 400 ไร่
http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000106936
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
banta
ชั้นประถม
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 319



« ตอบ #135 เมื่อ: วันที่ 25 สิงหาคม 2011, 18:36:26 »

เร็วๆ สร้างหน่อย นานแล้ว เมื่อไหร่ถนนจะสร้างถึงหัวดอยเนี้ย  ยิ้มเท่ห์
IP : บันทึกการเข้า

มาอำเภอขุนตาล เชียงราย มาพักที่ต้นพร้าวรีสอร์ท
ตรงข้าม อบต.ต้า ติดต่อสอบถาม 084-1752845
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #136 เมื่อ: วันที่ 25 สิงหาคม 2011, 21:38:28 »

พะเยา - กรมทางหลวง เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นคนพะเยา ก่อนลุยโครงการก่อสร้างทางหลวง เพื่อพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศ ผ่านดอกคำใต้ - อ.เทิง จ.เชียงราย รับสะพานข้ามโขง 4 พร้อมเชื่อม สปป.ลาว
     
 
       วันนี้(25 ส.ค.54) ที่โรงแรมพะเยาเกทเวย์ อ.เมือง จ.พะเยา กรมทางหลวง ได้เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นครั้งที่ 1 จากประชาชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นใน จ.พะเยา ที่เข้าร่วมกว่า 500 คน ตามโครงการก่อสร้างทางหลวงหมายเลข 1021 ตอน อ.เทิง - อ.ดอกคำใต้ เพื่อพัฒนาโครงข่ายทางหลวงเชื่อมโยงระหว่างประเทศ
       
       โดยมีนายพงษ์ศักดิ์ วังเสมอ ผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา เป็นประธานในพิธี เพื่อแจ้งข้อมูลข่าวสารของโครงการ และสร้างความรู้ความเข้าใจกับกลุ่มผู้มีส่วนได้เสียต่อการพัฒนาโครงการและเปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนได้เสียมีส่วนร่วมเสนอความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาโครงการ
       
       ตลอดจนสร้างความเข้าใจสัมพันธภาพที่ดีและความน่าเชื่อถือ จากการเปิดเผยข้อมูลที่ชัดเจน โปร่งใส สามารถตรวจสอบได้ในการดำเนินการ ซึ่งจะนำไปสู่ภาพลักษณ์ที่ดีของโครงการ กรมทางหลวง และคณะเจ้าหน้าที่ กลุ่มบริษัทที่ปรึกษาเพื่อขอความอนุเคราะห์ให้การประสานงานด้านต่างๆ ในระหว่างการศึกษา
       
       นายเกษม ศรีวรานันท์ วิศวกรใหญ่ด้านสำรวจ และออกแบบ กรมทางหลวง กล่าวว่า ทางหลวงหมายเลข 1021 ตอน อ.เทิง - อ.ดอกคำใต้ ตามโครงการของกรมทางหลวง แบ่งออกเป็น 2 ตอน รวม 90 กิโลเมตร มีจุดเริ่มต้นจาก กม.10+000 ถึง กม.100-019 เป็นเส้นทางที่สำคัญในการเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งทั้งในพื้นที่ อ.ดอกคำใต้ อ.จุน อ.เชียงคำ อ.ภูซาง จ.พะเยา และ อ.เทิง จ.เชียงราย
       
       รวมทั้งสามารถเชื่อมโยงต่อโครงการโครงข่ายทางหลวงที่รองรับการเดินทางจากสะพานข้ามแม่น้ำโขงแห่งที่ 4 อ.เชียงของ จ.เชียงราย -ห้วยทราย ของ สปป.ลาว ซึ่งผู้ใช้ทางสามารถเดินทางมายังจังหวัดพะเยา ไปสู่ภาคกลางโดยไม่ต้องผ่านเข้า จ.เชียงราย ปัจจุบันเป็นทางหลวงขนาด 2 ช่องจราจร
       
       แต่จำเป็นต้องมีกาพัฒนา รองรับเศรษฐกิจ และการค้าระหว่างประเทศ ทั้งยังเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย - กลุ่มประเทศในภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง
       
       นายเกษม ระบุว่า เส้นทางดังกล่าวหากดำเนินการแล้วเสร็จ จะเพิ่มประสิทธิภาพของการคมนาคมขนส่งบนโครงข่ายทางหลวงที่สำคัญระหว่างประเทศกับประเทศเพื่อนบ้าน รองรับการเดินทางจากสะพานข้ามแม่น้ำโขง(เชียงของ-ห้วยทราย) เชื่อมกับถนน R3A ไทย-สปป.ลาว-จีนตอนใต้ รวมทั้งรองรับการเดินทางทางจาก จุดผ่อนปรนบ้านฮวก จ.พะเยา -เมืองปากทา - เมืองปากคอบ -เมืองเชียงฮ่อน-เมืองคอบ (สปป.ลาว)


http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9540000107205
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #137 เมื่อ: วันที่ 31 สิงหาคม 2011, 21:04:19 »

http://www.chiangsaenlife.com/forum/redirect.php?tid=988&goto=lastpost#lastpost
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
lux-lanna
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 643


