เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย ยินดีต้อนรับคุณ, บุคคลทั่วไป กรุณา เข้าสู่ระบบ หรือ ลงทะเบียน
วันที่ 26 เมษายน 2024, 00:33:44
หน้าแรก ช่วยเหลือ เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก



  • ข้อมูลหลักเว็บไซต์
  • เชียงรายวันนี้
  • ท่องเที่ยว-โพสรูป
  • ตลาดซื้อขายสินค้า
  • ธุรกิจบริการ
  • บอร์ดกลุ่มชมรม
  • อัพเดทกระทู้ล่าสุด
  • อื่นๆ

ประกาศ !! กรุณาอ่านเพื่อทำความเข้าใจ : https://forums.chiangraifocus.com/index.php?topic=1025412.0

+  เว็บบอร์ด เชียงรายโฟกัสดอทคอม สังคมออนไลน์ของคนเชียงราย
|-+  ศูนย์กลางข้อมูลเชียงราย
| |-+  นักลงทุน การเงิน การธนาคาร
| | |-+  เงินคือพระเจ้า
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
หน้า: [1] พิมพ์
ผู้เขียน เงินคือพระเจ้า  (อ่าน 583 ครั้ง)
Cupid
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3,941


Experience is the best teacher.


« เมื่อ: วันที่ 28 กรกฎาคม 2013, 19:13:55 »

เพิ่งไปเจอมา เลยเอามาลงให้เป็นแนวคิดกัน เพราะเป็นของ VI ที่มีชื่อเสียงของเมืองไทย



Monday, 6 August 2012
เงินคือพระเจ้า
« คุณค่าของความคลั่งไคล้ | Main | โอกาสทอง »
ถ้าจะให้ผมจัดลำดับแนวความคิดหรือสิ่งประดิษฐ์ที่สำคัญที่สุดในโลกที่ทำให้โลกเรานี้เจริญก้าวหน้ามาได้ถึงทุกวันนี้แล้วละก็  ผมคิดว่าหนึ่งในนั้นก็คือ  “เงิน”   ดังนั้น  คำพูดที่ว่า  “เงินคือพระเจ้า”  นั้น  น่าจะมีความเป็นจริงอย่างยิ่ง  นี่ก็เป็นเรื่องที่พูดโดยรวม  เป็นการพูดระหว่างเงินกับมนุษยชาติ  คือมองว่าถ้าไม่มีเงิน  มนุษยชาติก็คงยังล้าหลังและพวกเราทุกคนที่อ่านบทความนี้ก็น่าจะลำบากกว่าที่เป็นอยู่นี้มาก  ว่าที่จริงตัวผมเองก็คงจะต้อง  “อดมื้อกินมื้อ”  เพราะเรี่ยวแรงและความสามารถที่จะไป  “ทำมาหากิน”  นั้น  ดูจะน้อยกว่าคนอื่น  ผมเองนั้น  น่าจะทำเก่งหรือทำเป็นเฉพาะอย่าง   ส่วนอย่างอื่นรวมถึงอาหารนั้น  ผมต้อง  “ซื้อมากิน”  และการซื้อนั้น  มันต้องใช้เงินเป็นหลัก  ดังนั้น  สำหรับผมแล้ว  “เงินคือพระเจ้า”  อย่างแน่นอน    มาดูกันว่าทำไม?  และประวัติคร่าว ๆ ของพระเจ้าองค์นี้

               ก่อนที่จะมีเงินเกิดขึ้นในโลกนั้น  มนุษย์มีการแลกเปลี่ยนสิ่งของกัน   นี่เป็นเรื่องที่จะจำเป็น  เพราะมันทำให้คนแต่ละคนสามารถสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่างซึ่งทำให้เขามีประสิทธิภาพสูงขึ้น  แทนที่คนสองคนต่างก็ปลูกข้าวและผลไม้เพื่อเอาไว้กิน  ก็ให้คนหนึ่งปลูกข้าวและอีกคนหนึ่งปลูกผลไม้  แล้วเอาข้าวครึ่งหนึ่งมาแลกกับผลไม้ครึ่งหนึ่ง  แบบนี้ทั้งคู่จะได้ข้าวและผลไม้มากขึ้นเนื่องจากแต่ละคนจะมีความเชี่ยวชาญในการปลูกมากกว่าต่างคนต่างปลูก  การแลกเปลี่ยนสินค้านี้   มนุษย์เราทำมานานมาก  น่าจะเป็นหมื่นปีนับจากที่เราเริ่มเป็นเกษตรกรและที่จริงน่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่เกิดมนุษย์ขึ้นในโลกด้วยซ้ำ   เพียงแต่เมื่อมนุษย์ตั้งถิ่นฐานแล้ว   การแลกเปลี่ยนก็เกิดขึ้นมากมายเนื่องจากเราสามารถผลิตอาหารได้มากเกินกว่าการบริโภคส่วนตัวจึงต้องนำไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าอย่างอื่นจากคนที่หันไปทำอาชีพอื่น  สังคมของการแลกเปลี่ยนนั้นน่าจะดำรงอยู่เป็นพัน ๆ  ปี

