ศาลาหลังเก่าที่พบกรุหลวงพ่อเงินได้รื้อถอนออกไปตอนปี 2553 ซึ่งกรุพระหลวงพ่อเงินฝังอยู่ใต้ศาลา แบ่งออกเป็น 3 ชั้น ซึ่งความลึกในการขุดลงไปชั้นล่างสุดกว่า 6 เมตร ในกรุพบผ้ายันต์ที่ห่อหลวงพ่อเงินอยู่ และไหรูปแบบต่างๆ หลายขนาด บรรจุพระหลวงพ่อเงิน มีหลากหลายพิมพ์ ทั้งเนื้อโลหะ และเนื้อดิน จำนวนมาก
เอาล่ะครับ เข้าเรื่องประวัติของหลวงปู่สรวงกันดีกว่าครับ เดิมทีสมัยวัยเด็กหลวงปู่สรวง ท่านได้บวชเป็นสามเณรอยู่กับ
หลวงพ่อประเทือง อติกฺกนฺโต(พระครูวิทิตพัชราจาร)
วัดหนองย่างทอย (วัดเทพประทานพร) อ.ศรีเทพ จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งถือว่าหลวงพ่อประเทืองนับเป็นพระที่เชี่ยวชาญเวทวิทยาคมมากทีเดียว ที่หลายๆท่านกล่าวขลานกันก็คือสักแล้วเอามีดฟันหลัง ณ ขณะนั้นเลยทีเดียว หลวงปู่สรวงเอง ก็ได้รับการถ่ายทอดและศึกษาจากหลวงพ่อประเทืองมาโดยตลอด จนท่านเองได้รับหน้าที่จากหลวงพ่อประเทืองให้เป็นมือสักให้เหล่าลูกศิษย์ของหลวงพ่อประเทือง กล่าวคือ หลวงปู่สรวงซึ่งเป็นเณรในขณะนั้นสักแล้วให้หลวงพ่อประเทืองเป่าลงคาถาแล้วฟันหลัง เพื่อทดสอบอาคม ซึ่งถ้าใครที่เคยเข้าพบหลวงปู่สรวงสมัยที่ท่านยังมีชีวิต จะเห็นได้ว่าท่านมีรอยสักอาคมแทบจะเต็มตัวท่าน.....ในสมัยนั้นหลายๆคนคงไม่เคยทราบว่า เพื่อนเณรร่วมสำนักเดียวกับท่านในวัยเยาว์นั้นคือ " เณรแอร์ "จอมขมังเวชนั้นเอง............จนกาลเวลาผ่านไป หลวงปู่สรวงท่านได้นิมิตรบางอย่างว่าให้ท่านเดินทางมาที่วัดศรีพรมจริยาวาส(วัดเขาพระใต้) ซึ่งตัวท่านเองตลอดเวลาที่อยู่ในผ้าเหลืองท่านไม่เคยมาและแม้กระทั้งรู้จักวัดๆนี้เลย แต่ท่านต้องมา............หลังจากที่ท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาพระใต้นี้ นิมิตรหลายๆอย่างของท่านเริ่มชัดขึ้น ชัดขึ้น ว่าบริเวณนี้ ใต้ผืนดินนี้ มีบางสิ่งที่แรงด้วยพุทธคุณแผ่พลานุภาพอยู่ในนั้น ......ผ่านเดือน ปี...จนท่านสัมผัสด้วยณาณของท่านว่า ให้ท่านอันเชิญวัตถุบางอย่างในบริเวณวัดนี้ทำพิธีขอขมาอันเชิญขึ้นมาแล้วท่านจะทราบว่าคืออะไร........แต่ด้วยที่พื้นที่วัดก็กว้างขว้างนักแล้วท่านจะทราบได้อย่างไรว่าอยู่บริเวณไหน............................................ตอนนั้นเป็นเวลาช่วงกลางวัน ฟ้าได้ผ่าเปรี้ยงลงมาที่บริเวณด้านข้างใกล้ๆกับศาลาไม้หลังเก่า ซึ่งทำให้หลวงปู่สรวงทราบแล้วบริเวณใด.....หลังจากนั้นท่านได้ให้คนไปตาม กำนันสมควร ลุงเปี๊ยก(พ่อของข้าพเจ้า) ลุงอ้วน พี่เสียม พระอาจารย์ธัญ(พระลูกวัด)ให้มาช่วยกันขุดดูสิว่าข้างล่างนี้มีอะไร...................ขุดจนกระทั้งเริ่มเห็นว่ามีทั้งพระทั้งผ้ายันต์ทั้งไหที่แตกๆบิ่นๆ หลวงปู่สรวงจึงได้ปรึกษากำนันสมควรว่าจะทำวิธีใดจึงจะนำวัตถุมงคงเหล่านี้ขึ้นมาได้ กำนันจึงไปขอแรงชาวบ้านมาช่วยกันรื้อศาลาหลังเดิมลงแล้วขุดจนพบพระกรุชุดนี้ให้พวกเราได้มีไว้บูชาในวันนี้นี่เอง...................................ครับข้อมูลต่างๆกล่าวและอ้างจากบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงและมีหลักฐานยืนยันชัดเจนครับ..............................................