« ตอบ #138 เมื่อ: วันที่ 03 กันยายน 2011, 21:43:15 »

สรุปแล้วเชียงรายจะมีถนนตัดใหม่  หรือ ขยายใหม่  ที่ไหน   ไปทางใหนบ้าง  อ่านแล้ว  ศึกษาแล้ว  ยังงงตึ๊บ  แล้วที่ปักหลักสีแดง  จากถนนสายบ้านเด่น - ท่าเข้าเปลือก  โดยปักขึ้นไปทางทิศเหนือ มุ่งไปทาง ม.แม่ฟ้าหลวง เป็นถนนอะไร  สิ้นสุดตรงไหน  ถามท่านผู้รู้กรุณาช่วยตอบด้วย
ซึ่งมีผลต่อการดำรงชีวิตมาก จะได้ปรับตัวทัน   
IP : บันทึกการเข้า
boondham
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,112


« ตอบ #139 เมื่อ: วันที่ 13 กันยายน 2011, 17:18:07 »

นที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7593 ข่าวสดรายวัน


เผยราคาที่ดิน'เชียงของ'เริ่มนิ่ง หลังพุ่งสูงเกินจริง-รอสร้างสะพานไทย-ลาว



เชียงราย - นายสุธิพงศ์ อินทจักร เจ้าพนักงานที่ดิน จ.เชียงราย สาขาเชียงของ เปิดเผยว่าในปัจจุบันราคาที่ดินบริเวณชายแดนไทย-สปป.ลาว ติดแม่น้ำโขงด้าน อ.เชียงของ พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกันมาหลายปีแล้ว โดยหลายจุดมีราคาซื้อขายที่เกินจริงหรือสูงกว่าราคาประเมินไม่น้อยกว่า 50% บางจุดเป็นการปั่นราคาของกลุ่มนายทุน ราคาแต่ละจุดแตกต่างกันออกไป เช่น ที่ดินริมแม่น้ำโขง ซื้อขายกันเกินไร่ละ 1,500,000 บาท ขณะที่ดินโดยทั่วไปต่างก็มีราคาพุ่งสูง สำหรับบริเวณก่อสร้างถนนเชื่อมกับตัวสะพานแม่น้ำโขงไปจนถึงบริเวณก่อสร้างสะพาน พบว่าเป็นที่ดิน ส.ป.ก.4-01 การซื้อขายกันมากคือบริเวณรอบนอก

นายสุธิพงศ์ กล่าวว่าอย่างไรก็ตามในปัจจุบันสภาพการซื้อขายโดยดูจากการทำนิติกรรม ผ่านสำนักงานที่ดิน ลดลงจนแทบไม่มีการซื้อขาย คาดว่าเป็นผลมาจากการกว้านซื้อขายกัน เข้มข้นของกลุ่มทุนตั้งแต่ก่อนปี 2552-2553 แล้ว ช่วงนั้นมีการทำธุรกิจซื้อขายหรือโอนที่ดินผ่านสำนักงานที่ดินกันอย่างคึกคัก ปีนี้การซื้อขายก็ไม่มีเกิดขึ้นเพิ่มเติมอีกและผู้ถือครองที่ดินยังคงอยู่นิ่งรวมทั้งเป็นเจ้าเดิมอยู่ อาจเป็นไปได้ว่ามีการเก็บที่ดินเอาไว้เพื่อรอประเมินราคากันใหม่เพื่อหวังจะขายต่อในราคาที่สูงกว่า นอกจากนี้อาจมีการปั่นราคากันเพื่อรออนาคตเมื่อสะพานแล้วเสร็จก็ได้ ทางสำนักงานที่ดินจะมีการใช้เกณฑ์ประเมินราคาใหม่ซึ่งจัดทำโดยกรมธนารักษ์ตั้งแต่ปี 2555-2558 ราคาประเมินใหม่คงจะสูงขึ้นตามสถานการณ์แน่นอน

สำหรับสะพานข้ามแม่น้ำโขงที่ อ.เชียงของ เป็นสะพานเชื่อมไทย-สปป.ลาว แห่งที่ 4 เชื่อมกับเมืองห้วยทราย แขวงบ่อแก้ว สปป.ลาว รัฐบาลไทยและจีนตกลงใช้งบประมาณในการก่อสร้างฝ่ายละ 50% กำหนดตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2553 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 10 ธ.ค.2555 ระยะเวลาก่อสร้าง 30 เดือน ด้วยงบประมาณ 1,486.5 ล้านบาท

หน้า 29
IP : บันทึกการเข้า

กลุ่มคุยแลกเปลี่ยน เรื่องการพัฒนา สิ่งปลูกสร้าง เรื่องราวต่างๆของเชียงราย https://www.facebook.com/groups/273622956012759/
หน้า: 1 2 3 4 5 6 [7] 8 9 10 11 12 13 14 15 16 พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!