               การเกิดขึ้นของเงินนั้น  น่าจะมาจากความต้องการในการแลกเปลี่ยนสินค้าที่เป็นรายการเล็ก ๆ  ที่ทำให้การใช้สินค้ามาแลกกันนั้นไม่สะดวก  ดังนั้น  ก้อนโลหะที่หายากจึงเริ่มถูกนำมาใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเมื่อประมาณ 6000 ปีมาแล้ว  ซึ่งก็คงน่าจะเกิดขึ้นในย่านตะวันออกกลางเช่นที่อียิปต์ซึ่งเป็นแหล่งอารยะธรรมแรก ๆ  ของโลก   ต่อมาในราวช่วง 2500-2700 ปีที่ผ่านมา  โลหะเช่นบรอนซ์  เงิน  และทองได้ถูกนำมาใช้เป็นเงินโดยการขึ้นรูปเป็นแบบต่าง ๆ  เช่น  ทำเป็นรูปมีด  หรือพลั่ว  ในจีน  และเป็นเหรียญ ในตุรกี  เป็นต้น    โดยแต่ละแบบก็จะมีค่าที่แตกต่างกัน  พูดถึงเรื่องนี้  แม้แต่ในประเทศไทยเอง  เมื่อไม่นานมานี้  อาจจะแค่ 200 ปี  เราก็ยังใช้เงินพดด้วงซึ่งก็น่าจะมีคุณลักษณะคล้าย  ๆ  กันในการเป็นเครื่องมือในการแลกเปลี่ยนสินค้า

                เงินที่เป็นกระดาษหรือ  “แบงค์”  นั้น  เพิ่งจะเกิดขึ้นประมาณไม่เกิน 1000 ปี ในประเทศจีนตามที่มาร์โคโปโลได้เขียนบันทึกไว้เมื่อเขาเดินทางมาเมืองจีน   อย่างไรก็ตาม  ดูเหมือนว่าเงินกระดาษที่ว่านั้นก็ยังไม่ใคร่ได้รับความนิยมมากนัก  คงคล้าย  ๆ กับเงิน  “กงเต็ก”  ค่าที่ว่าคุณภาพของกระดาษคงจะแย่มากจนมันขาดวิ่นได้ง่าย ๆ  เมื่อใช้ผ่านไปไม่กี่มือ  ส่วนเงินกระดาษยุคใหม่นั้น  ก็เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน  และมันก็คือ  “ใบรับฝากทอง”  ที่คนเอามาใช้แลกสินค้าแทนทองและโลหะต่าง ๆ  และนี่เองคือสิ่งเดียวที่ผมรู้จักและใช้มันเมื่อผมยังเป็นเด็ก 