เล่ากันว่าการที่หลวงพ่อเงินสร้างพิมพ์นี้ขึ้นมาสื่อเนื่องจากสมัยก่อนสภาพเมืองพิจิตรและพื้นที่เมืองออกไปส่วนใหญ่ยังเป็นป่าเขาลำเนาไพร หลวงพ่อเงินท่านชอบออกไปช่วยสร้างวัดต่างๆในเขตพิจิตรและท่านก็ยังเป็นพระหมอสมุนไพรที่เก่งกาจอีกด้วย เรื่องการรักษาผู้ป่วยควบคู่กับการรดน้ำมนต์ของท่าน โด่งดัง จนผู้คนพากันไปหาให้ท่านรักษาโรคภัยไข้เจ็บมากมายในแต่ละวัน เป็นที่โจทย์ขานกันว่าน้ำมนต์ของหลวงพ่อเงินศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนักและการรักษาผู้ป่วยของท่านจะใช้สมุนไพร่ควบคู่ไปกับตำรายาแผนโบราณ และพรมน้ำมนตร์ ผู้ป่วยที่พอจะมาหาหลวงพ่อได้ก็จะช่วยกันพยุงพากันมา แต่ในรายที่ไม่สามารถมาได้หลวงพ่อท่านก็เมตตาเดินทางไปรักษาให้ที่บ้าน ท่านเทียวไป เทียวมา อยู่เช่นนี้ ทำให้ลูกศิษย์ตลอดจนชาวบ้านต้องจัดหาพาหนะมาให้ท่านได้เดินทาง สมัยนั้นที่หรูสุดๆก็คือ *ช้าง*ครับ ไม่ต่างอะไรไปจากรถเบ๊นซ์สมัยนี้ นอกจากช้างก็มี"ม้า" ถ้าไปไกล ๆ ต้องใช้บริการช้างจะดีกว่า แต่ถ้าจะให้เร็วก็ต้องม้า
หลวงพ่อเงินท่านจึงมีพาหนะเป็นของท่านเองเลี้ยงไว้3เชือก ไปไหนมาไหนไกล ๆ ท่านก็นั่งหลังช้างไป ช้างที่ท่านเลี้ยงไว้มี3เชือก ชื่อ นพ แนบ และ สิงห์ หลวงพ่อเงินมักเรียกว่า " ไอ้นพรัตน์ ไอ้แนบ และ ไอ้สิงห์" ส่วนม้านั้นไม่ทราบชื่อเล่ากันว่าท่านเลี้ยงไว้ 2 ตัว
พระกรุชุดนี้หลวงพ่อเงินสร้างก่อน 2462 ที่บอกว่าทันยุคหล่วงพ่อเงินสร้างก่อนปี พ.ศ. 2462 นั้น ก้อเพราะว่ามีโยมหลาย ๆ คนมาพิจราณาแล้วลงความเห็นว่าเป็นพระยุคหลวงพ่อเงินสร้างแน่นอน หนึ่งในนั้นคือ "ลุงหยวก" ลุงหยวกชราภาพมากแล้วอายุร่วมร้อยปีแต่ความจำยังดียืนยันว่า "หลวงพ่อเงิน" ท่านเดินทางไปเป็นประธานในพิธีหล่อพระที่วัดเขาพระใต้จริง ลุงหยวกเล่าว่า เมื่อก่อนปี พ.ศ. 2462ลุงหยวกยังเป็นเด็กเล็ก อายุราว8ขวบเพิ่งเข้าโรงเรียนชั้น ป. 1 ที่โรงเรียนวัดเขาพระใต้ ทางวัดได้จัดพิธีหล่อพระ มีชาวบ้านมาร่วมพิธีกันล้นหลาม พ่อของลุงหยวกในขณะนั้นก็เป็นลูกศิษย์คอยตามรับใช้หลวงพ่อเงิน ช่วยท่านหาสมุนไพรและไปช่วยบูรณะวัดต่าง ๆ ในเขตจังหวัดพิจิตร ลุงหยวกบอกว่า