               บัตรเครดิตเป็นนวัตกรรมของเงินที่สำคัญมากโดยเฉพาะในการซื้อขายแลกเปลี่ยนของผู้คนข้ามประเทศและทั่วโลก  แนวความคิดเรื่องบัตรเครดิตนั้นเริ่มในอเมริกา  โดยคนที่ออกบัตรแรก ๆ  ก็คือธุรกิจที่เห็นผลประโยชน์ที่จะให้เครดิตแก่ลูกค้าที่มาซื้อของ  นั่นคือ  ลูกค้าจะชอบและกลับมาซื้อของอีกเพราะสามารถ  “ซื้อเชื่อ” ได้  ต่อมาก็มีร้านค้ามากขึ้นที่เข้ามาร่วมเป็น  “ชมรม”  โดยการรับบัตรเครดิตของบริษัทอื่น ๆ  ด้วยเวลาลูกค้ามาซื้อของที่ร้านตัวเอง  แนวความคิดและการเริ่มใช้บัตรเครดิตนี้เพิ่งจะเริ่มไม่เกิน 100 ปีมานี้เอง   แต่บัตรเครดิตที่เป็นทางการหรือเป็นบัตรที่สามารถใช้ได้ทั่วไปอย่างที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้เพิ่งจะเริ่มเมื่อปี 1950 หรือประมาณ 60 ปีมานี้เองโดยบริษัท  ไดเนอร์สคลับ  และต่อมาบริษัท  อเมริกันเอ็กเพรส  ก็ได้ออกบัตรเครดิตที่สามารถใช้ได้ทั่วโลกในปี 1958  และนี่ก็คือ  บริษัทที่ วอเร็น บัฟเฟตต์  ได้ซื้อหุ้นจำนวนมากแบบ  “ตีแตก”  ในช่วงต้น ๆ  ของชีวิตการลงทุนของเขา

               ถ้าจะพูดถึงบทบาทของเงินนั้น  นอกจากจะเป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างกันแล้ว  มันยังมีบทบาทสำคัญมากอย่างน้อยอีกสองสามเรื่อง  เรื่องแรกก็คือ  มันเป็นเครื่องมือในการเก็บสินค้าหรือข้าวของต่าง ๆ  ที่เราทำได้มากเกินกว่าที่เราจะใช้ได้หมด  นั่นคือ  เราแปลงมันเป็นเงินแล้วเก็บรักษาและลงทุนให้มันงอกเงยขึ้นเพื่อที่ว่าในอนาคตเมื่อเราไม่มีแรงที่จะทำงานหรือทำมาหากิน  เราก็สามารถเอาเงินที่เราเก็บไว้มาใช้ซื้อสินค้าที่เราต้องการได้   นอกจากนั้น  เงินจะเป็นตัวบอกถึงความมั่งคั่งที่เรามี  ทำให้เรารู้ว่าเรามีศักยภาพที่จะใช้สินค้าต่าง ๆ  ได้เท่าไรซึ่งจะช่วยบอกให้รู้ว่าเรามี  “อิสรภาพ”  ในการที่จะสามารถอยู่ได้ตลอดชีวิตโดยไม่ต้องทำมาหากินได้หรือไม่  ซึ่งเรื่องแบบนี้  ในสังคมที่ไม่มีเงินหรือมีเงินที่ไม่มีประสิทธิภาพ  เช่น  สังคมที่ยังใช้การแลกเปลี่ยนสินค้าหรือใช้เงินที่เป็นเหรียญโลหะอยู่  จะไม่สามารถทำได้   ลองนึกถึงมนุษย์ยุคหินที่ยังต้องหาของป่าล่าสัตว์อยู่ว่า  คุณจะเป็นอย่างไรถ้าคุณเกิดมาไม่แข็งแรงหรือคุณเจ็บป่วยหรือแก่ตัวลงไม่สามารถหากินได้?

               เงินทำให้คนทำงานหนักเพื่อเก็บสะสมสิ่งที่จะต้องใช้ในวันข้างหน้าไว้  เงินทำให้คนทำงานที่มีประโยชน์หรือมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น  ที่สำคัญที่สุดก็คือ  เงินทำให้คนมีความคิดสร้างสรรค์ที่จะทำสิ่งที่มนุษย์ต้องการและสร้างความก้าวหน้าให้แก่มนุษยชาติ   เพราะงานเหล่านั้น  “ทำเงิน”  มากกว่างานอื่น  แน่นอน  งานบางอย่างนั้น  อาจจะไม่ได้สร้างคุณค่าอะไรมากนักแต่ก็ทำเงินได้มาก  เพราะมันเป็นเรื่องของการหลอกลวงและเอาเปรียบคนอื่น  งานบางอย่างก็ดูเหมือนว่าจะทำได้อย่างสบาย ๆ  แต่ก็ได้เงินมากในขณะที่งานบางอย่างนั้นต้องทำอย่าง  “อาบเหงื่อต่างน้ำ”  แต่คนทำกลับได้เงินน้อยแทบไม่พอกิน  ความแตกต่างกันของความมั่งคั่งที่เกิดจากการทำงานบ่อยครั้งทำให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีนักในสังคม  เฉพาะอย่างยิ่งก็คือ  การคิดว่าคนที่มีเงินมากนั้นมี  “ความโลภ”  มีเงินแล้วไม่รู้จักพอ  หรือ  เห็นเงินเป็น  “พระเจ้า”  หรือต้องทำทุกอย่างเพื่อเงิน  เป็น “ทาส” ของเงิน  แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ทุกคนก็ยังต้องพึ่งเงิน  อยากมีเงินมากขึ้น