พ่อยังบอกอีกว่า หลวงพ่อเงินท่านมาหล่อพระ เพื่อช่วยสร้างศาลาการเปรียญวัดเขาพระใต้ หลวงพ่อเงินท่านมาช่วยสร้างวัดเขาพระใต้อยู่2ปี มีช่างตระกูลบ้านช่างหล่อ ผั่งธนบุรี กรุงเทพฯ มาช่วยท่านทำแบบพิมพ์และหล่อพระ หลังจากหล่อพระเสร็จเรียบร้อยท่านก้อจากไป ไม่ทราบว่าท่านไปจำพรรษาอยู่ที่วัดใดต่อ แต่ที่แน่ ๆ เมื่อครั้งนั้นท่านยังไม่กลับวัดวังตะโก ส่วนพ่อของลุงหยวกนั้นลุงหยวกบอกว่า "พ่อแยกกับหลวงพ่อเงินเมื่อคราวนั้น บอกลาท่านเพื่อกลับมาอยู่กับครอบครัวที่เขาพระแห่งนี้ ลุงหยวกเล่าว่าหลวงพ่อเงินท่านเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการสร้างพระหารายได้มาสร้างวัด ท่านเป็นประธานวางศิลาฤกษ์ศาลาการเปรียญ แล้วชักชวนลูกศิษย์ลูกหาจากถิ่นต่าง ๆ มาช่วยกันหล่อพระทีวัดเขาพระใต้ หลังจากหล่อพระเสร็จ ส่วนหนึ่งออกจำหน่ายหารายได้ และอีกส่วนหนึ่งก็ไม่มีใครทราบว่าหลวงพ่อเงินท่านนำพระไปไว้ที่ไหน ทราบกันแต่เพียงว่าพิมพ์พระนั้นหลวงพ่อเงินท่านนำติดตัวเอาไปด้วย ลุงหยวกเล่าต่อว่า หลวงพ่อเงินท่านชอบเคี้ยวหมากแล้วก้อบ้วนน้ำหมากไปทั่ว บรรดาชาวบ้านเขาพระไม่ค่อยชอบท่านเท่าไหร่นัก หาว่าท่านเป็นพระสกปรกเที่ยวบ้วนน้ำหมากเลอะเทอะไปที่ว ซึ่งหลวงพ่อเงินพ่อทราบเรื่องที่ชาวบ้านติติงท่านก้อน้อยใจเหมือนกัน พูดถึงเรื่องน้ำหมากแล้ว ขอเสริมสักเล็กน้อยว่า เข้าทำนองลางเนื้อชอบลางยาบางคนชอบเนื้อบางคนก้อชอบยา ต่างจิตต่างใจ ลูกศิษย์ของหลวงพ่อเงินบางกลุ่มก้อชอบน้ำหมากของท่าน ยิ่งชานหมากยิ่งแล้วใหญ่ หลวงพ่อคายชานหมากเมื่อไรเป็นแย่งกันเก็บเมื่อนั้น เล่ากันว่า มีลูกศิษย์บางคนหลวงพ่อเงินเคยใช้น้ำหมากป้ายศีรษา ปรากฏว่าคนคนนั้นมีฐานะดียิ่งขึ้น เจริญรุ่งเรือง ร่ำรวยเงินทองขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ชาวบ้านในเขตบางคลานกล่าวขานเรื่องนี้กันมาก
หลวงพ่อเงินท่านไปช่วยสร้างวัดและบูรณะปฏิสังขรณ์หมู่เสนาสนะวัดต่าง ๆ ในพิจิตร บางวัดท่านก็ไปสร้างพระแล้วก้อบรรจุกรุเอาไว้ ซึ่งกรุเขาพระใต้ก้อเป็นอีกวัดที่หลวงพ่อเงินได้มาสร้างบรรจุไว้แน่นอน ขอมูลของคนเฒ่าคนแก่ที่ทันอยู่ในเหตุการณ์ย่อมยืนยันได้แน่นอน