                ในฐานะของคนที่เคยเป็นคนที่แทบจะไม่มีเงินเลยและกลายเป็นคนที่มีเงินเหลือเกินพอ  และในฐานะของคนที่เคยทำงานแบบอาบเหงื่อต่างน้ำแต่ได้เงินน้อยมากและกลายเป็นคนที่ทำงานอย่างที่ดูเหมือนว่าแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลยแต่ได้เงินมากมาย  ผมอยากจะบอกว่า  เงินนั้น  เป็นสิ่งที่สำคัญและจำเป็น  ว่าที่จริงมันช่วย  “นำทาง”  ให้รู้ว่าเราควรทำอะไรได้มากมาย  การทำอะไรโดยไม่คิดถึงเงินเลยนั้น  ผมคิดว่ามันไม่ยั่งยืน  แต่ก็เช่นเดียวกัน  การทำอะไรก็คิดถึงแต่เรื่องเงินเพียงอย่างเดียวนั้น  ผมก็คิดว่ามันไม่ยั่งยืนและจะนำไปสู่หายนะได้  สิ่งที่สำคัญที่สุดในประเด็นของเรื่องเงินก็คือ  อย่าไปคิดว่าเงินกับความสุขเป็นเรื่องเดียวกัน  เงินนั้นจะซื้อความสุขได้ถึงจุดหนึ่งเท่านั้น  หลังจากนั้นแล้ว  เงินที่มากเกินก็ไม่สามารถซื้อความสุขเพิ่มขึ้นได้   ว่าที่จริงอาจจะกลายเป็นความทุกข์ได้ถ้าเราหมกมุ่นกับมันมากเกินไป   ดังนั้น  เวลาคิดถึงเงิน  คิดถึงว่ามันคือ “พระเจ้า”  แต่เราจะต้อง  “บูชา”  อย่างถูกต้อง
Posted by nivate at 6:04 PM in โลกในมุมมองของ Value Investor
IP : บันทึกการเข้า
chamrus
มัธยม
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 556


« ตอบ #1 เมื่อ: วันที่ 28 กรกฎาคม 2013, 20:14:33 »

ตกใส่น้ำเป็นปลา ตกใส่นาเป็นข้าว
IP : บันทึกการเข้า
Temujin
ระดับ :ป.โท
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2,998


** แบ่งปัน ไม่แบ่งแยก..แตกต่าง ไม่แตกแยก แตกหัก **


« ตอบ #2 เมื่อ: วันที่ 30 กรกฎาคม 2013, 17:28:01 »

   

 ยิ้มเท่ห์ ยิงฟันยิ้ม
IP : บันทึกการเข้า

สัตว์มีสัญชาตญาณ   มนุษย์มีวิตจารณญาณ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ (หลัก กาลามสูตร http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3)
หน้า: [1] พิมพ์ 
« หน้าที่แล้ว ต่อไป »
กระโดดไป:  


เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 
เรื่องที่น่าสนใจ
 

ข้อความที่ท่านได้อ่านบนกระดานข่าวแห่งนี้ เกิดขึ้นจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย
และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ ผู้อ่านจึงต้องใช้วิจารณญาณในการกลั่นกรองด้วยตัวเอง และถ้าท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศีลธรรม พาดพิง ละเมิดสิทธิบุคคอื่น ต้องการแจ้งลบ
กรุณาส่งลิงค์มาที่
เพื่อทีมงานจะได้ดำเนินการลบออกให้ทันที..."

Powered by MySQL Powered by PHP Powered by SMF 1.1.21 | SMF © 2013, Simple Machines
www.chiangraifocus.com

Valid XHTML 1.0! Valid CSS!